MSN on March 13, 2017, 07:38:17 AM
ซีไอเอ็มบีสวนกระแสตลาด เชื่อเฟดคงดอกเบี้ยรอบนี้เตือนนักลงทุนระวังเงินบาทกลับแข็งค่า

สำนักวิจัย ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย เชื่อเฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ แต่อาจเห็นในการประชุมเดือนมิ.ย.ชี้บาทไม่อาจไม่อ่อนแม้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย พร้อมเตือนเงินบาทอาจตีกลับมาแข็งค่าชั่วคราวหากเฟดไม่ขึ้นดอกเบี้ย  ห่วงไทยใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำนานเกินส่งผลข้างเคียงได้  หวังกนง.ส่งสัญญาณให้ชัดไม่ใช่ประเทศสุดท้ายที่พร้อมขึ้นตาม


ดร.อมรเทพจาวะลาผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)เปิดเผยถึงกรณีที่นางเจเน็ตเยลเลนประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ประธานเฟดส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ โดยตลาดการเงินเชื่อว่าเฟดพร้อมขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมวันที่ 14-15 มีนาคมนี้สู่ระดับ 0.75-1.00%   แต่เชื่อว่าจะยังไม่เห็นเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ 

แม้ว่าตัวเลขการจ้างงานและภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวดีขึ้นจริงแต่ตัวเลขการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในไตรมาสที่ 4ที่ต่ำมากหรืออยู่ที่ระดับ 1.9% เท่านั้น หากเฟดจะรอตัวเลขการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นในไตรมาสที่ 1 ที่จะประกาศในเดือนเมษายนก็น่าจะทำให้ภาพรวมดูมีความชัดเจนดีกว่ารอบนี้อีกทั้งรอมาตรการของนายโดนัลด์ทรัมป์ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงไร

“โดยสรุปแล้วผมมองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในรอบการประชุมเดือนมิถุนายนมากกว่าแต่หากเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ก็คงเพื่อสะกัดภาวะฟองสบู่ในสหรัฐที่เริ่มพองตัวขึ้นดังเห็นได้จากดัชนีดาวโจนส์ที่พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์และอาจแตกลงทำให้เกิดปัญหาภายหน้าได้จึงต้องรีบลดความร้อนแรงของตลาดทุนลง”

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้หรือรอบเดือนมิถุยายนล้วนแต่ส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทยได้อยู่พอสมควรอัตราผลตอบแทนพันธบัตรคาดว่าจะขยับขึ้นส่งผลให้ต้นทุนการระดมทุนของเอกชนสูงขึ้นจากสภาพคล่องที่จะเริ่มตึงตัวขึ้นเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ แต่ผู้ส่งออกอาจไม่ได้ประโยชน์มากนัก เพราะบาทมีทีท่าจะแข็งค่าเทียบสกุลเงินเพื่อนบาท จากเงินสำรองที่สูงและดุลบันชีเดินสะพัดที่เกินดุล ทำให้ประเทศไทยมีความน่าสนใจอยู่ในการเป็นที่พักเงินของนักลงทุนต่างชาติ หรือเป็น Safe Haven อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระวังเงินบาทอาจพลิกกลับมาแข็งค่าได้ชั่วคราว หากเฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หรือส่งสัญญาณการขึ้นต่อเนื่องไม่ชัด ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับมาไทยได้ชั่วคราว

นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคืออัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยว่าจะพร้อมที่จะขยับขึ้นหรือยังหรือเราจะให้ความสำคัญกับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำหรืออยู่ที่ราว 3% และเมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้วยังไม่ว่าในระยะอันใกล้จะมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เหนือ 4% และหากรอไปถึงวันนั้นก่อนจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศสุดท้ายที่จะขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐก็เป็นได้

ขณะเดียวกัน การส่งสัญญาณดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานเกินควรแม้จะดูว่าช่วยสนับสนุนให้ต้นทุนการเงินต่ำให้คนลงทุนและบริโภคแต่ดอกเบี้ยไม่ใช่ยารักษาทุกโรคดังเห็นได้จากสามปีที่ผ่านมาการลงทุนภาคเอกชนหดตัวการบริโภคอยู่ในระดับต่ำทั้งๆที่ต้นทุนทางการเงินต่ำซ้ำร้ายคือยาตัวนี้ก็มีผลข้างเคียงผู้ออมเงินถูกบีบให้ไปแสวงหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงหวังเพื่อชนะเงินเฟ้อที่แสนต่ำโดยอาจไม่พิจารณาความเสี่ยงในการลงทุนอย่างรอบคอบและอาจนำไปสู่ปัญหาในระบบการเงินได้

“สุดท้ายผมหวังกนง. ส่งสัญญาณดอกเบี้ยให้ชัดว่าไทยคงไม่ใช่ประเทศสุดท้ายที่พร้อมจะขึ้นดอกเบี้ยและเราต้องคาดหวังสิ่งใดบ้างก่อนดอกเบี้ยจะขยับขึ้นได้”ดร.อมรเทพ กล่าว