sianbun on January 13, 2010, 02:41:29 PM
ฉลองกองทุนครบรอบ1 ปี



          นายสมชัย    บุญนำศิริ  (ที่3จากซ้าย)   กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  กรุงไทย จำกัด ( มหาชน)   พร้อมด้วยนายปวิณ    รอดลอยทุกข์  (ที่3จากขวา)  ผู้อำนวยการฝ่ายบุคคลธนกิจ  ธนาคารซิตี้แบงก์  และทีมผู้บริหาร  ในฐานะผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนรายหลักของกองทุนเปิดเคแทม  อินเวสท์เมนท์  เลเจนท์  ฟันด์   (KTIL ) ร่วมกันฉลองกองทุนครบรอบอายุ  1  ปี   ณ ห้องแคมปัส   โรงแรม เอราวัณ  เมื่อวานนี้
« Last Edit: January 13, 2010, 03:06:16 PM by sianbun »

sianbun on January 13, 2010, 02:42:28 PM
KTAM ย้ำความสำเร็จ ฉลองครบรอบ 1 ปี กองทุน KTIL รวมผู้บริหารพอร์ตแนวหน้าระดับโลก
 
          นายสมชัย  บุญนำศิริ   กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ตลอดปี 2552 นอกเหนือจากการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องสำหรับลูกค้าที่เน้นความมั่นคงสูงแล้ว บริษัทยังนับเป็นบริษัทจัดการกองทุนแห่งแรกที่เสนอขายกองทุนต่างประเทศที่ลงทุนในตราสารทุน สินค้าโภคภัณฑ์ และตราสารหนี้ในช่วงที่ตลาดอยู่ในภาวะต่ำที่สุดในช่วงต้นปี 2552 ซึ่งได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม อินเวสท์เมนท์ เลเจนด์ ฟันด์ (KTIL) โดยนับตั้งแต่วันจัดตั้งกองทุนในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2552 กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 28.8% เนื่องจากกองทุนลงทุนในสินทรัพย์ประเภทตราสารทุน และสินค้าโภคภัณฑ์  ซึ่งล้วนมีการปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีการคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในระดับหนึ่ง ซึ่งเห็นได้จาก ดัชนีตลาดหุ้นใน Emerging Market  ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 89.6% ในปี 2552  และดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นประมาณ 36.0% ดัชนีตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 36.5% และกองทุนตราสารหนี้ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 11.4% นอกจากผลตอบแทนของกองทุนที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว กองทุนยังมีความเสี่ยงในระยะยาวที่อยู่ในระดับต่ำจากการกระจายความเสี่ยงของกองทุน ซึ่งการลงทุนโดยกระจายความเสี่ยงนี้น่าจะเหมาะสมกับการลงทุนในปี 2553 ที่คาดว่าจะมีความผันผวนสูงขึ้น

          เพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จ ทางบริษัทร่วมกับธนาคารซิตี้แบงก์ในฐานะผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนรายหลัก ร่วมกันจัดงานฉลองครบรอบ 1 ปีการเปิดตัวกองทุน โดยได้รับเกียรติจาก ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุน Value Investor ชื่อดัง มาร่วมเป็นวิทยากรพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนเป็นการเฉพาะ โดยนอกเหนือจากจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงมุมมองด้านการลงทุนกับวิทยากรรับเชิญและผู้จัดการกองทุนของบริษัทแล้ว ผู้ลงทุนยังจะได้รับทราบแนวโน้มและมุมมองของตลาดการลงทุนในปี 2553 อีกด้วย

KTIL  เป็น Feeder Fund ที่ลงทุนในหน่วยลงทุนของ Investment  Legends  Fund ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนย่อยของ Celsius Fund Plc. ที่บริหารโดย Barclays Capital Fund Solutions ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ 3 ประเภทหลัก คือ  ตราสารทุน  40%   โดยแบ่งเป็นหุ้น Berkshire Hathaway ,  Blackrock  , Leucadia  และกองทุน Templeton Emerging Market  ในสัดส่วนบริษัทละ 10% ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์  40% ในดัชนี Rogers International Commodity Index  และตราสารหนี้ 20% ในกองทุน PIMCO Total Return Bond Fund ของ Bill Gross

          นายสมชัย  กล่าวต่อไปว่า  สินทรัพย์ในกองทุนนั้นล้วนแต่บริหารงานโดยผู้บริหารที่มีชื่อเสียง อยู่ในแนวหน้าของวงการลงทุนมาเป็นระยะเวลายาวนาน และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับโลก โดยประเภทตราสารทุนนั้น บริหารโดยผู้บริหารด้านการลงทุนในระดับแนวหน้าเช่น  Warren Buffett, Ian Cumming, Joseph Steinberg ซึ่งจะเน้นการลงทุนใน Value Stock โดยเน้นการลงทุนเสมือนหนึ่งเข้าไปเป็นเจ้าของกิจการ เลือกกิจการที่เป็นผู้นำในตลาด มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัท และ Mark Mobius ที่เชี่ยวชาญการลงทุนหุ้นใน Emerging Market ที่เน้นการลงทุนใน Growth Stock ทำให้ผลตอบแทนในอดีตที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูง

          นอกจากนี้การลงทุนในดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ ในสัดส่วน 40% น่าจะช่วยเสริมโอกาสการลงทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากทั่วโลกต่างคาดการณ์ถึงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และนักลงทุนเริ่มกระจายการลงทุนไปยังสินค้าโภคภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งน่าจะมีผลให้ระดับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นตามไปด้วย และมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาในระดับใกล้เคียงกับค่าเดิมได้เมื่อเศรษฐกิจกลับมาขยายตัวในระดับปกติ   เมื่อประกอบกับการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ในสัดส่วน 20% ซึ่งตราสารหนี้นั้นสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ   เทียบกับหลักทรัพย์ประเภทตราสารทุนและสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้เมื่อตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความผันผวนค่อนข้างมาก ตราสารหนี้นั้นจะช่วยพยุงพอร์ตการลงทุนให้ผลตอบแทนไม่ผันผวนมากจนเกินไป

          ในฐานะตัวแทนสนับสนุนการขาย นายปวิณ รอดลอยทุกข์ ผู้อำนวยการสายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ กล่าวว่า  ในปี 2553 ซิตี้ยังมีมุมมองที่ดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากสภาวะทางการเงินที่ดีขึ้น ประกอบกับประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญได้หลุดพ้นจากภาวะความถดถอยทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีที่ผ่านมา ดัชนีการเจริญเติบโตยังคงแข็งแกร่งอยู่ในช่วงต้นปี 2553  ประเทศเกิดใหม่น่าจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ขณะที่คาดว่าสหรัฐอเมริกาจะเติบโตมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ

          ซิตี้ประเมินว่าตราสารทุนจะให้ผลตอบแทนที่มากกว่าตราสารหนี้ภาครัฐ ถึงแม้ว่าผลตอบแทนจะไม่สูงเท่าปีที่ผ่านมาและมีความผันผวนที่สูงขึ้น ดังนั้น กลยุทธ์ใน 6 เดือนแรกของปี 2553 ได้เปลี่ยนเป็นทั้งการหาผลตอบแทนและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนโดยกลยุทธ์การลงทุน ดังนี้  หาผลตอบแทนจากภูมิภาคหรือกลุ่มธุรกิจที่ยังไม่ปรับตัวสูงขึ้น และหาผลตอบแทนที่ไม่ผันผวนด้วยการลงทุนในตราสารที่ให้ปันผลสูง รวมถึงกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ต่างๆ ที่ให้ผลตอบแทนไม่ไปในทิศทางเดียวกัน (low correlation)

ท้ายสุดนี้ แม้ว่าจะเกิดการมองโลกในแง่ดีมากขึ้น นักลงทุนก็ไม่ควรที่จะลืมความสำคัญของการประเมินถึงความสามารถในการรับความเสี่ยงและระยะเวลาที่ต้องลงทุน ควบคู่ไปกับการมองหากลยุทธ์ใหม่ในการลงทุน เพื่อการรักษาและสร้างความเติบโตของพอร์ตการลงทุน นายปวิณสรุป

          นายสมชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ในปี 2553 คาดว่าจะได้รับผลดีจากการที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวได้ในปลายปี 2552 อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทั่วโลก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกนั้นได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว รวมทั้งสภาพคล่องทางการเงินที่มีอยู่ในระดับสูงเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนอาจผันผวนในระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอยู่ในขณะนี้ ยังมีความเปราะบาง และอาจมีแรงเทขายทำกำไรในระยะสั้นจากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่สำหรับกองทุน KTIL นั้นมีความน่าสนใจมากสำหรับการลงทุนในระยะยาว เพราะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จากการมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ 80% แต่มีความผันผวนไม่สูงเพราะมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ 20% ดังนั้นการลงทุนในช่วงนี้ จึงถือเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนระยะยาวที่จะได้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงในราคาที่ไม่แพงและบริหารงานโดยผู้บริหารการลงทุนในระดับแนวหน้าของโลก