Movie Guide: เพื่อนรักกันตลอดไป… รักแรกที่ไม่มีวันลืม “ เรื่องราวความรัก 10 ปีของผม และผู้หญิงของหมอนั่น “
เพื่อนรักกันตลอดไป... รักแรกที่ไม่มีวันลืม
" เรื่องราวความรัก 10 ปีของผม และผู้หญิงของหมอนั่น "
กำหนดฉาย 31 พฤษภาคม 2518
Introduction
เรื่องราวความรักฤดูใบไม้ผลิปี 2018 ที่ควรค่าแก่การรับชม ความรักและมิตรภาพของพวกเขาซึ่งพยายามไขว่คว้าความสุข ที่นำมาสู่ความรักและมิตรภาพตลอดชีวิต ผสมผสานด้วยดนตรีอันไพเราะตลอด 10 ปี
Kids on the slope คือหนึ่งในการ์ตูนในตำนานของนิตยสารรายเดือน Flowers ที่เคยได้รับรางวัล "Shogakukan Manga" ครั้งที่ 57 และรางวัลชนะเลิศ "Kono Manga ga sugoi!" ปี 2009 ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่ทุกคนรอคอยแล้ว
เรื่องราวของนักเรียนมัธยมปลาย นิชิมิ คาโอรุ ที่สูญเสียพ่อไปจนต้องย้ายมาอาศัยอยู่กับญาติที่เมืองซาเซโบะ จังหวัดนางาซากิ คาโอรุต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว จนกระทั่งได้พบกับหนุ่มเกเรย้อมผมแดงที่ใคร ๆ ต่างเกรงกลัวอย่าง คาวาบุจิ เซ็นทาโร่ และ มุคาเอะ ริตสึโกะ เพื่อนร่วมห้องผู้มีจิตใจอ่อนโยนของเขา
เป็นครั้งแรกที่คาโอรุได้พบเพื่อนแท้ตลอดชีวิต และได้รู้จักริตสึโกะซึ่งเป็นรักแรกและรักเดียวของเขา แต่เธอกลับมีใจให้กับเซ็นทาโร่ที่ทำให้เขาหลงใหลดนตรีแจ๊ส การพบเจอที่เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคาโอรุและเซ็นทาโร่ การเล่นดนตรีแจมของพวกเขาที่จะก้องกังวานในใจคุณ
สำหรับ จิเน็น ยูริ ซึ่งรับบทคาโอรุ นี่เป็นการแสดงนำในภาพยนตร์ครั้งแรกของเขา คาโอรุมีเพื่อนสนิทที่จัดอยู่ในกลุ่มเด็กเกเร ซึ่งก็คือเซ็นทาโร่ รับบทโดย นาคางาวะ ไทชิ บทบาทครั้งนี้ ทั้งจิเน็นและนาคางาวะได้ฝึกเล่นเครื่องดนตรีอยู่ราว ๆ 10 เดือน การทุ่มเทของพวกเขาเกิดเป็นฉากการเล่นดนตรีแจมที่สะกดใจผู้ชมได้อย่างน่าอัศจรรย์ และยังมีนักแสดงนำคนสำคัญอีกคนซึ่งก็คือ โคมัตสึ นานะ ที่รับบทริตสึโกะ เพื่อนในวัยเด็กของเซ็นทาโร่ซึ่งคอยเฝ้าดูทั้งคู่อย่างอบอุ่นและห่วงใย ในขณะที่คาโอรุแอบมีใจให้กับริตสึโกะ
นอกจากนี้ยังมีนักแสดงสมทบมากความสามารถอีกหลายราย ได้แก่ ดีน ฟุจิโอกะ, มาโนะ เอรินะ, นากามุระ ไบจาคุ, ยามาชิตะ โยริเอะ, มัตสึมุระ โฮคุโตะ จากวง SixTONES ค่ายจอห์นนี่ และ โนมากุจิ โทรุ
กำกับภาพยนตร์โดย ผู้กำกับมิกิ ทากาฮิโระ ผู้เชี่ยวชาญด้านการกำกับภาพยนตร์วัยรุ่น ที่เคยกำกับภาพยนตร์ดังอย่างเรื่อง Tomorrow I Will Date With Yesterday's You และ Hot Road ทางผู้กำกับมิกิได้รังสรรค์ผลงานน่าประทับใจที่ไม่เหมือนใครนี้ โดยเล่าเรื่องผ่านทัศนียภาพอันงดงามที่ไปถ่ายทำกันทั่วภูมิภาคคิวชู คุณจะได้ตื่นเต้นไปกับดนตรีแจมในแบบวัยรุ่นที่มีทั้งความอบอุ่นและเจ็บปวดหัวใจ และคุณจะเสียน้ำตาให้กับ มิตรภาพ ความรัก และดนตรี อย่างแน่นอน
Story
นิชิมิ คาโอรุ แพทย์ประจำโรงพยาบาล เขาวุ่นอยู่กับงานเป็นประจำทุกวัน ที่โต๊ะทำงานของเขามีรูปถ่ายใบหนึ่ง เป็นภาพนักเรียนมัธยมปลายสามคนที่กำลังยิ้ม และนั่นคือ "ช่วงเวลาพิเศษ" ที่จะไม่มีวันหวนคืนมา…..
ปีก่อน คาโอรุสูญเสียพ่อ เขาเลยต้องย้ายมาอาศัยอยู่กับญาติ แต่ในบ้านหลังนั้นกลับไม่มีใครยอมรับตัวเขา มีเพียงการเล่นเปียโนที่ช่วยทำให้เขาลืมความความโดดเดี่ยวนั้นได้
เมื่อคาโอรุย้ายโรงเรียนมา เขาได้พบกับหนุ่มเกเรที่ใคร ๆ ต่างเกรงกลัวอย่างเซ็นทาโร่ และ ริตสึโกะ เพื่อนในวัยเด็กของเขา ริตสึโกะพาคาโอรุไปดูเซ็นทาโร่ที่กำลังตีกลองอย่างสนุกสนานและอิสรเสรี แต่ก็แฝงไปด้วยความดุดันที่ชั้นใต้ดินของสตูดิโอ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คาโอรุเริ่มหลงใหลดนตรีแจ๊ส
ตั้งแต่วันนั้น จากทุกวันที่เคยหม่นหมองเปลี่ยนเป็นวันที่เต็มไปด้วยความสนุก คาโอรุและเซ็นทาโร่เริ่มใช้เวลาทุกวันสนุกไปกับการตีกลองและเล่นเปียโนด้วยกัน ต่อมาคาโอรุเริ่มมีใจให้กับริตสึโกะ แต่เขาก็รู้ว่าเธอมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ซึ่งก็คือเซ็นทาโร่ โดยที่เซ็นทาโร่เองก็ไม่รู้ว่าริตสึโกะมีใจให้กับตัวเอง ทำให้คาโอรุรู้สึกเหงาและอิจฉาเซ็นทาโร่ แต่ก็ไม่กล้าบอกใคร
เซ็นทาโร่เปิดเผยกับคาโอรุว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่นำมาทิ้งที่โบสถ์ จนกระทั่งมีพ่อแม่บุญธรรมรับเขาไปอุปถัมภ์ ทั้งคู่ได้เล่าถึงความเจ็บปวดที่ฝังรากลึกในใจให้กันและกัน จนเกิดเป็นสายสัมพันธ์ที่นำไปสู่มิตรภาพตลอดชีวิตของพวกเขา
แต่ถึงกระนั้น ชีวิตวัยรุ่นอันแสนสุขของพวกเขากลับไม่ยั่งยืนนาน เนื่องจากเกิดเหตุที่ทำให้เซ็นทาโร่หายตัวไปจากชีวิตของอีกสองคน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมา 10 ปี…..
Casts
จิเน็น ยูริ (Chinen Yuri) รับบท นิชิมิ คาโอรุ
นาคางาวะ ไทชิ (Nakagawa Taishi) รับบท คาวาบุจิ เซ็นทาโร่
โคมัตสึ นานะ (Komatsu Nana) รับบท มุคาเอะ ริตสึโกะ
ดีน ฟุจิโอกะ (Dean Fujioka) รับบท คาซึรางิ จุนอิจิ
นากามุระ ไบจาคุ (Nakamura Baijaku) รับบท มุคาเอะ ซึโตมุ
มาโนะ เอรินะ(Mano Erina) รับบท ฟุคาโฮริ ยูริกะ
ยามาชิตะ โยริเอะ(Yamashita Yorie) รับบท คุณป้า
มัตสึมุระ โฮคุโตะ (Matsumuta Hokuto) รับบท มัตสึโอกะ เซจิ
โนมากุจิ โทรุ (Nomaguchi Toru) รับบท พ่อของเซ็นทาโร่
Original Comics
Kids on the slope ผลงานการ์ตูนต้นฉบับโดย โคดามะ ยูกิ ตีพิมพ์ต่อเนื่องให้กับนิตยสารการ์ตูนรายเดือน Flowers ของสำนักพิมพ์โชงาคุคัง ตั้งแต่ฉบับเดือนพฤศจิกายน ปี 2007 ถึง ฉบับเดือนมีนาคม ปี 2012 แบบเป็นเล่มเฉพาะเรื่องมีทั้งหมด 9 เล่ม กับอีก 1 เล่มโบนัส
นอกจากนี้ยังเคยได้รับรางวัลชนะเลิศ "Kono Manga ga sugoi!" ปี 2009 และรางวัล "Shogakukan Manga" ครั้งที่ 57 และอื่นๆ ทั้งยังได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อผู้กำกับวาตานาเบะ ชินอิจิโร่ ที่เคยกำกับอนิเมะชื่อดังอย่าง "Cowboy Bebop" และ "Samurai Champloo" นำมาสร้างเป็นทีวีอนิเมะ ซึ่งฉายที่ช่องฟูจิในรายการอนิเมะภาคค่ำที่ชื่อว่า "Noitamina" เดือนเมษายน ปี 2012
ความคิดเห็นของผู้แต่ง
ตอนที่ทราบว่าเรื่องนี้จะได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์ ฉันนึกภาพไม่ออกเลยค่ะว่าเขาจะฝ่าฟันอุปสรรค ทั้งเรื่องฉากที่เป็นยุค 60 ภาษาถิ่น และการแสดงดนตรีแจ๊สได้ยังไง ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะทำออกมาดี แต่พอได้เห็นตัวอย่างจากการถ่ายทำครั้งแรก ฉันเห็นตัวละครของฉันโลดแล่นอยู่ในสถานที่นั้น ในยุคสมัยนั้น ฉันรู้สึกว่านี่แหละคือโลกที่ฉันวาดไว้จริง ๆ
ฉากสำคัญของเรื่องที่เป็นการแสดงดนตรีก็ทำออกมายอดเยี่ยมเกินกว่าที่คิดไว้มาก ทำเอาขนลุกจนน้ำตามันไหลออกมา ในส่วนของนักแสดงและทีมงานทุกท่านก็เก่งและทุ่มเทกันมาก จนเกิดเป็นภาพยนตร์ที่เป็นเหมือนปาฏิหาริย์ซึ่งอบอวลไปด้วยความรัก ขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะ
Production Notes
01 ถ่ายทำที่เมืองซาเซโบะ จังหวัดนางาซากิ อย่างในต้นฉบับ!
ภาพยนตร์ Kids on the slope ถ่ายทำกันที่เมืองซาเซโบะ จังหวัดนางาซากิเป็นหลักอย่างในต้นฉบับ เพราะฉะนั้นจึงสำคัญที่ว่า จิเน็น ยูริ กับ นาคางาวะ ไทชิ ที่รับบท นิชิมิ คาโอรุ และ คาวาบุจิ เซ็นทาโร่ จะแสดงได้ใกล้เคียงและเข้าถึงตัวละครในต้นฉบับได้แค่ไหน
วันที่ 28 เมษายน ปี 2017 ซึ่งเป็นวันแรกของการถ่ายทำ เราเริ่มถ่ายทำฉากแรกกันที่ศาลเจ้าคาเมะยามะฮาจิมังกู นี่เป็นแสดงร่วมกันเป็นเรื่องที่สองของพวกเขานับตั้งแต่เรื่อง "Hell Teacher Nube" จิเน็นมาในมาดหนุ่มแว่นชุดนักเรียนสีดำ ส่วนนาคางาวะใส่เสื้อกล้ามลายขวางสีแดงขาว ซึ่งพวกเขาดูเข้ากันมากจริงๆ
พอมีนาคางาวะอยู่ จิเน็นที่เป็นคนขี้อายก็ดูอุ่นใจขึ้น ทางทีมงานและนักแสดงสื่อสารกันได้ดีขึ้นก็เพราะนาคางาวะ เรียกได้ว่าการที่นาคางาวะช่วยจิเน็นมันช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร คาโอรุกับเซ็นทาโร่ไปในตัว ทำให้เราได้เห็นพวกเขาแสดงเข้าขากันตั้งแต่วันแรกของการถ่ายทำ
โดยฉากนี้จะเป็นฉากที่เซ็นทาโร่มีเรื่องกับพวกนักเรียนหัวไม้ เพราะอยากระบายที่รู้ว่ายูรินะที่เขาชอบมีใจให้กับเฮียจุนที่เขารักเหมือนพี่ชาย พอถึงคิวต่อสู้นาคางาวะเล่นได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ และดูสมจริงถึงขนาดได้รับคำชมว่า "ตอบสนองไว เคลื่อนไหวดี!" แต่สิ่งที่ทำให้เราตกใจคือตอนที่จิเน็นเข้าไปห้ามว่า "เซ็น! หยุด!" เพราะมันทำให้มิตรภาพอันแน่นแฟ้นของคาโอรุกับเซ็นทาโร่ดรอปลง ผู้กำกับมิกิเลยแนะให้จิเน็นส่งเสียงเตือนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้น
เราคิดว่าที่ผู้กำกับมิกิเริ่มถ่ายทำวันแรกจากฉากปะทะอารมณ์ของคาโอรุและเซ็นทาโร่ เพราะต้องการให้จิเน็นและนาคางาวะแสดงได้เข้าขากันยิ่งขึ้น ซึ่งมันก็ผ่านไปได้อย่างงดงาม เป็นการเริ่มต้นถ่ายทำที่ราบรื่นของ Kids on the slope
02 แสงที่ส่องสว่างความหมายของความรักและมิตรภาพ
ใน Kids on the slope มีการพบเจอแห่งโชคชะตาสำหรับตัวละครหลักคาโอรุอยู่ถึงสองครั้ง คือกับเซ็นทาโร่และกับริตสึโกะก่อนถ่ายทำ ผู้กำกับมิกิได้บอกนักแสดงเกี่ยวกับมิตรภาพของคาโอรุและเซ็นทาโร่ ฉากที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือฉากที่ทั้งคู่พบกันครั้งแรกบนดาดฟ้า เราไปถ่ายทำกันที่โรงเรียนหญิงล้วนเซวะที่ตั้งอยู่บนเนินซึ่งมองเห็นวิวโดยรวมของเมืองซาเซโบะ ตอนที่ถ่ายฉากนี้มีเมฆปกคลุมเล็กน้อย แต่ก็มีช่วงที่พระอาทิตย์ส่องในฉากที่จิเน็นและนาคางาวะปรากฏตัว เป็นแสงเจิดจ้าที่สาดลงมาซึ่งตรงตามบทที่ว่า "มีแสงสาดมาทางประตูที่ออกไปสู่ดาดฟ้า"
ฉากแสงสวยๆ เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในผลงานของผู้กำกับมิกิ และวันนั้นก็เป็นอีกวันที่ผู้กำกับมิกิเนรมิตแสงอันงดงามนั้นออกมา โดยในฉากนี้จะเป็นวันที่คาโอรุเพิ่งย้ายเข้ามา ก็เลยยังไม่มีเพื่อน เขาเลยหนีขึ้นไปบนดาดฟ้า พอไปหยุดอยู่ตรงทางเข้าก็พบกับเซ็นทาโร่ที่แอบมานอนกลางวันอยู่ ฉากนี้ทั้งคู่ได้พบกัน แต่ดูไปก็เหมือนฉากความรักที่พระเอกได้พบนางเอก และตามเนื้อเรื่อง คาโอรุจะต้องตกใจที่เจอเซ็นทาโร่ครั้งแรก ซึ่งจิเน็นก็แสดงความรู้สึกนั้นผ่านทางสีหน้าได้อย่างดี แต่ตอนที่เซ็นทาโร่ยื่นมือไปหาคาโอรุที่มาเจอตัวเองแอบหลับ เราต้องให้จิเน็นเข้ามาใหม่ในรอบหลัง รอบแรกเซ็นทาโร่ช่วยคาโอรุ รอบหลังเป็นคาโอรุที่ช่วยเซ็นทาโร่ เป็นฉากที่แสดงนัยยะของความรักที่ผู้กำกับมิกิบอกไว้
การพบเจอครั้งที่สอง คือตอนที่ได้พบกับนางเอกริตสึโกะในห้องเรียน ซึ่งเราไปถ่ายกันที่โรงเรียนมัธยมต้นฮานะโซโนะ เมืองซาเซโบะ วันแรกที่คาโอรุย้ายมาเรียน เขารู้สึกอึดอัดที่มีคนนินทาเป็นภาษาถิ่นซึ่งเขาไม่คุ้นเคย แต่ก็มีคนที่เข้ามาคุยกับเขานั่นก็คือ ริตสึโกะ ที่รับบทโดย โคมัตสึ นานะ เพื่อให้ดูสมจริงและใกล้เคียงต้นฉบับ เราเลยเติมฝ้าให้เธอดูเหมือนริตสึโกะ ฉากนี้สาวใจดีอย่างริตสึโกะจะต้องส่งยิ้มให้คาโอรุ และคาโอรุต้องตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ ทั้งจิเน็น ผู้กำกับ และทีมงานที่นั่งอยู่หน้าจอถึงกับชมกันใหญ่ว่า "น่ารักเกินไปแล้ว" และนี่ก็คือสองฉากที่เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพและความรักของคาโอรุ
03 สตูดิโอชั้นใต้ดิน สถานที่กำเนิดดนตรี สถานที่ซึ่งเชื่อมใจพวกเขา
เราเซ็ตฉากสตูดิโอดนตรีชั้นใต้ดิน "ร้านแผ่นเสียงมุคาเอะ" ที่โรงงานคานายะเซย์เซน เมืองบุนโกะทาคาดะ จังหวัดโออิตะ เมื่อลงบันไดมายังห้องใต้ดินก็จะพบกับ เปียโน กลองชุด และดับเบิลเบส เป็นห้องที่สร้างด้วยผนังอิฐคลาสสิกที่สึกกร่อนเป็นจุด ๆ ข้างในมีบรรยากาศสบาย ๆ บรรดานักแสดงเลยใช้เป็นที่ผ่อนคลายยามว่าง รวมไปถึงใช้ซ้อมเล่นดนตรีด้วยกันระหว่างรอเข้าฉาก "พอไบจาคุที่รับบทซึโตมุ พ่อของริตสึโกะเริ่มเล่นดับเบิลเบส กลองของนาคางาวะก็เริ่มบรรเลง ตามด้วยทรัมเป็ตของ ดีน ฟุจิโอกะ และเปียโนของจิเน็น" ฉากที่สร้างขึ้นมานี้ทำให้เราได้ดื่มด่ำไปกับสถานที่ซึ่งใช้ฝึกซ้อมดนตรีของพวกเขาอย่างที่กล่าวมาข้างต้น ด้านโคมัตสึที่เล่นเป็นริตสึโกะที่ได้ชมการแสดงของพวกเขาสด ๆ ถึงกับบอกว่า "เห็นทุกคนเล่นดนตรีด้วยกันครั้งแรกแล้วขนลุกมาก เหมือนเป็นคนฟังที่ได้นั่งเก้าอี้พิเศษเลยค่ะ" ทางจิเน็นกับนาคางาวะเองก็ใช้เวลาฝึกซ้อมเปียโนกับกลองชุดอยู่หลายเดือน ถึงแม้จะซ้อมเฉพาะเพลงที่ใช้แสดง แต่การที่จะให้ผู้ชมสนุกไปกับการเล่นดนตรีแจมของพวกเขา นาคางาวะกล่าวว่า "ก่อนอื่นเราต้องสนุก พอเข้าถึงความเพลิดเพลินของการเล่นดนตรีแจม ก็จะเกิดเป็นเวลาแห่งความสนุกที่แท้จริง"
และในภาพยนตร์ที่มีฉากเล่นดนตรีส่วนใหญ่ก็มักใช้ผู้แสดงแทน แต่โปรดิวเซอร์ของเราเชื่อมันในตัวนักแสดงและกล่าวว่า "ไม่ต้องใช้คนแสดงแทนหรอก ทุกคนเล่นดนตรีได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้เรื่อง La La Land หรือ Whiplash อยู่แล้ว"
ฉากเล่นดนตรีแจมที่เป็นไฮไลท์อีกอย่าง คือตอนที่เฮียจุนซึ่งเป็นเหมือนแรงบันดาลใจของคาโอรุและเซ็นทาโร่เล่นกับวงในบาร์ดนตรีแจ๊สที่นางาซากิ ฉากนี้เราไปถ่ายกันที่ร้านดนตรีแจ๊สที่ชื่อว่า "Tin Pan Alley" เมืองนางาซากิ ที่นั่น ดีน ฟุจิโอกะได้ร้องเพลง "But not for me" ไว้ได้อย่างไพเราะสะกดใจผู้ฟัง นับว่าเป็นภาพสุดวิเศษที่สะท้อนผ่านกล้อง และผู้ชมก็จะได้รับฟังเพลงฮิตหลายเพลงจากคาโอรุและเพื่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลง "Morning", "Itsuka Oujisama ga", "My Favorite Things", "But not for me" เป็นต้น
04 ร้านแผ่นเสียงมุคาเอะที่สร้างขึ้นตามแบบอาคารยุคโชวะขนานแท้
มีอีกที่หนึ่งที่เราไปถ่ายทำกันซึ่งก็คือ "ย่านโชวะ" เมืองบุนโกะทาคาดะ จังหวัดโออิตะ ย่านโชวะเป็นย่านค้าขายที่ได้รับความนิยมในยุคหลัง ๆ ที่นี่ถูกสร้างขึ้นมาในปีเฮย์เซย์ที่ 13 (2001) ตามแบบย่านค้าขายของปีโชวะที่ 30 (1954) ภาพยนตร์เรื่อง "Miracles of the Namiya General Store" ที่ฉายไปก่อนหน้านี้ก็เคยมาถ่ายทำกันที่นี่ ในครั้งนี้ทางเราได้ดัดแปลงร้านจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้เป็นร้านแผ่นเสียงมุคาเอะ ซึ่งรวมเอาแผ่นเสียงต่าง ๆ ไว้กว่า 5,000 แผ่น มีฉากที่นาคางาวะต้องขี่ฮอนด้าคับไปตามเมือง เขาได้พูดถึงประสบการณ์ล้ำค่านี้ว่า "ตื่นเต้นมากครับเหมือนได้ย้อนไปในยุคนั้นเลย" ฉากที่คาโอรุโทรชวนริตสึโกะไปเดทเราก็ถ่ายทำกันที่ย่านโชวะ โดยโทรศัพท์ที่คาโอรุใช้โทรไปที่บ้านของริตสึโกะกับร้านมุคาเอะเป็นโทรศัพท์หยอดเหรียญสีแดงรุ่นที่ต้องหยอดเหรียญสิบเยนไม่รู้กี่เหรียญต่อการโทรหนึ่งครั้ง เพราะในยุคนั้นยังไม่มีทั้งมือถือและสมาร์ทโฟน ในฉากนี้จิเน็นตั้งใจเป็นพิเศษ เขาใช้น้ำเสียงแสดงให้เห็นว่าประหม่า ตื่นเต้น หายใจไม่ทั่วท้อง เพราะแอบชอบริตสึโกะ พอได้วันที่จะไปเดทกับริตสึโกะ คาโอรุก็ตอบกลับไปอย่างนิ่งๆ ว่า "….อื้ม ก็ดีนะ ได้สิ" แต่ในใจลึกๆ เขาดีใจมากจนแทบจะกระโดดโลดเต้น ซึ่งจิเน็นก็แสดงได้อย่างมีเสน่ห์สุด ๆ แบบที่ต้นฉบับบรรยายไว้ว่า "กำมือดีใจเบา ๆ ด้วยความสมหวัง" นอกจากนี้สิบวันสุดท้ายของการถ่ายทำในเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่ร้อนมากอย่างกับฤดูร้อน ร้อนจนเหงื่อตก ระหว่างถ่ายทำ ผู้กำกับมิกิคงอยากให้เราหายร้อนหายเหนื่อยเลยพูดกับทีมงานและนักแสดงเป็นภาษาถิ่นว่า "ไปหาไอติมกินกัน!" ทำเอาเฮลั่นกันยกกอง
05 การถ่ายทำสุดหินกับ "เนิน" ที่เป็นสัญลักษณ์ของภาพยนตร์
ในการ์ตูนต้นฉบับคาโอรุกล่าวว่า "หมอนั่นวิ่งขึ้นเนินที่น่ารังเกียจไปอย่างสบาย ๆ " นี่คือฉากที่พาเราไปสู่เรื่องราวในปี 1966 ถึงแม้จะเป็นเนินที่น่ารังเกียจแต่ก็งดงาม ทั้งยังสะท้อนภาพความทรงจำที่ตัวละครเคยมีร่วมกับบรรดาคนสำคัญ เราเลยต้องใส่ใจกับฉากที่ตัวละครต้องพบกับเนินที่เป็นสัญลักษณ์ของเรื่องเป็นพิเศษ เราเลือกใช้ทางลาดก่อนที่จะถึงโรงเรียนมัธยมปลายซาเซโบะคิตะอย่างในต้นฉบับ เป็นทางลาดที่ต้องค่อย ๆ เดินไต่ขึ้นไปอย่างทุลักทุเล ถนนกว้างประมาณสามก้าวครึ่ง แค่เดินคู่กันก็แทบไม่มีที่ว่างแล้ว สองข้างทางก็มีบ้านเรือนเรียงราย เลยลำบากต่อการขนกล้องและอุปกรณ์ เป็นสถานที่สุดหินในการถ่ายทำก็ว่าได้ โดยฉากนี้จะเป็นฉากหลังเลิกเรียน ระหว่างที่คาโอรุกับริตสึโกะกำลังจะกลับ เซ็นทาโร่ก็ตะโกนเรียก "ริกโกะ! ไปก่อนนะ!" จากนั้นก็หันไปมองคาโอรุแล้ววิ่งหายไป ทั้งจังหวะหันหน้าจังหวะสบตา มันยากนะที่ต้องแสดงในขณะที่วิ่งลงเนินไปด้วย แล้วถ้ารวมที่ซ้อม เท่ากับว่านาคางาวะต้องวิ่งลงไม่ต่ำกว่า 15 รอบเลยล่ะ นอกจากนี้ บทสนทนาของคาโอรุกับริตสึโกะ จิเน็นกับโคมัตสึก็ต้องคุยเหมือนไม่ได้เตี๊ยมกันไว้ให้เหมือนในต้นฉบับ ประโยคที่ตะโกนตอบนาคางาวะว่า "โทษนะ เซ็น! ไม่ได้ตั้งใจ!" อันนี้ก็ไม่ผ่าน ต้องเดินขึ้นเนินอยู่หลายรอบ และบทสนทนาธรรมดา ๆ นี้ก็ทำให้เราสัมผัสได้ว่าพวกเขาก็สนิทสนมกันไม่ต่างจากตัวละครทั้งสามเลย
หลัก ๆ ของการถ่ายทำที่ซาเซโบะก็ประมาณนี้ ที่นี่เป็นสถานที่ทรงพลัง และเป็นช่วงเวลาที่ตราตรึงใจมากจริงๆ ถึงขนาดที่ว่าพอถ่ายทำเสร็จ บรรดานักแสดงต่างบ่นด้วยความเสียดายไม่อยากกลับโตเกียวทำนองนี้
จิเน็น: ถ้าวันหนึ่งผมรวยล้นฟ้า ก็จะมาซื้อบ้านพักตากอากาศที่ซาเซโบะครับ
นาคางาวะ: ชอบเมืองซาเซโบะมากจนอยากย้ายมาอยู่เลยครับ
โคมัตสึ: รู้สึกผูกพันเหมือนเราเกิดและโตที่เมืองนี้เลยค่ะ
06 การเล่นดนตรีแจมในงานโรงเรียนที่สะกดใจผู้ชม
"2 ชั่วโมงพิเศษ" "ฉากตัดสินแพ้ชนะ" ฉากที่ จิเน็น , นาคางาวะ และผู้กำกับมิกิ รู้สึกเครียดที่ต้องเอาให้อยู่ คือฉากแสดงดนตรีในงานโรงเรียนที่เราใช้นักแสดงสมทบถึง 400 คน สั่งคัต 70 ครั้ง รวมแล้ว 2 ชั่วโมง เป็นฉากที่ทีมงานมิกิซึ่งปกติดูใจเย็นถึงกับตื่นเต้นด้วยความเครียด แต่อย่างไรเสีย มันก็เป็นความเครียดในแง่บวก โดยฉากนี้จะเป็นฉากที่คาโอรุกับเซ็นทาโร่เคืองกันอยู่ เซ็นทาโร่เลยไปตีกลองให้กับวงร็อคในงานโรงเรียน แต่อยู่ ๆ ไฟก็ดับ เขาเลยต้องเปลี่ยนไปเล่นแจมกับคาโอรุ เราถ่ายจากนี้โดยให้ทั้งคู่เล่นไปตามเสียงดนตรีที่เราอัดเตรียมไว้ กว่ากล้องจะหมุนได้มุมที่ใกล้เคียงที่สุด ก็ต้องเช็กสเต็ปการใช้นิ้ว รวมถึงเช็กเรื่องอื่น ๆ อยู่หลายรอบ ความยากอีกอย่างคือระหว่างที่ถ่ายคัตของเปียโนอันหนึ่ง คัตของกลองชุดอันหนึ่ง ก็ต้องให้ดูว่าทั้งคู่เล่นเข้ากันด้วย ความจริงเราก็ไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ แต่ทุกครั้งที่ถ่ายฉากดนตรีเสร็จก็จะรู้สึกมึนๆ ทางจิเน็นไปซ้อมเปียโนมาสิบเดือน แต่ไม่ได้ฝึกอ่านชีทดนตรี อาศัยการฝึกจับเสียงโน้ต แล้วก็เรียนรู้จากการสังเกตเวลาครูผู้สอนขยับนิ้วตอนเล่นเปียโน จิเน็นบอกกับเราด้วยว่า "พักนี้ผมชอบเล่นเพลงโปรด ไว้ถ้าเก่งกว่านี้ คงได้แสดงสดให้ดูครับ"ทางนาคางาวะในแต่ละวันก็สู้แบบทุ่มสุดตัว เขาแกร่งนะ แต่รู้สึกว่าจะปล่อยขีดจำกัดของตัวเองออกมาได้ก็ต่อเมื่อถึงยามที่ถึงขีดสุดจริง ๆ เวลาทำอะไรก็ตั้งใจทำเต็มที่อย่างที่ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง หลายเดือนที่เขาซ้อมมามันเห็นผลชัดเจนเมื่อถึงคราวแสดงจริง ทำให้เราให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพในการเล่นดนตรีในฐานะนักแสดงของเขา ซึ่งมันถูกถ่ายทอดผ่านเพลงที่พวกเขาเล่นแจมกันอย่าง "My favorite things","Itsuka Oujisama ga" และ "Morning" ที่ทำให้เราถึงกับตัวสั่นเทิ้มเพราะเสียงฮือฮาของผู้ชมในตอนนั้น โดยฉากดนตรีนี้จะอยู่ที่ประมาณห้านาที แน่นอนว่าใช้ทักษะของตัวนักแสดงล้วนๆ ไม่มีผู้แสดงแทน พอจบการเล่นแจมห้านาที ทั้งโรงยิมก็กึกก้องไปด้วยเสียงปรบมือ ที่ไม่ได้ปรบให้เพราะงานสร้าง แต่ปรบให้เพราะพวกเขารู้สึกว่ามันตราตรึงใจ การเล่นแจมครั้งนี้ช่วยให้คาโอรุกับเซ็นทาโร่คืนดีกัน ขณะเดียวกันก็ทำให้ริตสึโกะที่เฝ้าดูพวกเขามาตลอดรู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะเป็นเหมือนเป็นการเล่นแจมของพวกเขาทั้งสามคน โคมัตสึเล่าว่า "เรื่องนี้แสดงยากค่ะ กลุ้มใจตลอดว่าควรแสดงยังไง แต่พอได้เห็นทั้งคู่ซ้อมเล่นใกล้ ๆ ก็รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจไปด้วย" และในฉากนี้ หลังจากที่ริตสึโกะพูดว่า "My Favorite Things....." น้ำตาเธอก็พรั่งพรูออกมาพร้อมกับรอยยิ้มอันอ่อนโยนของเธอ