ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ
ผลงานสร้างโดยบลูมเฮาส์
ภาพยนตร์โดยคริสโตเฟอร์ แลนดอน
Happy Death Day
เจสสิกา ร็อธ
อิสราเอล บรูสซาร์ด
ผู้ควบคุมงานสร้าง
แองเจลา แมนคูโซ
จอห์น บัลเดชชี
คูเปอร์ ซามวลสัน
เจเน็ตต์ โวลเทอร์โน
เซธ วิลเลียม ไมเออร์
อำนวยการสร้างโดย
เจสัน บลูม, พี.จี.เอ.
เขียนบทโดย
สก็อต ล็อบเดล
กำกับโดย
คริสโตเฟอร์ แลนดอน
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 23 พฤศจิกายน ปี 2017
วันเกิดของเธอ กำลังจะกลายเป็นวันตาย
ตายแล้วฟื้น ฟื้นแล้วตายอีก
จนกว่าเธอจะหาว่าใคร..คือคนที่ฆ่าเธอ Happy Death Day เป็นเรื่องราวของนักศึกษามหาวิทยาลัย ทรี เกลบ์แมน (เจสสิกา ร็อธ จาก La La Land) ที่หวนรำลึกถึงวันที่เธอถูกฆาตกรรม ด้วยรายละเอียดที่เหลือเชื่อและจุดจบที่น่าสยดสยองจนกระทั่งเธอได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของคนที่ลงมือสังหารเธอข้อมูลงานสร้าง
บลูมเฮาส์ (Split, Get Out, Whiplash) เป็นผู้อำนวยการสร้างทริลเลอร์แปลกใหม่ แสนสร้างสรรค์ เรื่อง Happy Death Day เรื่องราวของนักศึกษามหาวิทยาลัย ทรี เกลบ์แมน (เจสสิกา ร็อธ จาก La La Land) ที่หวนรำลึกถึงวันที่เธอถูกฆาตกรรม ด้วยรายละเอียดที่เหลือเชื่อและจุดจบที่น่าสยดสยองจนกระทั่งเธอได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงของคนที่ลงมือสังหารเธอ
ทรีเป็นนักศึกษาสหศึกษาผู้สนใจแต่เรื่องของตัวเองและมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก หลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาอย่างมึนงงในเช้าวันเกิดของเธอ บนเตียงของ คาร์เตอร์ (อิสราเอล บรูสซาร์ดจาก The Bling Ring) หนุ่มที่เธอน่าจะมีสัมพันธ์สวาทคืนเดียวด้วย ไม่นานนัก เธอก็ได้ค้นพบว่า วันนี้ห่างไกลจากคำว่าธรรมดาลิบลับ
หลังจากที่เธอเดินโซซัดโซเซกลับห้องพัก และเจอกับคำเสียดสีทิ่มแทงจากรูมเมท ลอรี (รูบี้ โมไดน์ (ซีรีส์ Shameless)) และประธานของบ้าน แดเนียล (นักแสดงหน้าใหม่ ราเชล แมทธิวส์) ตามคาด เธอก็ดำเนินกิจวัตรประจำวันเหมือนกับนักศึกษาทั่วๆ ไป แต่เมื่อเธอได้สัมผัสกับเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่นักเคลื่อนไหวที่กำลังเดินขบวนไปจนถึงการมีสัมพันธ์ระหว่างเวลาทำงานกับศาสตราจารย์เกรกอรี (ชาร์ลส์ ไอท์เคนจากซีรีส์ The Knick) เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเธอเคยเห็นและใช้ชีวิตแบบวันนี้มาก่อน
ในตอนที่ทรีกำลังจะเตรียมกล่าวคำราตรีสวัสดิ์ให้กับวันเกิดที่แสนพิลึกในวันนี้ เธอก็ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดโดยคนแปลกหน้าภายใต้หน้ากาก...เพียงเพื่อจะตื่นขึ้นมาอย่างมีชีวิตอยู่ ในห้องของคนๆ หนึ่ง ผู้เชื่อว่าเธอกำลังเจอกับเรื่องบางอย่างที่เป็นไปไม่ได้
ยิ่งเธอได้พบว่าตัวเองเข้าใกล้ตัวตนของฆาตกรตัวจริงมากขึ้นทุกวันๆ เธอก็ต้องกำจัดความกังวลของเธอเพื่อเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทุกคนกลัวที่สุด ถ้าเธอสามารถเผยโฉมหน้าของฆาตกรของเธอและหยุดยั้งเรื่องบ้าๆ นี้ได้ เธอก็หวังว่าจะสามารถยุติสิ่งที่กลายเป็นนรกส่วนตัวของเธอลงได้ แต่ถ้าเธอทำไม่ได้ เธอก็จะติดอยู่ในวงจรแสนพิลึก และต้องเจอกับฝันร้ายสุดสยองที่กลายเป็นวันตายของเธอตลอดไป
ผู้ที่ร่วมงานกับผู้กำกับคริสโตเฟอร์ แลนดอน (Paranormal Activity: The Marked Ones) และผู้อำนวยการสร้างเจสัน บลูม (Split, Get Out) ในการทำงานเบื้องหลังได้แก่กลุ่มทีมงานมากพรสวรรค์ ซึ่งรวมถึงมือเขียนบทสก็อต ล็อบเดล, ผู้กำกับภาพ โทบี้ โอลิเวอร์ (Insidious: The Last Key), ผู้ออกแบบงานสร้าง เซซิลี เอ็ม. เดอ สเตฟาโน (ซีรีส์ Empire), มือลำดับภาพเกรกอรี พล็อตคิน (แฟรนไชส์ Paranormal Activity), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เมแกน แม็คลัฟลิน ลัสเตอร์ (10 Cloverfield Lane) และนักประพันธ์ แบร์ แม็คครีรี 10 Cloverfield Lane)
ผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่องได้แก่แองเจลา แมนคูโซ, จอห์น บัลเดชชี (Point Break), คูเปอร์ ซามวลสัน (Get Out), เจเน็ตต์ โวลเทอร์โน (แฟรนไชส์ The Purge) และเซธ วิลเลียม ไมเออร์ (The Bye Bye Man)Groundhog Day สุดสยอง
Happy Death Day พบแรงบันดาลใจ
การหักเหเส้นเวลาเป็นสิ่งที่ทำให้นักเล่าเรื่องราวหลงใหลมาเนิ่นนาน และการสร้างช่วงเวลาไม่รู้จบก็เป็นสิ่งที่มีเสน่ห์น่าติดตามเป็นพิเศษในแง่ของการเล่าเรื่อง ช่วงเวลาไม่รู้จบ ซึ่งมีชั่วโมงหรือวันดำเนินไปซ้ำๆ และตัวละครก็ต้องเผชิญกับช่วงเวลานั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้ตัวเอกมีความหวังอยู่บ้างในการที่จะหลุดจากวงจรที่ดำเนินมาซ้ำๆ ภาพยนตร์หลายเรื่องหลากแนวประสบความสำเร็จในการนำเสนอเรื่องนี้อย่างดงาม ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์โดยดั๊ก ลีแมนเรื่อง Edge of Tomorrow ไปจนถึงภาพยนตร์โดยริชาร์ด เคอร์ติสเรื่อง About Time และบทภาพยนตร์เรื่อง Happy Death Day ของสก็อต ล็อบเดล ก็นำเสนอเส้นเรื่องนี้ด้วยผลลัพธ์ที่น่าประหลาดใจ
คริสโตเฟอร์ แลนดอน ผู้เคยเขียนบทภาพยนตร์ที่คาดไม่ถึงอย่าง Disturbia และ Paranormal Activity 2 มาแล้ว ได้ขยับสู่แท่นผู้กำกับ/มือเขียนบทสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Paranormal Activity: The Marked Ones และ Scouts Guide to the Zombie Apocalypse แลนดอน ผู้กำกับผู้แสดงให้เห็นถึงความชำนาญในการหลีกเลี่ยงการสร้างภาพยนตร์สยองขวัญแบบดาษๆ รู้สึกหลงใหลในเรื่องราวที่สะท้อนสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความบันเทิงและความท้าทายให้กับผู้ชมอีกด้วย
เมื่อเขาได้รู้ถึงเรื่องราว Happy Death Day ของล็อบเดล ผู้กำกับก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับช่วงเวลาไม่รู้จบสุดคลาสสิกในปี 1993 เรื่องหนึ่ง “ตอนที่ผมอ่านบทหนังเรื่องนี้ ผมก็มีปฏิกิริยาแบบเดียวกับทุกคนทันที ‘นี่มันเวอร์ชันสยองขวัญของ Groundhog Day! ทำไมไม่เคยมีการสร้างอะไรแบบนี้มาก่อนนะ’ น่ะครับ” เขาถาม “ตอนนั้นเองที่ผมเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา เพราะแค่คอนเซ็ปต์เองก็โป๊ะเชะแล้ว มันชาญฉลาดจริงๆ ครับ”
หลังจากเคยร่วมงานกันมาแล้วในแฟรนไชส์ Paranormal Activity แลนดอนก็ได้ร่วมงานกับเจสัน บลูมและบลูมเฮาส์ โปรดักชันส์ของเขา อีกครั้งใน Happy Death Day บลูม ผู้เป็นที่รู้จักจากการร่วมมือกับผู้กำกับผู้มีจินตนาการบรรเจิด ได้เป็นหัวหอกในการสร้างเรื่องราวที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 2017 สองเรื่อง โปรเจ็กต์ล่าสุดของเขารวมถึงภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง Split จากมือเขียนบท/ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้างเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน ซึ่งติดอันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศสามสัปดาห์ซ้อนและ Get Out เรื่องราวฮิตม้ามืดแห่งปีจากมือเขียนบท/ผู้กำกับ/ผู้อำนวยการสร้างจอร์แดน พีล ซึ่งเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในบ็อกซ์ออฟฟิศและทำรายได้ไปกว่า 250 ล้านเหรียญทั่วโลก
แลนดอนเล่าถึงความท้าทายของการมีตัวละครเอกที่ใช้ชีวิตในวันเดิมๆ ซ้ำๆ กันว่า “ในตอนที่คุณต้องเจอกับวันเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก การติดกับดักก็เป็นเรื่องง่าย เรากำหนดวันขึ้นมา แล้วเราก็ทำมันซ้ำ เพื่อที่ว่าผู้ชมและตัวละครจะได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พอเราทำสิ่งต่างๆ พวกนี้แล้ว เราก็นำทรีออกนอกเส้นทางทันที เธอพยายามจะแก้ไขการตายของตัวเอง และในการทำแบบนั้น เรื่องราวก็จะนำพาผู้ชมไปสู่สถานที่ที่แตกต่างและทำให้พวกเขาได้เจอกับประสบการณ์ที่คาดไม่ถึงครับ”
ผู้กำกับสนใจนางเอกของเรื่องเป็นพิเศษ “ผมชื่นชอบไอเดียของตัวละครที่แข็งแกร่งเสมอ และผมก็ชื่นชอบการเปลี่ยนแปลงของตัวทรีเป็นพิเศษ” เขาเล่า “เธอเริ่มต้นจากการเป็นคนเห็นแก่ตัวที่น่ารังเกียจอย่างเหลือเชื่อ และผมก็มีความสุขที่ได้เห็นเธอเปลี่ยนไปเป็นคนที่คุณเริ่มแคร์และเอาใจช่วย บทหนังเรื่องนี้สามารถทำแบบนั้นได้ครับ”
ล็อบเดล ผู้โด่งดังจากผลงานแปลกใหม่ของเขาในการ์ตูน X-Men จากมาร์เวล คอมิกส์ (“Daredevil,” “Fantastic Four”) เล่าว่าเป้าหมายของเขาคือการสร้างเรื่องราวที่ตัวเอกจะต้องไขคดีปริศนาฆาตกรรมของตัวเธอเอง มือเขียนบทอธิบายว่า “หนังฆาตกรรมวัยรุ่นส่วนใหญ่จะนำเสนอเรื่องราวที่เหยื่อคนแล้วคนเล่าถูกกำจัด ซึ่งพอคุณถูกคุกคามและฆ่า เราก็จะไม่ได้ยินเรื่องราวจากคุณอีกเลย ผมสนใจไอเดียของตัวละครที่ได้แสดงปฏิกิริยาต่อการตายของตัวเอง คนที่สามารถสะกดรอยฆาตกรของตัวเองและมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากวันสุดท้ายของชีวิตเธอได้มากที่สุด”
ล็อบเดลตั้งใจใช้นางเอกสาวสุดแสบนี้ในการหาวิธีที่จะทำให้ผู้ชมมพอใจไปกับการติดตามการผจญภัยของคนที่น่ารังเกียจแบบนี้ “เช่นเดียวกับแฟนหนังสยองขวัญส่วนใหญ่ ผมสังเกตเห็นแนวเรื่องที่สาวนิสัยเสียจะตายตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเรื่อง ในขณะที่สาวแสนดีจะถูกทิ้งให้ต้องเผชิญหน้ากับฆาตกรตามลำพัง ผมสนใจความท้าทายของการเขียนบทหนังที่สาวนิสัยเสียและสาวแสนดีเป็นคนเดียวกัน พอเราได้รู้จักทรี และเธอได้รู้จักตัวเองผ่านประสบการณ์น่าสยดสยองของตัวเอง เราก็จะลุ้นไปกับการดิ้นรนของเธอ ดังนั้น พอถึงตอนสุดท้าย เราก็จะเอาใจช่วยเธอครับ”
แลนดอนเล่าว่าสิ่งที่ทำให้เขาสนใจเกี่ยวกับการทำให้โปรเจ็กต์นี้เป็นงานต่อไปของเขาคือเรื่องราวนี้เป็นตัวแทนของทั้งอารมณ์ขันและความสยองขวัญ “เรื่องน่ากลัวของเราก็คือเรื่องน่ากลัว ที่จะทำให้คนสะดุ้งและร้องกรี๊ด แต่เสียงหัวเราะเราก็มีเหมือนกัน คอเมดีและเรื่องสยองขวัญมีอะไรหลายอย่างเหมือนกัน แม้ว่าอาจจะเป็นการจับคู่กันที่ประหลาดก็ตาม สิ่งที่ปูพื้นไปสู่ความน่ากลัวก็คล้ายคลึงกันมากๆ กับการปูพื้นไปสู่มุขตลก ถ้าคุณสามารถค้นพบจังหวะที่คุณสามารถทำให้ผู้ชมกลัวแล้วทำให้เกิดเสียงหัวเราะ และสับเปลี่ยนระหว่างสองสิ่งนี้ได้ล่ะก็ ผู้ชมก็จะสนุกสนานมากขึ้นไปอีกครับ”
ผู้กำกับเล่าถึงงานแสนสาหัสในการรวมทั้งสองแนวที่แตกต่างกันนี้ให้อยู่ในโปรเจ็กต์เดียวว่า “ในตอนที่คุณสามารถสร้างให้ตัวละครที่เข้าถึงได้มีชีวิตอยู่ในโลกที่น่าเชื่อ ที่ผู้ชมสามารถจดจำได้ มันก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ ผมสามารถสร้างทั้งความน่ากลัวและเสียงหัวเราะได้เพราะผู้ชมเชื่อในเรื่องราวครับ”
บลูมเล่าถึงเหตุผลของเขาที่ต้องการจะร่วมงานกับแลนดอนในครั้งนี้ว่า “ผมเคยร่วมงานกับคริสมาในหนังห้าเรื่องและผมก็ไว้ใจเขาในเชิงสร้างสรรค์จริงๆ เขาให้บทหนังเรื่องนี้กับผมและผมก็ชื่นชอบไอเดียนี้ แต่เหตุผลจริงๆ ที่ผมตกลงก็เพราะผมเชื่อในตัวเขาครับ”
ผู้อำนวยการสร้างมากประสบการณ์ตรวจสอบแง่มุมที่น่าตื่นเต้นของเส้นเรื่องนี้ และแนวทางการนำเสนอว่า “ผู้ชมรู้ว่าตัวละรตัวนี้จะถูกฆ่า แต่คุณไม่รู้หรอกว่าด้วยวิธีไหน คริสให้ข้อมูลกับผู้ชมมากพอที่จะทำให้พวกเขารู้สึกกลัว แต่ไม่มากเกินไป วิธีที่ข้อมูลถูกนำเสนอออกมาทำให้หนังเรื่องนี้น่าสะพรึงกลัวและมีประสิทธิภาพครับ”