MSN on March 20, 2017, 04:00:09 PM
มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ก้าวสู่ปีที่ 40 ครองตำแหน่งผู้นำตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนบนมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก วันที่ 20 มีนาคม 2560 กรุงเทพฯ: มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ครองตำแหน่งผู้นำตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนยาวนานกว่า 40 ยึดมั่นนโยบายความปลอดภัยบนมาตรฐานระดับโลก ภูมิใจได้มาตรฐานทั้ง ISO 9001, ISO 18001 และล่าสุดได้รับ ISO 14000 พร้อมเปิดศูนย์ฝึกอบรมลิฟต์และบันไดเลื่อนแห่งใหญ่ ผลิตวิศวกรและช่างเทคนิคระดับมืออาชีพสู่ตลาด อีกทั้ง ฝีกอบรมการขนส่งแนวดิ่งแห่งแรกในไทย มั่นใจ ปัจจัยบวกในการพัฒนาระบบการขนส่งคมนาคมสู่ปริมณฑล, การขยายตัวของสังคมผู้สูงอายุ และ “ประเทศไทย” เป็นศูนย์การรักษาพยาบาลของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ส่งเสริมให้ตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อน เติบโตปีละ 5-7 % จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 7 พันล้านบาท
มร.มุเนอิสะ โอกาโมโตะ กรรมการผู้จัดการบริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่าย ติดตั้งและให้บริการผลิตภัณฑ์ลิฟต์บันไดเลื่อนมิตซูบิชิ เปิดเผยว่ามิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคและประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 40 ปี โดยในปีนี้ จะก้าวสู่ปีที่ 40 อย่างภาคภูมิใจ ซึ่งจะยังคงนโยบายในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการยึดมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพเป็นหลัก เพื่อมอบความมั่นใจในการบริการทุกขั้นตอน ทั้งในด้านคุณภาพของการติดตั้งและการให้บริการ จากทีมวิศวกรและช่างผู้ชำนาญ จำนวนมากกว่า 350 คน รวมถึงศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินทั่วประเทศตลอดทุกวัน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ ได้ใช้งบลงทุน จำนวนกว่า 40 ล้านบาท สร้างศูนย์ฝึกอบรมการขนส่งแนวดิ่ง (Vertical Transportation) แห่งใหม่บนพื้นที่ 1,200 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม.7 โดยเป็นศูนย์ฝึกอบรมที่ทันสมัยและสมบูรณ์แบบที่สุดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ประกอบด้วยห้องฝึกอบรมหลัก 4 ห้อง ลิฟต์จำนวน 7 เครื่อง บันไดเลื่อน 2 เครื่องนอกจากนั้นยังมีห้องแสดงตัวอย่างสินค้าเช่น แผงปุ่มกด ผนังลิฟต์ เพดานลิฟต์ต่างๆ ซึ่งลูกค้าสามารถเข้ามาชมสินค้าขนาดรวมทั้งระบบ Access Control พร้อมรองรับการเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมด้านการขนส่งแนวดิ่ง (Vertical Transportation) ในภูมิภาค”
ศูนย์ฝึกอบรม “มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์ ได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพทั้งในงานติดตั้งลิฟต์ใหม่และการบริการหลังการขายบนมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก ซึ่งกลุ่มผู้เข้ามาใช้ศูนย์ฝึกอบรม ได้แก่ กลุ่มวิศวกรและช่างบริการสำหรับลิฟต์และบันไดเลื่อนซึ่งทุกคนจะต้องผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตร เป็นระยะเวลา1 ปี รวมไปถึงกลุ่มวิศวกรและช่างจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจาก ศูนย์ฝึกอบรมแห่งนี้บริษัท มิตซูบิชิ อิเล็กทริค คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น วางใจให้เป็นศูนย์ฝึกอบรมการติดตั้งและการบริการในระดับภูมิภาคอาเซียน (Training Hub) นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มวิศวกร ช่างอาคาร และองค์กรสาธารณะประโยชน์ต่างๆติดต่อเข้ามาใช้บริการ เพื่อเรียนรู้ในหลักสูตรเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับลิฟต์และการช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น ในโอกาสครบรอบ 40 ปี ยังจะสานต่อกิจกรรมเพื่อสังคม อาทิ โครงการสำนึกรักบ้านเกิด, โครงการแคร์ฟอร์คิดส์, มอบทุนการศึกษา, และโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระยาวอย่างต่อเนื่อง
นายสันติพงษ์ บูรณกฤตยากรณ์ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาดและการขายบริษัท มิตซูบิชิ เอลเลเวอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ ปีที่ผ่านมาตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนมีการขยายตัวในช่วงปลายปี ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการที่รัฐบาล เร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ทั้งระบบรถไฟฟ้าบนดินและใต้ดิน โครงการอาคารผู้โดยสารอาคารที่ 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างมีความคึกคัก ส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลายรายเดินหน้าโครงการต่างๆ กระจายไปยังปริมณฑลอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ นนทบุรี, สมุทรปราการ, มีนบุรี และ กรุงธนบุรี ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆ ได้เริ่มจับกลุ่มลูกค้าระดับ ไฮ-เอ็นเซ็กเมนท์ มากขึ้น ทำให้ ผลิตภัณฑ์ลิฟต์และบันไดเลื่อน “มิตซูบิชิ”ที่สามารถตอบโจทย์ตลาดไฮ-เอ็นเซ็กเมนท์ ได้อย่างเหมาะสม จึงได้รับความสนใจและมียอดขายเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ โครงการใหญ่ที่เลือกใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนมิตซูบิชิ อาทิ โครงการมหานคร อาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทยย่านสีลม-สาทร, โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง, โครงการบันไดเลื่อนในศูนย์การค้าที่ยาวที่สุดภายในศูนย์การค้า Terminal 21, สนามบินสุวรรณภูมิ, โครงการจาก Q.House Group , Ananda Development , Central Group,Siam Paragon, Icon Siam และ LPN เป็นต้น
ในปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิ เอลเลเวเตอร์มีการจำหน่ายลิฟต์และบันไดเลื่อน มากกว่า 1,700เครื่อง สำหรับในปี2560 นี้ตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 1,800 เครื่อง และคาดว่าตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนยังคงเติบโต ระหว่าง 5-7 % ในส่วนของที่อยู่อาศัย ที่ผู้บริโภคคำนึงถึงความปลอดภัยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์มากกว่าราคา สัดส่วนความต้องการในกรุงเทพฯเทียบกับต่างจังหวัดประมาณ 50:50โดยสัดส่วนในกรุงเทพฯเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของระบบขนส่งมวลชน สำหรับมูลค่าตลาดลิฟต์และบันไดเลื่อนในประเทศไทย อยู่ที่ประมาณ 7,000 ล้านบาท
เชื่อมั่นว่า ในช่วง 1-2 ปีนี้ ความต้องการในส่วนของอาคารสำนักงานจะกลับมาเพิ่มมากขึ้น อันเกิดมาจากการพัฒนาของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี อีกทั้ง ส่วนของภาคสาธารณสุข เช่นสถานพยาบาลและสถานพักฟื้นประเภทต่างๆจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการที่ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางทางด้านการรักษาพยาบาลในภูมิภาค อีกทั้ง อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุภายในประเทศในส่วนของปริมาณความต้องการ ของตลาดลิฟต์ โดยรวม จะอยู่ที่ประมาณ 5,500 ตัว และคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 5-7% สำหรับส่วนแบ่งตลาด เรามุ่งมั่นที่จะรักษาแชมป์อันดับ 1 ต่อไป โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30% นายสันติพงษ์กล่าวสรุปในที่สุด
« Last Edit: March 21, 2017, 03:30:02 PM by MSN »
Logged