happy on September 30, 2017, 06:56:31 PM
กูรูแนวหน้าระดับประเทศยกทัพชี้แนวทางการศึกษาและตลาดงานยุค 4.0
ในงานสัมมนา “โลกเปลี่ยน เรา (ต้อง) ปรับ’’ จัดโดย Mango Learning Express ร่วมกับ Durham University Thai Society


Mango Learning Express ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาต่อในสหราชอาณาจักร และตัวแทนอย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัยDurham และมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหราชอาณาจักร ร่วมกับ Durham University Thai Society จัดงานสัมมนา Durham Knowledge Sharing ในหัวข้อ “โลกเปลี่ยน เรา (ต้อง) ปรับ: การศึกษา ตลาดงาน และความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัล” เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนเตรียมความพร้อมให้แก่เยาวชนในการศึกษาต่อต่างประเทศ ด้วยการวางแผนการศึกษาอย่างรู้เท่าทัน สอดรับกับความเปลี่ยนไปในอนาคต พร้อมยกทัพสุดยอดผู้บริหารชั้นนำระดับประเทศที่มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์และความรู้ สู่การพัฒนาบุคลากรในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศในยุค 4.0


การจัดงานครั้งนี้ Mango Learning Express ได้นำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในฐานะสถาบันแนะแนวการศึกษาต่อมาถ่ายทอด พร้อมกับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิชั้นนำระดับประเทศที่มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และให้แนวคิดในการวางแผนทางการศึกษาอย่างครอบคลุม


คุณอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ Line ประเทศไทย ได้มาแนะแนวการวางแผนการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยชี้ว่า ‘‘การจะประสบความสำเร็จนั้น เราต้องกล้าที่จะเดินในเส้นทางที่แตกต่างจากคนอื่น จะทำให้ได้เปรียบ หากมีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ นักเรียนไทยควรที่จะใช้ชีวิตในแบบของคนประเทศนั้นๆ มากกว่าการรวมกลุ่มคนไทยด้วยกันเอง เพราะ จะทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่หลากหลายมากกว่าแค่ในห้องเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วและความกล้าในการแสดงความเห็น ซึ่งย้งคงเป็นจุดอ่อนของเด็กไทยในปัจจุบันที่ควรพัฒนา นอกจากนี้ทักษะด้านบุคคลหรือ People Skill ก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเพื่อการเข้าสู่การเป็นผู้บริหารต่อไป ทั้งนี้ เพื่อสอดรับกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต คนรุ่นใหม่จำเป็นที่จะต้องมี Analytical Thinking ในการแก้ปัญหา และต้องเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยี เพราะ โลกเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น และเทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อทุกอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันคนไทยมีสถิติการใช้อินเตอร์เน็ต 2 ใน 3 ของประชากร’’


พ.อ.ดร. เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกรรมการกิจการโทรคมนาคม และรองประธานกสทช.ร่วมพูดถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและการเตรียมความพร้อมสู่ยุคดิจิทัลในอีก 10 ปี โดยกล่าวว่า ‘‘อนาคตในอีกสิบปีจากนี้โลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และจะเกิดปรากฏการณ์พลิกผันอย่างคาดไม่ถึงของเทคโนโลยี หรือที่เรียกว่า Super-Exponential ด้วยการเติบโตของเทคโนโลยี ทำให้เกิดแป็น Big Data มากมายส่งผลต่อการสร้าง Learning ในเชิงลึกและทำให้สามารถคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโลก ในอีก 5 ปี จะมีอุปกรณ์เชื่อมโยงข้อมูล 1 แสนล้านชิ้น และจะมี Big Data ประกบกับ Ai เรียนรู้ประสบการณ์ พฤติกรรมต่างๆ ทำให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ในการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตนั้น เราต้องสร้างคนให้เข้ากับความต้องการในอนาคต คือ 1.เป็นนักวิเคราะห์ที่รู้จักใช้เครื่องมือใหม่ๆในอนาคต 2.มีความคิดสร้างสรรค์ในการแปลง Big Data ให้เข้าคนทั่วเข้าใจได้ และสนใจเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่ตลอด และ 3.สามารถทำรูปแบบการนำเสนอใหม่ๆ เช่น กราฟฟิก ภาพสามมติ และ Visualization ได้  ’’


อีกทั้ง รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังร่วมกล่าวถึงการเปลี่ยนทัศนคติเพื่อเตรียมความพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในโลกยุคดิจิทัล สู่การเป็นผู้รอดที่พร้อมแข่งขันในธุรกิจ และชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของคนในปัจจุบันที่เปลี่ยนไปกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ‘‘การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากตัวเรา เราไม่สามารถถูกบังคับให้เปลี่ยนได้ ทุกวันนี้คนยังคงกลัวอนาคต แต่ในความเป็นจริงอนาคตมาถึงแล้ว เพียงแต่ใครจะรู้หรือเห็นก่อนเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของอนาคตคือ Flow of knowledge ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญกว่า Storage of knowledge หรือความรู้ในห้องเรียน เพราะจะทำให้คนเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา, การสื่อสารและการหาความรู้เพิ่มเติม โดยในอนาคตทุนนิยมต้องเป็น creative disruption ที่ต้องมีนวัตกรรมเพื่อสร้างสิ่งใหม่ในการพัฒนาประเทศ เพราะ Innovation เป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ ด้วยการดูปัญหาที่อยู่รอบตัว คิดหาSolution และสร้างValue ให้เกิดขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว เด็กไทยต้องรู้จักการ Connect the dots คือการผสานความรู้, ประสบการณ์ และ ความคิดสร้างสรรค์เข้าด้วยกัน’’


คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมบรรยายถึงข้อดีของระบบการศึกษาในต่างประเทศสู่แนวทางการพัฒนาการศึกษาไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรและสอดรับกับตลาดงานในอนาคต โดยกล่าวว่า ‘‘ความเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อคนไทยนั้นเกิดจาก Mega trend ประการแรกคือ Urbanization การย้ายถิ่นฐานของประชากรจากชนบทสู่เมือง ซึ่งทั่วโลกตอนนี้พบว่ามีถึง 1,500 ล้านคน และคาดการณ์ว่าอนาคตจะถึง 3,500 ล้านคน อีกประการคือ การเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และประการสุดท้ายคือ การเป็นสังคมผู้อายุ โดยพบว่าปัจจุบันมีอัตราส่วนของคนวัยทำงานและผู้สูงอายุอยู่ที่ 5:1 ซึ่งในอนาคตคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 2:1 ในอีก 20 ปี จะทำให้ตลาดงานมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น แต่หลายปัญหาแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยี จากการใช้ทรัพยากรที่มีน้อยลงให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เพราะฉะนั้นไทยจึงควรลงทุนพัฒนาด้านการศึกษา ซึ่งต้องใส่ใจตั้งแต่เด็กอายุยังน้อยสู่การเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ หรือที่เรียกว่า zero to hero อีกทั้งในปัจจุบันพบว่าจากการศึกษาไทยไม่ตอบโจทย์ทั้งนักเรียนและนายจ้างได้ เนื่องจากเด็กไทย ใช้เวลากว่า 80% ในการเรียนทฤษฎี และเรียนรู้ภาคปฏิบัติไม่ถึง 20% ซึ่งเป็นสถิติที่สวนทางกับการศึกษาของหลายๆประเทศ ซึ่งการเปลี่ยนที่ควรเกิดขึ้นนั้นนอกจากวิธีการสอนแล้ว วิธีการทดสอบเด็กควรเปลี่ยนเพื่อสอดรับกันด้วย โดยอีกประการที่จะช่วยให้เด็กไทยสามารถพัฒนาศักยภาพได้คือความสามารถด้านภาษาที่จะทำให้เด็กไทยสามารถค้นหาความรู้ได้’’


นอกจากนี้คุณกานต์ จาติกวณิช ซึ่งปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยDurham มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับ 3 ของประเทศอังกฤษ ยังได้ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์การเรียนในประเทศอังกฤษ และบรรยายถึงความสำคัญการใช้เทคโนโลยีเพื่อพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ โดยมีตัวอย่างโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่าง English for all ซึ่งเป็นโครงการไม่แสวงผลกำไรที่มุ่งพัฒนาความรู้ความสามารถด้านภาษาอังกฤษของนักเรียนในชนบทเพื่อสร้างความเท่าเทียมด้านการศึกษา


คุณปรียาพร สินฉลอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมงโก้ เลิร์นนิ่ง เอ็กซ์เพรส จำกัด ร่วมบรรยายถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของกลุ่มคนรุ่นใหม่ และการปรับตัวของสถาบันแนะแนวการศึกษาให้สอดรับกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป กล่าวว่า ‘‘จากประสบการณ์การให้คำแนะนำด้านการศึกษาต่อเนื่องอย่างยาวนาน เราพบว่าพฤติกรรมของกลุ่มคนรุ่นใหม่นั้นเปลี่ยนไปอันมีสาเหตุมาจากความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี นอกจากนี้คนรุ่นใหม่ยังประสบปัญหาที่บางคนไม่รู้จะเรียนอะไรดี หรือบางคนไม่กล้าเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบเพราะไม่รู้ว่าจะสามารถสร้างอาชีพจากสิ่งนั้นได้หรือไม่ ทำให้หลายคนไม่สามารถวางแผนการศึกษาต่อได้ตรงความต้องการที่แท้จริง ส่งผลให้เยาวชนไทยส่วนใหญ่ไม่พอใจกับงานของตนเองเมื่อถึงวัยทำงาน Mango Learning Express จึงปรับรูปแบบการให้บริการเพื่อแก้ปัญหาและสอดรับกับพฤติกรรมของเยาวชนอย่างแท้จริง ด้วยแนวคิด Service Design Thinking ที่มีกระบวนการดำเนินงาน ประกอบไปด้วย การศึกษา Customer pain เพื่อหาปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า, Customer empathy ออกแบบคำถามด้วยความเข้าใจลูกค้า เพื่อค้นหาให้เจอว่าอะไรคือความต้องการที่แท้จริง, Customized plan ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้คำแนะนำตามความต้องการและความถนัดของลูกค้าแต่ละคน ให้เข้ากับความต้องการของตลาดในแต่ละสาขาอาชีพ และ Customer journey เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมในทุกๆการติดต่อสื่อสาร ทั้งในแง่การให้คำแนะแนวแบบ real-time การแชร์ข้อมูลและเอกสาร หรือแม้กระทั่งการใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียในการสร้างภาพลักษณ์และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าสู่การให้คำแนะนำการศึกษาต่อเพื่อสร้าง user experience ที่ดีเยี่ยม ซึ่งจะช่วยให้เด็กไทยสามารถบรรลุผลสำเร็จทางการศึกษาได้อย่างดี’’ 


โดยทั้งหมดนี้จะเป็นแนวคิดที่สำคัญซึ่งจะช่วยทำให้เยาวชนตลอดจนผู้ปกครองสามารถวางแผนการศึกษาต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่นอกจากจะช่วยให้เยาวชนสามารถบรรลุเป้าหมายทางการศึกษาได้แล้วนั้น ยังช่วยพัฒนาสู่การเป็นบุคลากรที่สำคัญของประเทศต่อไปในอนาคต