ออปโป้ ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มสองเท่า ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศไทย, 17 มีนาคม 2560 – ออปโป้ บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศจีน สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งในปี 2559 หลังได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในตลาดสมาร์ทโฟนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังคงมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ติดอันดับสามในตลาดสมาร์ทโฟนประเทศไทยต่อเนื่องถึงสองปีซ้อน
จากรายงานการสำรวจของ ไอดีซี (IDC) ออปโป้มีส่วนแบ่งทางการตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นจาก 5.8% ในปี 2558 เป็น 13.2% ในปี 2559 ซึ่งเป็นผลที่ได้จากยอดขายของออปโป้ที่เพิ่มขึ้นจาก 5.6 ล้านเครื่อง เป็น 13.3 ล้านเครื่องในปีที่ผ่านมา
ออปโป้ยังเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลงในตลาดสมาร์ทโฟน (year-over-year change) เมื่อเปรียบเทียบยอดขายจากปี 2558 และปี 2559 โดยมีอัตราการเปลี่ยนแปลงถึง 137.5% ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นผลลัพท์จากการที่ออปโป้มีไลน์สินค้าที่แข็งแกร่งส่งออกทั้งในตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางและพรีเมี่ยม อาทิ การเปิดตัวของสมาร์ทโหนรุ่น OPPO F1s Classic Black Limited Edition ที่สร้างปรากฏการณ์จำหน่ายหมดตั้งแต่วันแรกที่วางขาย
ออปโป้ยังคงมุ่งมั่นในการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ล่าสุด รวมไปถึงมอบประสบการณ์การใช้สมาร์ทโฟนที่ดีเยี่ยมให้กับผู้ใช้ชาวไทยทุกคนในปี 2560 จะเห็นได้จากเทคโนโลยีเพื่อการถ่ายภาพที่ได้เปิดตัวไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้อย่างสุดยอดเทคโนโลยีการถ่ายภาพด้วยเลนส์คู่หรือ 5x ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกล้องส่องดูเหนือผิวน้ำของเรือดำน้ำ ซึ่งเทคโนโลยีนี้ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการซูมมากถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนทั่วไป โดยตัวเครื่องยังคงความบางและความหรูหราเอาไว้
ปีนี้ ออปโป้ได้วางแผนที่จะปล่อยสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่กว่า 10 รุ่น ในประเทศไทย ซึ่งได้เปิดตัวไปแล้วหนึ่งรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง OPPO R9s ซึ่งจะวางขายพร้อมกันทั่วประเทศวันที่ 11 มีนาคมนี้
ข้อมูลเกี่ยวกับ ออปโป้ ประเทศไทย
บริษัท ไทย ออปโป้ จำกัด จดทะเบียนบริษัทอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2552 มีนโยบายมุ่งเน้นที่จะคิดค้นเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าของเราได้รับสิ่งที่ดีที่สุดตลอดมา เราได้ทุ่มเทและพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ผู้นำแห่ง Camera Phone โดยชูโรงจุดเด่นด้าน “Selfie Expert” ปัจจุบัน OPPO ครองอันดับที่ 3 ในส่วนแบ่งการตลาดสมาร์ทโฟน* ซึ่งในตอนนี้บริษัทไทย ออปโป้ มีพนักงานกว่า 4,000 คนและเคาน์เตอร์เซอร์วิสกว่า 26 แห่งทั่วประเทศ" และคาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกในปีต่อๆไป