MSN on April 18, 2017, 01:23:01 PM








R U Tough Enough? โครงการเฟ้นหาคนอึดพันธุ์แกร่งครั้งแรกของประเทศไทย

Interview กฤต วงศาโรจน์

กฤต วงศาโรจน์ เพราะหัวใจที่แกร่งจึงทำให้กลับมายืนได้อีกครั้ง

                             
“พรุ่งนี้กับชาติหน้า อะไรจะมาถึงก่อนกัน” ประโยคนี้ใช้ดีกับ กฤต วงศาโรจน์ เพราะจากเหตุการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ด้วยวัยเพียง 22 ปี เขาก็เป็นเหมือนวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป ใช้ ชีวิตอย่างสุขสบายด้วยฐานะทางบ้านที่ค่อนข้างดี แต่แล้วจู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น จากการประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อย่างรุนแรง หมอปฎิเสธการรักษาเพราะเห็นว่าเขาคงไม่รอด เปลี่ยนโรงพยาบาลมาแล้ว 2 ครั้ง นอนสลบไป 4 เดือน! ตื่นมาพร้อมกับรู้ว่าตัวเองเป็นอัมพาตครึ่งตัว และที่แย่ไปกว่านั้นคือความจำเสื่อม 
เมื่อความทรงจำหายไปประกอบกับร่างกายที่ไม่สมประกอบ แน่นอนว่าชีวิตแต่ละวันผ่านไปไม่ง่ายเลย แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจเขาเชื่อเสมอว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ พลังของความเชื่อนี่เองที่ทำให้เค้ากลับมาเหมือนเดิมแม้จะไม่ 100% กฤตในวันนี้พกพาความแข็งแกร่ง ฝึกฝนจนได้เข้าไปติด 1 ใน10 จากการแข่งขัน R U Tough Enough? โครงการเฟ้นหาคนแกร่งพันธุ์อึด จัดโดยช่อง KIX นอกจากความแกร่งภายนอกแล้ว เรายังมองเห็นไปถึงความแกร่งในหัวใจของเค้าด้วยเช่นกัน

Q: อยากให้เล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์วันนั้นหน่อยค่ะ?
A: เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมเรียนอยู่ Stamford International University หัวหิน วันนั้นกำลังจะขับรถกลับบ้านที่ราชบุรี มันเป็นช่วงกลางดึกทางก็มืดๆ ประมาณตี 2 ครับ จริงๆ แล้วไม่อยากขับออกมาเลย

Q : แล้วทำไมถึงตัดสินใจขับออกมากลางดึกแบบนั้น?
A: คือตอนนั้นเครียดเรื่องแฟนอ่ะครับ เค้าบอกเลิกผมเลยทำใจไม่ได้
ทำให้เราเฮิร์ตมากๆ เพราะเป็นแฟนคนแรกด้วย รับไม่ได้เลยตอนนั้นมันเหมือนอารมณ์ชั่ววูบก็ขับออกมาเลยประกอบกับช่วงนั้นอดนอนมาหลายวันเลย แล้วจู่ๆ เหมือนวูบไม่รู้ตัวอีกเลยเรียกว่าหลับในเป็นแบบนี้นี่เอง อีกอย่างทางขับจากหัวหินไปราชบุรีมันจะมีต้นไม้เยอะเลยมองไม่ค่อยเห็นทาง ผมคงไปชนต้นใดสักต้นนึงเข้าอย่างจัง

Q: นาทีที่ชนยังรู้สึกตัวมั้ย?
A: ไม่รู้สึกตัวแล้วครับ แม่เล่าว่าผมกระเด็นออกมานอกตัวรถ โดนกระจกบาดที่ตัว รถพังทั้งคัน แล้วมีแต่คนมาถ่ายรูป กว่าจะมีกู้ภัยมาช่วย ผมไปฟื้นที่โรงพยาบาลเลยครับ ตอนที่นอนก็ไม่รู้เรื่องตาลอย แม่บอกว่าเหมือนปลาทูถูกตีหัว แบบชักดิ้นชักงออยู่อย่างนั้น ผมอยู่ห้องไอซียูนานมาก เพราะเลือดคลั่งในสมอง ย้ายโรงพยาบาลไป 4 ครั้ง โรงพยาบาลที่แรกดูแลไม่ค่อยโอเค เหมือนให้เรานอนเป็นผักอยู่อย่างนั้นเห็นคนข้างๆ ตายทีละคนๆ หมอมาบอกเหมือนกันว่าไม่น่ารอด เคสแบบผมไม่มีใครกล้ารักษาเลย หรือถ้ารอดก็ต้องนอนเป็นผัก ขยับตัวไม่ได้ต้องให้อาหารทางสายยาง แต่ทุกคนที่บ้านก็ยังหวังปาฎิหารย์

Q : หลังจากฟื้นขึ้นมาได้ความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง?
A : ตอนที่ฟื้นขึ้นมา อย่างแรกเลยคือขาไม่มีความรู้สึก ขยับตัวไม่ได้ เพราะขาดออกซิเจนไป3 นาที สมองเลยไม่สั่งการและเป็นอัมพาต สมองส่วนที่กระทบแรงสุดคือโซนเกี่ยวกับความทรงจำ ผมจำใครไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร เรียกชื่อ สิ่งของก็ผิดหมด อย่างน้ำผมจะเรียกว่าทีวี ตู้เย็น อย่างเสื้อสีอะไร สีดำสีขาวคือผมไม่รู้ว่ามันคือสีอะไร เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง สมองต้องสร้างการเรียนรู้ขึ้นมาใหม่ แม่ก็เสียใจมากนะ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เขาบอกผมเหมือนผีเข้าพูดไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่เสียงผม แล้วตรงที่ผมชน มีคนชนกันบ่อยมาก เหมือนแบบจะเอาไปแทนที่หรือเปล่าผมก็ไม่รู้ แม่ไปไหว้เจ้าที่แถวนั้นด้วย ตอนนั้นรักษาแบบไหนก็เอาหมดครับโรงพยาบาลก็ไม่อยู่ก็หันหน้าเข้าวัดอย่างเดียว สมองอีกส่วนที่เสียไปคือโซนความอิ่ม ความหิวก็สั่งการไม่ได้ คือผมจะหิวทั้งวัน กินทั้งวัน กินทุกชั่วโมง กินอิ่มได้ไม่นานก็บอกยังไม่ได้กินข้าวเลย ต้องเดินไปซื้อมาอีก เหมือนคนอัลไซเมอร์ จนแม่ต้องบอกร้านข้าวว่าไม่ต้องขายแล้วนะ คือผมเดินมาซื้อกินทุกสิบนาที

Q: อาการหนักขนาดนี้ ใช้วิธีการรักษายังไงบ้างและใช้เวลาฟื้นตัวนานแค่ไหน?
A: ผมรักษาที่โรงพยาบาลเปาโลเป็นที่สุดท้ายที่คุณหมอเก่งมาก ผ่าตัดสมองดูดเลือดคลั่งในสมองไป 70 เปอร์เซ็นต์หลังจากนั้นก็ใช้หลายวิธีครับ หลักๆหลังจากเริ่มแข็งแรงดีแล้ว คือการกายภาพบำบัดครับ ต้องฝึกเดินหนักกว่าคนอื่นด้วย เพราะผมอยากกลับมาเดินได้เร็วๆ ตอนที่ผมเริ่มขยับตัวได้ก็ปีนออกมาจนร่วงตกพื้นไปหลายครั้ง แม่ก็ต้องหารั้วมากั้น ช่วงนั้นขาขยับไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ผมพยายามจะขยับตัวแต่พอไม่ได้ก็หงุดหงิดมากๆ ใช้เวลาทำกายภาพบำบัดประมาณ 1 ปีกว่า ตอนแรกมือผมขยับไม่ได้ก็พยายามกำและแบมือบ่อยๆ ส่วนช่วงขาฝึกตีขาด้วยท่าว่ายน้ำ และเดินบนลู่วิ่งตอนแรกก็เดินเป๋ไปคนละทิศคนละทาง ทุกวันนี้ยังเดินไม่ค่อยตรงจะเดินปัดๆ นิดนึงเป็นผลกระทบมาจากสมอง คนถามว่าเป็นเกย์หรือเปล่าทำไมเดินบิดก้น คือมันไม่ใช่อ่ะครับ อีกอย่างคือผมกินยารักษาต่อเนื่องมา 5 ปี ห้ามขาด เหลืออีก 1 ปีก็จบคอร์สและกินน้ำมันตับปลา 3,000 มิลลิกรัม ช่วยให้สมองกลับมาไวด้วย

Q: จากคนที่เป็นอัมพาตก้าวแรกของการฝึกเดินยากแค่ไหน?
A : พอเริ่มก้าวขาได้ ดีใจมากครับ รู้สึกเหมือนมีความหวังขึ้นมา กว่าที่ผมจะเดินได้มันทรมานสุดๆ ช่วงแรกที่เดินบอกเลยว่าเจ็บมากแต่ละก้าวมันเหมือนมีเข็มมาแทงๆ ตลอดเวลา คำว่าเจ็บร้าวกระดูกมันเป็นแบบนี้เอง ผมยังงงตัวเองว่าทนได้ไง แต่ผมเป็นคนไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว ถ้าผมเดินไม่ได้ต่อไปผมจะทำงานอะไรได้ ผมไม่อยากให้พ่อแม่มาเข็นผมไปไหนต่อไหนโดยที่ผมช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย

Q : เรียนรู้อะไรบ้างหลังจากจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คิดว่าอะไรทำให้เราผ่านจุดตรงนั้นมาได้?
A : ความเชื่อที่ว่าเราจะไม่ยอมแพ้ครับ ครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ตอนวัยรุ่นเราใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง เที่ยวเล่นไปวันๆ อยู่กับเพื่อน ไม่ค่อยสนใจครอบครัว หลังจากเราสูญเสียอิสระภาพไป วันที่เราอยู่คนเดียว รู้เลยว่าใครรักเราบ้าง พ่อแม่ญาติพี่น้องช่วยเหลือเต็มที่ ค่าผ่าตัด ค่ารักษา หมดเป็นล้านๆ ก็ยอม ผมดีใจมากที่มีครอบครัวที่รักเราขนาดนี้ ตอนนี้ผมใช้ชีวิตระวังมากขึ้น ทำอะไรก็ต้องระวังมากขึ้น อยากทำงานเก็บเงินเพื่อดูแลพ่อแม่ ถ้าเป็นสมัยก่อนผมได้หนึ่งแสนบาทคงเอาไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ตอนนี้จะแบ่งให้แม่ครึ่งหนึ่งและเรียนต่อปริญญาโท ผมอยากเป็นตัวแทนบอกผ่านไปถึงคนที่กำลังท้อแท้ว่าอย่าสิ้นหวัง เราเกือบจะลาโลกไปแล้วยังกลับมาได้เลย

Q: อยากบอกอะไรกับคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิต จากการที่เราได้ผ่านช่วงวิกฤตของชีวิตมา
A: ฝากถึงคนที่กำลังท้อแท้ในชีวิตนะครับ ว่าอย่าไปท้อแท้ เพราะว่าผมเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ผมเคยเดินไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ เคยอัมพาตครึ่งตัว แต่ผมก็ไม่ท้อ จนตัวเองกลับมาได้แต่แค่ไม่  100% เปอร์เซ็นต์  แล้วพวกคุณจะรอให้พ่อแม่มาเข็นรถให้ มาป้อนข้าวป้อนน้ำให้หรอ ผมว่าคุณต้องปรับตัว  ต้องสู้กับชีวิต ใครจะมาดูถูกเราก็ไม่ต้องสนใจ แต่คุณห้ามคิดที่จะดูถูกตัวเอง คนที่ดูถูกตัวเองคือคนแพ้

Q : มาพูดถึงความแกร่งของตัวเองในการเข้าประกวดโครงการ R U Tough Enough หน่อยค่ะ
A : ผมเล่นฟิตเนสมา 9 ปี แล้วครับ เพราะเป็นนักวิ่ง นักว่ายน้ำมาก่อน บังเอิญไปเห็นโปสเตอร์รับสมัครก็เลยลองเข้ามาดู นี่เป็นการประกวดครั้งแรกในชีวิต และที่ลงสมัครเพราะอยากจะพิสูจน์ว่าคนที่เคยประสบอุบัติเหตุแบบผมก็ยังสามารถกลับมาได้เหมือนเดิม แถมยังแข็งแรงกว่าเดิมด้วย

Q : ทราบมาว่าเคยอ้วนมาก่อน มีวิธีลดน้ำหนักยังไงบ้าง
A : ผมเคยอ้วนสุด น้ำหนัก95 กก. ลดเหลือ 60กก. ภายใน 2 เดือน สืบเนื่องมาจากตอนที่ป่วยกินเยอะมากๆ น้ำหนักเลยพุ่งกระฉูด วิธีลดความอ้วนคือการออกกำลังกายและคุมอาหาร ผมตื่นตอนตี 5 มาวิ่ง 2 ชั่วโมงครับ ตอนเย็นไปว่ายน้ำอีก 2 ชั่วโมง วันไหนเข้าฟิตเนสก็เล่นวันละ 4 ชม. ช่วงนั้นกินแต่ผักกับกล้วยทุกวันเลย มันก็ลดลงเร็วมาก

Q: เตรียมตัวอย่างไรบ้างสำหรับรอบ 10 คนสุดท้ายที่กำลังจะประกาศผลผู้ชนะเลิศเร็วๆ นี้แล้ว
A: จัดตารางการฝึกแบบเข้มข้นขึ้นครับ ผมจะเปลี่ยนการคาร์ดิโอสลับกัน คาร์ดิโอมี 2 แบบคือ เดินปรับชัน แล้วก็วิ่งสปีดขึ้นภูเขา ผมจะวิ่งสปีดขึ้นภูเขา 2 นาทีแล้วเดินสลับ 5 รอบ คือรอบนึงประมาณ 2 นาที เทคนิคสำหรับอาหารก่อนเล่นจะจิบน้ำหวานให้เข้าเส้นเลือด กินขนมปังโฮลวีต หลังเล่นถ้าอารมณ์ดีก็จะกินไก่ปั่น เพราะรสชาติมันไม่ค่อยอร่อย ต้องฝีนนิดหนึ่งครับ

Q : ใครคือ Idol ของคุณ?
A : ไอดอลของผม ถ้าเอาด้านความเท่ผมชอบ The Rock ในกลุ่มนักมวยปล้ำเค้ามีกล้ามที่สวยมาก อีกอย่างผมชอบรอยสัก คนมีรอยสักที่กล้ามจะดูมีเสน่ห์มาก ผมเห็นแล้วเลยไปสักบ้างเป็นรูปเสือตรงหัวใจ  ส่วนคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผมมาเล่นกล้ามคือรุ่นพี่ผมเอง เป็นนักเพาะกายทีมชาติ เราอยากตัวใหญ่มีกล้ามแบบนั้นบ้างก็เลยไปเล่นดู การเล่นเป็นคู่มันช่วยกระตุ้นให้เราอยากเอาชนะด้วย ผมเล่นคู่กับเขามา 8 ปี

Q: ความแกร่งในแบบฉบับของคุณเป็นอย่างไร?
A : คิดว่าต้องมีใจที่แข็งแรงก่อน ถึงจะมีร่างกายที่แข็งแรงตามมา เพราะฉะนั้นความแกร่งขึ้นอยู่กับใจก่อนเลยทุกอย่าง ถ้าเรามีใจที่มุ่งมั่นเหมือนกับมีวินัย คือต้องมุ่งไปสู่เป้าหมายของตัวเอง และเราต้องไปถึงจุดนั้นโดยที่ไม่วอกแวกครับ
               
โปรดติดตามและร่วมลุ้นว่าใครจะเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันเฟ้นหาคนพันธุ์อึด  R U Tough Enough? (อาร์ ยู ทัฟ อีนาฟ) ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อชิงเงินรางวัลกว่า 1 แสนบาท ได้ในวันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560 เวลา 18.00น. โซนสแควร์ซี ด้านหน้าห้าง Central World
« Last Edit: April 18, 2017, 01:28:18 PM by MSN »

MSN on April 18, 2017, 01:24:56 PM








Interview ปุ๊กกี้-สุกานดา นาสมยนต์

ปุ๊กกี้ พลิกวิฤกตเป็นโอกาส ลาขาดไขมัน 20 กิโล ฟิตแอนด์เฟิร์มเพิ่มเติมคือความแกร่ง

                                       
   จากคนที่ไม่เคยมีความมั่นใจเพราะน้ำหนักตัวเกือบร้อยกิโล ส่งผลให้ ปุ๊กกี้-สุกานดา นาสมยนต์ ไม่คิดจะออกไปพบเจอใคร เธอไม่มีความมั่นใจในตัวเองและคิดว่าชีวิตคงต้อง เป็นยัยอ้วนให้เพื่อนๆ ตลอดไปตลอดชีวิต แต่ด้วยจุดเปลี่ยนทำให้หันกลับมาดูแลตัวเอง ถึงจะเริ่มศูนย์แต่เธอกับตัวเองว่าต้องทำให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ณ ปัจจุบันเธอลดน้ำหนักจาก 85 กก. เหลือ 58 กก.น้ำหนักหายไปถึง 20 กก. ในระยะเวลาเพียงปีกว่าๆ นอกจากการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างที่ดีขึ้นแล้ว ความแข็งแรง และสุขภาพที่ดีก็ตามมา นั่นถึงเป็นผลพลอยได้ที่คุ้มค่ากับอุปสรรคที่ต้องฝ่าฟันเพื่อเป้าหมายที่ตัวเองว่าไว้ จนเธอได้เข้าร่วมแข่งขัน R U Tough Enough? โครงการเฟ้นหาคนแกร่งพันธุ์อึด ชิงเงินรางวัล 1 แสนบาท และติด 1 ใน 10 คนสุดท้ายอีกด้วย เรียกว่าความแกร่งไม่ได้มีเพียงผู้ชายเท่านั้น ถึงจะเป็นผู้หญิงก็สามารถโชว์แกร่งได้ไม่แพ้ผู้ชายเช่นกัน

Q: ทราบมาว่าเคยอ้วนมาก่อน ตอนนั้นน้ำหนักเท่าไหร่ตอนที่อ้วนที่สุด
A: อ้วนที่สุดคือ 85 กิโลกรัม จากปกติเป็นคนที่น้ำหนักเยอะจาก 65-75 กิโลกรัม ประมาณนี้อยู่แล้วค่ะ คือรูปร่างอวบๆ มาตั้งแต่เด็ก เพราะเราตัวใหญ่ คือน้ำหนักประมาณนั้นก็จะไม่ได้ดูอ้วนมาก แต่ก็ยังถือว่าอ้วน น้ำหนัก85 กิโลกรัม ขึ้นมาภายในระยะเวลา 6 เดือน คือหลังจากที่ลาออกจากงานที่ทำอยู่ 7 ปี  ก็มีการผ่าตัดเนื้องอกในรังไข่ ซึ่งไปตรวจเจอนานแล้ว แต่ยังไม่ได้ผ่าตัด ณ ช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเหมือน ว่างพอดี ก็เลยไปผ่าออกเพราะคุณหมอก็บอกว่า ถ้าใหญ่กว่านี้จะเป็นอันตรายต่อรังไข่ อาจจะต้องตัดออกทั้งหมด ก็เลยตัดสินใจผ่า พอผ่าปุ๊ปจะมีช่วงพักฟื้นช่วงนั้นแหละที่เราเคลื่อนไหวมาก หมอก็ไม่ให้ยกของหนัก ไม่ให้เดินไม่ให้ขึ้นบันได ตอนนั้นก็เลยเป็นตอนที่เริ่มกินและนอนอย่างเดียว

Q: ช่วงพักฟื้นถือเป็นจุดที่ทำให้น้ำหนักตัวเองพีคมากๆ ใช่หรือเปล่า
A: ใช่ค่ะ ประมาณเกือบเดือนเลยทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการสะสมน้ำหนัก แล้วก็เอนจอย เหมือนต้องกินยา ซึ่งคุณหมอให้กินยาคุมด้วยเพื่อที่จะปรับฮอโมนของรังไข่ มันก็เลยเพิ่มความอยากอาหารด้วย หลังจากที่เรากินอยู่แล้วก็เลยกินมากขึ้น หลังจากนี้ก็คือตามใจปากทุกอย่าง จนปล่อยให้น้ำหนักสูงสุดถึง 85 กิโลกรัมภายในหกเดือน น่าจะขึ้นมาประมาณ 15 กิโลค่ะ ในระยะเวลา 6 เดือน

Q: แล้วจุดเปลี่ยนจริง ๆ คืออะไร
A: วันนึงรู้สึกว่าเราเจ็บข้อเท้ามาก เราเดินแล้วเหมือนเท้าบวม รู้สึกเหนื่อยมากหรือเหมือนหายใจไม่ออก เหมือนจะตาย สงสัยว่าเราเป็นอะไรเนี่ย ก็เลยรู้สึกว่าเป็นเพราะอ้วนหรือเปล่า แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองอ้วนนะ รู้สึกว่าตัวเองสวย ตอนนั้นมีเสื้อผ้าไซส์คนอ้วนแล้วไงก็เลยซื้อได้ตลอด ก็ใส่ได้สวยเหมือนกัน ฉันก็ยังสวยอยู่ไม่เป็นไร เพื่อนไม่ได้บอกว่าอ้วน จะเป็นคนอ้วนจากช่วงล่าง เวลาถ่ายรูปยังเลยแบบยังไม่อ้วน แล้วประกอบกับรู้สึกเฟลกับตัวเองหลายๆ อย่างด้วย ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จเลย เริ่มคิดขึ้นมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองตอนนี้ มาค่อยๆปรับความคิด เรามาเปลี่ยนตัวเองดีกว่าเพราะไม่งั้นปล่อยต่อไปร่างกายก็แย่ ทำงานก็ไม่ดี เรื่องอื่นๆก็ไม่ดีไม่มีกำลังใจไม่มีแรงบันดาลใจ ไม่รักตัวเอง ก็เลยเปลี่ยนความคิดว่า อันดับแรกต้องทำให้ตัวเองดูดีก่อน จึงเริ่มด้วยปรับเปลี่ยนหุ่นตัวเอง

Q: นาทีนั้นบอกกับตัวเองแล้วว่าจะต้องผอมให้ได้ใช่มั้ย
A: ใช่ค่ะ จะไม่ยอมให้ความอ้วนมาทำให้เสียบุคลิก ส่องกระจกแล้วไม่แฮปปี้กับตัวเองเลย ก็เริ่มด้วยการที่อดอาหารก่อน ซึ่งเป็นการลดความอ้วนที่ผิดๆ นะคะ อดอาหารเย็นไม่กินมื้อเย็นไม่กินอะไรเลยกินแต่น้ำ ลองผิดลองถูกมาหลายอย่างกินยาก็เคย ไปเข้าคอร์สเป็นแสนที่แบบนวดๆ ก็เคย แต่ก็เหมือนน้ำหนักเพิ่มมาอีก เริ่มโยโย่เพราะว่าเราไม่ได้คุมอาหารที่ถูกต้อง

Q: ทำทุกอย่างเลย แต่ยกเว้นออกกำลังกาย?
A: ใช่ค่ะ ก็เลยปรับความคิดใหม่มาออกกำลังกายดีกว่า

Q: ในเวลานั้นผลของร่างกายเราเป็นยังไงบ้าง ช่วงที่ลองผิดลองถูก
A: มันก็ลดลง แต่ก็เหมือนที่บอกว่ามันโยโย่เพิ่มขึ้นมา กำลังใจหดหายแล้ว ก็เลยมาศึกษาให้มันถูกต้องว่าการลดความอ้วนที่ดีเป็นยังไง ศึกษาวิธีลดความอ้วน เอาสูตรต่างๆมาปรับใช้กับตัวเอง เลือกอันที่เราได้ผลเวิร์คกับเราจริงๆ เช่น ตอนแรกคืออดอาหารเย็น ลดในช่วงแรกแต่ว่าพอมาถึงจุดๆนึงเราจะไม่ลดละ เพราะว่าเราไม่มีการเผาผลาญที่ดี ระบบการเผาผลาญเราพังเลยเพราะเราไม่กินครบสามมื้อ เราตัดแป้งร่างกายเราจะจำว่าไม่กินแป้งนะ ถ้ากินแป้งมาจะไม่เอาไปใช้ ซึ่งผิดเราต้องกินให้ครบ 5 หมู่ กินสารอาหารให้ครบแต่ว่าแบ่งสัดส่วนให้พอดีกับร่างกาย คือคำนวณหลายๆสูตร ให้มันเข้ากับตัวเอง

Q: เมนูไดเอทตอนเย็นล่ะค่ะ
A: เป็นพวกปลากับสลัด เน้นปลาเน้นอกไก่ สลัดผักไม่ใส่น้ำสลัดเลย โยเกิร์ต
 ชอบกินผักสดมากกว่า แต่ตอนแรกก็กินน้ำสลัดเหมือนกันแต่ว่าพอใส่เยอะ ความเป็นไขมันก็ยังมีอยู่ ซึ่งหลักของการลดความอ้วนคือลดไขมัน คือเอาไขมันให้น้อยลงเพราะว่าไขมันเรามีเยอะอยู่แล้ว เราไม่ต้องการใช้มาก

Q: กินแบบนั้นนานแค่ไหนคะถึงจะลด
A: ที่ลดลงมาเห็นได้ชัดคือใช้เวลา 1 ปีค่ะ ลด 20 กิโล
ตอนนั้นยังไม่ได้ออกกำลังกายหนัก คือวิ่งกับเวทเล็กน้อย แต่หนักไปทางวิ่งมากกว่าค่อยๆวิ่งไปเรื่อยๆ

Q: แรกๆที่เราพยุงน้ำหนักแบกร่างเราไปวิ่งเหนื่อยไหม มันต้องมีจุดที่แบบว่าโอ๊ยไม่ไหวแล้ว
A: เหนื่อยมาก มันไม่ไหวอ่ะ จะวิ่งได้เหรอคือเป็นคนที่เกลียดการวิ่งมาก ไม่เข้าใจว่าคนที่วิ่งจะวิ่งไปทำไมคือมันไม่สนุก เห็นแล้วคิดว่าวิ่งทำไม สนุกตรงไหน คือชีวิตนี้ไม่ชอบวิ่งเลย แต่ว่ามีจุดๆนึง น้ำหนักเราลดลง 10 กิโลแล้ว เราก็เลยเริ่มอยากจะพัฒนาอยากออกกำลังกายอย่างอื่นบ้าง ก็เลยไปลองวิ่งในลู่ก่อน ไปมองๆดูว่าเขาวิ่งยังไง

Q: การวิ่งทำให้เราเปลี่ยนชีวิตด้วยมั้ย
A: ใช่ค่ะ ตอนเริ่มวิ่งช่วงแรก 10 นาที รู้สึกหอบเลย แต่เพื่อนบอกว่าถ้าเกิดเหนื่อยก็แค่เดินครึ่งรอบวิ่งอีกครึ่งรอบเอาให้จบรอบนึง วันต่อไปก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ สิบนาทีเป็นยี่สิบนาทีเป็นยี่สิบห้านาที จากอาทิตย์แรกได้ครึ่งรอบ ได้รอบนึง เราเลยเริ่มมีกำลังใจ มันจะมีฟิลที่แบบว่าพอถึงเส้นชัย เห๊ยเราทำได้ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้แล้ว นี่ขนาดเราเกลียดวิ่งมากเลยนะเราก็เลยเข้าใจว่าทำไมคนถึงมาวิ่ง ตอนที่เราวิ่งเหมือนเราได้คิดอะไรไปด้วยเราได้คิดถึงตัวเองคิดถึงสิ่งรอบๆเห็นคน เหมือนได้อยู่กับตัวเองมีสมาธิขึ้น พอเราทำเป้าหมายตรงนั้นเล็กๆ เป้าหมายวันนั้นของเราให้สำเร็จ  เฮ้ย! เราทำได้ ตั้งแต่นั้นมาน้ำหนักลดลงเรื่อยๆ จนตอนนี้ 58 กก.

Q: อะไรเป็นสิ่งสำคัญในการลดน้ำหนัก
A: เป็นเรื่องของจิตใจ แต่คิดว่าอาหารสำคัญที่สุดคะ การเลือกกินอาหารให้เหมาะกับตัวเอง เลือกออกกำลังกายในแบบที่เราชอบและสนุกกับมัน แต่ในเรื่องวิ่งนี่คือเหมือนเซอร์ไพรส์ตัวเอง ว่าจากที่เราเกลียดแต่เรากลับมาชอบมากที่สุดในการออกกำลังกาย

Q: คิดว่าเสน่ห์ของการวิ่งอยู่ตรงไหน
A: อยู่ที่เส้นชัย วันที่เราถึงเส้นชัยได้แล้ว เหมือนกับเราจบเป้าหมายของเราได้ในเป้าหมายนั้นแล้วก็เพื่อนร่วมทาง เราได้เห็นคนที่มีน้ำใจ แบบไม่ได้สนใจว่าเขาจะเข้าเส้นชัยในเวลาเท่าไหร่ แต่ว่าเพื่อนเจ็บก็มาช่วย แบบว่ามีเพื่อนเยอะขึ้น เพื่อนที่วิ่งแนะนำเทคนิคต่างๆ แนะนำอุปกรณ์ มีสมาคมมีอีเว้นท์ต่างๆให้เราได้ไปลอง ได้ไปพิสูจน์ตัวเอง

Q: คิดว่าเป้าหมายในการออกกำลังกายคืออะไร
A: ให้มีร่างกายที่ดีที่แข็งแรงสุขภาพแข็งแรง มีกล้ามเนื้อที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนหรือว่าเมนเทรน เป้าหมายก็คือมีสุขภาพที่แข็งแรง

Q: กลัวไหมว่าเราผ่านเวที R U Tugh Enough นี้ไปแล้วคนจะมองว่าเป็นผู้หญิงแนวแรมโบ้หรือเปล่า กลัวภาพลักษณ์อย่างนั้นมั้ย
A: ไม่ได้กลัวนะคะ คืออย่างที่บอกตอนแรกมีปัญหาในเรื่องคนภายนอกที่มองเราว่าเราแปลกไป พอเราได้เปลี่ยนแปลงจริงๆแล้วเราทำสำเร็จจริงๆ เราไม่แคร์ใครเลยตอนนี้ ไม่ได้แคร์ความรู้สึกของคนอื่นที่จะมองเรายังไง เรารู้ตัวดีตอนนี้แฮปปี้กับตัวเองมาก
เข้าใจตัวเองดีขึ้นว่าเราเป็นยังไง รู้ตัวดีว่าเป้าหมายของเราคืออะไร

Q : อยากให้พูดถึงจุดเริ่มต้นที่ได้เข้ามาในการแข่งขัน R U Tough Enough?
A: ปกติเล่นฟิตเนสอยู่ที่ เอ็กซ์คลูซีฟ ฟิตเนส อยู่แล้ว ไปเห็นป้ายโฆษณาค่ะ ดูน่าสนใจมาก เหมือนกับให้เรารู้จักท้าทายตัวเอง ก้าวพ้นขีดจำกัดของตัวเอง และที่เมืองนอกมีคนเข้ามาออดิชั่นหลายพันคน เค้าดูอินกับโครงการนี้มากๆ เลยอยากจะทดสอบตัวเองว่า เรามีความสามารถมากน้อยแค่ไหน ณ ตอนนี้ ที่เราได้เริ่มออกกำลังกายมา ค่อนข้างหนักว่าปกตินิดนึง

Q: นิยามของความแกร่งในแบบฉบับของตัวเอง
A:ปุ๊กกี้:ความแกร่งสำหรับกี้คิดว่า อยู่ที่จิตใจก่อน ถ้าใจเราสู้ ใจเราแกร่ง ใจเราแข็งแรง เรื่องการลดน้ำหนักของเรานะคะ ปุ๊กกี้ได้ผ่านประสบการณ์ในการลดน้ำหนักมาหลายครั้งมาก คือตัวเองเป็นคนที่ เจ้าเนื้อมากตั้งแต่เด็กไม่เคยผอม ตั้งแต่เด็กโดนล้อตลอด ตูดใหญ่ ขาใหญ่ คืออ้วนตลอด แล้วมันก็ลดน้ำหนักเข้าๆ ออกๆ ไม่สำเร็จซักทีเพราะว่าใจเรายังไม่แข็งแรง เพราะฉะนั้นการที่จะลดน้ำหนักได้ ต้องมีใจที่แน่วแน่ ไม่ว่าจะมีใครมาพูดอะไรก็ตาม ถ้ามีเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนทีนี้ความแกร่งของร่างกายตามมา

โปรดติดตามและร่วมลุ้นว่าใครจะเป็นผู้ชนะเลิศการแข่งขันเฟ้นหาคนพันธุ์อึด  R U Tough Enough? (อาร์ ยู ทัฟ อีนาฟ) ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อชิงเงินรางวัลกว่า 1 แสนบาท ได้ในวันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560 เวลา 18.00น. โซนสแควร์ซี ด้านหน้าห้างเซ็นทรัลเวิล์ด
« Last Edit: April 18, 2017, 01:28:31 PM by MSN »