happy on June 28, 2017, 07:14:18 PM
The Beguiled
บทภาพยนตร์
และกำกับโดย โซเฟีย คอปโปลา
กำหนดฉายในไทย : 27 กรกฎาคม 2560
เรื่องย่อThe Beguiled เป็นภาพยนตร์แนวระทึกขวัญด้วยบรรยากาศของหนัง จากผู้กำกับและเขียนบทที่ได้รับการยกย่อง โซเฟีย คอปโปลา
เรื่องราวของหนังเกิดขึ้นในโรงเรียนประจำหญิงล้วนในภาคใต้ของอเมริกา ช่วงสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ กลุ่มเด็กสาวช่วยชีวิตและนำทหารฝ่ายศัตรูที่บาดเจ็บเข้ามาอยู่ในโรงเรียน ขณะที่พวกเธอให้ที่พักพิงและรักษาอาการบาดเจ็บของเขา สถานที่แห่งนี้ก็ถูกครอบงำด้วยความตึงเครียดเรื่องชู้สาวและการชิงดีชิงเด่นที่เป็นภัย และข้อห้ามก็ถูกละเมิดเมื่อเกิดการพลิกผันที่ไม่คาดคิดของเรื่องราว
โฟกัส ฟีเจอร์ส เสนอภาพยนตร์จากการสร้างของบริษัทอเมริกัน โซอีโทรพ เรื่อง The Beguiled นำแสดงโดยโคลิน ฟาร์เรลล์, นิโคล คิดแมน, เคียร์สเตน ดันสต์, แอลล์ แฟนนิง ดนตรีประกอบโดยฟีนิกซ์ ดัดแปลงจาก Magnificat ของเคลาดิโอ มอนเตแวร์ดี, สเตซี แบทแททออกแบบเสื้อผ้า, ตัดต่อโดยซาราห์ แฟล็ค (เอซีอี), ออกแบบงานสร้างโดยแอนน์ รอสส์, กำกับภาพโดย ฟิลิปป์ เลอ ซูร์ด (เอเอฟซี), โรมัน คอปโปลา, แอนน์ รอสส์, เฟร็ด รูส และโรเบิร์ต ออร์ทิซ เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร อำนวยการสร้างโดยยูรี เฮนลีย์ และโซเฟีย คอปโปลา เขียนบทดัดแปลงและกำกับโดยโซเฟีย คอปโปลา ผลงานภาพยนตร์โดยโฟกัส ฟีเจอร์ส เกี่ยวกับงานสร้างหลังจากเคยร่วมเดินทางกับตัวละครมากมายในช่วงพลิกผันของพวกเขาในศตวรรษที่ 18, 20 และ 21 ตอนนี้ผู้กำกับโซเฟีย คอปโปลา เดินทางเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 ด้วยผลงานเรื่อง The Beguiled ซึ่งเธอเขียนบทดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกันของโทมัส คัลลิแนน
ผู้มาร่วมเดินทางครั้งใหม่กับผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์มีทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง คอปโปลากลับมาร่วมงานกับนักแสดงสาวสองคนที่เธอชื่นชอบในจำนวนหลายๆคน คือเคียร์สเตน ดันสต์และแอลล์ แฟนนิง และร่วมงานครั้งแรกกับโคลิน ฟาร์เรลล์ นักแสดงเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำ และนักแสดงรางวัลออสการ์ นิโคล คิดแมน นักแสดงมากประสบการณ์เหล่านี้ได้กลุ่มนักแสดงสาววัยรุ่นที่เพิ่งเริ่มสร้างชื่อเสียงในวงการมาเสริมทีม
ทีมงานในส่วนงานสร้างของคอปโปลา ก็รวมถึงแอนน์ รอสส์ คนออกแบบงานสร้าง, ซาราห์ แฟล็ค คนตัดต่อ และสเตซี แบทแทท คนออกแบบเสื้อผ้า ซึ่งแต่ละคนเคยร่วมงานกับเธอมาแล้วหลายเรื่อง นอกจากนี้ยังมีฟิลิปป์ เลอ ซูร์ด ผู้กำกับภาพที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์ มารับหน้าที่นี้ในหนังของคอปโปลาเป็นครั้งแรก
เหตุการณ์ของหนังเกิดขึ้นในปี 1864 เมื่อสงครามกลางเมืองของอเมริกาเข้าสู่ปีที่สาม และถ่ายทอดเรื่องราวในโรงเรียนประจำหญิงล้วนแห่งหนึ่งในภาคใต้ในเวอร์จิเนีย ที่มีทหารบาดเจ็บฝ่ายเหนือเข้ามาหลบภัย
เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง The Beguiled เวอร์ชั่นปี 1971 ที่กำกับโดยดอน ซีเกล นำแสดงโดยคลินต์ อีสต์วู้ด, เจอรัลดีน เพจ, อลิซาเบธ ฮาร์ตแมน และโจ แอนน์ แฮร์ริส ดึงดูดใจคอปโปลา และอยากสำรวจลงไปให้ลึกในธีมที่ว่าด้วยเรื่องราวของผู้หญิงที่อยู่กันอย่างโดดเดี่ยวในช่วงสงครามกลางเมือง ในการเขียนบทดัดแปลง เธอกลับไปหาหนังสือต้นฉบับเพื่อบอกเล่าเรื่องราวจากมุมมองของตัวละครผู้หญิงสำหรับหนังเรื่องนี้ของเธอ
ในขณะที่มีความตึงเครียดทั้งในเรื่องเพศและเรื่องอื่นตลอดเรื่องราวในหนัง “บทหนังที่น่าทึ่งมาก” ตามที่ฟาร์เรลล์คิด ดึงดูดใจเขาเพราะ “มันพินิจพิเคราะห์เรื่องที่ว่าความไร้เดียงสาใดๆที่คงอยู่มาตลอด ถูกทำลายไปได้อย่างไรในช่วงสงคราม มันยังสำรวจลงไปถึงการที่ลักษณะคล้ายสัตว์ของพฤติกรรมมนุษย์สามารถถูกกระตุ้นและแพร่กระจายได้อย่างไร แม้แต่ตอนที่คุณไม่ได้อยู่ในแนวหน้า”
“ความรุนแรงในหัวใจของมนุษย์เป็นธีมที่คงอยู่ตลอดกาล ไม่ว่าเรื่องราวของหนังจะเกิดขึ้นในยุคสมัยใด”
ดันสต์บอกว่า “เรื่องราวในหนังเป็นความลึกลับดำมืดแบบภาคใต้ ซึ่งสิ่งต่างๆจะคุกรุ่นอยู่ด้านล่าง จนกระทั่งมันถึงจุดเดือดและระเบิดออกมา มันไม่น่ากลัว แต่รู้สึกมีความน่ากลัวอยู่ในนั้น ด้วยความรุนแรงและการทำลายล้าง ทั้งหมดยิ่งกระตุ้นความสนใจมากขึ้น เพราะนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางผู้หญิง”
“ตอนโซเฟียบอกฉันเกี่ยวกับไอเดียนี้เมื่อสองสามปีที่แล้ว สิ่งที่ฉันประทับใจคือเธอสนใจประเด็นเกี่ยวกับผู้หญิงหลายคนที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง”
คิดแมนบอกว่า “ฉันคิดว่ามันน่าตื่นเต้นที่ได้ทำงานกับกลุ่มนักแสดงหญิง แล้วก็วางโคลินลงในความสมดุล”
“ฉันดีใจมากที่ได้สนับสนุนโซเฟียในฐานะผู้กำกับหญิง และฉันคิดเสมอว่าเธอทำหนังที่มีบรรยากาศในแบบที่เป็นลายเซ็นมาก นั่นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ฉันอยากทำงานกับเธอ”
แฟนนิงบอกว่า “นอกเหนือจากการได้ทำงานกับโซเฟียอีกครั้ง นี่เป็นเหตุผลที่ฉันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ The Beguiled ผู้หญิงเป็นฝ่ายที่กุมอำนาจในหนังเรื่องนี้ ถึงแม้ฉากของหนังจะเป็นเหตุการณ์ในช่วงสงครามกลางเมืองก็ตาม”
ชีวิตในช่วงสงครามของผู้หญิงในโรงเรียนเป็นกิจวัตรมากเมื่อเรื่องราวของหนังเริ่มต้นขึ้น แฟนนิงบอกว่า “พวกเธอตื่นนอน ทำงานในสวน มีการสวดมนต์ เล่นดนตรี เรียนภาษาฝรั่งเศส ทานมื้อค่ำ และเข้านอน จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พวกเธอพาตัวทหารบาดเจ็บเข้ามาในโรงเรียน และความเห็นแก่ตัวก็เริ่มขึ้น”
แอนน์ รอสส์บอกว่า “มันหายากที่คุณจะเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงในช่วงสงคราม และเรื่องที่ว่าพวกเธอมีปฏิกิริยาต่อกันยังไง ใน The Beguiled โซเฟียได้สำรวจลึกลงไปทั้งในมุมของความเป็นเพื่อน และความโดดเดี่ยวของพวกเธอ”
จากข้อจำกัดของสังคมที่ผู้หญิงเติบโตมาก หรือยังคงเติบโตต่อไป การค้นคว้าข้อมูลต้องเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการเตรียมงานสร้าง รอสส์บอกว่า “อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าอะไรคือความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นนวนิยาย”
“แต่โซเฟียกับฉันเริ่มต้นด้วยการทำแบบที่เราทำในหนังทุกเรื่อง นั่นคือการเอารูปภาพ, ของสะสมต่างๆที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรามาแชร์กัน ช่วยกันดู ทำเป็นมู้ดบอร์ดออกมา และเขียนรายละเอียดขอบเขตของหนัง” แรงบันดาลใจของหนังมีตั้งแต่หนังดราม่าของออสเตรเลีย เรื่อง Picnic at Hanging Rock จนถึงศิลปการวาดภาพคนของจิตรกร จอห์น ซิงเกอร์ ซาร์เจนต์
เลอ ซูร์ดเริ่มต้นเตรียมงานสำหรับ The Beguiled “หนึ่งปีเต็มก่อนเริ่มที่เราจะเริ่มการถ่ายทำ สิ่งที่ผมประทับใจตอนหาข้อมูลก็รวมถึงการได้ตรวจสอบการถ่ายภาพด้วยกล้องระบบดาแกร์โรไทพ์ และเรื่องที่การใช้สีแรงๆมีน้อยมากในช่วงสงครามกลางเมือง”
“โซเฟียกับยูรี เฮนลีย์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ตัดสินใจถ่ายทำด้วยฟิล์มภาพยนตร์ ซึ่งผมชื่นชมมาก และเราเลือกใช้อัตราส่วนของภาพแบบหนังสมัยเก่าคือ 1:66/1 เพื่อให้เห็นภาษากายของนักแสดงมากขึ้น”
ผู้กำกับภาพทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับแบทแททและรอสส์เรื่องการใช้สีของหนัง และเรื่องการทำออกมาได้ถูกต้องตรงกัน จากการที่เหตุการณ์ของหนังเกิดขึ้นก่อนที่จะมีไฟฟ้าใช้สิบกว่าปี จึงมีการจัดแสงแบบแสงธรรมชาติตอนกลางวันในฉากที่ต่อเนื่องกัน แสงธรรมชาติจะมีแสงเพิ่มเติมจากแสงเทียน ซึ่งจะมีเก็บไว้ รวมทั้งทำใช้กันเองในโรงเรียนประจำแห่งนี้ และในบางครั้งก็เป็นแสงจากไฟสตูดิโอยุคปัจจุบัน
รอสส์บอกว่า “ตอนที่แม็คเบอร์นีย์ (รับบทโดยฟาร์เรลล์) ปรากฏตัวครั้งแรก โลกที่เขาก้าวเข้ามาสีจะอ่อนๆ และซีดจาง เมื่อเขาอยู่กับพวกผู้หญิงนานขึ้นสิ่งต่างๆก็เริ่มเป็นสีเข้มขึ้น สะท้อนอารมณ์ของหนัง”
ฟาร์เรลล์บอกว่า “ผมชอบที่หนังมีความเป็นดราม่า และมีเมโลดราม่านิดหน่อยด้วย”
โคลิน ฟาร์เรลล์อยากร่วมงานกับคอปโปลามานานแล้ว ตอนที่ผู้กำกับหญิงคนนี้ติดต่อเขาสำหรับบทนี้ใน The Beguiled เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการถ่ายทำหนังอีกเรื่องกับนิโคล คิดแมน ฟาร์เรลล์พูดติดตลกว่า “ตอนนี้นิโคลกับผมเป็นหุ้นส่วนคนละ 50 เปอร์เซนต์ของบริษัททำหนังขนาดเล็กที่ใช้นักแสดงชุดเดิม”
“ผมชอบทำงานกับนิโคล ตอนเธอมาเข้าฉาก ทุกคนจะทำตัวดีขึ้น ตั้งแต่นักแสดงจนถึงช่างไฟ”
แฟนนิงบอกว่า “ทุกคนจะยืนตัวตรงขึ้น โดยเฉพาะตอนที่นิโคลกลายเป็นมิสมาร์ธา”
การมีนักแสดงอยู่ประจำในสถานที่ถ่ายทำเพื่อรับบทเป็นผู้หญิงในภาคใต้ การค้นคว้าข้อมูลจึงขยายขอบเขตกว้างมากขึ้น มีการเรียนวิธีการเขียนโดยใช้ปากกาแบบจุ่มหมึก มีการสาธิตวิธีการใช้เครื่องห้ามเลือด มีการซ้อมก่อนการถ่ายทำโดยนักแสดงแต่งตัวครบชุดด้วยเสื้อผ้าในยุคนั้น
แฟนนิงบอกว่า “ฉันมาจากจอร์เจีย เลยเข้าใจค่านิยมที่ตัวละครเหล่านี้ถูกเลี้ยงดูมา ฉันคุ้นเคยมากกับการทำตัวเป็นสุภาพสตรีแบบนี้”
“แต่ในระหว่างการซ้อม เราก็ต้องไปเจอโค้ชที่สอนเรื่องมารยาท และครูสอนเต้นรำที่สอนวิธีการเต้นรำสมัยนั้น”
ฟาร์เรลล์บอกว่า “ปฏิกิริยาระหว่างผู้ชายคนนี้กับผู้หญิงเหล่านี้เป็นไปตามมารยาทสังคม จนกระทั่งบางคนก้าวออกมาจากกรอบที่เป็นที่ยอมรับ จากนั้นมันก็ไม่ใช่บรรยากาศแบบที่ต้องจำกัดการแสดงความรู้สึกอีกต่อไป ผมไม่คิดว่าตัวละครของผมต้องมีมารยาทมากนัก แต่โซเฟียก็ขอให้ผมไปเจอโค้ชที่สอนเรื่องมารยาทด้วยเช่นกัน ผมก็เลยไป”
นักแสดงหญิงหลายคนต้องฝึกสำเนียงการพูดซึ่งถูกกำหนดเพื่อบอกสำเนียงเฉพาะของหลายรัฐ วันละหนึ่งชั่วโมง ในขณะที่ก็ทึ่งกับการสามารถคงการใช้เสียงแบบมิสมาร์ธาไว้ได้อย่างสม่ำเสมอของนิโคล คิดแมน เธอบอกว่า “ฉันพูดด้วยสำเนียงชาวใต้สำเนียงเฉพาะมาก และบางครั้งพยายามรักษาสำเนียงนั้นไว้ให้ได้ทั้งก่อนและหลังเทค”
อูนา ลอเรนซ์, แองกาวรี ไรซ์, เอ็มมา ฮาเวิร์ด และ แอดดิสัน ริคกี ถูกพูดถึงในฐานะ “ผู้เยาว์” เพราะนักแสดงหญิงทั้งสี่คน ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในอาชีพแล้ว แต่มีอายุต่ำกว่า 18 มิตรภาพระหว่างทั้งสี่คนแน่นแฟ้นขึ้นจากการเรียนหนังสือด้วยกันในระหว่างการถ่ายทำ รวมทั้งการนั่งรถไปและกลับสถานที่ถ่ายทำด้วยกันทุกวัน
เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอให้มากยิ่งขึ้น และสร้างตัวเชื่อมระหว่างการค้นคว้าข้อมูลและจินตนาการ คอปโปลาขอให้นักแสดงรุ่นเด็กเขียนบันทึกประจำวัน ในฐานะตัวละครที่พวกเธอแสดง เล่าถึงอดีต คือครอบครัวที่แต่ละคนต้องมาอยู่ห่างไกล รวมถึงปัจจุบันของพวกเธอ คือที่โรงเรียน ผู้กำกับยังให้ข้อมูลอย่างละเอียดแก่ทั้งสี่คนเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กสาวๆในวัยของพวกเธอจะประสบในช่วงสงครามกลางเมือง
ดันสต์บอกว่า “มิสมาร์ธาไม่ได้เป็นเพียงผู้นำของโรงเรียน แต่เธอเป็นผู้นำของสิ่งที่กลายมาเป็นครอบครัวด้วย ตัวละครของฉัน คือเอ็ดวินา เป็นเหมือนผู้ดูแลสำหรับพวกเด็กๆ แต่จากการที่สงครามยื้ดเยื้อยาวนาน เราเลยกลายเป็นเหมือนแม่ๆให้พวกเธอด้วย”
การมีนักแสดงหญิงที่มีความสามารถมากในทุกบท ทำให้เรื่องราวทั้งหมดของหนังมีความสำคัญมากขึ้น และความสัมพันธ์ซับซ้อนขึ้น ทำให้ทุกฉากมีชีวิตขึ้นมา
ฟาร์เรลล์บอกว่า “ผมถูกรายล้อมด้วยนักแสดงหญิงที่มีความสามารถ เนื่องจากตัวละครของผมต้องนอนอยู่เกือบตลอดทั้งเรื่อง ผมจึงมีที่นั่งที่ดีที่สุดในบ้าน ดูพวกเธอทำงาน”
บทแม็คเบอร์นีย์ดึงดูดใจฟาร์เรลล์ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดด้านอารมณ์และ-หรือด้านร่างกาย “เขาเป็นคนค่อนข้างหลงตัวเอง แต่ก็เก่งในการอ่านคนว่าใครเป็นยังไง จนเขาอ่านออกว่าพวกเธอต้องการอะไร เขารู้สึกถึงสิ่งที่พวกเธออาจจะคิดว่าเป็นการดูถูกและอยู่ให้ห่างจากสิ่งนั้น และไปหาจุดอ่อนของพวกเธอแทน ไม่ว่าจะเป็นการพูดด้วยคำพูดที่อ่อนโยน หรือสงวนท่าที่มากขึ้น”
“บางที คนเดียวที่เขาจริงใจด้วย อาจจะเป็นเอมี ตัวละครของอูนา เธอโอบอ้อมอารีกับเขาทันทีตั้งแต่แรก แต่แม้แต่ความไร้เดียงสานี้ก็ต้องถูกทำลายไป”
ดันสต์บอกว่า “มีการตายในหนังด้วย แต่ก็เกี่ยวกับการตายของความรู้สึกข้างในด้วยเช่นกัน ฉันพยายามให้ความรู้สึกข้างในที่เต็มเปี่ยม เติมด้านอารมณ์ให้กับเอ็ดวินา ความรู้สึกของเธอมีความละเอียดอ่อนที่แตกต่างอย่างมากสำหรับฉัน และตรงกันข้ามกับตัวตนของฉัน”
แฟนนิงบอกว่า “สำหรับตัวละครของฉัน คืออลิเชีย มันคือการกระตุ้นที่ได้เห็นผู้ชายในระยะประชิด เธออยู่ในวัยที่เริ่มรู้สึกเบื่อ รู้สึกจมปลัก ตอนเธอเริ่มปล่อยผมและเปิดเผยเสื้อชั้นในรัดทรงของเธอนิดๆ นั่นเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างมาก แต่เธอไม่คาดคิดว่าการทำตัวยั่วยวนครั้งนี้จะมีผลตามมายังไง”
“ฉันชอบที่ได้แสดงเป็นคนที่กำลังเจอเหตุการณ์นั้น และจากยุคสมัยของหนัง ซึ่งเป็นฉากของเหตุการณ์ที่ฉันไม่เคยแสดงมาก่อน”
นักแสดงคู่นี้ที่ร่วมงานในหนังเรื่องก่อนๆของคอปโปลา กลายมาเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว ดันสต์บอกว่า “แอลล์กับฉันรู้ใจกันเลยว่าอีกคนจะพูดอะไร ฉันได้เจอเพื่อนที่รู้ใจมากคนหนึ่ง”
ส่วนแฟนนิงบอกว่า “ฉันรักเคียร์สเตน บางฉากเป็นฉากที่ยากสำหรับเรา เพราะเรามองหน้ากันไม่ได้ ไม่งั้นจะต้องหัวเราะออกมา”
กองถ่ายใช้หลุยเซียนาเป็นฐานในการถ่ายทำ ซึ่งสร้างความดีใจอย่างมากให้ริคกี ที่เกิดและเติบโตในรัฐนี้ ถึงแม้เธอจะรับบทตัวละครของเธอ คือมารี ด้วยสำเนียงแบบมิสซิสซิปปีก็ตาม
คอปโปลาชอบที่จะถ่ายในสถานที่ถ่ายทำจริงมากกว่า แบบเดียวกับที่ทำมาในหนังเรื่องก่อนๆของเธอ ดังนั้น สถานที่ที่ถูกใช้เป็นโรงเรียนสตรีฟาร์นสเวิร์ธในหนัง คือบ้านไร่เมดวู้ด ซึ่งคนดูหลายคนอาจจะจำได้จากมิวสิควิดีโอเพลง Sorry ของบียอนเซ ในอัลบั้ม Lemonade ของเธอ
เมดวู้ดอยู่ห่างจากนิวออร์ลีนส์แบบขับรถไปสองชั่วโมง ถูกออกแบบและสร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงแม้สงครามกลางเมืองจะทำให้สร้างเสร็จล่าช้า สถานที่แห่งนี้ผ่านความขัดแย้งมาเช่นเดียวกับที่เป็นใน The Beguiled และมันยังตั้งอยู่ได้อย่างดีแม้เผชิญภัยธรรมชาติ คีธ มาร์แชลผู้เป็นเจ้าของบอกว่า “ผนังใช้อิฐหนาถึง 24 นิ้ว”
“บ้านหลังนี้เป็นหนึ่งในคฤหาสน์สไตล์กรีกโบราณที่สมบูรณ์แบบที่สุดในอเมริกา” นอกจากจะใช้เป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์และโทรทัศน์แล้ว เมดวู้ดยังเคยเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลดนตรี และเปิดเป็นที่พักพร้อมอาหารเช้าสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย เป็นคฤหาสน์ที่เป็นแลนด์มาร์คทางประวัติศาสตร์ของชาติ
ฉากเหตุการณ์สำคัญในหนังถ่ายทำกันทั้งภายในเมดวู้ดและบริเวณรอบๆ รวมถึงฉากในครัวและห้องทานอาหารที่นักแสดงทั้งแปดคนอยู่กันพร้อมหน้า ส่วนหน้าของอาคารที่เป็นประวัติศาสตร์หลังนี้ไม่ถูกแตะต้อง ถึงแม้ทีมงานของรอสส์ต้องมีการปลูกต้นไม้และตกแต่งด้านหน้า เพื่อบ่งบอกถึงการถูกละเลยเป็นบางครั้งเนื่องจากสงครามยังยืดเยื้อ และคนที่อยู่ในโรงเรียนก็ลดจำนวนลง
แต่ถึงอย่างนั้น รอสส์บอกว่าทีมงาน “ยังต้องหาบ้านหลังอื่นที่เราอาจจะปรับแต่งข้างในได้มากขึ้น และเปลี่ยนการตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ และทาสีนิดหน่อย ในจำนวนการวางแผนเตรียมการอื่นๆ”
“ในขณะที่ก็ต้องแน่ใจ ว่าจะไม่ทำให้อะไรเสียหาย” แฟนนิงยืนยัน “เราทุกคนต้องระวังมากและเคารพสถานที่อย่างมาก บันไดสุดอลังการเลย” บ้านที่มีเอกชนเป็นเจ้าของหลังนี้อยู่ที่นิวออร์ลีนส์ และการตกแต่งภายในก็ทำให้มันกลายเป็นห้องนั่งเล่น, ห้องดนตรี และห้องนอนของโรงเรียน ในจำนวนสถานที่อื่นๆที่ระบุไว้ในบทหนัง
ในขณะที่อาคารโรงเรียนมีการถ่ายทำในสองสถานที่ คือเมดวู้ด และบ้านในนิวออร์ลีนส์ ทีมงานยังได้ถ่ายทำที่ไร่เอเวอร์กรีน และสวนสาธารณะซิตี้พาร์คของนิวออร์ลีนส์ และบริเวณรอบๆทั้งสองแห่งด้วย ซิตี้พาร์คเป็นสถานที่ที่เหมาะมากสำหรับฉากเปิดเรื่อง ที่แม็คเบอร์นีย์ถูกพบตัวครั้งแรกโดยเอมี คอปโปลาและเลอ ซูร์ดได้แรงบันดาลใจจากฉากในป่าในงานคลาสสิกของอากิระ คูโรซาวา เรื่อง Rashomon
สำหรับฉากภายในที่สถานที่ถ่ายทำหลักทั้งสองแห่ง ทีมงานของรอสส์ต้องเติมอุปกรณ์ประกอบฉากโรงเรียนสตรีฟาร์นสเวิร์ธด้วยข้าวของสารพัด ตั้งแต่คัมภีร์ไบเบิ้ล ถึงเชิงเทียน จนถึงเครื่องดนตรี สำหรับฉากห้องอาหาร แผนกอุปกรณ์ประกอบฉากใช้เครื่องเงินโบราณ ซึ่งตอนนั้นดูหมอง จากการที่ในโรงเรียนมีจำนวนคนลดลง และความขาดแคลนในช่วงสงครามทำให้ไม่มีเวลาสำหรับงานที่ไม่จำเป็น เช่นการขัดเครื่องเงิน
ปืนที่อยู่ในโรงเรียน ซึ่งถูกเก็บไว้โดยมิสมาร์ธาเพื่อป้องกันตัว เป็นปืนวิทนีย์วิลล์ ดรากูน ปืนลูกโม่ .44 ที่ผลิตขึ้นก่อนสงครามกลางเมืองหลายปี ดังนั้นจึงเหมาะในบริบทของหนังว่าเคยเป็นของพ่อของมิสมาร์ธา ข้อบังคับโดยรวมสำหรับแผนกอุปกรณ์ประกอบฉากคือ “ต้นศตวรรษที่ 19” เนื่องจากสิ่งของหลายอย่างจะมีการเก็บไว้และส่งต่อให้คนรุ่นหลัง หนังสือจากช่วงเวลานั้นใช้เวอร์ชั่นที่พิมพ์ซ้ำ เพื่อจะได้ไม่ดูหน้าตาล้ำกว่ายุคสมัยจริง
ถ้าทีมนักแสดงสามารถเดินทางเข้าไปในประวัติศาสตร์เมื่ออยู่ท่ามกลางอุปกรณ์ประกอบฉากและสถานที่ถ่ายทำ แผนกของแบทแททก็ทำให้พวกเขารู้สึกในทันทียิ่งขึ้น ด้วยเสื้อผ้าที่ตัดเย็บด้วยมือ การสวมชุดเหล่านี้ช่วยนักแสดงทุกคนในการเข้าถึงตัวละคร “เราใส่เสื้อชั้นในรัดทรงทุกวัน” แฟนนิงเผยความลับ “เราต้องวัดเอวทุกวันเพราะกระโปรงตัดเย็บมาแบบพอดีตัว มีกระดุมเม็ดเล็กๆเต็มไปหมด คุณใส่ชุดด้วยตัวเองไม่ได้ และถอดชุดเองก็ไม่ได้”
“การใส่เสื้อชั้นในรัดทรงทำให้คุณเดินและทรงตัวในแบบที่ต่างจากเดิม สเตซีทำงานได้เยี่ยมมากด้วยกระโปรงที่เบาและแนบตัว ชุดถูกซักให้ดูซีดจางมากๆ เนื่องจากตัวละครของเราคงมีเพียงแค่เสื้อผ้าที่เหลืออยู่มากในโรงเรียนตอนนั้น กระโปรงมีสีซีดมากยิ่งขึ้นจากการถูกตากอยู่กลางแดดตอนเที่ยง”
นิโคลชื่นชมว่า “ฉันหลงใหลวิธีการที่โซเฟียรวบรวมรูปลักษณ์ของ The Beguiled เข้าด้วยกัน เธอมีความคิดที่ชัดเจนมากเรื่องที่ว่าภาพของหนังจะออกมายังไง รวมถึงเสื้อผ้าและฉาก และเธอต้องทำงานภายใต้ข้อจำกัดของการเป็นหนังทุนต่ำ”
การถ่ายทำใช้เวลาเพียง 26 วัน โดยเริ่มต้นในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2016 เลอ ซูร์ดเป็นคนถ่ายเอง บ่อยครั้งจะมีคอปโปลาอยู่ใกล้ๆ เพื่อเธอจะได้บอกกับนักแสดงได้โดยตรงเวลาที่พวกเขาถ่ายหลายเทค เลอ ซูร์ดบอกว่า ผลจากการนี้ “เราช่วยกันทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงในฉากนั้น”
แฟนนิงเล่าว่า “เรามีปาร์ตี้กันตอนที่หนังถ่ายทำไปถึงม้วนที่ 100 มันนานมากทีเดียวตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ฉันแสดงในหนังที่ถ่ายด้วยฟิล์มภาพยนตร์”
ฟาร์เรลล์บอกว่า “ด้วยการทำงานร่วมกันของฟิลลีผู้กำกับภาพของเราและโซเฟีย ผมอยากบอกว่า The Beguiled เป็นหนังที่สวยที่สุดที่ผมเคยร่วมงานด้วย หนังเรื่อง The New World (2005, กำกับโดยเทอร์เรนซ์ มาลิค) มีงานด้านภาพที่น่าทึ่งมาก แต่นั่นคือธรรมชาติแท้ๆ The Beguiled เป็นฉากภายในและออกแบบฉากมากกว่า”
เลอ ซุร์ด บอกว่า “ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายฉากภายในหรือภายนอก เราจะโฟกัสไปที่นักแสดง ไม่ใช่ฉากหลัง”
ฟาร์เรลล์เสริมว่า “มีความตึงเครียดน้อยมากในกองถ่ายของโซเฟีย คอปโปลา เป็นบรรยากาศที่สงบมากและสนุกมากด้วยซ้ำ”
คิดแมนบอกว่า “โซเฟียเป็นคนพูดเบามาก และอ่อนหวานน่ารักเวลาอยู่ใกล้ ทุกคนให้เกียรติเธอมาก”
ดันสต์บอกว่า “ในการทำหนัง ไม่มีหนังเรื่องไหนจัดเตรียมเหมือนหนังของโซเฟีย เธอบ่มเพาะพลังงานที่ดี ดังนั้นภาพที่เธอคิดไว้จึงมีชีวิตขึ้นมา เธอไม่เคยสงสัยในตัวเอง และเชื่อใจนักแสดงของเธอจริงๆ”
แฟนนิงกล่าวว่า “โซเฟียเป็นคนที่ควบคุมงานเต็มที่มาก เธอรู้ภาพที่เธอต้องการสำหรับฉากนั้นๆ แต่กองถ่ายเป็นที่ที่รู้สึกปลอดภัย ที่คุณสามารถคิดและลองทำสิ่งต่างๆ”
« Last Edit: June 28, 2017, 07:18:30 PM by happy »
Logged