happy on April 22, 2018, 08:39:39 PM
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โชว์ศักยภาพนักออกแบบไทยโครงการ Talent Thai & Designers’ Room
พร้อมชมนิทรรศการผลงานร่วมสร้างสรรค์คอลเลคชั่นสุดพิเศษครั้งแรกระหว่างไทย – ออสเตรีย
ในงาน STYLE 2018 19-23 เมษายนนี้ ณ ไบเทค บางนา


นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เยี่ยมชมงาน

                    เหล่านักออกแบบไทยรุ่นใหม่ไฟแรง 34 แบรนด์ จากโครงการ Talent Thai & Designers’ Room โดยสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมนำผลงานการออกแบบสินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นจัดแสดง ในงาน STYLE 2018 ซึ่งจัดขึ้นไปเมื่อวันที่ 19-23 เมษายนที่ผ่านมา ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค(Hall EH101) บางนา ท่ามกลางผู้สนใจที่มาร่วมชมความสามารถด้านการออกแบบที่มาร่วมงานอย่างมากมาย


มล.คฑาทอง ทองใหญ่ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า

                    ม.ล.คฑาทอง ทองใหญ่ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “สำหรับผู้ที่เข้าร่วมโครงการนี้จะเป็นผู้ประกอบการที่เน้นในเรื่องของงานดีไซน์ และการสร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งทางกรมฯ ได้ส่งเสริมการสร้างประสบการณ์ในเรื่องการทำตลาดให้กับนักออกแบบ พร้อมที่จะต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อยกระดับการพัฒนาความสามารถของนักออกแบบไทยให้ทัดเทียมนักออกแบบระดับสากล และก้าวสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างภาคภูมิ”

                    สำหรับผลงานการออกแบบจากนักออกแบบของโครงการ Talent Thai & Designers’ Room ที่เข้าร่วมแสดงภายในงาน  ได้แก่ ARTY&FERN, BASIC TEEORY, FULAME, ITTI-BITTI, JANFIVE STUDIO, LA ORR, MH.MADE BY HAND, MUSLEENA, PORANA, RAW X LUSTER, SIMPL, THAMMADA STUDIO, YOLWAREE, EGGWHITE, GARDEN ATLAS, GEMS HERITAGE, GRAPHTURE JEWELRY, LEAST STUDIO, MAISON CRAFT, MELA, MOREOVER, NUAYNARD, NYMPHEART,  PARA,  PICA, PLAY, SKOWT PACK, Gleamwood, MAT ARCHER, Mirror Mirror,  NAVA BATH & BODY WORKSHOP, PASU it's alive,  PATAPiAN และ Stories of Silver&Silk

                    ธีรพล ธนมณฑล และ เปลี่ยนกาล ไตรคุ้มพันธุ์ สองดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ NYMPHEART กล่าวถึงการได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Talent Thai & Designers’ Room ว่า “เป็นโครงการที่ดีที่มีส่วนช่วยนักออกแบบรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องของการประชาสัมพันธ์ออกสื่อต่างๆ รวมถึงการเปิดตลาดใหม่ๆ และการสร้างคอนเนคชั่นในกลุ่มของนักออกแบบด้วยกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ โดยแบรนด์ของเรานั้นมีทั้งของแต่งบ้าน และเครื่องประดับที่ใช้ไม้ ซึ่งเป็นส่วนของขอบไม้ที่ถูกตัดทิ้งไม่สามารถใช้งานอย่างอื่นได้ และนำพลาสติกใสอีพ็อกซี่มาอัดผสมเพื่อเพิ่มความแข็งแรง สไตล์การออกแบบทั้งเครื่องประดับและสินค้าตกแต่งบ้านเน้นความโมเดิร์น และเรียบง่าย แต่ละชิ้นจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปตามลวดลายของไม้”


นายกรวุฒิ กาญจนาบุญมาเลิศ

                    ด้าน นวัต ศักดิ์ศิริศิลป์ และ กรวุฒิ กาญจนาบุญมาเลิศ สองนักออกแบบสินค้าแต่งบ้านจากแบรนด์ MOREOVER กล่าวว่า “ของแต่งบ้านในปัจจุบันส่วนใหญ่จะถูกกำหนดวิธีใช้มาตายตัว แต่ของแบรนด์เราจะเว้นช่องว่างให้สามารถปรับใช้สินค้าได้หลากหลาย โดยเราเรียกงานแบบนี้ว่า Creative Function เพื่อให้ผู้ใช้ได้จินตนาการและเติมตัวตนของตัวเองเข้าไปเสริมกับของชิ้นนั้นได้ ด้วยการใช้แผ่นเหล็ก ซึ่งเป็นวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงเพราะนำมารีไซเคิลได้ 100% เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้ว เป็นวัสดุหลักนำมาพับขึ้นรูปให้มีความซับซ้อนและสวยงาม เป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ร่วมกับช่างฝีมือคิดค้นเทคนิคในการผลิตใหม่ๆ เพื่อดึงศักยภาพของวัสดุให้เกิดคุณค่าสูงสุด”

                    นอกจากนั้นยังมีนิทรรศการการแสดงผลงานคอลเลคชั่น CHANGE ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นสุดพิเศษ ที่เกิดจากการร่วมมือกันระหว่างสองดีไซเนอร์ชาวไทยแบรนด์ PAUL DIREK และดีไซเนอร์ชาวออสเตรียแบรนด์ PITOUR โดยสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเวียนนา ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นประจำฤดูกาล Spring/Summer 2018 ภายใต้แนวคิดของการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างไทยกับออสเตรีย เพื่อแสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศที่มีต่อกันมาอย่างยาวนานมาจัดแสดงอีกด้วย


คุณกรุงเทพ ดิเรกมหามงคล แฟชั่นดีไซเนอร์แบรนด์ PAUL DIREK

                    กรุงเทพ ดิเรกมหามงคล ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ PAUL DIREK กล่าวถึงผลงานคอลเลคชั่นพิเศษเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างไทย-ออสเตรียว่า “เป็นครั้งแรกที่มีการออกแบบร่วมกันของดีไซเนอร์ไทยและออสเตรีย โดยเราสองคนตั้งใจรังสรรค์คอลเลคชั่น Change ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในสังคมไทยและออสเตรีย ซึ่งแม้จะอยู่กันคนละทวีปแต่ทั้งสองวัฒนธรรมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน โดยเราสองคนเลือกใช้โทนสีขาว ดำ เทา เป็นสีหลักของการออกแบบ คอลเลคชั่นนี้มีทั้งหมด 16 ลุค แบ่งเป็น PAUL DIREK 8 ลุค โดยเราได้นำเอกลักษณ์ของแบรนด์ซึ่งเป็นเสื้อผ้าแบบยูนิเซ็กส์ แพทเทิร์นใหญ่แบบโอเวอร์ไซส์ และเทคนิคการใช้เลเยอร์มาผสมผสานกับความงดงามของใยผ้าที่ทอจากธรรมชาติ ทั้งใยกัญชง ผ้าฝ้าย และผ้าไหมไทยให้โดดเด่นมีคาแรคเตอร์เป็นของตัวเอง ส่วนของแบรนด์ PITOUR จะมี 8 ลุคเช่นกัน แต่จะเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงทั้งหมด”


maria oberfrank ดีไซเนอร์ดังแบรนด์ PITOUR