news on February 09, 2017, 03:46:05 PM
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ชูแผน Smart City เน้นพัฒนาเกษตร การท่องเที่ยวและแก้ปัญหาหมอกควัน











Smart City หรือโครงการส่งเสริมพื้นที่พิเศษสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นส่วนหนึ่งที่รัฐบาลต้องการให้ช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยให้เกิดการเชื่อมต่อ ปรับเปลี่ยน แก้ไข ระเบียบ ข้อบังคับอันเป็นการจำกัดโอกาสในการลงทุน รวมทั้งเพื่อส่งเสริมพัฒนานวัตกรรม การเรียนรู้เทคโนโลยี การให้คำปรึกษาธุรกิจในพื้นที่เศรษฐกิจดิจิทัล โดยในปีที่ผ่านมาการดำเนินโครงการมีมาอย่างต่อเนื่องและหนึ่งในหน่วยงานที่ร่วมดำเนินการส่งเสริม Smart City คือ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเข้ามาช่วยในการให้คำปรึกษาและส่งเสริมการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน 


นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ ผู้บริหารสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เดิม ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงการ Smart City ในจังหวัดภูเก็ตเพื่อรองรับนักลงทุนในกลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ครอบคลุม 8 แผนงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และในโอกาสดังกล่าวยังได้เปิดศูนย์ Innovation Park ภายใต้โครงการ Phuket Smart City เพื่อให้เป็นสถานที่ส่งเสริมพัฒนานวัตกรรม ส่วนในปีนี้ได้มีการพัฒนาโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ มีการมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำการเกษตรและการท่องเที่ยว  เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของพื้นที่ เกิดการนำเทคโนโลยีต่างๆ ไปยังชนบทให้มากขึ้น

ในการดำเนินโครงการ ChiangMai Smart City โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ขณะนี้อยู่ในช่วงการนำเสนอแผนยุทธศาสตร์โครงการฯต่อทางกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ส่วนการทำ Innovation Park นั้นเรามีแนวคิดที่เปิดให้ผู้สนใจเข้ามาเทรนนิ่ง จนถึงขั้นสามารถเป็นผู้ประกอบการได้ นอกจากนี้ในการหาแหล่งทุนเพื่อการพัฒนาเราจะมีการช่วยจับคู่ธุรกิจ รวมไปถึงพาผู้ประกอบการไปหา Venture capital (VC) พร้อมทั้งยังเป็นศูนย์ที่รวบรวม Big data ของจังหวัดเชียงใหม่ไว้ด้วย โดยศูนย์ดังกล่าวจะตั้งอยู่บนพื้นที่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล 

อย่างไรก็ดีในส่วนการดำเนินโครงการ Smart City ของจังหวัดเชียงใหม่ก็จะแตกต่างออกไปจากจังหวัดอื่น โดยเชียงใหม่มีวิสัยทัศน์ที่ว่าทำอย่างไรให้Digital Economy มีประโยชน์ต่อภาคประชาชน นักท่องเที่ยวหรือคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้นการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ของจังหวัดเชียงใหม่จะเน้น 5ยุทธศาสตร์ ตามแนวคิดว่า ทำอย่างไรให้กินดีอยู่ดีมีสุข ซึ่งการกินดีที่ว่านั้น ต้องทำให้เป็น Smart Economy, Smart Tourism และ Smart Agriculture

ส่วนการอยู่ดีคือ Smart Living เมืองต้องน่าอยู่ปลอดภัย จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชน ต่อมาคือมีสุข Smart Environment นี่คือสามยุทธศาสตร์หลักและมีอีกสองยุทธศาสตร์เสริม คือ  Smart Governanceการนำข้อมูลบิ๊กดาต้าจากภาครัฐ มาใช้บนแพลทฟอร์มต่างๆ เพื่อให้คนในพื้นที่ได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลนั้นๆและเพิ่มศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ และสุดท้าย คือ Smart Education การพัฒนาทางด้านการศึกษา การได้รับความรู้ในรูปแบบใหม่ๆ 

นายฉัตรชัย กล่าวว่า แม้จะมีการวางยุทธศาสตร์ไว้เช่นนี้ แต่เชียงใหม่ยังมีประเด็นในเรื่องของงบประมาณที่ต่างออกไปจากจังหวัดภูเก็ตซึ่งมีการสนับสนุนจากภาคเอกชนร่วม ดังนั้นการดำเนินโครงการของเชียงใหม่จึงเน้นเรื่องที่ส่งผลกระทบในพื้นที่เป็นลำดับแรกก่อน คือการพัฒนา Smart Tourism,Smart Environment และ Smart Agriculture  โดยในส่วนของ Smart Tourism นั้น ได้มีการดำเนินโครงการพัฒนาแพลทฟอร์มที่มีชื่อว่า  Chiang Mai

I Love U เป็นแพลทฟอร์มที่จะช่วยนักท่องเที่ยวในการค้นหาเส้นทางท่องเที่ยงด้วยตนเอง โดยตัวแพลทฟอร์มนี้ก็จะบอกเส้นทาง วิธีการเดินทาง รวมไปถึงการแนะนำร้านค้า โรงแรม สถานที่สำคัญที่น่าสนใจต่างๆผ่านการปักหมุดจากผู้ประกอบการในพื้นที่ ตรงนี้เองมีแนวคิดริเริ่มมาจากเวลาคนส่วนใหญ่ไปเที่ยวไหน สิ่งแรกที่ทำคือการหาค้นมูลจาก pantip.com หรือเว็บท่องเที่ยวต่างๆ แต่แพลทฟอร์มนี้คือการนำกระทู้หรือคำแนะนำเหล่านั้นมาใส่ไว้ที่นี่และนอกจากนี้ในการเปิดตัวแพลทฟอร์มดังกล่าวได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี จึงมีการขยายโครงการออกไปเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่อีก 10 จังหวัด เช่น น่าน ลำปาง นครราชสีมา ขอนแก่น สกลนคร ภูเก็ต สระบุรี และแม่ฮ่องสอน พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น Thailand I love U หากการดำเนินโครงการแล้วเสร็จเส้นทางเหล่านี้ก็จะมีการเชื่อมกันระหว่างจังหวัด

การพัฒนา Smart Agriculture เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้สำหรับทำนายการเพาะปลูกและการเกษตร หรือที่เรียกว่า Smart farming การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเกษตรจะเริ่มตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ต่างๆ ด้วยโดยจะรู้ได้ทันทีว่าพื้นที่ไหนเหมาะสมจะปลูกอะไร สภาพตรงนี้เป็นเช่นไร จากนั้นการทำเกษตรก็จะมีการคำนวณสภาพดิน น้ำ การให้อาหาร สภาพอากาศ การควบคุมโรค ดังที่ว่า Farm to fork คือจะกินอะไรเราก็จะรู้ได้ทันทีอาหารนั้นมีที่มาอย่างไร เนื้อสัตว์เหล่านั้นเลี้ยงด้วยอะไร มีสารพิษหรือไม่ อย่างไรก็ดีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการเกษตรยังมีข้อดีในเรื่องของการคำนวณผลผลิตที่จะออกมาได้ ทำให้ราคาผลผลิตไม่ต้องตกลงเหมือนที่ผ่านมา 

ส่วนเรื่องต่อมา คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อแก้ปัญหาหมอกควัน โดยที่ผ่านมาปัญหาหมอกควันเกิดขึ้นจากการเกิดไฟไหม้ป่าและเราไม่รู้ว่ามีไฟไหม้เกิดขึ้นจนกว่าจะไหม้มาจนถึงบริเวณที่มองเห็นชัดเจน หรือไหม้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นการนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยให้เราเตรียมความพร้อมรับมือได้ทัน ทั้งนี้ที่ผ่านมาเชียงใหม่มีระบบเซนเซอร์ฝุ่นละอองเยอะมาก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ ไม่รู้ว่าค่าเหล่านั้นเกินมาตรฐานคือเท่าไหร่ เพื่อจะได้รีบแก้ไขและหาสาเหตุได้ทันเพื่อจะได้ลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น   

นายฉัตรชัย กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ดี Smart City จะสำเร็จไม่ได้หากขาดความร่วมมือจากภาคเอกชน ดังนั้น ทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับ Onn IT Valley จัดทำคอมมูนิตี้ขึ้น เพื่อสร้างสรรค์

แนวทางการดำเนินธุรกิจร่วมกัน ด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ สร้างศักยภาพด้านการแข่งขันให้  SMEs Startup และเกษตรกรให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน และต้องการสถานที่แห่งนี้เป็นศูนย์รวมแลกเปลี่ยนความรู้เทคโนโลยีด้านไอที  เพื่อให้เกิดการจ้างงานสร้างโอกาส สร้างสังคมตามแนวคิด “ร่วมแรงและแบ่งปัน” ไม่เพียงเท่านี้ยังได้รับความร่วมมือในเรื่องสถานที่จากห้างสรรพสินค้า พรอมเมนาดา รีสอร์ทมอลล์ ในการจัดตั้ง ศูนย์บริการ One Stop Service เพื่อให้เป็นสถานที่ ในการรองรับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ และ SMEs ในพื้นที่ให้สามารถใช้บริการทางด้านดิจิทัลอย่างครบวงจร เช่น คลินิกซอฟต์แวร์ที่มีผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูล ห้อง Show Case Software รวมไปถึงการให้บริการ Co-working Space รองรับได้ถึง 60 ที่นั่ง นอกจากนี้ยังมีระบบกล้อง Fulldome 360 องศา สำหรับเป็นที่แสดง Animation 3D, Game, e-Learning, VR เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทางด้าน Digital Content ได้มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยใช้

“แม้การดำเนินโครงการ Smart City ของจังหวัดเชียงใหม่ยังเป็นเพียงการเริ่มต้น แต่ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการพัฒนาไปสู่การเป็นเมืองที่ยั่งยืน แต่ถึงกระนั้นเชียงใหม่ก็ยังต้องเผชิญความท้าทายไม่ต่างจากจังหวัดภูเก็ตและอาจจะรวมไปถึงปัญหาเรื่องการดำเนินวิถีชีวิตและการมีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง แต่ถึงอย่างนั้นเชื่อว่าหากมีการจัดการที่ดีในการพัฒนาเชียงใหม่ให้เป็น Smart City แต่คงไว้ด้วยเอกลักษณ์เดิมจะทำให้คนในพื้นที่ยอมรับและเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนสืบต่อไป”นายฉัตรชัย กล่าว
« Last Edit: February 09, 2017, 10:42:58 PM by news »