happy on April 29, 2018, 05:22:20 PM

TRUTH OR DARE

“เกมนี้มีกติกาสี่ข้อ:

เมื่อคุณถูกถาม คุณต้องเล่นเกม
คุณต้องพูดความจริง ไม่งั้นตาย
คุณต้องทำตามคำท้า ไม่งั้นตาย
ถ้าคุณหยุดเล่นเกม คุณตาย”

                 เจสัน บลูม

เบื้องหลังงานสร้าง

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=g2XUjH-PDqI" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=g2XUjH-PDqI</a>




ลูซี่ เฮล (Pretty Little Liars) และไทเลอร์ โพซี่ย์ (Teen Wolf) รับบทนำเป็นโอลิเวีย และลูคัส สองนักศึกษาในภาพยนตร์เรื่อง Blumhouse’s Truth or Dare ภาพยนตร์ทริลเลอร์เหนือธรรมชาติเรื่องใหม่จากค่ายบลูมเฮ้าส์ โปรดักชั่นส์ (Happy Death Day, Get Out, Split)

เมื่อกลุ่มเพื่อนสนิท เดินทางไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเรียนจบ และร่วมเล่นเกม “เล่าความจริงหรือรับคำท้า” ซึ่งเป็นเกมที่ดูไม่มีพิษมีภัย แต่เกมที่ว่าดันเหมือนติดตามพวกเขากลับไปบ้าน โดยบีบให้พวกเขาต้องเล่นหรือเผชิญหน้ากับผลอันตรายที่ติดตามมา

จากฝีมือการกำกับของ เจฟฟ์ แว็ดโลว์ (Kick-Ass 2, Cry Wolf) และอำนวยการสร้างโดย เจสัน บลูม (Whiplash, Get Out) ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังร่วมแสดงโดย ไวโอเล็ตต์ บีน ในบท มาร์กี้ เพื่อนสนิทของโอลิเวียผู้กำลังต่อสู้กับปีศาจร้ายของตนเอง, เฮย์เด้น ซีโต้ ในบท แบร็ด ที่แอบเก็บงำความลับที่เขารู้สึกว่าครอบครัวเขาจะรู้ไม่ได้เป็นอันขาด, แลนดอน ไลบอยรอน ในบท คาร์เตอร์ นักศึกษาใหม่ที่ชวนเชื้อเพื่อนๆ กลุ่มนี้ให้เข้าไปติดกับดับอันตรายของเขา, โซเฟีย อาลี ในบท เพเนโลปี้ ผู้เป็นสีสันของงานปาร์ตี้ และกำลังเผชิญกับทางแยกของชีวิตที่น่าสะพรึง และโนแลน เจอราร์ด ฟั๊งก์ ในบท ไทสัน แฟนหนุ่มของเพเนโลปี้ นักศึกษาที่มีความทะเยอทะยาน ผู้ซึ่งลักษณะที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ของเขาอาจนำเขาไปสู่ความตายเสียเอง

Truth or Dare ยังร่วมแสดงโดย แซม เลอร์เนอร์ ในบท รอนนี่ นักศึกษาปีสุดท้ายที่ดูไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ที่สุด, ออโรร่า เพอร์รินู ในบท จิเซลล์ ผู้พยายามหนีให้พ้นจากคำสาปที่เธอไม่สามารถรับมันได้อีกต่อไป, ทอม ชอย ในบท พ่อของแบร็ด ตำรวจผู้ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายของเขาถึงไม่ยอมเปิดใจ, วีร่า เทย์เลอร์ ในบท อิเนซ รีย์ส ผู้หญิงลึกลับที่กุมกุญแจที่ไขสู่ชะตากรรมของเด็กๆ เหล่านี้ และเกร็กก์ แดเนียล ในบทนักสืบเครนิส ผู้อยากช่วยเหลือ แต่ก็ปฏิเสธที่จะเชื่อว่ามีปีศาจร้ายที่เป็นผู้ก่อให้เกิดความตายกับเด็กๆ เหล่านี้

แว็ดโลว์ สร้างสรรค์ภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาจากเรื่องราวที่คิดขึ้นโดย ไมเคิล ไรสซ์ และจากบทภาพยนตร์ที่เขียนโดย ไรสซ์ กับจิลเลี่ยน เจค็อบส์ และคริส โรช (Non-Stop) และตัวแว็ดโลว์เองก็ร่วมเขียนบทด้วย

ที่เข้ามาช่วยแว็ดโลว์ดำเนินงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่ล้วนแต่มีความสามารถ อาทิเช่น ผู้กำกับภาพ ฌ๊าคส์ จูฟเฟร็ท (ภาพยนตร์ชุด The Purge), ผู้ลำดับภาพ ฌอน อัลเบิร์ตสัน (Warrior), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ เมลานี่ ไพซิส-โจนส์ (Whiplash), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลิซ่า นอร์เซีย (Insidious: The Last Key) และผู้แต่งดนตรีประกอบ แมทธิว มาร์จีสัน (Kingsman: The Secret Service)

Blumhouse’s Truth or Dare อำนวยการสร้างบริหารโดย แว็ดโลว์ และโรช พร้อมด้วย จีนเน็ตต์ โวลเทอร์โน่ (Get Out) และคูเปอร์ ซามวลสัน (Whiplash)


เบื้องหลังงานสร้าง

งานที่เป็นความชอบส่วนตัว งานไว
Truth or Dare เริ่มต้น

ในปี 2016 เมื่อตอนที่มือเขียนบท/ ผู้กำกับ เจฟฟ์ แว็ดโลว์ ซึ่งเป็นมันสมองที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์สุดสร้างสรรค์อย่าง Kick- Ass 2 และภาพยนตร์ทริลเลอร์อย่าง Cry Wolf กำลังพิจารณาหางานชิ้นต่อไปของเขาอยู่นั้น เขาได้พบกับ เจสัน บลูม ผู้ถือว่าเป็นเจ้าแห่งงานสร้างภาพยนตร์เขย่าขวัญ เพื่อพูดคุยกันถึงโอกาสต่างๆ ที่เขาน่าจะร่วมสร้างกับบลูมเฮ้าส์ แว็ดโลว์รู้สึกว่า ผลงานของบริษัทแห่งนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ตั้งแต่เรื่อง Happy Death Day และ Get Out จนถึง Split ทำให้บริษัทแห่งนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด หลังจากนั้นเพียงไม่นาน Truth or Dare ก็ได้รับไฟเขียวในฐานะภาพยนตร์เรื่องใหม่ของบริษัทที่ได้ชื่อว่ามีความคิดสร้างสรรค์และกล้าที่จะเสี่ยง

แว็ดโลว์มีความสนใจในการผสมผสานความตื่นเต้น งานแอ็กชั่น และอารมณ์ขันเอาไว้ในงานศิลปะของเขาอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะบอกเล่าเรื่องราวของชายผู้ทำชุดซูเปอร์ฮีโร่ด้วยตัวเองและออกลงโทษคนผิด จนไปติดอยู่ในโยงใยของความรุนแรงมากกว่าแผนสมคบคิดที่เขาคาดคิด หรือการเล่าเรื่องราวที่ทำให้หัวใจเต้นแรง เมื่อตำรวจอากาศต้องปกป้องเหตุทำลายล้างครั้งใหญ่ ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขารู้สึกสนใจได้มากไปกว่าการคิดสร้างเรื่องราวที่ไม่ได้มีอะไรเหมือนกับที่คิดไว้เลย ในโลกของผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องทำให้คนดูต้องคาดเดาอยู่เสมอ…

บลูมบอกว่าเขาอยากร่วมงานกับแว็ดโลว์มาพักใหญ่ๆ แล้ว และ Truth or Dare ก็น่าจะเป็นงานที่ลงตัวที่สุด ผู้อำนวยการสร้างบลูมติดตามผลงานของแว็ดโลว์มาตั้งแต่ Cry Wolf และบลูมก็รู้สึกดีใจที่ผู้กำกับของเขาสามารถจัดการกับความซับซ้อนของงานสยองขวัญได้ และแว็ดโลว์ยังให้ความละเอียดกับการวางโครงเรื่องด้วย

“ผมชอบโปรเจ็กต์ที่เรามีปัจจัยที่กำหนดได้จริงๆ” บลูมบอก “ปกติแล้วมันคือเรื่องของงบสร้าง แต่แม้แต่ชื่อหนังก็ยังเป็นความท้าทายเลยครับ เจฟฟ์มีไอเดียที่ดีมาก โดยอิงกับแนวคิดที่เราจะนำมาเล่นด้วย เขาทำงานกับตัวบทภาพยนตร์ เขาเป็นทั้งมือเขียนบทและผู้กำกับที่มีประสบการณ์ และเขาก็พอใจกับงบสร้างที่เรามีให้ รวมถึงจำนวนวันทำงานที่ได้ รวมถึงสโคปงานที่เราวางเอาไว้ เขาไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้เขาสามารถทำงานได้ดีขึ้น ผลก็คือ เรายังทำงานในโปรเจ็กต์อื่นๆ ด้วยกันอีก ซึ่งก็มีทั้งที่เป็นงานทีวีและงานภาพยนตร์ครับ”

สมาชิกหน้าใหม่ล่าสุดของบลูมเฮ้าส์ เล่าให้เราฟังถึงจุดกำเนิดของ Truth or Dare “ผมเดินทางไปพบเจสัน และเราก็ปิ๊งส์กันเลยครับ” แว็ดโลว์บอก “เราพูดคุยกันถึงไอเดียที่แตกต่าง เขาขอให้ผมกลับมาในอีกสักสองสามเดือนต่อมา เขากับผู้อำนวยการสร้างบริหาร คูเปอร์ ซามวลสัน อยากรู้ว่าผมสนใจที่จะเขียนบทและกำกับภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องว่า Truth or Dare ไหม” นี่คือการทำงานจากคอนเซ็ปต์ที่ดูธรรมดา แต่ทางทีมผู้อำนวยการสร้างเชื่อว่าแว็ดโลว์จะสามารถทำให้ไอเดียธรรมดาๆ นั้นกลายเป็นงานที่น่าสนใจขึ้นมาได้ รวมถึงจะกลายเป็นภาพยนตร์ที่ผสมผสานงานที่หลากหลายแนวเข้าด้วยกันในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของบลูมเฮ้าส์

แว็ดโลว์ยังพูดถึงแรงบันดาลใจของเขาว่า “ผมอยากสร้างภาพยนตร์ที่สนุก ฉลาด และน่ากลัวที่มีความเสี่ยงจริงๆ Cry Wolf คืองานชิ้นแรกของผมที่ลองกับภาพยนตร์แนวเขย่าขวัญ และเมื่อเจสันและคูเปอร์เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับไอเดียแจ่มๆ เรื่องนี้ ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสอันดีทีเดียวที่จะสร้างภาพยนตร์ที่คนดูจะต้องชอบครับ”

แว็ดโลว์ชอบไอเดียที่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเพื่อนสนิทว่าคนไหนที่จะรอดชีวิตไปได้ เป็นคำถามที่ถามคนดูเช่นกันว่า “คุณจะยอมทำขนาดไหนเพื่อจะเอาชีวิตรอดจากเกมนี้” แว็ดโลว์ยอมรับว่าเขามองเห็นอารมณ์ขันในงานเขย่าขวัญมานานแล้ว “เรารู้ดีว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเดินไปตามเส้นและทำให้เดิมพันให้ความรู้สึกว่าเป็นของจริงในหมู่เพื่อนๆ กลุ่มนี้ แต่ก็ต้องทำให้คนดูหัวเราะได้ในจังหวะที่ใช่ด้วย ผมมักพยายามหาอารมณ์ตลกๆ ในส่วนที่น่าเศร้าในชีวิตของผมเอง มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องไต่เชือกระหว่างอารมณ์ดิบ กับเสียงหัวเราะจริงๆครับ”

การทำงานกับเรื่องราวที่คิดสร้างสรรค์โดยมือเขียนบท ไมเคิล ไรสซ์ ทำให้แว็ดโลว์และเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนมกันอย่าง คริส โรช และจิลเลี่ยน เจค็อบส์ ได้ร่วมกันจรดปลายปากกาเพื่อนำเสนอเรื่องราวทริลเลอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง It Follows และ The Ring รวมไปถึงผลงานของดอนนี่ ทาร์ตต์ เรื่อง The Secret History “เราสร้างสิ่งที่เราหวังว่าจะมีอันตรายพอๆ กับความสนุกครับ” ผู้กำกับแว็ดโลว์บอก “เรารู้ดีว่าเกมที่ตัวละครกำลังเล่นอยู่ จะต้องออกมาดูฉลาด และควรจะใช้รอยแตกที่อยู่ในความสัมพันธ์ของพวกเขามาเป็นตัวเข้าถึงคนเหล่านี้”

ยิ่งแว็ดโลว์และเพื่อนร่วมเขียนบทของเขาพัฒนาการเล่าเรื่องไปมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งเรียนรู้ว่ามีเกม “เล่าความจริงหรือรับคำท้า” หลายเวอร์ชั่นมาก ซึ่งมันปรากฏอยู่ในเกือบทุกวัฒนธรรม กฎจะบอกให้คนทำในสิ่งที่ปกติเขาไม่เคยทำอย่างสุดขั้ว อย่างเช่น การจูบคนที่ปิ๊งส์อยู่ หรือเปิดเผยเรื่องที่เป็นส่วนตัวอย่างมาก “เราได้รับโอกาสให้ทำสิ่งที่เราไม่ควรทำครับ” แว็ดโลว์เล่า “เราใช้ลักษณะนั้นของเกม จากนั้นเราก็เพิ่มเดิมพันแบบที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเข้าไป เราไม่ใช่แค่บอกให้คุณทำและพูดสิ่งที่ปกติคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้พูดหรือทำเท่านั้น แต่ถ้าคุณไม่พูดหรือทำ คุณจะต้องตาย มันได้สร้างพายุที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา เปิดโอกาสให้ทำความปรารถนาให้เป็นจริงได้ รวมไปถึงช่วงเวลาที่น่ากลัวอีกด้วย”

ขณะที่พวกเขาทำงานกับบทภาพยนตร์อยู่นั้น ทีมผู้เขียนบทรู้ดีว่าพวกเขาต้องแก้ปัญหาสองข้อให้ได้ พวกเขาต้องทำให้เกมนี้ดูจริง มีเดิมพันที่เป็นความเป็นความตาย และพวกเขาต้องมีผู้ชนะและผู้แพ้ เรื่องราวนี้ต้องบีบให้ตัวละครเปิดเผยความลับที่ดำมืดที่สุดของพวกเขา และผลักดันพวกเขาไปมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ขณะที่พยายามเอาชีวิตให้รอด แว็ดโลว์และทีมของเขาตัดสินใจว่าในการกระทำที่กล้าหาญหลายอย่าง ซึ่งเป็นวิธีที่เกมสอนพวกเราเกี่ยวกับตัวเราเอง จะมีปีศาจจอมเจ้าเล่ห์จากโบราณกาลที่ชื่อว่า คัลลักซ์ ที่จะเข้ามาเป็นตัวฆ่าคน บลูมสรุปว่า “เกมนี้ใช้ประวัติส่วนตัวของเด็กๆ เหล่านี้มาจัดการกับพวกเขาครับ”

พวกเขาจินตนาการถึงกลุ่มเพื่อนๆ ในระดับมหาวิทยาลัยที่เดินทางไปยังเม็กซิโกเพื่อท่องเที่ยวด้วยกันเป็นทริปสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นชีวิตหลังเรียนจบ และอาจต้องแยกย้ายกันไป เรื่องราวความรักที่เพาะบ่มมานาน และความขัดแย้งที่เคยถูกเก็บฝังเอาไว้เริ่มโผล่ออกมาเมื่อพวกเขาเตรียมตัวจะกล่าวลากัน เมื่อชายหนุ่มรูปหล่อแปลกหน้า หลอกล่อนางเอกสาวของเราให้ชวนเพื่อนๆ ของเธอเล่นเกมที่น่าจะดูไร้สาระอย่าง “เล่าความจริงหรือรับคำท้า” พวกเขาได้ปลุกปีศาจร้ายที่บีบให้พวกเขาต้องเล่าความลับที่เก็บเอาไว้ลึกที่สุด หรือเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวมากที่สุด ถ้าพวกเขาไม่ทำ พวกเขาจะต้องชดใช้ด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุด “ถ้าคุณอยากมีชีวิตรอด” ผู้กำกับบอก “คุณต้องตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาที่สุด หรือทำสิ่งที่คุณไม่อยากจะทำเลยครับ”

สุดท้าย คัลลักซ์บังคับให้เด็กๆ กลุ่มนี้ต้องตัดสินใจว่าพวกเขายอมทำได้มากขนาดไหนเพื่อจะปกป้องเพื่อนๆ “ความสัมพันธ์ของโอลิเวียและมาร์กี้คือความสัมพันธ์หลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงต้องผ่านการทดสอบ” แว็ดโลว์อธิบาย “พวกเธอทั้งคู่ต่างตกหลุมรักลูคัส เขาคือจุดที่ 3 ของรักสามเส้า พวกเธอต้องเรียนรู้ว่าการเสียสละทุกสิ่งเพื่อคนที่คุณรักเป็นยังไง ถ้าพวกเขาอยากรอดชีวิต”

หนึ่งในสิ่งที่ให้ความบันเทิงในการสร้างเรื่องราวนี้ขึ้นมาก็คือ การวางเมล็ดพันธุ์เอาไว้ให้กับคนดู ทำให้เรื่องเดินไปข้างหน้า และก้าวสู่งานเขย่าขวัญมากขึ้น สุดท้าย ทุกฉากที่เป็นการเล่นเกมเล่าความจริงหรือรับคำท้าถูกออกแบบมาเพื่อจะทำให้เห็นถึงจุดบกพร่อง จุดอ่อน หรือความลับที่ตัวละครตัวหนึ่งเก็บเอาไว้ แว็ดโลว์อธิบายว่า “เราแสดงให้คุณเห็นว่าตัวละครตัวนี้มีปัญหาเรื่องการติดเหล้า และตัวละครตัวนั้นแอบชอบแฟนของเพื่อนสนิท เมื่อเกมเดินหน้าไป คำถามที่กระตุ้นความคิดก็ยิ่งถูกถามมากขึ้น รวมไปถึงคำท้าแบบส่วนตัว ผมหวังว่าคนดูคงจะเริ่มอิน และเรียนรู้เกี่ยวกับผู้เล่นมากขึ้น ทำให้พวกเขาได้ร่วมเล่นและสนุกไปด้วย ได้รับประสบการณ์คำท้าเหล่านั้น และมีปฏิกิริยากับคำถามที่ตัวละครถูกถาม พวกเขาไม่ใช่แค่เกิดความผูกพันกับตัวละครเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังสนุกกับความมุ่งร้ายของคัลลักซ์ด้วยครับ”

แว็ดโลว์ยังเล่าถึงประสบการณ์การได้ทำงานภายในโมเดลของบลูมเฮ้าส์ด้วยว่า “เจสันเป็นผู้อำนวยการสร้างที่ดีที่สุดเลยครับ เขาหยิบยื่นสิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ และเข้าใจว่าการหยิบยื่นหมายถึงอะไร นับแต่หนังเวอร์ชั่นการตัดต่อของผู้ลำดับภาพ จนถึงงานตัดต่อของผู้กำกับเอง ผ่านกระบวนการทั้งหมด เขาชี้นำเพื่อให้เราทำสิ่งที่เราทำอยู่ออกมาให้ดีที่สุด ผมขอบคุณมากที่เขามีทัศนคติในเชิงที่ว่าหนังเรื่องนี้คือการตัดสินใจว่าจะจมหรือว่ายน้ำต่อ และมีความท้าทายในการทำงานด้วยงบที่ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับหนังเรื่องก่อนของผม แต่สุดท้ายแล้ว มันหมายถึงทีมของเราต้องทำงานกันอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น เมื่อต้องคิดว่าจะเล่าเรื่องนี้ออกมาอย่างไร เจสันยังมีกลุ่มคนเก่งๆ ที่ทำงานอยู่ในหลายโปรเจ็กต์ของเขา และผมก็ตื่นเต้นมากครับที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับพวกเขาเหล่านั้น”
« Last Edit: April 29, 2018, 05:28:13 PM by happy »

happy on April 29, 2018, 05:40:51 PM



ปีศาจหรือเหยื่อ
การคัดเลือกตัวนักแสดงและตัวละคร

แว็ดโลว์รู้สึกประทับใจที่สุดที่ทีมคัดเลือกตัวนักแสดงที่บลูมเฮ้าส์ ซึ่งนำทีมโดย เทอร์รี่ เทย์เลอร์ ออกค้นหาตัวนักแสดงที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะมาแสดงเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนเหล่านี้ ทีมคัดเลือกตัวนักแสดงใช้เวลานานหลายเดือนเพื่อตามหานักแสดงที่มีความเข้าใจบทบาทเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง และอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้

บลูมรู้สึกประทับใจที่แว็ดโลว์สามารถประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกลุ่มนักแสดงที่มีความหลากหลายมาก “เราสามารถดึงดูดความสนใจของนักแสดงเก่งๆได้ และต้องยกความดีให้กับการเข้ามาทำงานของเจฟฟ์ และบทภาพยนตร์ที่มีจุดแข็งครับ” ผู้อำนวยการสร้างบลูม กล่าว “ภาพยนตร์ของเรายังมีกำหนดตารางเวลาถ่ายทำที่สั้นมาก พวกเขาถ่ายทำกันในแอลเอ นั่นช่วยได้มากเลยครับ”
โดยส่วนตัวแล้ว แว็ดโลว์รู้สึกประทับใจกับความทุ่มเทของนักแสดงอย่างมาก “ทีมนักแสดงทำงานได้อย่างน่าทึ่งเลยครับในการสร้างชีวิตให้กับตัวละครเหล่านี้ รวมไปถึงยังใส่บุคลิกส่วนตัวที่ทำให้คุณรู้สึกห่วงใยตัวละครเหล่านี้มากขึ้นด้วย” ผู้กำกับแว็ดโลว์เล่า “พวกเขาทำให้คนดูตกหลุมรักตัวละครในสถานการณ์อันตรายเหล่านี้ และนั่นช่วยเพิ่มความตึงเครียดให้มากขึ้นสามเท่าครับ”

เมื่อทีมผู้สร้างเริ่มต้นกระบวนการคัดเลือกตัวนักแสดง พวกเขามองหานักแสดงจากทั้งแวดวงภาพยนตร์จอเงินและจอแก้ว สำหรับคนที่จะมารับบทเป็น โอลิเวีย และลูคัส พวกเขาเลือก ลูซี่ เฮล จาก Pretty Little Liars’ และ ไทเลอร์ โพซี่ย์ จาก Teen Wolf “เราโชคดีมากที่ได้ตัวลูซี่กับไทเลอร์มาครับ” แว็ดโลว์บอก “พวกเขาเป็นคนน่ารัก และหลังจากผ่านกระบวนการทำงานสุดโหดมาด้วยกัน ผมถือว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีเลยนะ พวกเขาเป็นศิลปิน และความสามารถในการแสดงอารมณ์ของพวกเขาก็สมจริงมาก และปรับแต่งเข้ากันได้ดี พวกเขาทำงานกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก  และนำประสบการณ์เหล่านั้น รวมถึงความสามารถมาใส่ในหนังของเราครับ พวกเขาให้การแสดงที่ทั้งตึงเครียด ช่างคิด และสนุกมากครับ”

การออดิชั่นถูกจัดขึ้นไม่ใช่เพื่อคัดเลือกตัวนักแสดงเท่านั้น แต่ยังมีขึ้นเพื่อให้นักแสดงตัดสินใจว่าพวกเขาอยากร่วมงานกับผู้กำกับแว็ดโลว์หรือไม่ “ระหว่างการออดิชั่นบทของเธอ ลูซี่ทำให้พวกเราอึ้งไปเลยครับ” แว็ดโลว์กล่าวชม “เธอเป็นคนมีพรสวรรค์มาก และเราก็รู้เลยว่าเราได้ดารานำฝ่ายหญิงของเราแล้วทันทีที่เธอแสดงฉากทดสอบจบ ไทเลอร์คือคนที่ถูกเลือกมาเป็นคนสุดท้าย เพราะตัวละครตัวนั้นถือว่าเป็นตัวที่เลือกนักแสดงยากที่สุด ลูคัสต้องทั้งแข็งแกร่งและทรหด แต่เขาก็ให้คุณลักษณะที่ดูเปิดกว้าง อ่อนไหวในเวลาเดียวกันด้วยครับ ไม่มีใครที่จะเหมาะกับบทนี้มากกว่าไปไทเลอร์ โพซี่ย์ อีกแล้วครับ”

โอลิเวียที่ถือว่าเป็นหัวใจของกลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมกันมากกลุ่มนี้ รู้สึกห่วงใยและคอยช่วยเหลือคนอื่นๆ มากกว่าที่จะห่วงใยตนเอง เธออยากใช้เวลาหยุดพักในช่วงใบไม้ผลิสร้างบ้านให้กับคนยากจน แต่ มาร์กี้ เพื่อนสนิทของเธอ ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เกลี้ยกล่อมเธอให้ไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกันที่ชายหาดโรวาริโต้ในเม็กซิโก เมื่อโอลิเวียและเพื่อนๆ กลับมา เหตุการณ์น่ากลัวทั้งหลายที่เกิดขึ้นมิอาจมองว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้อีกต่อไป เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับว่าเกมนี้คือของจริง และมันตามพวกเธอกลับบ้านมาด้วย บัดนี้ มันขึ้นกับเธอแล้วที่จะทำให้เพื่อนๆ เชื่อว่าเรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นจริงๆ ถ้าเธอทำไม่สำเร็จ จะต้องมีคนตายหลายคนทีเดียว

สิ่งที่ทำให้เฮลรู้สึกสนใจ ก็คือความผูกพันกันอย่างสนิทสนมระหว่างเด็กสาวสองคน ซึ่งเป็นแกนหลักของเรื่องนี้ เฮลเปิดเผยว่า”ทุกครั้งที่ฉันได้อ่านบทหนัง ฉันจะคิดสร้างเรื่องราวความเป็นมาให้กับตัวละครของฉันเสมอ ฉันนึกภาพว่าโอลิเวียและมาร์ตี้เติบโตมาบนถนนเส้นเดียวกัน พ่อแม่ของพวกเธอก็เป็นเพื่อนกัน พวกเธอไปเรียนเต้นด้วยกัน พวกเธอผ่านทุกอย่างในชีวิตมาด้วยกัน พวกเธอทะเลาะกันเหมือนพี่น้อง แต่สุดท้ายแล้ว พวกเธอก็คือเพื่อนรักกัน และจะคอยดูแลกันและกันเสมอ”

เฮลดีใจที่แว็ดโลว์ทำให้เกมนี้มีการหักมุมมากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งในงานถ่ายทำที่เธอจดจำได้มากที่สุดก็คือตอนที่ตัวละครเหล่านี้พยายามหลอกปีศาจจอมเจ้าเล่ห์ที่บีบบังคับให้พวกเขาต้องเล่นเกม “ทุกคนคิดว่า ‘ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือการเล่าความจริงและเราจะปลอดภัย’ แต่พวกเขาพบว่าถ้ามีคนสองคนเลือกความจริงแล้ว คนต่อไปก็ต้องเลือกรับคำท้า มันช่างแสนโหดร้าย ในตอนต้นเรื่อง มาร์กี้บอกโอลิเวียว่า ‘ฉันจะหักแขนเธอถ้าเธอแตะต้องตัวฉันอีก’ เมื่อโอลิเวียถูกบีบให้ต้องรับคำท้า เธอก็ต้องทำ ไม่งั้นมาร์ตี้จะต้องตาย มันตื่นเต้นมากจากตรงนั้นค่ะ”

ลูคัสไม่ใช่แค่แฟนของมาร์กี้เท่านั้น แต่เขายังแอบชอบโอลิเวียอยู่ด้วย พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง และยอมรับกับความคิดที่ว่าพวกเขาจะต้องเป็นแค่เพื่อนกัน ลูคัสเป็นชายหนุ่มที่เป็นคนดี จิตใจดี แต่ก็แกร่งได้ในเวลาที่ต้องแกร่ง นั่นทำให้ตัวละครตัวนี้ดูน่าสนใจ เพราะเขาเองก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เขาต้องเลือกระหว่างความเป็นและความตาย คนแรกที่เชื่อว่าโอลิเวียพูดความจริงก็คือลูคัส เพราะเขาหันมาอยู่ข้างเธอ เมื่อคุณเกิดเปลี่ยนใจ คุณรู้ว่านี่ไม่ใช่การหลอกลวง นี่ไม่ใช่เรื่องตลก นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ

โพซี่ย์สะท้อนว่าลูคัสเองก็ไม่เชื่อว่าเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงเหมือนกับคนอื่นๆ ในกลุ่ม จนกระทั่งเกมนี้ทำให้เกิดข้อความบนแขนของเขา “ถึงแม้ลูคัสไม่รู้ว่าจะจัดการทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกเขาได้ยังไง แต่เขาก็เก่งในเรื่องของการคำนวณ และคิดหาวิธี ถ้าโอลิเวียคือมันสมองและผู้นำของกลุ่มนี้ เขาก็คือคนเจ้าความคิด เขาพยายามที่จะรักษาความสงบในกลุ่ม เมื่อพวกเขาเรียนรู้ที่จะรับมือกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น”

โพซี่ย์ชอบมากกับการเดินทางกลับไปยังโรซาริโต้ของลูคัส พร้อมกับมาร์กี้และโอลิเวีย เพื่อค้นหารากเหง้าของปีศาจตนนี้ และหยุดเกมนี้ให้ได้ “ตัวละครของเรากลับไปยังเม็กซิโก เพื่อพูดคุยกับผู้หญิงคนนี้ ที่รอดจากความตายหมู่มาได้ และพยายามคิดหาหนทางที่จะล้างคำสาป” โพซี่ย์อธิบาย “ขณะที่เราทำ เราพยายามที่ให้ชายที่ชวนให้ขนลุกคนเดียวกันกับที่ทำให้เราต้องเล่นเกม ‘เล่าความจริงหรือรับคำท้า’ เริ่มพูด

ถึงแม้ภายนอก มาร์ตี้จะดูเหมือนมีชีวิตที่สมบูรณ์ แต่ภายใน เธอกลับเต็มไปด้วยปัญหา เธอต้องรับมือกับโศกนาฏกรรมในชีวิตตัวเอง ไม่เพียงแต่เธอแทบจะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ไม่ได้ แต่เธอยังต้องสูญเสียพ่อไปหลังจากที่เขาฆ่าตัวตายไปเมื่อหลายปีก่อน โอลิเวียคือเสาหลักในชีวิตให้กับเธอ ความผูกพันของเธอสองคนกลายเป็นความสัมพันธ์หลักของเรื่องที่ต้องผ่านการทดสอบ

สำหรับไวโอเล็ตต์ บีน ซึ่งสร้างชื่อจากผลงานอย่าง The Resident และ The Flash โอกาสที่จะได้แสดงเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนคือโอกาสที่เธอยินดีตอบรับ “มาร์กี้เป็นเพื่อนที่มีความซับซ้อน ผู้บังคับให้โอลิเวียเดินทางไปยังเม็กซิโก เธอเองก็ต้องรับมือกับปัญหามากมายในชีวิตส่วนตัว สุดท้ายเธอก็ไม่ใช่แฟนสาวที่ดีที่สุดสำหรับลูคัส แต่เธอห่วงใยเขามาก และพวกเขาก็กำลังแก้ปัญหาเหล่านี้”

สิ่งที่ทำให้บีนสนใจเรื่องนี้ก็คือ มันวางเรื่องราวดราม่าเอาไว้ระหว่างเพื่อนรักสองคน ผสมเข้ากับงานเขย่าขวัญเหนือธรรมชาติ “ตอนแรก มาร์กี้ไม่เชื่อว่าเกมนี้กำลังเกิดขึ้นจริงๆ เพราะโอลิเวียเปิดเผยความลับของเธอ เธอไม่เชื่อว่าโอลิเวียจะทำเช่นนั้น เพียงเพราะมีคนท้าให้เธอทำ เธออยากเชื่อว่ามันคือเรื่องของการอิจฉาริษยากัน นานทีเดียวว่ามาร์กี้จะยอมเชื่อ จนเธอถูกบีบให้ต้องหักแขนโอลิเวีย”

ที่เข้ามาเติมเต็มให้กับกลุ่มที่เหลือก็คือ ไทสัน ซึ่งกำลังเตรียมตัวให้พร้อมจะไปเรียนแพทย์ เขารู้สึกว่าเขาคือของขวัญที่พระเจ้ามอบให้กับโลกนี้ เพื่อนๆ ของไทสันต่างยอมรับเขาเพราะความฉลาดของเขา ทางทีมผู้สร้างเลือก โนแลน เจอราร์ด ฟั๊งก์ ซึ่งมีชื่อเสียงจากบทแจ้งเกิดใน Riddick และผลงานทางทีวีเรื่อง Counterpart ให้มารับบทเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ที่น่าสงสัยคนนี้

ไทสันกำลังคบหาอยู่กับเพเนโลปี้ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่กับมาร์กี้และโอลิเวีย เพเนโลปี้ ซึ่งรับบทโดย โซเฟีย เทย์เลอร์ อาลี จาก Grey’s Anatomy คือสีสันของงานปาร์ตี้ เธอน่ารัก ตลก สวย อย่างไรก็ดี ความจริงที่ว่าเธอปาร์ตี้มากเกินไป อาจกลายเป็นจุดบกพร่องของเธอ

คนสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก็คือ แบร็ด ผู้เป็นหัวใจของเพื่อนๆ กลุ่มนี้ เขากำลังพยายามรับมือกับปัญหาเรื่องเพศของตัวเอง ขณะที่ยังไม่อาจแก้ปัญหากับพ่อแม่ได้ พ่อของเขาเป็นตำรวจที่แสนจริงจัง ซึ่งมักจะก่อความเครียดมากมายในชีวิตของแบร็ด สุดท้าย มันคือปัญหาที่เขาจะต้องแก้ตลอดเรื่องราวที่เกิดขึ้น

แบร็ดรับบทโดย เฮย์เด้น ซีโต้ ซึ่งแจ้งเกิดจากบทบาทในเรื่อง The Edge of Seventeen การแสดงของเขาสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนๆ นักแสดงอย่างมาก เฮลบอกว่า “แบร็ดเก็บความลับจากพ่อมาเป็นเวลานาน และสิ่งที่เขากลัวมากที่สุดก็คือการต้องพูดความจริงกับพ่อของเขา นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมภาพยนตร์เรื่องนี้ถึงได้น่าสนใจนัก เพราะพวกเราทุกคนต่างก็มีความลับที่เราเก็บงำเอาไว้ เมื่อเราต้องพูดความลับพวกนั้นออกมา มันอาจช่วยได้ในทางหนึ่ง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเกมที่เต็มไปด้วยการหักมุมก็ตาม”

แลนดอน ไลบอยรอน จากซีรีส์ของ Netflix เรื่อง Hemlock Grove ได้รับเลือกให้มารับบท คาร์เตอร์ ผู้หลอกให้โอลิเวียและเพื่อนๆ มาเล่นเกมนี้ แว็ดโลว์อธิบายว่าตัวละครตัวนี้น่าจะเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับนางเอกของเราได้อย่างไร “สำหรับโอลิเวีย ความรู้สึกนี้เปรียบเสมือนสัญญาณที่บอกว่ามันถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องถอดใจจากลูคัส และเลิกคอยมองตามเขาเสียที เธอคิดว่า ‘ฉันจะลองเสี่ยงดู’ เมื่อค่ำคืนนั้นดำเนินไป และเธอได้พบกับชายหนุ่มที่ดูเป็นมิตรและมีเสน่ห์คนนี้ที่บาร์ และทั้งกลุ่มก็กำลังคิดกันว่าจะทำอะไรดีกับคืนสุดท้ายในเม็กซิโก คาร์เตอร์พูดว่า ‘ฉันรู้จักที่หนึ่งที่เราไปเที่ยวกันได้...’”

ผู้กำกับแว็ดโลว์บอกว่ามันยากที่จะบอกได้ว่าคาร์เตอร์เป็นปีศาจหรือเหยื่อ เพราะเขาเป็นทั้งสองอย่าง เขาคือเหตุผลที่ว่าทำไมตัวละครเหล่านี้ถึงต้องมาเผชิญกับเรื่องวุ่นวายทั้งหมด แต่เขาก็ไม่อยากอยู่ในสถานการณ์นั้นเช่นกัน สุดท้ายแล้ว นั่นคือจุดเริ่มต้นการเดินทางของโอลิเวีย “ในตอนเริ่มเล่นเกม แบร็ดถามเธอว่า ‘เธอจะเลือกช่วยเพื่อนเธอ แต่ต้องยอมให้คนเม็กซิโกทั้งหมดตาย หรือจะยอมช่วยประชากรทั้งหมดของเม็กซิโก แต่เพื่อนของเธอต้องตาย เธอจะเลือกอย่างไหน ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอมีคำตอบที่แตกต่างไปจากที่เธอให้ไว้ในตอนต้นเรื่อง’”

ทีมนักแสดงต่างทำให้เป้าหมายที่แว็ดโลว์และบลูมคิดเอาไว้ นั่นก็คือการนำเสนอเหล่าตัวละครที่คนดูจะต้องห่วงใย สำเร็จลงได้ ผู้กำกับแว็ดโลว์อธิบายไว้ว่า “ถ้าคุณผลักดันใครสักคนที่มีความกำกวมในเรื่องของศีลธรรมไปสู่สถานการณ์ที่ประนีประนอมได้ คุณจะไม่สนใจกับผลลัพธ์ที่ออกมาสักเท่าไหร่ เราอยากแสดงให้เห็นตัวละครที่มีหลากหลายมิติที่คุณเกิดความผูกพัน และชอบ ตัวละครเหล่านี้ไม่ใช่คนที่รอความตาย เหมือนอย่างที่มักเห็นกันบ่อยๆ ในหนังเขย่าขวัญ สิ่งที่ทำให้พวกเขาดูเป็นมนุษย์ปุถุชน และมีฉากที่กระชากหัวใจคนดูได้มากขึ้นก็คือ เกมนี้กำลังใช้มันสู้กับตัวละครของเรา จนทำให้พวกเขาแทบไม่สามารถทำอะไรได้เพื่อหยุดมัน นอกจากต้องเล่นเกมต่อไปครับ”





คุณอยู่ในเกมแล้ว:
งานถ่ายทำภาพยนตร์ทริลเลอร์

ทีมงานของแว็ดโลว์เขียนดราฟต์สุดท้ายของภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาเสร็จสิ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2016 และใช้เวลาในการพัฒนางานสร้างต่อมากับบลูมเฮ้าส์อีกหกเดือน จากนั้นก็ทำการคัดเลือกตัวนักแสดงจนเสร็จสิ้น เมื่อหนึ่งปีก่อน การเตรียมงานถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นในเดือนเมษายน ปี 2017 หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มต้นถ่ายทำ Truth or Dare กันในทันที

ผู้กำกับแว็ดโลว์ได้เล่าถึงแบบฝึกหัดที่น่าสนใจที่เขาใช้สำหรับทำเรื่องราวให้พร้อมสำหรับการถ่ายทำ “หลังจากเราเขียนบทภาพยนตร์กันเสร็จ เราจะร่างรายการความจริงทั้งหมดและคำท้าทั้งหมด และให้พวกเขาให้คะแนนมันตั้งแต่ 1 ถึง 10 จากนั้น เราก็ทำรายการพวกนั้นตามลำดับที่มันปรากฎในหนัง เราทำให้แน่ใจว่าคะแนนที่ได้รับจะต้องเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเรื่องนี้ดำเนินเรื่องไป ความใส่ใจในรายละเอียดนี้ทำให้เราได้หนังที่คุณจะรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ”

เมื่อได้ทีมงานหลัก ซึ่งรวมถึงเพื่อนร่วมงานอย่าง ผู้กำกับภาพ ฌ๊าคส์ จูฟเฟร็ท ซึ่งเคยทำหน้าที่กำกับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของแว็ดโลว์ และยังร่วมงานกับไมเคิล มานน์ และปีเตอร์ เบิร์กอยู่เป็นประจำ, ผู้อำนวยการสร้างร่วมและผู้ช่วยผู้กำกับ เจมส์ โมแรน, โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ เมลานี่ ไพซิส-โจนส์ ซึ่งเคยแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่อง Whiplash, The Purge และ Insidious: The Last Key และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลิซ่า นอร์เซีย จากภาพยนตร์เรื่อง The Purge และ Whiplash ทีมงานของแว็ดโลว์ก็พร้อมที่จะเริ่มต้นงานถ่ายทำที่มีการวางแผนมาอย่างดี ร่วมเสริมทัพด้วยผู้ประสานงานสตั๊นต์ สตีฟ ริทซี่ ซึ่งร่วมงานกับแว็ดโลว์มาเป็นครั้งที่ 3 แล้ว กับ อลัน ดีแอนโตนี่ (ผู้แสดงงานสตั๊นต์ในภาพยนตร์เรื่อง Baby Driver) ริทซี่สามารถที่จะสร้างฉากสตั๊นต์ของ Truth or Dare ได้อย่างน่าตื่นเต้นที่สุด

“เป็นเรื่องสำคัญทั้งสำหรับเจสันและผมที่เราจะต้องร่วมงานกับทีมงานสร้างสรรค์ที่เราเคยทำงานด้วยกันมาก่อนครับ ฉะนั้นพวกเขาจึงเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ และภาพยนตร์ที่เราพยายามสร้างขึ้นมา” แว็ดโลว์บอก “เพราะพวกเรามีกำหนดการถ่ายทำ 23 วันในลอสแองเจลิส และมีเวลาเตรียมงานแค่วันเดียวเพื่อจะพาทีมนักแสดงไปที่เม็กซิโก เรารู้ดีว่ามันเป็นการถ่ายทำที่คิวงานรัดตัวมาก มือตัดต่อหนังของผมยังแซวผมเลยว่าเราถ่ายทำหนังที่ควรจะถ่าย 40 วัน ภายในเวลา 23 วันเท่านั้น”

ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อตัวละครใกล้จะเรียนจบสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อช่วยให้นักแสดงเกิดความผูกพันกันได้ก่อนที่ภาพยนตร์จะเริ่มต้นถ่ายทำ เพื่อให้คุณเชื่อในมิตรภาพและการใช้ชีวิตร่วมกันมาของพวกเขา แว็ดโลว์ได้พาพวกเขาเดินทางไปยังเม็กซิโกเพื่อพักผ่อนกันเป็นเวลา 24 ชั่วโมง “ตอนที่เรานั่งรถตู้ และเดินทางไปยังเม็กซิโกด้วยกัน ผมให้พวกเขาใช้โทรศัพท์ไอโฟนเก็บภาพของแต่ละคนเอาไว้ มันมีความเป็นส่วนตัวมากครับ และเราก็ตัดสินในที่จะใส่ภาพฟุตเตทนั้นเอาไว้ในหนังด้วยครับ”

สำหรับผู้กำกับ หนึ่งในฉากที่ถ่ายทำแล้วตึงเครียดมากที่สุด ก็คือ คำท้าที่เพเนโลปี้จะต้องเดินไปบนดาดฟ้าขณะที่ดื่มว็อดก้าไปด้วย “เรามีตัวละครที่มีปัญหาติดเหล้า และเกมก็บังคับให้เธอดื่มเหล้าให้หมดขวด ขณะเดินไปบนหลังคาที่สูงจากพื้น 30 ฟุต มันคือความน่าสนใจในการถ่ายทำ และยากมากในเรื่องเทคนิค ด้วยงบอันน้อยนิดที่เรามี และตารางการถ่ายทำที่น้อยมากของเรา” แว็ดโลว์หัวเราะ “ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าเราใช้เวลาห้าคืนกันบนนั้นครับ”

บลูมเห็นด้วยกับผู้กำกับ โดยบอกว่าเขารู้สึกพอใจต่อทักษะฝีมือและเทคนิคที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องทุ่มเทให้กับงานนี้ “ฉากโปรดของผมคือตอนที่เพเนโลปี้เดินไปบนขอบตึกบนดาดฟ้าครับ ไม่ใช่เพราะการเดินไปบนขอบตึกมันมีความตื่นเต้น แต่มันยังเป็นเพราะวิธีที่เจฟฟ์และฌ๊าคส์ถ่ายทำด้วยครับ วิธีที่พวกเขาถ่ายทำมันทำให้คุณตื่นเต้นและกังวลได้จริงๆ”

เขาไม่ใช่เพียงคนเดียวที่เกิดอาการลุ้นและกังวล แต่ภายใต้สายตาที่เฝ้าระวังของดีแอนโตนี่และริทซี่ ทุกคนก็ต้องกลั้นหายใจกันหมด  อาลีพูดถึงฉากนี้ว่า “การถ่ายทำบนดาดฟ้าสนุกมากค่ะ แต่ก็น่ากลัวมาก ฉันรู้สึกว่าถ้าฉันถ่ายทำฉากแบบนั้นต่อหน้าจอกรีนสกรีน ฉันคงต้องพยายามสร้างความรู้สึกกลัวขึ้นมา การขึ้นไปอยู่บนั้น แม้ว่ามันจะทั้งสนุกและฉันก็รู้สึกสบายใจและรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย แต่ฉันจำได้ว่าตัวเองก็คิดว่า ‘ฉันอยู่บนดาดฟ้าแล้วนะ’ และฉันก็ดึงเอาความกลัวจะตกลงไปของฉันเองมาใช้ค่ะ”



ศิลปะเรียนแบบชีวิต:
การ “ถูกเข้าสิง”

เพื่อให้ได้ภาพวินาทีที่คัลลักซ์เข้าสิงเหยื่อรายสุดท้าย การตั้งคำถามสุดฮิตอย่าง “เล่าความจริงหรือรับคำท้า” พร้อมกับรอยยิ้มสุดเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย ทางทีมผู้สร้างหันไปหน้าใบหน้าที่คุ้นเคย ผู้กำกับเล่าว่า “ตั้งแต่แรก ผมเริ่มวางแนวทางว่ามันควรจะเป็นอย่างไร ผมไม่อยากทำงานในแบบที่เราเคยเห็นมาก่อน ประเภทดวงตาขาวขุ่น และใบหน้าขาวซีด ผมคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณของเกมนี้ และความซุกซนที่เกี่ยวข้อง และตัดสินใจว่าใบหน้าที่ถูกสิงนั้นต้องแสดงให้เห็นถึงความซุกซน”

ตั้งแต่แว็ดโลว์ยังเด็ก เวลาที่เขาวาดรูป เขามักจะชอบวาดหน้ายิ้มของปีศาจ และภาพวาดนั้นได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับฉากโดนสิง แว็ดโลว์เล่าต่อไปว่า “ผมเริ่มเสนอความคิดนี้กับเหล่าศิลปินคอนเซ็ปต์ และผมก็คุยกับวิชวลเอฟเฟ็กต์ซูเปอร์ไวเซอร์ของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราถ่ายทำฉากทดลอง และเห็นได้ชัดเจนอย่างรวดเร็วเลยว่านี่คือแนวทางที่เราต้องใช้ จากนั้น ผมก็กลับทิศทางเมื่อคุณเห็นภาพใบหน้าปีศาจคัลลักซ์จากงานศิลปะที่แตกต่างกันออกไป ผมให้เขามีรอยยิ้มแบบเดียวกัน ซึ่งกลายมาเป็นภาพลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับตัวร้ายในภาพยนตร์เรื่องนี้ หลังจากเราจัดให้คนดูได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก พวกเขาชอบมันมาก มีผู้หญิงเดินออกจากโรงหนัง มองหน้าผม และพูดว่า ‘คุณพระช่วย รอยยิ้มนั่น! มันคือรอยยิ้มของคุณ!’ ผมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าผมวาดรอยยิ้มชั่วร้ายของตัวเองมาตลอดหลายปีมานี้ แต่ผมว่าผมคงทำอย่างงั้นจริงๆ ครับ!”
                                                                                                          ****
เมื่อการถ่ายทำเสร็จสิ้นลง แว็ดโลว์ได้พูดถึงสิ่งที่เขาหวังว่าคนดูจะได้ไปจากภาพยนตร์เรื่อง Truth or Dare เขาสรุปว่า “ผมหวังว่าคนดูคงจะสนุกกับการดูหนังของเราครับ หวังว่าพวกเขาคงจะกลัว หัวเราะ และรู้สึกทึ่ง เราอยากให้พวกเขาอินไปกับตัวละคร และเมื่อหนังจบลง พวกเขาคงรู้สึกเหมือนได้เป็นพยานรู้เห็นเกม ‘เล่าความจริงหรือรับคำท้า’ อย่างสุดขั้วจริงๆครับ”
สำหรับบลูม งานทริลเลอร์ชิ้นล่าสุดของเขานี้คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุดของโมเดลทุนสร้างน้อยของบริษัทของเขา “เมื่อคุณมีเรื่องราวที่ดี มีนักแสดงที่ดี และมีผู้กำกับที่ดีแล้ว ความกลัวก็จะสำคัญน้อยลง สิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งดูน่ากลัวได้ก็คือสิ่งที่แทรกอยู่ในความน่ากลัวครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นความน่ากลัวจริงๆ สิ่งที่เจฟฟ์ทำ เช่นเดียวกับที่ผู้กำกับเก่งๆ คนอื่นๆ ที่เราได้ร่วมงานด้วยทำ ก็คือการทำให้แน่ใจว่าเรื่องราวที่อยู่ในความน่ากลัวนั้นมันเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยมจริงๆ นั่นทำให้ความน่ากลัวบังเกิดขึ้นครับ”
                                                                                                          ****
ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานการสร้างของบลูมเฮ้าส์ ผลงานภาพยนตร์ของ เจฟฟ์ แว็ดโลว์ เรื่อง Blumhouse’s Truth or Dare นำแสดงโดย ลูซี่ เฮล, ไทเลอร์ โพซี่ย์, ไวโอเล็ตต์ บีน, เฮย์เด้น ซีโต้, แลนดอน ไลบอยรอน ผู้แต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์ทริลเลอร์เหนือธรรมชาติเรื่องนี้ก็คือ แมทธิว มาร์กีสัน และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้แก่ ลิซ่า นอร์เซีย ผู้ลำดับภาพได้แก่ ฌอน อัลเบิร์ตสัน และโปรดักชั่นดีไซเนอร์ ได้แก่ เมลานี่ ไพซิส-โจนส์ ผู้กำกับภาพ ได้แก่ ฌ๊าคส์ จูฟเฟร็ท และผู้อำนวยการสร้างร่วมได้แก่ ริค โอซาโก้, เจมส์ โมแรน, ไรอัน ทูเร็ก ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ เจฟฟ์ แว็ดโลว์, คริส โรช, จีนเน็ตต์ โวลเทอร์โน่, คูเปอร์ ซามวลสัน ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย เจสัน บลูม โดยมี ไมเคิล ไรสซ์ เป็นผู้คิดสร้างเรื่องราว และบทภาพยนตร์เป็นฝีมือการสร้างสรรค์โดย ไมเคิล ไรสซ์ กับจิลเลี่ยน เจเค็อบส์ และคริส โรช และเจฟฟ์ แว็ดโลว์ Blumhouse’s Truth or Dare กำกับโดย เจฟฟ์ แว็ดโลว์  © 2018 Universal Studios. www.blumhousestruthordare.com