MSN on May 07, 2018, 08:53:40 PM

สัมมนาครบรอบ 12 ปี TFEX


บทความจากสัมมนาพิเศษเนื่องในโอกาสครบรอบ 12 ปี ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2561 ณ หอประชุมศุกรีย์ แก้วเจริญ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

มุมมอง “Hedge Fund” ก้าวต่อไปของ TFEX...ต้องเติบโตยั่งยืน

ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX มีอายุ 12 ปีเต็ม แม้จะเทียบได้กับเด็กน้อยในวัยระดับมัธยมต้น แต่ที่ผ่านมาก็ได้เห็นพัฒนาการและการเติบโตที่มีคุณภาพ สะท้อนได้จากปริมาณธุรกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากหลักร้อยสัญญาต่อวัน มาจนถึงปี 2561 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึง 468,000 สัญญาต่อวัน ขณะเดียวกันปริมาณผู้ให้บริการหรือโบรกเกอร์ จาก 20 ราย ขยับขึ้นมาเป็น 40 ราย ส่วนจำนวนผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าแสนราย รวมถึงจำนวนผลิตภัณฑ์มีให้ผู้ลงทุนเลือกลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น ครอบคลุมทั้งอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับตราสารทุน ตราสารหนี้ อัตราแลกเปลี่ยน และสินค้าโภคภัณฑ์


คุณปณต จิตต์การุญ

สอดคล้องกับมุมมองของ Chief Executive Officer, Mudley Group และ Chief Investment Officer, Riccio Investment “ปณต จิตต์การุณ” หรือคุณต้าน ในฐานะ Hedge Fund ที่มีมุมมองต่อตลาด TFEX ในขวบปีที่ 12 นอกจากได้เห็นพัฒนาการและการเติบโตแล้ว ยังเชื่อว่า TFEX มาถึงจุดที่เรียกว่า “รอยต่อสำคัญ” เนื่องจากผู้ลงทุนเอง เริ่มมีความคุ้นเคยกับเครื่องมือในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามากขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี

ก้าวต่อไปของ TFEX จะต้องมีความยั่งยืน หรือมีความสมบูรณ์ ซึ่งความยั่งยืนของ TFEX จะต้องประกอบด้วย นักเก็งกำไร โดยปัจจุบันมีนักเก็งกำไรเข้ามาซื้อขายแล้ว เนื่องจาก “อนุพันธ์” เป็นตราสารที่สามารถใช้เพื่อเก็งกำไรส่วนต่างของราคาได้ และตราสารอนุพันธ์ ยังเป็นตัวช่วยหรือทางเลือก ที่ทำให้นักเก็งกำไรได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า จึงทำให้ตลาดอนุพันธ์เป็นแหล่งที่นักเก็งกำไรชื่นชอบ และหากนักเก็งกำไรเข้ามามากพอก็จะส่งผลดีต่อสภาพคล่องในการซื้อขาย

TFEX จะมีความยั่งยืนและสมบูรณ์ได้ องค์ประกอบถัดมาคือ เราจะต้องพัฒนาระดับของนักเก็งกำไรให้เป็น Hedger หรือ นักเก็งกำไรที่สามารถป้องกันความเสี่ยงให้กับตัวเองได้ โดยมีความเข้าใจและความพอใจกับผลตอบแทนที่ตัวเองกำหนดไว้ สำหรับวิธีการสร้าง Hedger นั่นก็คือ การให้ความรู้และพัฒนาคนกลุ่มนี้เข้าสู่ตลาด TFEX มากขึ้น ทั้งนี้ ธรรมชาติของนักเก็งกำไร มักจะให้ความสำคัญกับผลตอบแทนเป็นหลักโดยไม่คิดว่าควรพอใจกับผลตอบแทนในระดับไหน

ตัวอย่างการ Hedging เช่น จังหวะนั้นมองว่าราคาข้าวมีโอกาสปรับตัวลดลง เราเลยทำสัญญาขายข้าวเอาไว้ล่วงหน้า สมมติเซ็นสัญญาล็อคราคาซื้อขายกันในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่ราคา 8,000 บาท ซึ่งหากราคาดิ่งลงมา 6,000 บาท จะทำให้เขาเสียหายไม่มาก แต่ต่อมาหากราคาข้าวขึ้นไปที่ระดับ 10,000 บาท Hedger จะรู้สึกเฉยๆ เพราะเขามีความรู้มีความเข้าใจสถานการณ์ เช่น รู้ราคาตลาด รู้ทิศทางหรือแนวโน้มตลาด เป็นต้น แต่นักเก็งกำไรจะความรู้สึกเสียดายทันที เพราะมองแค่ผลตอบแทน แต่ไม่ได้มองว่า ถ้าราคาลดลงเหลือ 6,000 บาท เขาจะเกิดความเสียหายมากแค่ไหน สะท้อนให้เห็นว่า Hedger ยังสามารถล็อคการขาดทุนได้ และไม่ขาดทุนจากการลงทุนแน่นอน

“ในมุมมองของผม ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ อย่าเพิ่งมองเรื่องผลตอบแทน เพราะถ้าเรามีความรู้แล้วผลตอบแทนจะมาง่ายกว่า ยอมลงทุนกับความรู้ก่อนคุ้มกว่า อย่าเสี่ยงเสียไปกับเงินที่เราเก็บมาด้วยความเหนื่อย”

นอกจากนี้ ก็ต้องมีนักลงทุนสถาบัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความรู้อยู่แล้ว เขาจะใช้ประโยชน์จากตลาด TFEX ในการทำ Arbitrage หรือกลยุทธ์ในการทำกำไรจากผลต่างของราคาใน 2 ตลาด หรือระหว่างตลาดหุ้นกับตลาด TFEX และหัวใจสำคัญที่จะทำให้ TFEX มีความยั่งยืนและสมบูรณ์ได้ นั่นก็คือ ระบบชำระราคาและส่งมอบสินค้าอ้างอิง (Clearing) ถ้างานส่วนนี้มีการส่งมอบกันได้ตรงตามกำหนด ไม่มีการผิดนัด จะสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้เกิดความมั่นใจ โดยจุดนี้จะสามารถดึงดูดนักลงทุนหลากหลายกลุ่มให้เข้ามาซื้อขายได้มากขึ้น

ทั้งนี้ สำหรับนักเก็งกำไร และ Hedger หากเน้นการลงทุนโดยใช้เงินมาร์จิ้นเป็นหลัก อาจจะกลายเป็นดาบสองคมเพราะหากขาดทุนมากๆ จะต้องถูกบังคับขาย ดังนั้น เราควรพอเพียงกับการกำหนดวงเงินในการลงทุนมีเท่าไหร่ลงทุนเท่านั้น เช่น ตั้งเป้าจะลงทุน 1 ล้านบาท เราควรแบ่งเงินออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งลงทุนใน Money Market และอีกครึ่งหนึ่ง ซื้อขาย SET50 Index Futures ใน TFEX เพราะหากการซื้อขายใน SET50 Index Futures มีปัญหา เรายังสามารถดึงเงินจาก Money Market เข้ามาลดความเสี่ยงได้

กระแสการเทรดอนุพันธ์ หากสามารถสร้างนักลงทุนที่เป็น Hedger ได้มากขึ้น ประกอบกับมีระบบ Clearing ที่น่าเชื่อถือ นักเทรดอนุพันธ์ก็จะเข้ามาซื้อขายใน TFEX มากขึ้น และอันดับการซื้อขายของ TFEX ในเวทีโลกจากปี 2560 ซึ่งอยู่อันดับที่ 26 ก็เชื่อว่าจะเติบโตต่อเนื่องอย่างแน่นอน
« Last Edit: May 07, 2018, 09:02:26 PM by MSN »

MSN on May 07, 2018, 08:55:00 PM
Man vs. Machine รู้เขา รู้เรา...ก้าวทันนวัตกรรมการเทรดอนุพันธ์
   
ในยุคนี้มีกระแสการพูดถึง “การใช้โรบอทเทรด” มากขึ้น ซึ่งจะเห็นว่าเริ่มมีทั้งกองทุนและโบรกเกอร์พัฒนาโรบอทขึ้นมาเพื่อเทรดหุ้นและอนุพันธ์ โดยจ้างวิศวกรการเงินมาเขียนโปรแกรมเพื่อให้คอมพิวเตอร์หรือโรบอทเป็นผู้ตัดสินใจซื้อขายเองได้ และการเทรดของโรบอทสามารถสร้างผลตอบแทนในการลงทุนได้สูง ขณะเดียวกัน ก็มีบางกระแสไม่เห็นด้วยและเริ่มมีการพูดว่า “การใช้โรบอทเทรด” ไม่ดีจริงเท่ากับคนซื้อขายเอง


ดร. สุทธิสิทธิ์ แจ่มดี

เราต้องมาดูกันว่าระหว่างความสามารถของคน กับ ความสามารถของโรบอท หรือ Artificial Intelligence (AI) ใครเทรดเก่งกว่ากัน โดย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ธุรกิจหลักทรัพย์ บล. กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ดร. สุทธิสิทธิ์ แจ่มดี ตีโจทย์ให้เห็นว่า ถ้านำคนที่เทรดเก่งกับโรบอทที่เทรดเก่งมา แล้วสังเคราะห์ศักยภาพของสองสิ่งนี้ พบว่า คนจะมีประสบการณ์ด้านปัจจัยพื้นฐานและมีการพัฒนาข้อมูลส่วนนี้ตลอดเวลา เข้าใจถึงภาวะการเปลี่ยนแปลง และรู้จักเพียงพอ ขณะที่โรบอทจะมีวินัยและทำตามแผนการลงทุนที่ถูกสั่งไว้ รวมถึงทำธุรกรรมได้ถูกต้องและแม่นยำกว่า มีความขยัน ไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย และมีความรวดเร็วว่องไวกว่าคนในการซื้อขาย เพราะคนอาจจะมีความลังเลเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเทรดด้วยคนหรือการเทรดด้วยโรบอท ก็อาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้เช่นกัน โดยปัญหาของคน การเทรดจะถูกรบกวนและอาจเกิดปัญหาได้จากความโลภ ความกลัว ความไม่มั่นใจ เกิดการลังเล อีกทั้งยังเกิดอาการเหนื่อยล้า เลินเล่อ ไม่รอบครอบ ไม่มีวินัย ไม่มีความสม่ำเสมอ และในด้านจิตวิทยา บางครั้งอาจซื้อขายไม่ทัน หรือซื้อหุ้นในราคาสูงและขายถูก ทำให้ต้องไปลับคมมีด ส่วนโรบอทอาจมีปัญหา เช่น ความเก่า ระบบล่ม ไฟดับ ซึ่งก็ไม่สามารถทำอะไรได้

คนสามารถใช้เทคนิคเอาชนะโรบอทได้ เนื่องจากโรบอทไม่รู้ปัจจัยพื้นฐาน เพราะส่วนใหญ่คนจะเขียนโปรแกรมให้โรบอทจดจำในรูปของกราฟ เทคนิเคิล และการตัดสินใจซื้อขาย ดังนั้น การเอาชนะโรบอทคือต้องมีปัจจัยพื้นฐาน นอกจากนี้ โรบอทต่างประเทศไม่ได้เก่งกว่าของไทย หากตลาดหุ้นไทยปล่อยให้โรบอทเข้ามา ถ้าเป็นโรบอทประเภทเดียวกันพฤติกรรมเหมือนกัน เสมือนลอกเลียนแบบ กำไรก็จะถูกแบ่งกันและต่างฝ่ายก็ได้กำไรน้อยลง

จากจุดเด่นจุดด้อยของโรบอทดังที่กล่าวมาแล้ว จึงได้มีการคิดค้นพัฒนาหรือสร้างสมองกลขึ้นมาให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดย Mr. Geoffrey Hinton, Ph.D. ซึ่งมีความละเอียดกว่าระบบโรบอท โดยการทำให้โรบอทเกิดการเรียนรู้ (Machine Learning) และคิดแบบระบบเซลสมอง (Neural Network) ซึ่งจะส่งผลให้โรบอททำงานหรือคิดได้ซับซ้อน (Deep Learning) และมีความฉลาดมากขึ้น จากนั้นก็จะมีการสร้างแขนขา หรือ Algorithmic Trading โดยโรบอท เมื่อมีการส่งคำสั่งซื้อขาย (Order) คำสั่งก็จะเป็นแบบที่มีเงื่อนไข (Stop Order) และผ่านการวิเคราะห์ด้วยความเร็วสูง (Low Latency)

“ด้วยเทคโนโลยีวันนี้ ความสามารถของโรบอทเทรดได้เก่งสุดเท่ากับความเก่งของคนที่สร้าง”

ดังนั้น ต่อไปการประยุกต์ใช้โรบอทในโลกของการลงทุน โรบอทจะถูกพัฒนาให้มีสมองกล เพื่อให้รู้เรื่องการลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยจะทำหน้าที่คล้ายเป็นผู้ช่วยผู้จัดการการลงทุน ในการเก็บข้อมูลเชิงลึก เก็บข้อมูลลูกค้า ทำการวิเคราะห์เบื้องต้น วิเคราะห์เชิงลึก จัดน้ำหนักพอร์ตการลงทุน และให้แนวทางในการพยากรณ์ทิศทางของราคาสินค้า ส่วนการเทรดในระยะสั้น จะเป็นสัญญาณแบบ Rule Based เป็นเทคนิคพื้นฐาน สามารถบอกความร้อนแรง หรือสภาวะตลาด และสามารถบอกทิศทางขึ้นหรือลงได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างสภาพคล่องได้ โดยเร็วๆ นี้ เราจะเห็นการพัฒนาการลงทุน และการประยุกต์ใช้โรบอทที่มีความทันสมัยมากขึ้น รวมถึงอาจเกิดความมหัศจรรย์มากมายในโลกของการลงทุน
« Last Edit: May 07, 2018, 09:01:23 PM by MSN »

MSN on May 07, 2018, 08:56:32 PM
เผยข้อคิด ประสบการณ์เทรด ต่อยอดความสำเร็จใน TFEX

การลงทุนไม่ว่าคุณจะลงทุนในผลิตภัณฑ์ประเภทใดในตลาดทุน โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX สิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง คือ การสร้างภูมิความรู้ให้กับตัวเอง ต้องอ่านและศึกษาความรู้ให้มากที่สุด และต้องติดตามปัจจัยพื้นฐานเพื่อนำมาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจลงทุน แต่การมีความรู้เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ คุณในฐานะผู้ลงทุนยังต้องมีการวางแผนก่อนลงทุน ท้ายสุดการลงทุนต้องมีการกำหนดผลตอบแทนในระดับที่พอใจ เพียงแค่นี้คุณก็จะสามารถเอาชนะการลงทุนได้


คุณสมภพ พิจารณา

มุมมองของ เทรดเดอร์อิสระ ฉายา “เซียน Futures ล่องหน” คุณสมภพ พิจารณา สะท้อนข้อคิด และประสบการณ์ในฐานะเทรดเดอร์ Futures ว่า มีเพียงคนกลุ่มน้อยที่จะสามารถทำกำไรกับการซื้อขาย Futures จึงทำให้มีผู้ลงทุนจำนวนไม่น้อยที่พยายามหาช่องทางเพื่อจะทำกำไรจากสินค้าดังกล่าว

ความพยายามในการทำกำไร นอกจากจะมีปัจจัยหรือแนวทางเหมือนกับนักลงทุนทั่วไป ซึ่งใช้ระบบสมการและแนวทางเทคนิเคิลแล้ว ยังเสริมด้วยการพัฒนาโปรแกรมเป็นของตัวเองที่นักเก็งกำไรใช้กัน นอกจากนั้น ก็ยังดึงปัจจัยพื้นฐานเข้ามาเป็นปัจจัยในการพิจารณาด้วย เช่น งบการเงิน ดูตัวหุ้น วิเคราะห์ปัจจัยรอบโลก เนื่องจากตลาดทุนไทย ก็เป็นส่วนหนึ่งของตลาดทุนโลก ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องนำปัจจัยเหล่านี้มาเป็นตัวแปรในการวิเคราะห์
 
“ปัจจัยภายนอกที่ผมนำมาวิเคราะห์ด้วยนั้น ผมก็จะเลือกปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนตามแนวคิดของผม เช่น ทิศทางของ Bond Yield 10 ปี อัตราแลกเปลี่ยน ราคาทองคำโลก และราคาน้ำมันตลาดโลก”
   
นอกจากการให้ข้อคิด ประสบการณ์เทรด เพื่อต่อยอดความสำเร็จสำหรับการซื้อขายใน TFEX แล้ว เซียน Futures ล่องหน ยังให้แนวคิดเชิงลึกการทำงานของเทรดเดอร์ว่า จะทำงานหรือลงทุนอย่างไรเพื่อให้ชนะตลาด โดยการเลือกใช้ประโยชน์จากตลาด TFEX เริ่มต้นจากการวางแผนเป็นรายสัปดาห์ รายเดือน จากนั้นตั้งเป้าหมายการลงทุน พร้อมด้วยการแบ่งพอร์ตการลงทุน โดยใช้ Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยง พิจารณาจากความเคลื่อนไหว เพื่อนำมากำหนดแนวโน้มหรือทิศทางในการเข้าออก   

“เราต้องจัดระบบของเรา และกำหนดว่า จะขึ้นไปถึงระดับไหน ถ้าขึ้นเราก็ซื้อเพิ่ม โดยที่เราต้องตั้งเป้าหมายการลงทุน วิธีการคิด ซึ่งไม่ได้มีอะไรซับซ้อน บางครั้งนักเก็งกำไร อาจจะพิจารณากราฟ หรือนับ Wave หรือดู Index Wave เป็นเครื่องมือช่วยในการซื้อขายและการตัดสินใจ ซึ่งไม่เคยมีความผิดพลาด แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากความผิดพลาดที่ตัวเราเอง”

ดังนั้น สำหรับเทรดเดอร์อย่างผมแล้ว ผมเริ่มต้นจากการเรียนรู้ จากนั้นทำการทดลอง ออกไปเรียนเสริมความรู้ ทั้งเรื่องกระแสเงินทุน แม้ผมจะเรียนโปรแกรมต่างๆ หมดแล้ว แต่ก็ไม่หยุดและยังเดินหน้าต่อไป พร้อมกับต้องเป็นคนช่างสังเกตสถานการณ์ระหว่างวันในการซื้อขาย เพื่อนำมาสร้างกลยุทธ์ของตนเอง และยิ่งมีการนำมารวมกับเทคนิเคิลและพื้นฐานก็จะทำให้ผมชนะตลาดได้ หรือถ้าหากมีข้อผิดพลาด ผมก็จะกลับไปค้นหาข้อผิดพลาดจากการซื้อขายในครั้งนั้น

“No one really knows future.  อย่าปล่อยให้ กำไร หรือ ขาดทุน วิ่งผ่านหน้าเราไป จงคว้ามันไว้ หรือไม่ก็หยุดมันซะ”

นอกจากนี้ ข้อสังเกตที่หลายคนสงสัย คือ ทำไมหุ้นตัวเล็กที่มีฟรีโฟลทน้อย ในบางครั้งราคาหุ้นขึ้นทั้งที่กำไรไม่ดี ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่มีพื้นฐานดี ผลประกอบการดี แต่ราคาลง ซึ่งการปรับขึ้นหรือลงของราคาหุ้นที่ผิดปกตินี้ ให้สันนิษฐานว่า ราคาหุ้นมีแนวรับแนวต้านอยู่ จากระดับไหนไประดับไหน ซึ่งต้องระมัดระวัง ดังนั้นเราจะไม่ให้ปัจจัยดังกล่าวมากระทบกับพอร์ตการลงทุนของเรา สิ่งสำคัญก็คือ การลงทุนของเราต้องล้อไปกับตลาด

การล้อไปกับตลาด นั่นก็คือ เราจะต้องทำการปรับแผน หรือปรับเครื่องมือการลงทุนของเราทุกวัน หรือทุกสัปดาห์ ซึ่งเราไม่ควรใช้เครื่องมือแบบเดิมๆ ตลอดเวลา และจะต้องใช้เครื่องมือที่เรามีความถนัดเท่านั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงและต่อยอดให้เราซื้อขายในตลาด Futures ได้ชนะตลาด หรือบาดเจ็บน้อยที่สุด
« Last Edit: May 07, 2018, 09:02:02 PM by MSN »