การเดินตามรอยเท้า
ใน Darkest Hour ตอนที่เชอร์ชิลล์ก้าวยาวๆผ่านห้องโถงเซนต์. สตีเฟน’ส แล้วถอดหมวกและยกไม้เท้าแสดงความเคารพรูปปั้นของนายกรัฐมนตรีคนก่อนๆในอดีต ฉากนั้นแกรี โอลด์แมนเดินผ่านชั้นนั้นของรัฐสภาจริงๆ
ทีมผู้สร้างขออนุญาตและได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำในอาคารรัฐสภา หรือที่รู้จักกันในชื่อพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ Darkest Hour เป็นภาพยนตร์เรื่องที่สองเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน เรื่องแรกคือ Suffragette ขั้นตอนการอนุญาตตามคำขอใช้เวลานานหกเดือน
นักแสดงและทีมงานต้องเจอกับการตรวจสอบด้านความปลอดภัยระดับสูงสุดในการถ่ายทำ อุปกรณ์ทุกชิ้นและรถทุกคันต้องถูกนำไปตรวจในสถานที่เฉพาะ และเมื่อผ่านการตรวจสอบ พวกเขาต้องปฏิบัติตามตารางการถ่ายทำและการใช้เส้นทางที่กำหนดอย่างเข้มงวดในการขนคนและอุปกรณ์มายังรัฐสภา ถ้ามีการคลาดเคลื่อนใดๆจากเส้นทางที่กำหนดไว้ ทุกคนและทุกอย่างจะต้องกลับไปที่จุดตั้งต้นอีกครั้ง โชคดี ที่เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว
รัฐสภาอนุญาตให้ Darkest Hour เข้าไปที่ห้องโถงเซนต์. สตีเฟน’ส และพระราชวัง โดยไม่มีคำสั่งให้ปรับเปลี่ยนสคริปต์แต่อย่างใด และอนุญาตให้สูบซิการ์ของเชอร์ชิลล์ในฉากนั้นด้วย
ในขณะที่ฉากภายในบ้านพักของนายกรัฐมนตรีที่บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่ภายนอกของบ้านคือสถานที่จริง มีการตรวจทุกอย่างอย่างละเอียดเช่นกัน และหนังเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สองเท่านั้นที่ได้เข้าไปในที่ที่หนังหลายเรื่องไม่สามารถเข้าไปได้ ก่อนหน้านั้นจนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ บ้านเลขที่ 10 เคยอนุญาตให้เฉพาะทีมงานของภาพยนตร์สารคดีและข่าวเท่านั้นเข้าไปถ่ายทำที่นั่น เป็นอีกครั้งที่ขั้นตอนการอนุญาตที่ใช้เวลาหลายเดือนทำให้ได้เข้าไปถึงสถานที่ที่ช่วยให้ภาพในหนังสมจริงมากขึ้น มีการตรวจสอบประวัติของทีมงานและรถ แต่ทุกคนตื่นเต้นมากที่กล้องของบรูโน เดลบอนเนลจะตามโอลด์แมนในบทเชอร์ชิลล์ผ่านถนนเข้าไปได้ ไม่ใช่แค่จับภาพเขาตรงทางเข้า
วันที่เศร้าที่สุดของการถ่ายทำ คือวันรำลึกถึงผู้ที่สละชีวิตในสงครามโลกทั้งสองครั้ง (Remembrance Sunday) ของปี 2016 (ซึ่งตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน วันจริงของวันรำลึกเหตุการณ์) ตอนที่ป้อมคาเลส์ (ซึ่งถูกโจมตีเมื่อเดือนพฤษภาคม 1940) ถูกจำลองขึ้นใหม่ที่ป้อมแอมเฮิร์สต์ ในเมืองแชแธม นักแสดงประกอบ 110 คนในชุดทหารแสดงในฉากที่ฝ่ายเยอรมันบุกยึดป้อมคาเลส์ ไรท์ขอให้เปิดเพลง “Sleep” ของแม็กซ์ ริกเทอร์เพื่อสร้างอารมณ์ กองกำลังผสมของทหารฝรั่งเศสและอังกฤษรวมพลังกันต้านทานการโจมตีอย่างหนักของทหารเยอรมันไว้ถึงสามวัน เพื่อให้มีเวลาอพยพกำลังพลที่ดันเคิร์ก แต่ก็แลกมาด้วยความพินาศของที่ตั้งกองทหารแห่งนี้
เดลบอนเนลและไรท์วางแผนการถ่ายทำฉากนี้ ว่ากล้องจะเริ่มตรงไม้กางเขนที่จุดเทียนให้ความสว่าง ซึ่งเป็นแท่นบูชาที่ทำขึ้นชั่วคราว ก่อนจะเคลื่อนตามการเดินของพลจัตวาขณะที่เขาอ่านโทรเลขที่บอกถึงชะตากรรมทหารของเขา ฉากนี้เป็นการถ่ายในเทคเดียวโดยใช้กล้องสเตดดี้แคม และผูกตัวช่างภาพไว้กับสายเคเบิ้ล เพื่อที่เวลากล้องแพนลงมาเพื่ออ่านโทรเลข เครนจะยกตัวเขาขึ้น และขึ้นไปสูงประมาณ 40 ฟุตเพื่อให้เห็นภาพเบื้องล่าง จากตรงนั้นจะมีการเปลี่ยนฉากอย่างแนบเนียนไปเป็นมุมมองจากบนเครื่องบิน ซึ่งกำลังจะทิ้งระเบิด
ไรท์บอกว่า “นี่เป็นการทำงานครั้งแรกของผมกับบรูโน และสนุกมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาท้าทายผม เขาเป็นส่วนสำคัญมากในการสร้างสรรค์ภาพใน Darkest Hour”
วาเลริโอ โบเนลลี คนตัดต่อที่ทำงานกับไรท์ครั้งแรกในงานภาพยนตร์ ถูกผู้กำกับจับคู่ให้ทำงานในส่วนของเขาตั้งแต่ช่วงแรกของหนัง ร่วมกับดาริโอ มาริอาเนลลี คนทำดนตรีประกอบที่ร่วมงานกับไรท์บ่อยครั้ง มาริอาเนลลีแต่งดนตรีประกอบไว้หลายเพลงก่อนหนังจะเปิดกล้อง ไรท์จะเปิดเพลงที่มาริอาเนลลีแต่งไว้ในตอนถ่ายทำ ในขณะที่โบเนลลีจะตัดต่อหนังตั้งแต่เริ่มแรก และบ่อยครั้งตัดต่อโดยใช้ดนตรีประกอบร่วมด้วย
ไรท์เสริมว่า “บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่ลงตัวพอดี ที่หนังเรื่องนี้พูดถึงจุดเปลี่ยนของโลก และเรามีคนอังกฤษ, ฝรั่งเศส. และอิตาเลียนที่มีความสามารถมาทำงานร่วมกัน”
ความเป็นเจ้าของ
แอนโทนี แม็คคาร์เทนยอมรับว่า “มีหลายฉากใน Darkest Hour ที่วินสตัน เชอร์ชิลล์ดูไม่มีความเป็นนายกรัฐมนตรีเอาซะเลย”
โจ ไรท์บอกว่า “อาหารในเวลากลางวันของวินสตัน มักจะเคียงคู่ด้วยไวน์ขาวหนึ่งแก้ว และ/หรือวิสกี้หนึ่งแก้ว และเนื่องจากชั่วโมงการทำงานที่ยืดยาว จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติสำหรับเขาที่จะประชุมงานจากบนเตียง หรือแม้กระทั่งตอนอาบน้ำ เขาบอกจดบันทึกสั่งการจากบนเตียง รับแขกและพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์โดยใส่เสื้อคลุมและสวมเสื้อนอน
“และสุดท้าย ไม่ว่าจะกำลังเกิดอะไรขึ้น เขาจะงีบตอนบ่ายสี่โมงทุกวัน เขามีเตียงเดี่ยวที่เล็กมากเตียงนึงอยู่ในวอร์รูม เป็นคนอังกฤษที่แปลกของแท้เลย”
แม็คคาร์เทนบอกว่า “ในการเข้าถึงผู้ชายที่อยู่หลังบุรุษที่โลกยกย่อง การสร้างบุคลิกลักษณะเฉพาะขึ้นในตัวเชอร์ชิลล์เป็นสิ่งสำคัญ เรากำลังถ่ายทอดเรื่องราวที่ตื่นเต้นเร้าใจในช่วงเวลาที่เจาะจง แต่ทุกอย่างในหนังมาจากการค้นคว้าข้อมูลของเรา
“บางสิ่งที่หนังสือประวัติศาสตร์ไม่ได้อ้างถึงบ่อยนัก ซึ่งเปิดเผยสิ่งที่เราไม่รู้มาก่อน คือเรื่องที่เขาเป็นคนคิดเรื่องเรือช่วยชีวิตในปฏิบัติการไดนาโมที่ดันเคิร์ก ซึ่งฝ่ายพลเรือนเป็นคนสร้าง และมีการระดมประชาชนทั่วไปมาช่วยกันทำ เพื่อพาเพื่อนร่วมชาติของพวกเขากลับบ้าน การช่วยชีวิตที่ดันเคิร์กเป็นความคิดของวินสตัน เชอร์ชิลล์ และช่วยชีวิตคนไว้ได้หลายพันคน ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส”
สุดท้ายแล้ว แม็คคาร์เทนบอกว่าเขาต้องการ “ขยายขีดจำกัดของความเข้าใจที่เรามีต่อเขา ผมรู้สึกว่าอุปนิสัยใจคอทุกแง่มุมของเขาถูกซ่อนไว้ใต้เปลือกของประวัติศาสตร์ ยิ่งบุคคลในประวัติศาสตร์มีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ ความรู้สึกว่าพวกเขาเป็นสมบัติของชาติก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
“จุดอ่อน และความไม่แน่ใจของวินสตันถูกลบออกไป แม้แต่ในหนังสือชีวประวัติที่ละเอียดที่สุดของเขา ทุกวันนี้เขามักจะถูกถ่ายทอดออกมาในลักษณะของคนที่มีความแน่วแน่ ผมคิดว่าเราถ่ายทอดตัวตนของเขาออกมาได้ถูกต้องมากกว่าเมื่อเราแสดงให้เห็นข้อด้อยทั้งหมดของเขา ในการศึกษาอย่างจริงจังช่วงสิบปีที่ผ่านมา เริ่มมีการเปิดเผยเรื่องราวในมิติอื่น ดังนั้น Darkest Hour จึงเป็นส่วนหนึ่งของความคิดในมุมมองใหม่”
ฟิล รีด ที่ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นโอบีอี ประธานเกียรติคุณในวอร์รูมของเชอร์ชิลล์ ที่ปรึกษาด้านประวัติศาสตร์ของ Darkest Hour ให้ความเห็นว่า “วินสตัน เชอร์ชิลล์มักจะถูกมองว่าเป็นคนที่ป้องกันประเทศของเขาและของโลกไว้ หนังเรื่องนี้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับช่วงเวลานั้นในชีวิตเขา ตอนที่เขาไม่ยอมแพ้ และก้าวเดินไปบนเส้นทางนั้น
“การเปลี่ยนแปลงของเขา คือจากการอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่ไว้ใจเขา หรือไม่ให้เกียรติเขา กลายมาเป็นผู้นำที่ต้องฝากสิ่งที่เขาสร้างไว้ ให้อยู่ในความทรงจำของรัฐบาล, ของคนในชาติ และของโลก และเขาทำสำเร็จ”