ดีเอชแอล ทุ่ม 2.7 พันล้านบาท เดินหน้ายกระดับธุรกิจลอจิสติกส์
ในไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์
ดีเอชแอล ซัพพลายเชน เตรียมพัฒนาศูนย์ปฏิบัติงานแห่งใหม่ เพิ่มจำนวนรถบรรทุกขนส่งสินค้า และลงทุนติดตั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย พร้อมสร้างงานอีกกว่า 5,000 ตำแหน่งภายใน 3 ปี
นำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรและนวัตกรรมบริการรูปแบบใหม่ เพื่อส่งเสริมการเติบโตแบบข้ามภาคส่วนของธุรกิจลอจิสติกส์ทั้งในไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์กรุงเทพฯ 22 สิงหาคม 2560 – บริษัท ดีเอชแอล ซัพพลายเชน จำกัด ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ชั้นนำระดับโลก ประกาศการลงทุนจำนวน 2.7 พันล้านบาท (ราว 70 ล้านยูโร) ภายในปี ค.ศ. 2020 เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์ ซึ่งนอกเหนือจากการเป็นผู้นำในธุรกิจลอจิสติกส์ของไทยและเวียดนามในปัจจุบัน ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ยังเป็นบริษัทผู้ให้บริการลอจิสติกส์ที่ต่างชาติถือหุ้น 100% รายแรกและรายเดียวที่ได้รับใบอนุญาตให้ลงทุนในระยะยาวในประเทศเมียนมาร์ในเดือนที่ผ่านมา และยังมีแผนการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจในกัมพูชาเป็นเป้าหมายต่อไป สำหรับแผนธุรกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนการพัฒนาศูนย์ปฏิบัติงานแห่งใหม่ เพิ่มจำนวนรถบรรทุกสินค้า และลงทุนติดตั้งเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย พร้อมสร้างงานใหม่อีกกว่า 5,000 ตำแหน่ง ในตลาดเป้าหมายทั้งสี่ประเทศ
การลงทุนครั้งนี้ของดีเอชแอลยังตอบสนองความต้องการในหลาย ๆ ด้านของประเทศไทยที่กำลังเติบโต รวมถึงภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศที่คาดว่าจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากรัฐบาลไทยมีการลงทุนกับโครงการระดับเมกะโปรเจ็คต์หลายโครงการ ได้แก่ การยกระดับโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) แผนการขยายท่าอากาศยาน และอื่น ๆ ซึ่งล้วนดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้เข้าสู่ประเทศไทยมากยิ่งขึ้น มร.เควิน เบอร์เรลล์ ผลการวิจัยของธนาคารกสิกรไทย ระบุว่าในปี ค.ศ. 2017 มูลค่าของธุรกิจการขนส่งทางบก และคลังสินค้าของไทยจะมีอัตราเติบโตราว 5-7% โดย มร.เควิน เบอร์เรลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจประเทศไทย ดีเอชแอลซัพพลายเชน อธิบายว่า “ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เราลงทุนทั้งในส่วนคลังสินค้าและการขนส่งในประเทศไทย ผสานกับความสามารถในการนำเสนอโซลูชั่นแบบครบวงจรที่ดีเยี่ยมแก่ลูกค้าของเรา เราจะสามารถเพิ่มมูลค่าของบริการได้อย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้ดีเอชแอลมีความโดดเด่นกว่าผู้ให้บริการรายอื่นในตลาดมีการคาดการณ์ว่าการเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเป็นการเติบโตแบบต่อเนื่อง โดยเราพร้อมที่จะให้การบริการลอจิสติกส์แบบครบวงจรแก่บริษัทข้ามชาติที่จะมาลงทุนในประเทศ”
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย ได้ย้ายสำนักงานใหญ่มายังอาคาร จี ทาวเวอร์ ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ บนถนนพระราม 9 การย้ายสำนักงานครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งสู่การปรับปรุงคุณภาพของบริการที่มีรางวัลรองรับของดีเอชแอล ตลอดจนยกระดับความเชี่ยวชาญเชิงลึกในบริการเพิ่มมูลค่าสำหรับการนำเสนอโซลูชั่นการจัดการด้านซัพพลายเชนแบบครบวงจร เพื่อมอบบริการที่ดียิ่งขึ้นทั้งสำหรับลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ โดยในปัจจุบัน ดีเอชแอลมีชื่อเสียงในฐานะผู้ให้บริการลอจิสติกส์อันดับ 1 ในประเทศไทยซึ่งมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ เพียบพร้อมด้วยคลังสินค้ากว่า 70 แห่งที่มีพื้นที่กว่า 650,000 ตร.ม. พร้อมการสนับสนุนจากพนักงานผู้ทุ่มเทกว่า 10,000 คน นอกเหนือจากทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ความสามารถแล้ว ดีเอชแอลยังนำระบบอัจฉริยะมาใช้เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานให้ดียิ่งขึ้นทั้งในส่วนคลังสินค้าและการขนส่ง อาทิ ระบบการทำงานอัตโนมัติและวิทยาการหุ่นยนต์ รถยกสินค้าแบบไร้คนขับ ระบบหยิบสินค้าแบบวิชั่นพิกกิ้ง ศูนย์ปฏิบัติการควบคุมการขนส่งและระบบเทเลมาติกส์https://www.kasikornbank.com/th/business/sme/KSMEKnowledge/article/KSMEAnalysis/Pages/Transportation-with-Logistic40.aspxมร.เควิน กล่าวเสริมว่า “ดีเอชแอลให้การบริการที่ครอบคลุมตลอดกระบวนการซัพพลายเชนที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละภาคธุรกิจ ซึ่งมีทั้งการบริหารจัดการคลังสินค้า และการขนส่งเพื่อธุรกิจหลากหลายประเภท ความเชี่ยวชาญด้านโซลูชั่นการจัดการด้านซัพพลายเชนแบบครบวงจร และบริการด้านการบริหารงานเต็มรูปแบบ โดย ดีเอชแอล ซัพพลายเชน นำเสนอโซลูชั่นที่มีมาตรฐานระดับโลก คุ้มค่าต่อการลงทุน เปี่ยมด้วยคุณภาพระดับสูง และใช้นวัตกรรมสมัยใหม่ ที่เหมาะสมกับทุกภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ภาคอุตสาหการ พลังงานและเคมี รวมถึง สินค้าเพื่อสุขภาพเรามุ่งมั่นสนับสนุนลูกค้าด้วยการส่งมอบบริการและนวัตกรรมเพื่อการดำเนินงานที่ดีเยี่ยม ครอบคลุมตลอดกระบวนการซัพพลายเชน เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางลอจิสติกส์ระดับพรีเมียร์ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความเจริญเติบโตทางธุรกิจในตลาดที่เราเป็นผู้นำด้านลอจิสติกส์ อาทิ ไทยและเวียดนาม และเน้นการลงทุนในตลาดที่เป็นเป้าหมายต่อไป ซึ่งก็คือเมียนมาร์และกัมพูชา”
ดีเอชแอล เป็นผู้เชี่ยวชาญในภาคธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค ยานยนต์ เทคโนโลยี และอุตสาหการ บริษัทยังมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อการวิจัยแนวโน้มทางธุรกิจ การพัฒนาโซลูชั่น และเพื่อสร้างความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ บริษัทยังได้เชื่อมโยงลูกค้า สถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษา หุ้นส่วนธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญด้านลอจิสติกส์ ให้มาร่วมสร้างสรรค์บริการที่จะช่วยยกระดับกระบวนการซัพพลายเชนแบบครบวงจร เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดที่แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องด้านลอจิสติกส์ทั่วภูมิภาค###
ดีเอชแอล – ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ระดับโลกดีเอชแอล คือผู้นำระดับโลกทางด้านอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ มอบบริการและความเป็นเลิศด้านลอจิสติกส์ทั้งการขนส่งสินค้าภายในและระหว่างประเทศ การขนส่งสินค้าอี-คอมเมิร์ซและโซลูชั่นครบวงจร การขนส่งด่วนทางบก ทางเรือ และทางอากาศ ตลอดจนการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานในภาคอุตสาหกรรม ด้วยบุคลากรกว่า 350,000 คนใน 220 ประเทศทั่วโลก ดีเอชแอลเชื่อมโยงผู้คนและธุรกิจด้วยบริการที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศด้วยความเชี่ยวชาญและโซลูชั่นด้านลอจิสติกส์ที่สร้างความเติบโตให้กับตลาดและภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั้งธุรกิจด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ชีวภาพและบริการทางการแพทย์ พลังงาน รถยนต์และธุรกิจค้าปลีก รวมถึงความมุ่งมั่นในการรับผิดชอบต่อสังคมและการขยายการดำเนินงานสู่ตลาดที่กำลังพัฒนา ดีเอชแอลจึงมั่นใจว่า เราคือ “ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ระดับโลก” ที่แท้จริง
ดีเอชแอล เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท ดอยช์ โพสต์ ดีเอชแอล โดยกลุ่มบริษัทมีรายได้มากกว่า 57,000 ล้านยูโรในปี ค.ศ. 2016
มร. เควิน เบอร์เรล
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย เวียดนาม พม่า และกัมพูชา
มร. เควิน เบอร์เรล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย เวียดนาม พม่า และกัมพูชา รับผิดชอบการดำเนินธุรกิจและบริหารจัดการปฏิบัติการซัพพลายเชน รวมไปถึงขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต ทั้งในส่วนของคลังสินค้า การขนส่ง และบริการเสริมอื่นๆตลอดกระบวนการซัพพลายเชนที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย มร. เควินมีประสบการณ์การดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์มามากกว่า 20 ปี แลtดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงดูแลตลาดภูมิภาคเอเชียมานานถึง 15 ปี ด้วยทัศนคติที่มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตทั้งในแง่ของขนาด ผลกำไร รวมถึงคุณภาพ พร้อมด้วยทักษะในด้านการบริหารพัฒนาธุรกิจ การปฏิบัติงานและการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ ก่อนที่ก้าวสู่การเป็นผู้บริหารผู้ดูแลตลาดประเทศไทย มร. เควินได้เคยร่วมงานกับบริษัทโลจิสติกส์รายใหญ่ในภูมิภาคเอเชียหลากหลายแห่ง ทำให้ได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความต้องการและธุรกิจของลูกค้าจากแต่ละภาคธุรกิจต่างๆเป็นอย่างดี โดยเฉพาะภาคธุรกิจค้าปลีก (Retail) ภาคธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer) ภาคธุรกิจยานยนต์ (Automotive) ภาคธุรกิจเทคโนโลยี (Technology) และภาคธุรกิจอุตสาหการ (Industrial) ซึ่งมร.เควินมีบทบาทสำคัญในหลายปีที่ผ่านมา