MSN on July 03, 2017, 08:21:17 AM
“บล.ทรีนีตี้” หวั่นภาวะเงินเฟ้อต่ำกดบริโภค-ลงทุน แนะหลบภัยหุ้นสาธารณูปโภค-อุปโภคบริโภคจำเป็น-การแพทย์บล.ทรีนีตี้ ส่องหุ้นประจำเดือนกรกฎาคมยังไซด์เวย์กรอบ 1540-1600 จุด ห่วงภาวะเงินเฟ้อต่ำกดดันการบริโภค-การลงทุน หลังกระทรวงพาณิชย์ปรับเป้าเงินเฟ้อปีนี้ลดลงเหลือ 0.7-1.7% แนะลงทุนหุ้นที่มีฐานรายได้สม่ำเสมอและกลุ่มอุปโภคบริโภคจำเป็น ได้แก่ สาธารณูปโภค-ร้านสะดวกซื้อ-การแพทย์ นอกจากนั้นประเมินราคาหุ้นกลุ่มพลังงานสะท้อนข่าวร้ายไปพอสมควรแล้ว ยก BCPG , WHAUP , CPALL, BJC , BCH, CHG, PTT, PTTEP, BCP, SPRC, TOP น่าลงทุน
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคมนี้จะยังคงแกว่งตัวออกข้าง (Sideways) ต่อไปในกรอบ 1540 - 1600 จุด เนื่องจากยังไม่เห็นปัจจัยที่มีแนวโน้มผลักดันดัชนีไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน โดยขาขึ้นยังคงจำกัดจาก Valuation ของตลาดที่ทรงตัวในระดับสูง ส่วนความเสี่ยงขาลงยังคงจำกัดจากทิศทางฟันด์โฟลว์ที่ยังไม่เห็นสัญญาณไหลออก แนะนำกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบแนวต้านแนวรับดังกล่าว
ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การปรับลดประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปปี 2560 ของกระทรวงพาณิชย์ลงมาอยู่ที่ 0.7-1.7% จากเดิมคาด 1.5-2.2% ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ประเทศไทยอยู่ในช่วงความเสี่ยงเงินเฟ้อต่ำอย่างแท้จริง (Disinflation) ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจมาตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อต่ำนี้จะยิ่งทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายของตนเองในปัจจุบัน รวมไปถึงภาคธุรกิจที่อาจจะชะลอแผนการลงทุนในอนาคต บ่งชี้ว่าภาคอุปสงค์ในประเทศของไทยอาจยังคงอยู่ในระดับที่อ่อนแออีกสักระยะ
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศต้องติดตามรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC Minutes) รอบเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาซึ่งจะออกมาช่วงดึกคืนวันที่ 5 กรกฎาคมตามเวลาบ้านเรา
และการลงมติร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังวันชาติสหรัฐฯ 4 กรกฎาคม หลังจากที่ได้มีการเลื่อนมาก่อนหน้านี้ หากการลงมติไม่สำเร็จหรือมีความล่าช้าเกิดขึ้นอีก อาจจะทำให้การผลักดันกฎหมายอื่นๆที่มีความสำคัญกว่า เช่น การปฏิรูปภาษี และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ต้องเลื่อนออกไปจากไตรมาส 3 นี้ ซึ่งอาจเป็นผลดีต่อตลาดเกิดใหม่ที่ยังได้รับอานิสงค์จาก ฟันด์โฟลว์ ต่อไป
สำหรับกลยุทธ์แนะนำ เลือกหุ้นกลุ่มที่มีรายได้สม่ำเสมอ และไม่พึ่งพิงภาวะเศรษฐกิจมากนัก อาทิ กลุ่มสาธารณูปโภค (Utility) ที่ยังคงเป็นหลุมหลบภัยในภาวะนี้ได้ต่อไป เนื่องจากมีความผันผวนต่ำและสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในระดับสูง
“กลุ่มสาธารณูปโภค นับเป็น Top pick ของเรามาตั้งแต่เดือนที่แล้ว ซึ่งล่าสุดดัชนี Utility Index ที่เราจัดทำขึ้นมา สามารถปรับตัวได้ดีกว่าตลาด (Outperform) เป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกันแล้ว” นายณัฐชาต กล่าว
โดยกลุ่มสาธารณูปโภคแนะนำลงทุน BCPG และ WHAUP จากแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจ ซึ่งสามารถคาดหวังการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นได้ด้วย ส่วนหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผล (Dividend Yield) ในระดับสูงและคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลคือ GLOW, EGCO, RATCH เหมาะสำหรับนักลงทุนที่อยากรับเงินปันผลในระดับสูง ไม่เน้นการเคลื่อนไหวของราคา
นอกจากนั้นยังสนใจกลุ่มสินค้าและบริการจำเป็น เช่น CPALL, BJC และ กลุ่มการแพทย์ เช่น BCH, CHG ยังเป็นกลุ่มที่น่าจะแข็งแกร่งกว่าตลาด ในสภาวะที่การจับจ่ายใช้สอยยังคงตึงตัวอยู่เช่นนี้
ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มพลังงานนับเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ ณ ขณะนี้ เนื่องจากยังคงประเมินเช่นเดิมว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันยังคงปรับตัวช้ากว่าตลาด และราคาน้ำมันดิบปัจจุบัน มีความเสี่ยงขาลงที่จำกัด รวมถึงค่าการกลั่นล่าสุดยังคงอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของปีนี้ ส่วนประเด็นการขาดทุนสต็อกน้ำมัน (Stock loss) ของกลุ่มโรงกลั่น ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 2/2560 มองว่านักลงทุนได้รับรู้ไปพอสมควรแล้ว
โดยสำหรับกลุ่มพลังงานต้นน้ำเลือก PTT และ PTTEP เป็นหุ้นแนะนำ ส่วนกลุ่มโรงกลั่นเลือก BCP, SPRC, TOP เนื่องจากยังคงมี Valuation และระดับเงินปันผลที่น่าสนใจ ประกอบกับคาดว่าจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลอีกด้วย
« Last Edit: July 03, 2017, 03:28:34 PM by MSN »
Logged