happy on July 31, 2018, 09:55:20 PM

ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส
ร่วมกับลีเจนดารี พิคเจอร์ส/เพอร์เฟ็กต์ เวิลด์ พิคเจอร์ส

ภูมิใจเสนอ

ผลงานสร้างโดยลิตเติลสตาร์/เพลย์โทน

Mamma Mia! Here We Go Again

คริสติน บาแรนสกี้
เพียร์ซ บรอสแนน
โดมินิค คูเปอร์
โคลิน เฟิร์ธ
แอนดี้ การ์เซีย
ลิลลี เจมส์
อแมนดา ไซฟรี้ด
สเตลลัน สการ์สการ์ด
จูลี วอลเตอร์ส
ร่วมด้วย แชร์
และเมอริล สตรีพ

ดนตรีและเนื้อเพลงโดย
เบนนี แอนเดอร์สัน
บียอร์น อัลเวอุส

ผู้ควบคุมงานสร้าง
เบนนี แอนเดอร์สัน
บียอร์น อัลเวอุส
ริต้า วิลสัน
ทอม แฮงค์
ริชาร์ด เคอร์ติส
ฟิลลิดา ลอยด์
นิคกี้ เคนทิช บาร์เนส

สร้างจากมิวสิคัลออริจินอล Mamma Mia!
เขียนบทโดยแคทเธอรีน จอห์นสัน
แนวคิดริเริ่มโดย
จูดี้ เครเมอร์

สร้างจากเพลงของแอ็บบ้า

อำนวยการสร้างโดย
จูดี้ เครเมอร์, พี.จี.เอ.
แกรี โกทซ์แมน, พี.จี.เอ.

เรื่องราวโดย
ริชาร์ด เคอร์ติสและโอล ปาร์คเกอร์ ร่วมด้วยแคทเธอรีน จอห์นสัน

เขียนบทและกำกับโดย
โอล ปาร์คเกอร์

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=pVWWMlVaSlo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=pVWWMlVaSlo</a>

อภาพยนตร์:    Mamma Mia! Here We Go Again
ชื่อไทย:      มามา มียา! 2
วันที่เข้าฉาย:   9 สิงหาคม 2561
จัดจำหน่าย:   บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


Mamma Mia! Here We Go Again หรือ มามา มียา! 2
เข้าฉาย 9 สิงหาคมนี้ในโรงภาพยนตร์


10 ปี หลังจากที่ Mamma Mia! The Movie กวาดรายได้ทั่วโลกมากกว่า 600 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขอเรียนเชิญทุกท่านสู่เกาะมหัศจรรย์ในกรีซที่มีชื่อว่า “คาโลไครี” สุขสันต์ไปพร้อมกับเพลงของ ABBA ที่ทำมาเรียบเรียงกันใหม่อีกครั้ง และพบกับนักแสดงทีมเดิมที่กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง พร้อมด้วย ลิลี่ เจมส์ (Cinderella, Baby Drive) ที่จะมารับบทดอนน่าในช่วงวัยรุ่น ในภาพยนตร์ Mamma Mia! Here We Go Again
 
เมอริล สตรีพ นักแสดงรางวัลออสการ์ กลับมารับบท ดอนน่า พร้อมด้วยทีมนักแสดงชุดเดิมอย่าง จูลี่ วอลเตอร์ กลับมาในบท โรซี่, คริสติน บารันสกี ในบท ทันยา, อแมนดา ไซย์เฟร็ด และโดมินิค คูเปอร์ กลับมาในบทโซฟีและสกาย รวมถึง เพียร์ซ บรอสแนน, สเตลแลน สการ์สการ์ด และโคลิน เฟิร์ธ กลับมาในบทผู้ที่อาจมีโอกาสเป็นพ่อของโซฟี แซม, บิล และแฮร์รี่
 
ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวของความสัมพันธ์ในอดีต โดย เจมส์ รับบทดอนน่าในช่วงวัยรุ่น อเล็กซา (A Brilliant Young Mind ) และ เจสสิกา คีแนน วิน รับบท โรซี่ และทันยา ในวัยสาว แซม ในวัยหนุ่มรับบทโดย เจเรมี เออร์ไวน์ (War Horse) โดย จอช ดีแลน รับบทบิลวัยหนุ่ม และ ฮิวจ์ สกินเนอร์ (Kill Your Friends) รับบทแฮร์รี่ วัยหนุ่ม
 
Mamma Mia! Here We Go Again สร้างโดย จูดี้ เครเมอร์ ผู้สร้างมิวสิคัลระดับโลกมากมาย และ แกรี่ โกเอทซ์แมน ภาพยนตร์กำกับโดย ออล พาร์คเกอร์ ซึ่งเขาร่วมเขียนบทกับ  แคทเธอรีน จอห์นสัน และ ริชาร์ด เคอร์ติส โดย เบนนี่ แอนเดอร์สสัน, บียอร์น อัลเวอุส สองสมาชิกของ ABBA กลับมาทำดนตรีและคำร้อง และรับหน้าที่บริหารงานสร้าง ร่วมกับ ทอม แฮงส์, ริต้า วิลสัน. ฟิลิลดา ลอยด์, ริชาร์ด เคอร์ติส, นิกกี้ เคนติช บาร์นส์





ข้อมูลงานสร้าง

     เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการร้องเพลง แดนซ์กระจาย หัวเราะและรักอีกครั้งหนึ่ง สิบปีหลังจากที่ Mamma Mia! The Movie กวาดรายได้ไปกว่า 600 ล้านเหรียญ คุณกำลังจะได้รับคำเชิญให้หวนคืนสู่คาโลไคริ เกาะมหัศจรรย์ในกรีกอีกครั้งในมิวสิคัลใหม่แกะกล่อง ที่สร้างจากเพลงของแอ็บบ้า ทีมนักแสดงชุดเดิมกลับมาอีกครั้ง และร่วมแสดงโดยนักแสดงกลุ่มใหม่ ซึ่งรวมถึงลิลลี เจมส์, แอนดี้ การ์เซียและนักแสดงรางวัลออสการ์ แชร์ คอเมดีมิวสิคัลเรื่องนี้เข้าฉายในวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 2018
   โอล ปาร์คเกอร์ มือเขียนบทจาก The Best Exotic Marigold Hotel ได้เขียนบทและกำกับซีเควลเรื่องนี้จากเรื่องราวโดยริชาร์ด เคอร์ติส, ปาร์คเกอร์และแคทเธอรีน จอห์นสัน ผู้เขียนบทมิวสิคัลออริจินอลเรื่อง Mamma Mia! ซึ่งเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่องนี้ เบนนี แอนเดอร์สันและบียอร์น อัลเวอุสได้กลับมาแต่งดนตรีและเนื้อเพลงและทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่อง
   ริต้า วิลสัน, ทอม แฮงค์, เคอร์ติส, ฟิลลิดา ลอยด์และนิคกี้ เคนทิช บาร์เนสรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง
   ผู้ที่กลับมารับบทเดิมจาก  Mamma Mia! The Movie อีกครั้งได้แก่นักแสดงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด เมอริล สตรีพในบทดอนนา, จูลี วอลเตอร์ส ในบท โรซีและคริสติน บาแรนสกี้ ในบท ทันย่า อแมนดา ไซฟรี้ดและโดมินิค คูเปอร์ กลับมาแสดงร่วมกันอีกครั้งในบท โซฟีและสกาย ในขณะที่เพียร์ซ บรอสแนน, สเตลลัน สการ์สการ์ดและนักแสดงรางวัลออสการ์ โคลิน เฟิร์ธ ก็กลับมารับบทผู้ที่อาจเป็นพ่อของโซฟีทั้งสามคน ได้แก่แซม, บิล และแฮร์รี
   ในภาพยนตร์ที่ย้อนเวลากลับไปกลับมา ที่เผยให้เห็นว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในอดีตสอดคล้องกับปัจจุบันอย่างไร เจมส์ รับบท ดอนนา วัยสาว ผู้ที่รับบท โรซี วัยสาวและทันย่า วัยสาว ได้แก่อเล็กซา เดวีส์  (A Brilliant Young Mind) และเจสสิกา คีแนน วินน์ (ละครบรอดเวย์เรื่อง  Beautiful) แซมวัยหนุ่มรับบทโดยเจเรมี เออร์วิน  (War Horse) ในขณะที่บิลวัยหนุ่มรับบทโดยจอช ดีแลน (Allied) และแฮร์รี วัยหนุ่ม รับบทโดย ฮิวจ์ สกินเนอร์  (Kill Your Friends)
   ทีมงานสร้างสรรค์เบื้องหลังรวมถึงผู้ที่เคยร่วมงานกันมาก่อนในละครเวทีออริจินอลและมิวสิคัลเรื่อง Mamma Mia! The Movie ได้แก่ผู้กำกับมาร์ติน โคช (Billy Elliot the Musical: Live) และผู้ออกแบบท่าเต้น แอนโธนี แวน ลาสต์  (Beauty and the Beast)
   สมาชิกใหมม่ของครอบครัว Mamma Mia! ได้แก่ผู้กำกับภาพโรเบิร์ต โยแมน  (The Grand Budapest Hotel, Bridesmaids), ผู้ออกแบบงานสร้าง อลัน แม็คโดนัลด์ (The Queen, The Best Exotic Marigold Hotel) และจอห์น แฟรงคิช (Gosford Park, Snow White and the Huntsman), มือลำดับภาพปีเตอร์ แลมเบิร์ท (Woman in Gold, The Twilight Saga: New Moon), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย มิเชล แคลปตัน (ซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Game of Thrones, ซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง The Crown) และผู้ประพันธ์เพลง แอนน์ ดัดลีย์  (Les Misérables, The Full Monty)
« Last Edit: July 31, 2018, 10:00:18 PM by happy »

happy on July 31, 2018, 10:03:02 PM



อดีตพบปัจจุบัน:
แนะนำเรื่องราว

          ในปี 1979 สาวน้อยผู้ใจกล้าและร่าเริง ดอนนา เชอริแดน (เจมส์), ทันย่า (วินน์) และโรซี (เดวีส์) หรือดอนนา แอนด์ เดอะ ไดนาโมส์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และดอนนาก็มีความสุขกับการได้ออกผจญภัยทั่วยุโรปเพื่อทำตามความฝันของเธอบนเกาะคาโลไครีในกรีก
   ระหว่างการเดินทาง เธอได้ผูกมิตรกับชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์สามคน รวมถึงแฮร์รี (สกินเนอร์) ผู้ได้รับมอบหมายให้ประจำการที่กรุงปารีสเพื่อวิเคราะห์ “วิถีทางของยุโรป” และบิล (ดีแลน) ผู้เสนอจะพาดอนนาไปยังเกาะแห่งนั้นด้วยเรือใบของเขา เมื่อไปถึงที่นั่น เธอได้พบกับแซม (เออร์วิน) ผู้หล่อเหลาและดูกล้าหาญ และเธอก็ตกหลุมรักหัวปักหัวปำในทันที
   ความสุขของดอนนาถูกแสดงออกมาชัดเจนและทำให้คนรอบข้างรู้สึกอย่างเดียวกัน เธอตั้งใจที่จะลงหลักปักฐานที่เกาะมหัศจรรย์แห่งนี้ และเธอก็ได้งานเป็นนักร้องในร้านอาหารท้องถิ่นและที่พักในโรงนาซอมซ่อแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ดี เมื่อเธอพบว่าแซมหมั้นหมายอยู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง หัวใจเธอก็แตกสลาย ทันยาและโรซีกระโจนเข้ามาช่วยเหลือเพื่อนของเธอ แต่กลายเป็นว่า เธอไม่ต้องการการช่วยเหลือหรอก ขณะที่เธอโบกมืออำลาพวกเขา ดอนนาก็กลับมามองโลกในแง่ดีอีกครั้งเมื่อได้รู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์
   ในปัจจุบัน บนเกาะคาโลไครี ด้วยการสนับสนุนของแซม (บรอสแนน) พ่อเลี้ยงของเธอ ผู้เป็นหนึ่งในสามผู้ชายที่อาจเป็นพ่อแท้ๆ ของเธอ โซฟี เชอริแดน (ไซฟรี้ด) ได้อุทิศตัวเพื่อทำตามความฝันของดอนนา (สตรีพ) ในการปรับปรุงโรงแรมของพวกเขา โซฟีวางแผนที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นโฮเตล เบลลา ดอนนา ที่สวยงามเพื่อเป็นเกียรติกับเธอ
   ทันยา (บาแรนสกี้) และโรซี (วอลเตอร์ส) เพื่อนสนิทของดอนนา มาถึงเกาะแห่งนี้เพื่อร่วมงานเปิดตัวสุดอลัง แต่ซินญอร์เซียนฟูโกส (การ์เซีย) ผู้จัดการโรงแรมของโซฟี เตือนว่าพายุร้ายกำลังจะเข้า โซฟีรู้สึกทุกข์ใจเมื่อลมและฝนเทกระหน่ำลงมายังเกาะแห่งนี้ ทำให้แผนการจัดปาร์ตี้เปิดตัวของเธอพังย่อยยับ ซ้ำร้ายกว่านั้น การเดินทางทุกอย่างไม่สามารถทำได้
   ในตอนที่โรซีและทันย่าพยายามที่จะฟื้นฟูสภาพจิตใจของโซฟีให้ดีขึ้น ท้องฟ้าก็เปิดโล่ง และกองทัพเรือแห่งปาฏิหาริย์ก็แล่นผ่านน่านน้ำที่เป็นประกายระยิบระยับมายังเกาะแห่งนี้ บนเรือคือผู้โดยสารที่ประกอบไปด้วยชาวประมง 150 คนที่พร้อมสำหรับการเฉลิมฉลอง ร่วมด้วยบิล (สการ์สการ์ด), แฮร์รี (เฟิร์ธ) และสกาย (คูเปอร์) แฟนหนุ่มของโซฟี การกลับมาพบกันที่แสนสุขนี้ยิ่งทวีความสุขมากขึ้นไปอีกด้วยการมาเยือนสุดเซอร์ไพรส์ของ รูบี้ (แชร์) คุณยายสุดซ่าส์ที่ห่างหายไปนานของเธอ
   ขณะที่ยืนอยู่ด้านนอกโฮเตล เบลลา ดอนนา ที่ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น ความผูกพันระหว่างโซฟีกับแม่ของเธอไม่เคยแน่นแฟ้นเท่านี้มาก่อน ในตอนที่การเฉลิมฉลองสุดหฤหรรษ์กำลังดำเนินไปอย่างเต็มที่ ห้อมล้อมไปด้วยเสียงดนตรีและคนที่เธอรักที่สุดในโลก โซฟีเผยว่าเธอและสกายก็มีความลับที่จะบอกเหมือนกัน


ความสุขทั้งมวล:
การพัฒนาภาพยนตร์

        มันเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ แต่จริงๆ แล้ว มันผ่านมา 10 ปีแล้วล่ะนับตั้งแต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ Mamma Mia! The Movie จูดี้ เครเมอร์ ผู้อำนวยการสร้างและผู้สร้างมิวสิคัลที่ดังถล่มทลายทั่วโลก Mamma Mia! และผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์ภาคแรก เป็นผู้ปูพื้นสำหรับเรื่องราวของ Mamma Mia! Here We Go Again “ทั้งมิวสิคัลและภาคแรกต่างก็เป็นเรื่องราวของครอบครัวและมิตรภาพและการเชื่อในตัวเอง ใน Mamma Mia! Here We Go Again เราดำเนินความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เรื่องราวของเราต่อ แต่ในขณะเดียวกน เราก็ได้ค้นพบด้วยว่า ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเหล่านี้ก่อกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร และมันส่งอิทธิพลสำคัญอย่างไรต่อดอนนา, เดอะ ไดนาโมส์, โซฟี และหนุ่มๆ ผู้อาจเป็นพ่อของเธอบ้าง
   “เรื่องราวของ Mamma Mia! ให้ความรู้สึกเข้าถึงได้กว่าแต่ก่อน และผู้ชมก็รักในเรื่องราวนี้ ละครเวทีเรื่องนี้ ดนตรีของแอ็บบ้าและหนังภาคแรกจริงๆ ค่ะ” เธอกล่าวต่อ “เพลงและเรื่องราวจะพาคุณผ่านการผจญภัยทางอารมณ์ด้วยดนตรีที่ทั้งมหัศจรรย์และมีเสน่ห์เย้ายวนค่ะ”
   สิ่งสำคัญสำหรับเครเมอร์และแกรี โกทซ์แมน เพื่อนผู้อำนวยการสร้างของเธอ คือพวกเขาจะต้องไม่เร่งรัดกับเรื่องราว เครเมอร์เล่าว่า “การพัฒนาของ ‘Mamma Mia’ เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ และเราต่างก็รักไอเดียของการสร้างภาคสองขึ้นมาเสมอ เราย้อนกลับไปสู่ต้นกำเนิดของมิวสิคัลเรื่องนี้โดยปราศการเสียดสี เพราะมันมีรากฐานที่ใช้การได้ดีเหลือเกิน เราคุยกันถึงความเป็นมาว่าดอนนา และเดอะ ไดนาโมส์ถูกก่อตั้งขึ้นมาอย่างไรในสมัยมหาวิทยาลัยและการที่ดอนนาพบโชคชะตาของตัวเองบนเกาะแห่งนี้ มันเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการคิดเส้นเรื่องสำหรับพรีเควลและซีเควลในเรื่องเดียวกันค่ะ”
   ในฐานะผู้ชื่นชมผลงานของริชาร์ด เคอร์ติสมานาน เครเมอร์ได้ทาบทามเขาให้มาขยายเรื่องราวความเป็นมาของ Mamma Mia! “ริชาร์ดคิดเส้นเรื่องขึ้นมาได้และเสนอให้ฉันทาบทามโอล ปาร์คเกอร์ในฐานะมือเขียนบท” ผู้อำนวยการสร้างกล่าว “ระหว่างที่ฉันคุยกับโอล ฉันก็รู้ว่าเขาเข้าใจการเดินทางที่เราต้องการสำหรับเรื่องราวนี้ ที่เต็มไปด้วยความสุขและอารมณ์ที่รุนแรง เพราะตัวละครต้องรับมือกับประเด็นต่างๆ ในชีวิตจริงทั้งการแต่งงาน ความตายและการถือกำเนิดค่ะ”
   แม้ว่ากระบวนการพัฒนาเพื่อทำให้แน่ใจว่าซีเควลจะต่อกับภาคแรกได้อย่างแนบเนียนจะเหนื่อยแสนสาหัส โกทซ์แมนก็เห็นด้วยกับเพื่อนร่วมงานของเขาว่า มันมีเรื่องราวอีกหนึ่งเรื่องที่จำเป็นต้องได้รับการบอกเล่าออกมาเสมอ “ในตอนที่คุณได้ดู Mamma Mia! มันก็มีเรื่องราวที่คุณจะคิดว่า ‘ว้าว น่าจะมีการขยายความออกมาอีกหน่อยนะ’ เราคิดว่ามันน่าจะเป็นไอเดียที่ดีที่จะนำเสนอตัวละครที่รักของเราในช่วงเวลาหนุ่มสาว ตอนที่เรื่องราวของภาคแรกเริ่มต้นขึ้นจริงๆ นอกจากนั้น เราก็มีการเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับพวกเขาทั้งหมด เกี่ยวกับตัวละครดั้งเดิมและสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตพวกเขา ทั้งสองเรื่องมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างลงตัว”
   ปาร์คเกอร์คอยระวังในเรื่องโครงสร้างดั้งเดิมของภาพยนตร์ภาคแรก “แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและนั่นก็เป็นเรื่องที่ทั้งน่าหวาดหวั่นและลุ้นระทึกครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “มันลุ้นระทึกก็เพราะมันหมายความว่าเราจะได้สนุกกันและน่าสะพรึงกลัวก็เพราะมันมีระดับที่เราจะต้องไปให้ถึงให้ได้น่ะครับ”
   เครเมอร์เล่าถึงความยินดีของเธอหลังจากที่ได้อ่านบทภาพยนตร์ของปาร์คเกอร์ว่า “ตอนที่โอลส่งบทดราฟท์แรกมา มันก็เป็นช่วงเวลาพิเศษค่ะ ฉันรู้ทันทีว่ามันใช่ มันมีช่วงเวลาหัวใจสลาย แต่มันก็ยอมรับการมอบพลังให้กับผู้หญิงมากๆ ด้วยค่ะ”
   แล้วก็มาถึงงานยากของการหาตัวผู้กำกับที่ใช่ เครเมอร์กล่าวว่า “ฉันได้คุยกับหลายๆ คน แต่ฉันก็รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่า แม้ว่าโอลจะไม่เคยกำกับมิวสิคัลมาก่อน แต่โอลก็น่าจะเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ได้ และฉันก็ตื่นเต้นมากเมื่อเขาตกลงค่ะ”
   ในทำนองเดียวกัน ปาร์คเกอร์เองก็ยินดีที่ได้มากำกับโปรเจ็กต์นี้กับเครเมอร์ พลางให้ความเห็นว่า “เธอเป็นผู้อำนวยการสร้างที่ดีที่สุดและเป็นคนที่ให้การสนับสนุนผมในการสร้างหนังเรื่องนี้มากที่สุดครับ”
   ในการอ้างอิงจากหนังสือของจอห์นสันสำหรับมิวสิคัลเรื่องนี้และบทภาพยนตร์สำหรับ Mamma Mia! The Movie ของเธอ เคอร์ติสได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับปาร์คเกอร์ในเรื่องราวของ Mamma Mia! Here We Go Again สำหรับเคอร์ติส ผู้รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ความรักที่เขามีต่อโลกใบนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อหลายปีก่อน “ผมได้ดู Mamma Mia! The Movie ครั้งแรกในวันฝนตก โรงหนังคนแน่นเอี้ยด และเราก็รู้สึกเหมือนว่าเรากำลังอยู่ในช่วงวันหยุดฤดูร้อนภายในเวลาเพียงแค่สองชั่วโมง นั่นคือหนังเรื่องนี้ครับ มันเป็นการนำเสนอความสุขและการมองโลกในแง่ดีแบบเมนสตรีม ที่มีความนัยของเฟมินิสต์ ความรักรุนแรงและความเข้มแข็งครับ”
   มือเขียนบทได้เล่าถึงแรงบันดาลใจที่เหมาะสำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวว่า “มันเกิดจากบทสนทนาระหว่างผมกับลูกสาววัย 22 ปีที่ค่อนข้างจะฉลาดของผม ผมถามว่าเธอมีไอเดียสำหรับ Mamma Mia! 2 บ้างรึเปล่า เธอก็บอกว่า มันชัดเจนจะตายไป มันน่าจะเป็นแฟลชแบ็คให้เห็นว่าดอนนาได้พบกับผู้ชายที่อาจจะเป็นพ่อของลูกเธอทั้งสามคนระหว่างฤดูร้อนปี 79 ยังไงก่อนจะตัดภาพมาสู่ปัจจุบันกับโซฟี แล้วก็จะมีวงจรของความเป็นแม่ที่เชื่อมช่วงเวลาทั้งสองไว้ด้วยกันน่ะครับ”
   เคอร์ติสเข้าใจดีว่าทำไมผู้ชมถึงถูกดึงดูดเข้าหา Mamma Mia! “ผมเป็นแฟนเพลงป๊อป ดังนั้น ผมก็เลยเป็นแฟนแอ็บบ้าด้วย ผมชื่นชอบความสนุกสนานรื่นเริงของ Mamma Mia!   มันเป็นมิวสิคัลทีคุณจะหัวเราะตอนที่คุณร้องคลอไปกับเพลงและรู้ตัวว่าคุณถูกพาไปยังอีกที่หนึ่งน่ะครับ”
   เคอร์ติสและปาร์คเกอร์ ผู้ร่วมงานกันมานาน เริ่มต้นกระบวนการวางแผนเรื่องราวสำหรับซีเควล/พรีเควลเรื่องนี้ “ผมไปพักอยู่กับเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสุขมาก ทุกเช้า เราจะนั่งอยู่ในรถบ้านของเขาและปักหมุดเพลงแอ็บบ้าทุกเพลงที่เราชื่นชอบไว้บนผนัง” ปาร์คเกอร์อธิบาย “แล้วเราก็พยายามจะหาคำตอบที่จะซิกแซกมันจากเพลงหนึ่งไปสู่อีกเพลงหนึ่ง นอกจากนั้น เรายังอยากพยายามทำให้กันและกันหัวเราะ ซึ่งเป็นความท้าทายหลักเลยล่ะครับ”
   เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าระหว่างทั้งคู่ ใครเป็นแฟนแอ็บบ้ามากกว่ากัน “ริชาร์ด เคอร์ติสมีความรู้เรื่องแอ็บบ้าอย่างถ่องแท้ ซึ่งเหนือกว่าผมด้วยซ้ำไป” ปาร์คเกอร์หัวเราะ และนั่นก็จะเป็นตัวกำหนดการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ “เราทั้งคู่ต่างก็รู้จักดนตรีของพวกเขาดี บางครั้ง เราก็พิจารณาถึงเรื่องการใช้เพลงเพื่อเข้าสู่ฉากหนึ่งๆ บางครั้ง เราก็จะหาวิธีใส่เพลงเข้าไปในฉากน่ะครับ”
   สำหรับปาร์คเกอร์ ผู้ซึ่งแบ็คกราวน์ในฐานะมือเขียนบทของเขาทำให้เขาสามารถจินตนาการได้ว่าอะไรที่จะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค คอนเซ็ปต์ของพรีเควล/ซีเควลให้ความรู้สึกว่าเหมาะสมทีเดียว “จากเรื่องราวเบื้องหลังของผู้ที่อาจเป็นพ่อทั้งสามคน การที่ดอนนาวัยสาวกลายมาเป็นดอนนาและหาทางมายังเกาะแห่งนี้ได้ยังไง แม้กระทั่งที่มาของกางเกงยีนส์ตัวนั้น ทั้งหมดนี้ดูเหมือนเป็นของขวัญครับ มันเป็นช่วงเวลาที่คุณสามารถสร้างสิ่งที่สมมาตรได้ และมันก็สามารถสร้างเงาสะท้อนทางอารมณ์กับเรื่องราวของโซฟีได้ด้วยเช่นกัน”
   โกทซ์แมนประทับใจกับ “สมบัติที่ซ่อนอยู่” ที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้วางเอาไว้ตลอดเรื่อง “ในการเขียนบท Mamma Mia Here We Go Again! โอลกับริชาร์ดใส่เอารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ความเชื่อมโยงนิดๆ หน่อยๆ กับภาคแรกเข้ามา มันเป็นสิ่งที่ถูกพูดเอาไวในหลายๆ เพลงที่พวกเขาใช้ และนำมาใส่ในช่วงจังหวะเหมาะๆ ในฉากนั้น หนังภาคแรกอยู่กับเราเสมอระหว่างการถ่ายทำครับ”
   ผู้อำนวยการสร้างผู้นี้ชื่นชอบความใส่ใจในรายละเอียดเป็นพิเศษในเรื่องของการจัดวางตำแหน่งของเพลงและการดำเนินเรื่อง เช่นเดียวกับใน Mamma Mia! ส่วนใหญ่ เพลงในภาพยนตร์เรื่องนี้มาถูกเวลาและกระตุ้นความรู้สึกที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับฉากนั้นๆ โกทซ์แมนเล่าว่า “‘Dancing Queen’ เป็นเพลงติดหูที่มหัศจรรย์ครับ พอคุณได้ยินเพลงนั้น คุณก็จะไม่สามารถสลัดมันออกจากหัวได้เลย มันจะไม่ไปไหน แต่คุณก็จะไม่มีวันเบื่อมัน นั่นเป็นสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดกับหนังพวกนี้ คือตอนที่ผมได้ยินเพลงของเบนนีและบียอร์น ผมอดไม่ได้ที่จะเสพติดมันและฮัมเพลงพวกนี้อยู่เสมอ ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขตอนที่ผมได้ฟังเพลง...และผมก็ไม่ได้บ้าไปกับมัน เพลงของแอ็บบ้าเป็นอมตะ มันมีเสน่ห์สำหรับคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ในสถานที่ไหนๆ ก็ตาม ผมไม่แคร์หรอกว่ามันจะเป็นฟลอร์เต้นรำ ในรถหรือในอ่างอาบน้ำ แอ็บบ้าเจ๋งอยู่แล้ว”

happy on July 31, 2018, 10:06:05 PM



พ่อทูนหัวของ Mamma Mia!
แอนเดอร์สันและอัลเวอุสร่วมมือกัน

เครเมอร์เล่าถึงความตื่นเต้นที่มีต่อภาคต่อไปของเรื่องราว Mamma Mia! ด้วยการนึกถึงความกระตือรือร้นแบบสุดๆ ที่เกิดจากทุกอย่างที่เป็นแอ็บบ้า “Mamma Mia! Here We Go Again เป็นประสบการณ์ที่สร้างความสุขสำหรับทุกคน มันมีทีมนักแสดงที่ไม่เหมือนเรื่องอื่น มีการเล่าเรื่องเยี่ยมๆ และดนตรีจากแอ็บบ้าที่จะพาผู้ชมสู่การเดินทางที่เปี่ยมสุขและสะเทือนอารมณ์” สำหรับผู้อำนวยการสร้างผู้นี้ ประสบการณ์นี้เกิดจากความยอดเยี่ยมของเพื่อนร่วมงานของเธอ “เบนนีและบียอร์นเป็นอัจฉริยะค่ะ และดนตรีของแอ็บบ้าก็เหมือนของขวัญสำหรับโลกใบนี้”
โกทซ์แมนรู้จักเบนนี แอนเดอร์สันและบียอร์น อัลเวอุสแห่งวงแอ็บบ้ามาหลายปีแล้ว และเช่นเดียวกับหลายๆ คน เขาก็เป็นแฟนผลงานดนตรีของพวกเขามานานกว่านั้นเยอะ ในตอนที่กำลังพิจารณาเรื่องของภาคต่อ ผู้อำนวยการสร้างไม่เคยกังวลเลยว่าจะมีวัตถุดิบไม่เพียงพอ “ดนตรีของแอ็บบ้าเต็มไปด้วยรายละเอียดมากเสียจนแม้กระทั่งเพลงของพวกเขาที่คุณไม่รู้จักยังเหลือเชื่อเลย เพลงมากมายของพวกเขาเป็นเพลงฮิตระดับโลก และก็มีหลายเพลงที่เราไม่ได้ใช้ในภาคแรก มันเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเพลงที่คุณรู้จัก เพลงที่คุณคล้ายๆ จะรู้จักและเพลงที่คุณไม่รู้จัก และคุณจะมีความสุขกับทุกเพลงเลย มันเป็นภูมิทัศน์ทางดนตรีที่งดงามที่เบนนีและบียอร์นได้สร้างเอาไว้ให้กับเรา และเราก็ใช้ประโยชน์จากเรื่องนั้นอย่างเต็มที่เลยครับ”
แอนเดอร์สันและอัลเวอุสรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง และผู้แต่งดนตรีและเนื้อเพลงของเรื่อง นอกจากนั้น อัลเวอุสยังรับบทคามีโอเป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยสำหรับเพลงตอนเปิดตัวที่ดอนนา แอนด์ เดอะ ไดนาโมส์ในวัยสาวแสดงในพิธีจบการศึกษาที่อ็อกซ์ฟอร์ดอีกด้วย อัลเวอุสเล่าว่าเพลงนั้นเป็นเพลงพิเศษในหัวใจเขาเสมและเขาก็คุยถึงการปล่อยเพลงนี้ออกมาในช่วงกลางยุค 70s ว่า “‘When I Kissed the Teacher’ ถูกเขียนขึ้นมาในปี 1975 ในช่วงเวลาที่เราคิดว่าเพลงไหนๆ ก็อยู่ได้นานแค่สองปีเท่านั้นล่ะ มันก็เลยเป็นเรื่องตลกที่จะกลับไปหามันในตอนนี้ มันเป็นเพลงคึกคักที่ฟังดูวัยรุ่น และมันก็เป็นเพลงที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับการเริ่มต้นหนังเรื่องนี้ด้วยครับ”
อัลเวอุสเล่าถึงความรู้สึกของเขาที่ได้เห็นเพลงเหล่านี้มีชีวิตใหม่อีกครั้งโดยสาวๆ ไดนาโมส์ว่า “การที่ได้เห็นคนหนุ่มสาวพวกนี้ร้องเพลงพวกนี้ในหนังเป็นอะไรที่วิเศษสุดและผมก็รักทุกวินาทีของมัน สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับ “When I Kissed the Teacher” คือมันเหมาะกับฉากนี้ในหนังพอดิบพอดีเลยครับ”
ละครเวทีและภาพยนตร์เรื่อง Mamma Mia! ทำให้ดนตรีของแอ็บบ้าเป็นที่เข้าถึงได้อย่างที่ไม่มีใครจินตนาการได้ “หลังจากภาคแรก ผมไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะมีอีกภาคหนึ่งเพราะมันคงจะเป็นเรื่องยากมากๆ กับการหาเพลงที่เหมาะสมในการร้อยเรียงเข้าไปกับเรื่องราว และผมก็ไม่มั่นใจนักว่ามันจะเป็นวัตถุดิบที่เหมาะสมรึเปล่า” อัลเวอุสกล่าวเสริม “ในตอนที่จูดี้โทรมาพร้อมกับไอเดียที่เธอคิดร่วมกับโอล ปาร์คเกอร์และริชาร์ด เคอร์ติส ผมก็คิดทันทีว่า มันฟังดูน่าสนใจและเราควรจะลองดู ผมชื่นชอบหนังของพวกเขามาโดยตลอดและแนวทางที่ริชาร์ดใช้ดนตรีในเรื่อง Love Actually และ Four Weddings ก็วิเศษสุด พวกเขาเข้าใจดนตรีและสิ่งที่มันสามารถทำได้ภายในหนังเรื่องหนึ่งๆ ดีครับ”
แอนเดอร์สันและอัลเวอุสได้พบกับผู้อำนวยการสร้างเครเมอร์ครั้งแรกในยุค 80s และหลังจากนั้น เธอก็ทาบทามพวกเขาเรื่องการอำนวยการสร้างละครเวทีที่นำเสนอดนตรีของพวกเขา “เราไม่เชื่อหรอกครับ แต่เธอก็มาพร้อมกับบทละครเวทีที่เขียนโดยแคทเธอรีน จอห์นสัน” แอนเดอร์สันอธิบาย “เราชื่นชอบลักษณะการดำเนินเรื่องที่ใช้เพลงของเราผลักดันเรื่องราวไปข้างหน้า เราเคยและยังคงรู้สึกหวงแหนดนตรีของเรา เราก่อตั้งบริษัทขึ้นมาร่วมกับเธอเพื่อที่ว่าถ้าเราอยากจะยกเลิกมัน เราก็จะทำได้ โชคดีที่เราไม่ได้ทำแบบนั้นครับ!”
เมื่อเกิดไอเดียสำหรับภาคต่อขึ้นมา แอนเดอร์สันก็ลังเลอีกครั้งหนึ่งแต่เขาก็เปิดกว้างต่อการสำรวจ”หนังภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างสูงและเป็นหนังที่ดีมากจนเราไม่แน่ใจว่าอีกภาคจะเวิร์ครึเปล่า” เขาบอก “มันเป็นเรื่องวิเศษสุดที่นักแสดงทุกคนกลับมา ซึ่งมันก็ให้ความรู้สึกดีจริงๆ ครับ สิ่งที่เยี่ยมก็คือผมได้กลับเข้าไปในสตูดิโอและร่วมงานกับพวกหนุ่มๆ ในวงอีกครั้ง เพื่อบันทึกเสียงเพลงที่ไม่ได้อยู่ในภาคแรก และถ้าคุณไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้แอ็บบ้าแล้วล่ะก็ คุณอาจจะยังไม่รู้จักเพลงพวกนั้นก็ได้นะครับ”
แอนเดอร์สันพูดถึงเพลงที่ถูกเลือกสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “พวกมันเป็นเพลงที่ดีในแบบที่แตกต่างกันไปครับ ‘When I Kissed the Teacher’ เป็นเพลงสนุกและคึกคัก ‘My Love, My Life’ เป็นเพลงจากปี 1973 ที่เพราะทีเดียวและถูกใส่เข้าไปในตอนจบเรื่องครับ”
เขากล่าวกลั้วหัวเราะถึงการร่วมงานกับทีมนักแสดงระดับเอลิสต์ของเรื่อง Mamma Mia! Here We Go Again ว่า ทั้งนักแสดงและนักร้องต่างก็ต้องปรับตัวกันเล็กน้อย “ตอนนี้ เราเคยชินแล้วครับ มันเป็นเรื่องพิลึกๆ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่เมอริล สตรีพ, เพียร์ซ บรอสแนนและโคลิน เฟิร์ธเข้ามาในสตูดิโอ พวกเขาก็เครียดเหมือนกับเรานี่แหละครับ ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งพวกเขาถึงรับรู้ว่าเราไม่ใช่คนอันตราย เราก็แค่อยากจะสร้างหนังเรื่องนี้ให้ออกมาดีเท่าที่เราจะทำได้ พอทุกคนเข้าใจแล้ว ทุกอย่างก็ง่ายดายครับ พวกเขาไว้ใจผม ผมไว้ใจพวกเขา และเราก็เริ่มต้นทำงานกัน”





หาตัวดอนนาวัยสาว:
ลิลลี เจมส์ ร่วมทีมนักแสดง

ในการคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทดอนนาวัยสาว ทีมผู้สร้างรู้ว่าใครก็ตามที่พวกเขาเลือกจะต้องสานต่อภาระที่ยิ่งใหญ่ ลิลลี เจมส์ ผู้โด่งดังจากบทบาทที่น่าทึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Baby Driver และ Cinderella ไปจนถึงบทบาทที่ทำให้เธอโด่งดังใน Downton Abbey นำตัวละครตัวนี้ไปสู่ระดับที่คาดไม่ถึง “ลิลลีถ่ายทอดจิตวิญญาณของดอนนา เธอแสบซ่าส์และเพอร์เฟ็กต์สำหรับบทนี้ค่ะ” เครเมอร์กล่าวชื่นชม “ฉันรู้ว่าเธอคิดหนักก่อนที่จะรับบทนี้เพราะการรับบทเมอริล สตรีพวัยสาวเป็นความท้าทายสำหรับนักแสดงคนไหนๆ ก็ตาม แต่เธอก็จมจ่อมอยู่กับไอเดียนี้ นี่เป็นโอกาสในการได้ทำงานในมิวสิคัลที่คนชื่นชอบ และลิลลีก็มีเสียงบริสุทธิ์ที่เพราะมากๆ ค่ะ”
   แม้ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทีมผู้สร้างที่ดอนนาวัยสาวจะทำให้ผู้ชมนึกถึงดอนนาที่เรารู้จักและรักนิดๆ แต่ภาพที่เหมือนกันเป๊ะไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับทีมงาน โกทซ์แมนอธิบายถึงสิ่งที่เจมส์ทำสำเร็จว่า “ลิลลีก้าวข้ามคำถามที่คุณจะคิดว่าเธอดูเหมือนเมอริลรึเปล่า มันไม่สำคัญครับ เธอนำเสนอตัวละครของเมอริลวัยสาวออกมาในแบบที่แข็งแกร่ง แข็งกร้าวและงดงามครับ” เขากล่าวชื่นชมเธอในทำนองเดียวกับเครเมอร์ว่า “เธอยอดเยี่ยมมาก และเสียงของเธอก็ช่างไพเราะเหลือเกิน เธอเป็นนักแสดงที่แจ่มจรัสมากครับ”
   อัลเวอุสทำงานกับเจมส์อย่างขะมักเขม้นในช่วงเตรียมงานสร้างและแปลกใจกับสิ่งที่เขาได้สัมผัสกับนักแสดงผู้นี้ “ลิลลีมาสต็อคโฮล์มเพื่อบันทึกเสียงเพลงของเธอสำหรับหนังเรื่องนี้ เราได้เห็นเธอในวิดีโอและได้ยินเธอร้องเพลงมาก่อน แต่เราไม่รู้เลยว่าเธอมีพรสวรรค์ที่วิเศษสุดแบบนี้ มันก็เลยเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์สุดวิเศษครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “ในฐานะนักแต่งเนื้อเพลง ผมมีความสุขเป็นพิเศษเพราะเธอมีเสียงร้องแบบนักเล่าเรื่องตามธรรมชาติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เจอกันบ่อยนักนะครับ วิธีที่เธอร้องเพลงของเราทำให้มันฟังรื่นหูครับ”
   แอนเดอร์สันประทับใจเป็นพิเศษกับเจมส์และไซฟรี้ดในสตูดิโอบันทึกเสียง “ลิลลีร้องเพลงได้ดีเหลือเกิน เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานและวิเศษสุดจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องเยี่ยมเพราะเธอต้องทำอะไรหลายๆ ในหนังเรื่องนี้ ส่วนอแมนดาก็มีเสียงน่ารัก ตอนที่เธอร้องเพลง ‘I’ve Been Waiting for You’ มันก็เป็นช่วงเวลาที่งดงามจริงๆ ครับ”
   การได้รับการสนับสนุนจากผู้อำนวยการสร้างและนักร้องนำวงแอ็บบ้าเป็นทุกสิ่งสำหรับเจมส์ อย่างไรก็ดี ความเห็นชอบที่เธอต้องการได้รับเป็นอันดับแรกคือจากตัวดอนนาเอง เมอริล สตรีพเล่าว่า เธอประทับใจอย่างยิ่งกับการตีความตัวละครตัวนี้ของเจมส์ “ฉันรู้จักลิลลีจาก Downton Abbey ที่เธอรับบทสาวผมบลอนด์ธรรมดาๆ ที่ซุกซนนิดๆ และฉันก็คิดว่า ‘เธอเพอร์เฟ็กต์เลย’ แต่ตอนที่ฉันได้ดูหนังเรื่องนั้น ฉันไม่รู้เลยว่าเธอมีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลงและเป็นนักร้องและนักเต้นที่วิเศษสุดแบบนี้ จิตวิญญาณของเธอเป็นแบบที่ฉันหวังว่าดอนนาวัยสาวจะมี เธอถ่ายทอดมันออกมาได้จริงๆ ค่ะ”
   สตรีพชื่นชมการศึกษาตัวละครที่เจมส์ทำกับดอนนา และชื่นชอบที่นักแสดงสาวได้ดู Mamma Mia! The Movie อย่างน้อย 10 รอบก่อนที่จะก้าวเข้ามาในกองถ่าย เธอถึงขนาดทำท่าตบไล่ตามตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของดอนนาได้ด้วย “ลิลลีมีพลังงานการเต้นอยู่ในเสียงของเธอ” นักแสดงหญิงกล่าว “มีบางคนที่ยืนและร้องเพลงไปด้วย และมีบางคนที่ยืนร้องเพลง โยกตัวไปมา เธอน่าทึ่งมากและทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมค่ะ”
   เจมส์มองโอกาสนี้ว่าน่าตื่นเต้นและท้าทาย “มันเป็นบทที่ยิ่งใหญ่เพราะตัวละครดอนนาเป็นที่รักมากเหลือเกินและเมอริล สตรีพก็เป็นนักแสดงหญิงที่ดีที่สุดตลอดกาล ฉันตื่นเต้นสุดๆ เลย ชีวิต พลังและจิตวิญญาณของเธอช่างน่าหลงใหล ฉันชื่นชอบโอกาสในการแสดงให้เห็นว่าดอนนาเป็นใครมาก่อนจุดที่เมอริลจะเข้ามาแสดง ก่อนที่เธอจะอกหักจากแซมและก่อนที่เธอจะถูกทิ้งอยู่บนเกาะนี้กับลูกน้อยน่ะค่ะ”
   เจมส์เคยได้ดู Mamma Mia! บนเวทีเวสต์เอนด์ตอนเป็นเด็ก “ตอนเล็กๆ ฉันชอบ Mamma Mia! มากเพราะดนตรีมันน่าทึ่งจริงๆ ยิ่งคุณฟังมันมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งชอบมันมากเท่านั้น คุณรู้จักเพลงพวกนี้ดี แต่สิ่งที่ถูกร้อยเรียงเข้าไปในเรื่องราวนี้คือตัวละครที่คุณจะตกหลุมรัก คนที่มีข้อบกพร่อง มีสีสันและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหลือเกิน นี่เป็นเรื่องราวที่แหวกขนบ ตลกและไม่แคร์ใครค่ะ”
   เจมส์เล่าถึงเรื่องราวของดอนนาสมัยที่เธอ “เคยสนุกสนาน” ว่า “คุณจะได้เห็นดอนนาวัยสาวตอนที่เธอกำลังจะจบมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด คุณจะได้รับรู้เรื่องราวในบันทึกของเธอ ได้ติดตามเด็กสาวผู้อารมณ์แปรปรวนคนนี้ ผู้อยากจะเห็นโลกกว้างและไม่พอใจกับความปกติธรรมดา เธออยากจะเป็นอิสระและค้นหาตัวเอง คุณได้เห็นเธอพบชายหนุ่มสามคนนี้และการเดินทางที่ทำให้เธอกลายเป็นดอนนาที่เรารู้จักและรักในที่สุดน่ะค่ะ”
   เพลงเปิดตัวสำหรับเจมส์คือ “When I Kissed the Teacher” ที่แนะนำให้ผู้ชมรู้จักสาวๆ ไดนาโมส์ “เราเริ่มต้นเรื่องด้วยดอนนา ที่เป็นผู้หญิงคนแรกที่เป็นตัวแทนกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีมอบปริญญาบัตรที่อ็อกซ์ฟอร์ด” นักแสดงหญิงอธิบาย “เธอกล่าวสุนทรพจน์ให้เพื่อนๆ ฟังและร้องเพลงขึ้นมา...ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น สาวๆ ทั้งสามคนนี้แสดงถึงจิตวิญญาณความเป็นขบถออกมาจริงๆ ระหว่างที่พวกเธอร้องเพลงอย่างเต็มเหนี่ยว พวกเธอสลัดชุดครุยออกและเต้นไปรอบๆ ครูของพวกเธอ พวกไดนาโมส์เป็นวงเกิร์ลแบนด์ทรงพลังของแท้ และคุณก็จะถูกเหวี่ยงเข้าไปกลางวงเลยล่ะ”
   ในตอนที่เธอพิจารณาถึงเรื่องการรวมเพลงแอ็บบ้าเข้าไปในเส้นเรื่องด้วย เจมส์ตั้งข้อสังเกตว่า “หลายๆ เพลงมีความรู้สึกที่แตกต่างกันไป ทีมผู้สร้างนำเพลงที่คุณรู้จักมาปรับเปลี่ยนและสร้างช่วงเวลาใหม่ๆ อย่างชาญฉลาด การร้องเพลง ‘Mamma Mia!’ ให้ความรู้สึกที่เหลือเชื่อเลยค่ะ ฉันก็สมมติว่าตัวเองเป็นป๊อปสตาร์ ดนตรีและเพลงเหล่านี้ช่างงดงามจริงๆ และฉันก็โชคดีและซึ้งใจมากๆ ท่ได้ร้องเพลงพวกนี้ ด้วยความสุข ความรัก และความโกลาหลอย่างที่มันคู่ควรค่ะ”
   ปาร์คเกอร์มีแต่คำชมเชยให้กับทักษะของนักแสดงนำหญิง และรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษกับผลงานของเธอ และอีกสองสาวไดนาโมส์ ในซีเควนซ์เปิดเรื่อง “ดอนนาวัยสาวถูกนำเสนอออกมาอย่างยอดเยี่ยมโดยร็อคสตาร์ที่ชื่อลิลลี เธอมีชีวิตชีวาจริงๆ บนหน้าจอครับ ‘When I Kissed the Teacher’ เป็นเพลงที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับการเริ่มต้นหนังเรื่องนี้ รวมถึงการเดินทางของสาวๆ เหล่านี้ด้วย มันช่างโดดเด่น ยอดเยี่ยมและวิเศษสุดครับ”
   Mamma Mia! Here We Go Again ได้สานต่อความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของภาคที่แล้ว และเจมส์ก็เคารพทุกสิ่งที่เนรมิตเวทมนตร์นี้ให้เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะเข้ามา “หนังเรื่องนี้มีความรู้สึกและโทนแบบเดียวกับ Mamma Mia! The Movie มันมีเพลงแอ็บบ้าคลาสสิกที่พลาดไม่ได้แบบที่คุณคาดหวัง แต่ก็มีเพลงที่เป็นที่รู้จักน้อยกว่าที่เป็นเพลงฮิตเหมือนกันด้วย เราได้กลับไปสู่เกาะคาโลไครีอีกครั้งและตัวละครที่เราตกหลุมรักในภาคแรกก็กลับมากันทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น คุณจะได้เห็นตัวละครพวกนี้ตอนหนุ่มสาว และมันก็เป็นความรู้สึกที่อบอุ่น สนุกสนานและน่าพึงพอใจค่ะ”
   เจมส์พูดถึงศรัทธาที่เธอมีต่อบทภาพยนตร์ของปาร์คเกอร์และการที่สไตล์การกำกับของเขาเป็นตัวกำหนดโทนสำหรับงานสร้าง ทั้งในและนอกจอ “โอลเป็นคนใจดีและนิ่งสงบ มันเป็นพลังงานที่ยอดเยี่ยมที่จะมีในกองถ่ายเพราะ Mamma Mia! จะต้องเบาสมองและสุขสันต์ เขาทำให้ทุกคนมีพื้นที่ที่จะรู้สึกผ่อนคลายและสามารถดูแลตัวละครของพวกเขาได้ ปล่อยให้ช่วงเวลา บทเพลงและฉากต่างๆ ดำเนินไปโดยปราศจากความกดดัน  ฉันเชื่อว่าเขาให้ทุกอย่างกับฉันในสิ่งที่ฉันต้องการเพื่อทำให้แน่ใจว่าดอนนาวัยสาวจะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นดอนนาที่ใช่จริงๆ”
   นักแสดงสาวกล่าวสรุปถึงประสบการณ์การทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “การสร้างหนังเรื่องนี้ก็เหมือนกับช่วงวันหยุดฤดูร้อนแสนมหัศจรรย์ ตอนที่คุณยังเล็กๆ คุณมีความรักและก็มีความสุขสุดๆ คุณคิดว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าโลกในเวลานี้อีกแล้ว และฉันก็รู้ว่านักแสดงคนอื่นๆ ก็รู้สึกอย่างเดียวกัน เราไม่อยากจะจากเกาะนั้นมาเลยเพราะมันมีอะไรบางอย่างที่วิเศษสุด ฉันเชื่อว่าการได้ดูหนังเรื่องนี้จะให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน มันสว่างไสวและน่าทึ่ง แม้แต่ตัวคุณก็ยังอดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูดเข้าหาความสุขที่เกิดจากมันค่ะ”