news on January 31, 2018, 10:48:06 PM
เอชไอดี โกลบอล (HID Global) คาดการณ์เทรนด์หลักที่จะขับเคลื่อนประสบการณ์ในโลกของการเชื่อมต่อที่ชาญฉลาดมากขึ้นในปี 2018

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, 31 มกราคม 2018 – เอชไอดี โกลบอล (HID Global) หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นการระบุและยืนยันตัวตน (Trusted identity solution) ระบุเทรนด์หลักของเทคโนโลยีการยืนยันตัวตนในปี 2018 โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการใช้ระบบคลาวด์และการเข้าถึงเครือข่ายการสื่อสารผ่านมือถือที่เพิ่มมากขึ้น การให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัย Internet of Things (IoT) และการวิเคราะห์ข้อมูล (data analytics) เป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์หลักๆ ที่จะเป็นหัวใจของการพัฒนาประสบการณ์ในโลกแห่งการเชื่อมต่อที่ชาญฉลาดและสื่อสารกันได้ดีขึ้นในปีนี้

ซามูเอล อาซาร์โนช รองประธานอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและการพัฒนาธุรกิจของเอชไอดี โกลบอล กล่าวว่า "ในปีนี้ ระบบการระบุและยืนยันตัวตนที่แม่นยำจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับองค์กรในการสร้างสรรค์และเตรียมสภาพแวดล้อมรองรับการติดต่อสื่อสารกับผู้คน สถานที่ และสิ่งต่างๆ ทั้งนี้ ประสบการณ์ผู้ใช้จะถูกนิยามใหม่จากขีดความสามารถในการควบคุมประสิทธิภาพของเทคโนโลยีมือถือ Internet of Things (IoT) และคลาวด์ และส่งมอบขีดความสามารถใหม่ๆ ในอนาคต"

เอชไอดี โกลบอลได้มองเห็นเทรนด์หลัก 5 ประการในปี 2018 ซึ่งจะช่วยให้องค์กรต่างๆ จะได้รับประโยชน์จากระบบยืนยันตัวตนนี้

องค์กรต่างๆ ได้รับประโยชน์จากคลาวด์มากขึ้น

·       การรับรู้และเข้าใจต่อระบบคลาวด์ ไม่ว่าจะเป็นความง่ายในการใช้งาน ความยืดหยุ่น ตัวเลือกการเชื่อมต่อ และประโยชน์ด้านผลิตภาพจะทำให้เกิดการยอมรับมากขึ้น แพลตฟอร์มระบบควบคุมการเข้าถึงคลาวด์ด้วย APIs และ SDKs จะเป็นตัวขับเคลื่อนซอฟต์แวร์โซลูชั่นใหม่ๆ ที่จะเพิ่มทางเลือกให้องค์กรต่างๆ ให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน การออกบัตรผ่านระบบคลาวด์จะดึงดูดลูกค้าเนื่องจากความง่ายต่อการใช้งาน รวมถึงโครงสร้างด้านความปลอดภัยและค่าใช้จ่าย ขณะภาครัฐกำลังพิจารณาว่าสามารถใช้บัตรยืนยันตัวตนของพลเมืองผ่านระบบคลาวด์ได้หรือไม่

·       จากนี้ การยืนยันตัวตนและการจัดการข้อมูลประจำตัวผ่านคลาวด์จะเชื่อมกับโทรศัพท์มือถือ บัตรและชิปแบบต่างๆ ตลอดจนระบบประเภท machine-to-machine endpoint มากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (digital certificate) ใน IoT จะใช้ประโยชน์จากบริการยืนยันตัวตนบนคลาวด์เพื่อจัดส่งและจัดการใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์สื่อสารจำนวนมหาศาลที่มีอยู่ในปัจจุบัน

อุปกรณ์สื่อสารและสภาพแวดล้อมที่เชื่อมต่อถึงกันมากขึ้นจะเพิ่มความสำคัญแก่การรักษาความปลอดภัยของ IoT

·       ใบรับรองดิจิทัลจะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเพิ่มความเชื่อถือให้แก่ IoT โดยการสร้างรหัสประจำตัวดิจิทัลที่ไม่ซ้ำกันให้กับเครื่องพิมพ์และเครื่องเข้ารหัส โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต กล้องวิดีโอ และระบบอัตโนมัติในอาคาร รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น รถและอุปกรณ์ทางการแพทย์

·       “read” ในระบบปฏิบัติการ Apple iOS 11 ที่รองรับ NFC จะช่วยกระตุ้นการใช้ระบบต่างๆ บน IoT เช่นการปกป้องแบรนด์ กลยุทธ์สร้างความภักดีของลูกค้า และกรณีอื่นๆ ที่ต้องการเพิ่มความปลอดภัยใน IoT

การเข้าถึงเครือข่ายโทรศัพท์มือถือเป็นตัวจุดกระแสการใช้งานในตลาดมวลชน

·       ในปี พ.ศ. 2560 เป็นปีที่การเข้าถึงโทรศัพท์มือถือสูงสุดเป็นประวัติการ และจะดำเนินการต่อไปยังปี พ.ศ. 2561 ด้วย การเติบโตของโซลูชั่นสำหรับมือถือและการรวมเข้ากับระบบอื่นๆ ตลอดจนความสามารถของมือถือในการเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และให้ความปลอดภัยที่สูงขึ้น จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของการใช้โทรศัพท์มือถือและการนำไปใช้งานจนกลายเป็นเทคโนโลยีกระแสหลัก

·       NFC Card Emulation Mode ที่พัฒนามาเพื่อควบคุมการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือยังคงสงวนสิทธิ์เฉพาะสำหรับผู้ใช้ Apple Pay ทำให้บลูทูธยังคงเป็นมาตรฐานการสื่อสารที่รองรับระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่สื่อสารข้ามแพลตฟอร์มกันได้ อย่างไรก็ตาม องค์กรต่างๆ กำลังลงทุนพัฒนาระบบอ่านข้อมูล (reader) และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่รองรับ NFC และ BLE เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความเป็นไปได้ในอนาคต

การบรรจบกันระหว่างความปลอดภัยทางดิจิทัลและกายภาพ

·       คอนเซ็ปต์ของการจัดการการเข้าถึงและการระบุตัวตนทางกายภาพ (PIAM) จะช่วยสนับสนุนความปลอดภัยทางดิจิทัลและกายภาพให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สร้างตัวตนศูนย์กลางแก่กรณีต่างๆ รัฐบาล ภาคการเงิน ภาคพลังงาน และตลาดที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการตามกฎหมายจะกลายเป็นผู้บุกเบิกการใช้โซลูชั่นเหล่านี้เพื่อเข้าถึงอาคาร อีเมล์ เว็บไซต์ และ VPN อย่างปลอดภัย

·       โมเดลใหม่ในการรวมข้อมูลประจำตัวเป็นรหัสเดียวกัน ซึ่งใช้ระบบตรวจสอบความถูกต้องบนคลาวด์และอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น ความสามารถในการตรวจสอบสถานะของบุคคลว่าอยู่ในสถานที่นั้นๆ หรือไม่ รหัสประจำโทรศัพท์มือถือที่ใช้ยืนยันบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงได้ และบัตรสมาร์ทการ์ดที่ตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้กับทรัพยากรขององค์กร

Data analytics จะช่วยขับเคลื่อนการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกบนฐานความเสี่ยงเพื่อกำหนดรูปแบบการคาดการณ์และสร้างขีดความสามารถใหม่ๆ

·       อุปกรณ์ ระบบควบคุมการเข้าถึง แอ็พพลิเคชั่น IoT และโซลูชั่นอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับระบบคลาวด์จะให้ข้อมูลที่แม่นยำสำหรับการวิเคราะห์ขั้นสูง ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์เหล่านี้สามารถใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโซลูชั่นบริหารจัดการเวิร์กโฟลว์และให้การเข้าถึงที่ราบรื่นยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้ปลายทาง

·       การวิเคราะห์ข้อมูลแบบคาดการณ์และไบโอเมตริกส์ (biometrics) จะมีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยแบบผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (people-centric security) และตอบสนองความต้องการของพนักงานในเรื่องเกี่ยวกับสถานที่ทำงานเพื่อส่งมอบบริการระดับพรีเมียมและสอดคล้องกับผู้ใช้แต่ละคนมากขึ้น นอกจากนี้ Analytics ยังช่วยลด downtime ในองค์กร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบอัตโนมัติในโรงงาน และเอื้อต่อการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมาตรฐานต่างๆ ให้มากขึ้น ผ่านการตรวจติดตามสภาพที่อิงกับตำแหน่งที่ตั้งแบบเรียลไทม์และโซลูชั่นการตรวจจับความเคลื่อนไหวต่างๆ

ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเอชไอดี โกลบอล (HID Global)

เยี่ยมชมเราได้ที่ Media Center หรืออ่านข้อมูลในบล็อก และติดตามเราทาง Facebook และ Twitter
 
เกี่ยวกับเอชไอดี โกลบอล (HID Global)
เอชไอดี โกลบอล (HID Global) พัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ขับเคลื่อนระบบยืนยันตัวตนทั้งของผู้คน สถานที่และสิ่งต่างๆ ทั่วโลก เราช่วยให้ผู้คนสามารถทำธุรกรรมได้อย่างปลอดภัย ทำงานได้อย่างมีผลิตภาพ และเดินทางได้อย่างอิสระ โซลูชั่นยืนยันตัวตนของเราช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงสถานที่ ทั้งสถานที่จริงทางกายภาพและสถานที่เสมือนในโลกดิจิตอล ได้อย่างสะดวก และเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ที่สามารถระบุ ตรวจสอบ และติดตามผ่านช่องทางดิจิตอลได้ ผู้คนนับล้านทั่วโลกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของเอชไอดีเพื่อนำทางในชีวิตประจำวันของพวกเขา และกว่า 2 พันล้านสิ่งถูกเชื่อมต่อผ่านเทคโนโลยีของเอชไอดี เราทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล สถาบันการเงิน ธุรกิจอุตสาหกรรม และบรรดาบริษัทที่มีนวัตกรรมล้ำสมัยที่สุดของโลก บริษัทฯ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ปัจจุบัน มีพนักงานกว่า 3,000 คนทั่วโลกและมีสำนักงานในหลายประเทศที่รองรับลูกค้าในกว่า 100 ประเทศ

HID Global® เป็นแบรนด์ในเครือ ASSA ABLOY Group ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hidglobal.com
« Last Edit: January 31, 2018, 10:49:57 PM by news »

news on January 31, 2018, 10:52:09 PM
HID Global Predicts Top Trends That Are Driving More Intelligent, Connected Experiences in 2018
 
AUSTIN, Texas, January 31, 2018 – HID Global, a worldwide leader in trusted identity solutions, has identified the top trends in the identity technology industry for 2018. The company points towards increased cloud and mobile access adoption, more focus on securing the Internet of Things (IoT), and data analytics as some of the top trends that will take center stage in developing more intelligent, connected experiences this year.

“Trusted identities will emerge this year as the fundamental building blocks for organizations to create environments that connect people, places and things,” said Samuel Asarnoj, Senior Vice President Corporate Strategy & Business Development with HID Global. “The user experience will be redefined by mobile, IoT and cloud technologies and deliver new capabilities for the future.”       
   
HID Global sees five significant trends in 2018 that will influence how organizations leverage the power of trusted identities.

Organizations embracing the benefits of the cloud

•   Increased awareness of the cloud’s ease of deployment, flexibility, connectivity options and productivity benefits will escalate adoption. Access control cloud platforms with APIs and SDKs will fuel new software solutions that expand choices for organizations to get the most out of their investments. Cloud-based card issuance will drive adoption due to its simplicity, security and cost structure, while governments increasingly investigate how printed IDs can be complemented by cloud-issued mobile citizen IDs.

•   Cloud authentication and credential management will further integrate mobile devices, tokens, cards and machine-to-machine endpoints. And digital certificates in the IoT will draw upon the trusted cloud services to deliver and manage certificates across thousands of devices.

More connected devices and environments drive focus on securing the IoT 
 
•   Digital certificates will become a core component for adding trust in the IoT by issuing unique digital IDs to printers and encoders, mobile phones, tablets, video cameras, and building automation systems, plus a broader range of things like connected cars and medical devices.

•   Apple iOS 11 “read” support of NFC will fuel adoption of IoT-based applications such as brand protection, customer loyalty programs and other use cases that will further drive the need to enhance security in the IoT.

Mobile access reaches tipping point for mass market adoption

•   2017 was the year mobile access went mainstream and adoption will accelerate even further in 2018. Maturity in mobile solutions and integration into other systems, coupled with mobile’s ability to enhance user convenience, improve operational efficiency and provide higher security will drive accelerated growth for mobile access and mainstream adoption.

•   Card emulation, the NFC mode most coveted for mobile access control, remains reserved exclusive to Apple Pay; this leaves Bluetooth as the communication standard for cross-platform mobile access support. Still, organizations will invest in readers and other infrastructure that supports NFC and BLE to prepare for future possibilities.

Convergence of physical and digital security

•   The concept of Physical Identity & Access Management (PIAM) will drive convergence of physical and digital security to a single credential, putting identity at the center of all use cases. Government, finance, energy, and other regulated markets will emerge as the forerunners using these solutions for secure access to buildings, email, websites and VPN.

•   New converged identity models that use cloud authentication and mobile devices are also emerging, such as the ability to verify a person’s presence at a location, mobile IDs that validate physical citizen IDs, and smart cards that authenticate users to enterprise resources.

Data analytics will drive risk-based intelligence for predictive models and new capabilities

•   Devices, access control systems, IoT applications, and other solutions connected to the cloud will provide robust data for advanced analytics. Insights from these analytics can be used to optimize workflow solutions and provide more seamless access for end users.

•   Predictive analytics and biometrics will play a crucial role in people-centric security and address employee demands for workplaces to deliver premium, more individualized services. Analytics will also help reduce downtime in the enterprise, spur factory automation and improve compliance via condition monitoring that is based on real-time location and sensing solutions.

Stay Connected with HID Global
Visit our Media Center, read our Industry Blog, and follow us on Facebook and Twitter.

About HID Global
HID Global powers the trusted identities of the world’s people, places and things.  We make it possible for people to transact safely, work productively and travel freely. Our trusted identity solutions give people convenient access to physical and digital places and connect things that can be identified, verified and tracked digitally. Millions of people around the world use HID products and services to navigate their everyday lives, and over 2 billion things are connected through HID technology. We work with governments, educational institutions, hospitals, financial institutions, industrial businesses and some of the most innovative companies on the planet. Headquartered in Austin, Texas, HID Global has over 3,000 employees worldwide and operates international offices that support more than 100 countries. HID Global® is an ASSA ABLOY Group brand. For more information, visit www.hidglobal.com.