happy on January 20, 2017, 03:01:30 PM

ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ
ผลงานการสร้างของ ไบลดิ้ง เอดจ์ พิคเจอร์ส/ บลูมเฮ้าส์
ภาพยนตร์ของ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน

SPLIT
เจมส์ แม็คอะวอย
อันย่า เทย์เลอร์-จอย
เบ็ตตี้ บั๊คลี่ย์
เฮลี่ย์ ลู ริชาร์ดสัน
เจสสิก้า ซูล่า

ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
สตีเว่น ชไนเดอร์
อัชวิน ราจัน
เควิน เฟรกส์

อำนวยการสร้างโดย
เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน
เจสัน บลูม
มาร์ค บีนสต็อค

เขียนบทและกำกับโดย
เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=1WOMUDOlzWg" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=1WOMUDOlzWg</a>

ชื่อภาพยนตร์   SPLIT
ชื่อไทย      จิตหลุดโลก
วันที่เข้าฉาย    2 กุมภาพันธ์ 2560
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


Split จิตหลุดโลก คือภาพยนตร์ทริลเลอร์สุดระทึก เรื่องราวของเควิน (เจมส์ แม็คอะวอย) ชายโรคจิตที่มี 23 บุคลิกในตัวเอง ซึ่งลักพาตัวกลุ่มเด็กสาว 3 คน นำโดยเคซี่ (อันย่า เทย์เลอร์-จอย จาก The Witch) มาขังไว้

ภายใต้ 23 บุคลิกในตัวเขา คุณหมอเฟลทเชอร์ จิตแพทย์ของเขา เชื่อว่ามีบุคลิกหนึ่งที่ครอบงำบุคลิกอื่น ๆ อยู่... ท่ามกลางบุคลิกที่แตกต่างภายในตัวเขา เควินจะต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ขณะที่ผู้คนรายล้อมรอบตัวเราจะต้องเอาตัวรอดในการเผชิญหน้ากับเขาเช่นเดียวกัน


Split จิตหลุดโลก กำหนดฉายในไทย 2 กุมภาพันธ์นี้ในโรงภาพยนตร์




เบื้องหลังงานสร้าง

มือเขียนบท/ ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน กลับมาเพื่อสร้างอารมณ์ตื่นเต้นจับใจแบบที่เคยสร้างเอาไว้ในภาพยนตร์อย่าง The Sixth Sense, Unbreakable และ Signs ด้วยผลงานเรื่อง Split ภาพยนตร์ที่มีเอกลักษณ์ที่ขุดลึกลงสู่ซอกลึกลับในความคิดที่ทั้งมีพรสวรรค์และแตกร้าวของชายคนหนึ่ง นี่คือผลงานใหม่เรื่องต่อมาของชยามาลานหลังจากภาพยนตร์ฮิตเมื่อปีที่แล้วอย่าง The Visit ชยามาลานได้กลับไปร่วมทีมกับผู้อำนวยการสร้าง เจสัน บลูม (The Purge และภาพยนตร์ชุด Insidious, The Gift) เพื่อสร้างภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ภาพยนตร์ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของชยามาลานจนถึงปัจจุบัน”

ถึงแม้ เควิน  (เจมส์ แม็คอะวอย จากภาพยนตร์ชุด X-Men, Wanted)  จะมีถึง 23 บุคลิก โดยแต่ละบุคลิกต่างมีคุณลักษณะทางร่างกายที่มีความโดดเด่น แต่สำหรับ ดร.เฟล็ทเชอร์  (เบ็ตตี้ บั๊คลี่ย์ เจ้าของรางวัลโทนี่, The Happening, ผลงานทางทีวีเรื่อง Oz) จิตแพทย์ที่เขาไว้วางใจ ยังคงมีหนึ่งบุคลิกที่แฝงตัวอยู่ และนับวันยิ่งแสดงตัวเด่นชัดและควบคุมบุคลิกอื่นๆ ไว้

เมื่อถูกบีบให้ต้องลักพาตัวสาววัยรุ่นสามคนที่นำโดย เคซี่ย์ ผู้ช่างสังเกตและมุ่งมั่น (อันยา เทย์เลอร์-จอย จาก The Witch) เควินต้องเผชิญสงครามเพื่อเอาตัวรอดท่ามกลางเหล่าบุคลิกทั้งหมดที่ถูกกักอยู่ภายในตัวเขา รวมถึงทุกคนรอบๆ ตัวเขา เมื่อกำแพงที่กั้นระหว่างบุคลิกต่างๆ ของเขาเริ่มพังทลายลง

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่ง The Guardian เรียกว่าเป็น “ผลงานการผสมผสานระหว่างฮิทช์ค็อกและภาพยนตร์สยองขวัญชิ้นเอก” ชยามาลานและบลูม ได้รวบรวมทีมงานหลักจากภาพยนตร์เรื่อง The Visit ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลของพวกเขาในปี 2015 

ทีมงานเบื้องหลังของพวกเขา ได้แก่ ผู้อำนวยการสร้าง มาร์ค บีนสต็อค (The Visit, Quarantine 2: Terminal) และผู้อำนวยการสร้างบริหาร อัชวิน ราจัน (The Visit, Devil), สตีเว่น สไนเดอร์ (The Visit, ภาพยนตร์ชุด Insidious)  และเควิน เฟรกส์ (John Wick, The November Man)

ทีมงานหลังกล้องที่ประสบความสำเร็จของ Split ล้วนแต่เป็นผู้ที่เคยร่วมงานกับชยามาลานเป็นประจำ และยังมีทีมงานหน้าใหม่อีกหลายคน นำทีมโดยผู้กำกับภาพ ไมเคิล จีอูลาคิส  (It Follows, John Dies at the End), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ มาร่า เลอเพียร์-ชลูป (Django Unchained, ผลงานทางทีวีเรื่อง True Detective), ผู้ลำดับภาพ ลุค เซียร์ร็อคชี่ (The Visit, The Happening), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ปาโค่ เดลกาโด (The Danish Girl, Les Misérables), ผู้แต่งดนตรีประกอบ เวสต์ ดิแลน ธอร์ดสัน (Joy, Dixieland) และมิวสิค ซูเปอร์ไวเซอร์ ซูซาน เจค็อบส์ (Unbreakable, The Visit)





รากเหง้าแห่งความสยอง:
Split เริ่มต้น

ผู้ชมภาพยนตร์ได้รู้จักกับโลกอันลึกลับซับซ้อนของ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ในปี 1999 จากภาพยนตร์ที่ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ไปทั่วโลกอย่างเรื่อง The Sixth Sense ซึ่งติดตามมาด้วยภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง Unbreakable และ Signs

ชยามาลานเริ่มต้นผลงานบทใหม่ในปี 2015 ด้วยผลงานอันน่าสะพรึง เรี่อง The Visit ซึ่งทำรายได้จากทั่วโลกไปเกือบ $100 ล้านดอลลาร์ การใช้โมเดลเดียวกันในการสร้าง และเพื่อให้ได้อิสระในการคิดสร้างสรรค์เต็มที่ ชยามาลานตัดสินใจที่จะหันไปสู่รากเหง้าที่เป็นอิสระของเขาด้วยการออกทุนสร้างภาพยนตร์เรื่อง Split ด้วยตัวเอง

“ผมอยากสร้างงานใหม่ๆ กับภาพยนตร์ทุกเรื่องด้วยการทำสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน” ชยามาลานบอก “นั่นคือเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผม และมันก็มีอันตรายและมีปัญหาเยอะด้วย โดยเฉพาะเมื่อต้องขายมันให้กับโลกนี้”

หลังจากความสำเร็จของ The Visit ชยามาลานได้ร่วมทีมกับ บลูม และบริษัท บลูมเฮ้าส์ โปรดักชั่นส์ของเขาอีกครั้งเพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่อง Split

บลูม ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อช่วยดูแลงานสร้างของภาพยนตร์ทุนน้อย จนถึงภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ระดับโลก ได้พูดถึงการร่วมงานของเขากับชยามาลานว่า “ไนท์สามารถเล่าเรื่องราวที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละครที่มีความพิเศษมากเหล่านี้ ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางฉากหลังที่พูดถึงประเด็นปัญหาใหญ่ Split ไม่ใช่ภาพยนตร์ทุนสร้างน้อยตามแบบทั่วๆ ไป มันคืองานที่มีวิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่ที่ใช้ทุนสร้างจำกัด มันไม่ใช่งานซีจีไอหรือทุนสร้างหลายร้อยล้านที่ทำให้ Split ให้ความรู้สึกเหมือนภาพยนตร์เอพิค แต่มันคือเรื่องราวที่แสนเร้าใจของไนท์ต่างหากครับ”

ด้วยจุดเริ่มต้นที่ใกล้ตัวมากขึ้น ทำให้ชยามาลานสามารถมุ่งเน้นพลังของเขาไปที่เรื่องและการพัฒนาตัวละครด้วยการกำจัดเสียงคัดค้านและตัวแปรอื่นๆ ที่มักมาพร้อมกับภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่กว่านี้ “มันง่ายมากครับที่จะกระแทกผมออกจากโซนปลอดภัย ซึ่งคือเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงชอบสร้างภาพยนตร์ฟอร์มเล็กลงมา” ชยามาลานบอก “แบบนั้นผมสามารถที่จะปฏิเสธปัจจัยบางอย่าง ผมสามารถได้ยินเสียงจากแง่มุมสร้างสรรค์ที่จะคอยบอกผมถ้าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันหลุดไปจากแนวทาง”

ชยามาลานเสนอไอเดียของ Split ระหว่างดินเนอร์กับราจัน ผู้ร่วมงานกับเขามานาน และยังเป็นประธานบริษัท ไบลดิ้ง เอดจ์ พิคเจอร์ส ของชยามาลานด้วย “ผมประทับใจในทันทีครับ ผมคิดว่ามันเป็นภาพยนตร์ที่เหมาะกับไนท์มาก มันคือการหลอมรวมเรื่องราวทุกแบบที่เขาบอกเล่า” ราจันกล่าว “เขาจดไอเดีย พร้อมกับสองฉากเอาไว้บนกระดาษชิ้นหนึ่ง และมันก็ตราตรึงใจมาก”

บลูมตอบรับต่อเรื่องราวดราม่าและความซับซ้อนของผลงานชิ้นใหม่ของชยามาลานทันที รวมถึงรูปแบบที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เดินตามขนบของภาพยนตร์ทริลเลอร์ทั่วๆ ไป “คนดูจะเพลิดเพลินไปกับ Split ทั้งในระดับความเป็น ‘ภาพยนตร์ตลาดดูเพลิน’ ในขณะเดียวกัน มันก็บีบให้พวกเขาสะท้อนถึงธรรมชาติของมนุษย์  ซึ่งเป็นธีมที่แฝงอยู่ และเป็นเรื่องที่ถูกนำเสนอมาตลอดในงานของไนท์”

สไตล์การสร้างภาพยนตร์ของชยามาลานนั้นมากเกินกว่าการเป็นภาพยนตร์แนวใดแนวหนึ่ง “ภาพยนตร์แต่ละเรื่องจะมีเอกลักษณ์ประจำตัวของเขาเอง”  ผู้อำนวยการสร้างบริหารชไนเดอร์ กล่าว “เขาผสมรวมทั้งเรื่องเล่าขาน ตำนาน และเรื่องเล่าอื่นๆ และผสมรวมเข้ากับแบ็คกราวน์และประสบการณ์ของเขาเอง ภาพยนตร์ของเขาทุกเรื่องครอบคลุมธีมและตัวละครที่มีความซับซ้อน และผมก็รู้สึกทึ่งกับความลึกของ Split มากครับ”

ชไนเดอร์เชื่อว่าคนดูไม่เพียงแต่จะได้รับความบันเทิงจากภาพยนตร์เรื่อง Split เท่านั้น แต่พวกเขายังจะได้รับความท้าทายด้วย “ความหวังของผมนั้นมีความทะเยอทะยานไม่ต่างจากไนท์หรอกครับในเรื่องที่ว่าจุดแข็งของภาพยนตร์เรื่องนี้ในการเล่าเรื่อง มันจะจุดประกายการโต้แย้งเกี่ยวกับความซับซ้อนของตัวตนมนุษย์”

ไม่ว่าจะเป็นมุมมองที่มีต่อการมีพลังจิตพิเศษใน The Sixth Sense, ความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ใน Unbreakable หรือการแสดงอาการป่วยในช่วงเวลากลางคืนใน The Visit ชยามาลานเริ่มต้นเรื่องราวของเขาด้วยไอเดียที่ได้รับแรงบันดาลใจจากปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นเท่านั้น จากนั้น ชยามาลานก็จะนำพาการเดินทางของตัวละครของเขาไปสู่โลกพิเศษที่เรื่องราวเกิดขึ้นจากความพยายามดิ้นรนของตัวละครเอง

ในฐานะคนเล่าเรื่อง ชยามาลานจับคู่การค้นคว้าเข้ากับจินตนาการอันบริสุทธิ์ ผลงานภาพยนตร์ของเขาในแนวเขย่าขวัญและเหนือธรรมชาติ นำเขาไปสู่การนำไอเดียมาจากเรื่องราวลึกลับชวนติดตาม และใช้เรื่องราวเหล่านั้นมาเป็นฐานในการสร้างจินตนาการและถามคำถามง่ายๆ ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้า...”

ชยามาลานอธิบายว่า “ผมกำลังพูดถึงสิ่งที่คุณเชื่อและผลักดันเข้าสู่ดินแดนแห่งจินตนาการ ผมสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้า... ในโรคหลายบุคลิก (Dissociative Identity Disorder) แต่ละบุคลิกภาพต่างเชื่อว่าพวกเขาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ร้อยเปอร์เซนต์ ถ้าบุคลิกหนึ่งเชื่อว่าพวกเขาเป็นโรคเบาหวานหรือมีคอเลสเตอรอลสูง ร่างกายของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปตามระบบความเชื่อหรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าบุคลิกหนึ่งเชื่อว่าเขามีพลังเหนือธรรมชาติล่ะ มันจะเป็นยังไงนะ”

ระหว่างเรียนอยู่ที่ NYU ชยามาลานได้เข้าคอร์สเรียนหลายคอร์สที่มีการพูดถึงเรื่องโรคหลายบุคลิก (DID) และตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาก็ยังรู้สึกทึ่งกับทฤษฎีที่เกี่ยวกับอาการของโรคเหล่านี้
เมื่อชยามาลานเริ่มต้นเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Split เขาได้อ่านเจอเรื่องที่ดีมากเกี่ยวกับหลายเคสที่มีการบันทึกเอกสารเอาไว้ และเรื่องราวของคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อ

จินตนาการของเขา เพื่อเล่าเรื่องราวเหนือธรรมชาติของเขา ชยามาลานได้พูดคุยกับจิตแพทย์หลายคนในแขนงนี้ และได้ความรู้ว่านักบำบัดจะใช้วิธีอย่างไรในการจัดการตัวเองในกระบวนการบำบัดคนป่วยในกลุ่มนี้ ความอยากรู้อยากเห็นนี้สะท้อนให้เห็นในตัวละครที่กลายมาเป็น เควินและดร.เฟล็ทเชอร์

“ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการผสมผสานเข้าด้วยกันของเรื่องทักษะและการเล่าเรื่องที่ไนท์นำมาสู่สื่อนี้ และมีการผจญภัยสุดมหัศจรรย์เป็นแกนหลัก” ราจันบอก “การแสดงนั้นน่าตื่นตะลึงมาก ผมคิดว่ามันจะก้องกังวานในใจของคนดูครับ”

ในฐานะผู้กำกับที่ได้รับการยกย่องว่าสร้างภาพยนตร์ในสายเดียวกับฮิทช์ค็อก ชยามาลานทุ่มเทให้กับทุกฉาก “ไนท์เป็นพวกนิยมในความสมบูรณ์แบบ  เขาทำภาพสตอรี่บอร์ดของแต่ละชอตเพื่อให้แน่ใจว่าเขากำลังเดินตามจินตนาการต้นแบบของเขา” ผู้อำนวยการสร้างบีนสต็อคกล่าว “เขาต้องการให้ทุกชอต ทุกวินาทีออกมาดีที่สุด และนั่นก็ช่วยสร้างแรงบันดาลใจอย่างมากครับ”

เช่นเดียวกับทุกงานที่ชยามาลานทำ ภาพลักษณ์ของ Split มีลักษณะจำเพาะมาก “มันเป็นภาพยนตร์สายหดหู่ แต่กลับมีภาพที่น่าตื่นตะลึงที่มาพร้อมโทนสีที่สวยงาม และใช้แสงเงา” บลูมอธิบาย “ไนท์มีความสามารถที่หาใครเปรียบไม่ได้ในเรื่องของการสร้างความกลัวและความหวาดกลัวในเรื่องทางโลกและเรื่องธรรมดาทั่วไป ซึ่งกลับทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ดูน่าหวั่นเกรง แทนที่จะทำให้มันเป็นเรื่องที่ดูเกินจริง”
« Last Edit: January 22, 2017, 08:14:39 PM by happy »

happy on January 22, 2017, 08:17:50 PM



การเข้าถึงตัวละคร:
เก้าบทบาทในหนึ่งตัวละคร

ชยามาลานรู้สึกว่ามีนักแสดงน้อยนิดมากที่จะเล่นบทบาทชายที่มี 23 บุคลิกใน Split ได้ ถือเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับไนท์ที่บุคลิกแบบต่างๆ ของเควินจะต้องไม่ถูกมองว่าเป็นภาพล้อเลียน แต่จะต้องเป็นบุคลิกที่คนดูจะต้องตอบรับด้วยความเห็นใจ สุดท้ายแล้ว ชยามาลานเลือก เจมส์ แม็คอะวอย นักแสดงชายมากความสามารถที่สามารถแสดงได้ทั้งบทบาทระดับบล็อกบัสเตอร์ จนถึงบทเล็กๆ เพื่อให้เขามาแสดงหลายบทบาทของตัวละครนำของเรื่องตัวนี้

ชยามาลานมองว่าแม็คอะวอยตอบรับต่อความท้าทายนี้ “นี่คือตัวละครที่ถือว่ามีความซับซ้อนที่สุดเท่าที่ผมเคยเขียนมา ผมกำลังคิดว่า ‘เขาจะเข้าใจไหมนะว่าผมกำลังขอให้เขาทำอะไรในภาพยนตร์เรื่องนี้’ แล้วเขาก็เข้าใจได้จริงๆ ครับ ผมไม่เคยทำงานกับนักแสดงคนไหนที่ไร้ซึ่งความกลัวอย่างเขามาก่อน”

ชยามาลานตั้งใจส่งบทภาพยนตร์ที่มีรายละเอียดเพียงเล็กน้อยให้กับแม็คอะวอย โดยหวังที่จะดึงไอเดียที่แม็คอะวอยมีต่อเควินในแบบที่เขาเองก็ไม่เคยจินตนาการเอาไว้ ชยามาลานเล่าว่า “เจมส์ถามว่า ‘ตัวละครที่ผมเล่นอยู่ชื่ออะไร ผมจะได้รู้ไว้ จะได้ไม่สับสน’ และผมก็บอกไปว่า ‘ผมบอกคุณไม่ได้หรอก แค่อ่านบทไปเถอะ’”

แม็คอะวอยรู้สึกทึ่งในจุดหักมุมและจุดพลิกผันมากมายของเรื่องนี้ “ผมอ่าน 10 หน้าแรกและคิดว่า ‘ว้าว นี่มันอะไรกัน’ จากนั้น ผมก็อ่าน 10 หน้าต่อมา และคิดว่า ‘นั่นมันอะไรกัน’” แม็คอะวอยเล่า “มันให้ความรู้สึกราวกับว่าผมกำลังเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงอย่างต่อเนื่อง นั่นคือความสนุกของงานที่ไนท์ทำครับ เขาทำให้คนดูต้องพยายามคิดอยู่ตลอดว่าหนังเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร เรากำลังดูหนังทริลเลอร์ หนังดราม่าแนวจิตวิทยา หนังสยองขวัญ หนังไซไฟ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติกันแน่ และหนังเรื่องนี้ก็เป็นทุกแนวทั้งหมดนั้นเลยครับ”

ความทุ่มเทของชยามาลานต่อการสร้างและการหาเงินทุนให้กับภาพยนตร์ของเขาคือแรงบันดาลใจสำหรับแม็คอะวอย “เขาเป็นคนที่มีความกล้าหาญในการลบแนวทางที่บอกไว้ว่า เพื่อจะเล่าเรื่องที่ดีได้นั้น คุณต้องใช้เงิน $200 ล้าน” แม็คอะวอยกล่าว “แต่เขากลับทิ้งข้ออ้างอิงทั้งหมดไป เพื่อที่ว่าเขาจะได้เล่าเรื่องที่มีคุณภาพจริงๆ ได้ ถือเป็นเกียรติมากครับที่ได้ทำงานกับผู้กำกับที่มีทัศนคติและวิธีการเช่นนั้น เมื่อถึงเวลาในการเล่าเรื่อง”

ชยามาลานและแม็คอะวอยทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้แน่ใจว่าการแสดงของแม็คอะวอยจะยังเป็นหนึ่งแม้เมื่อเขากลายร่างไปเป็นแต่ละบทบาทด้วยความสมจริง

“ไนท์เรียกร้องและโต้แย้งในสิ่งที่เขาอยากให้คุณทำ” แม็คอะวอยบอก “เขามีไอเดียเฉพาะเลยถึงสิ่งที่เขาต้องการในความคิดของเขา แต่เขาก็ให้ความร่วมมือและเป็นผู้ให้อย่างที่สุดเลยครับ”

การเปลี่ยนแปลงสีและตัวละคร บางครั้งภายในชอตเดิม คือสิ่งที่เรียกร้องความสามารถอย่างมาก “คุณหวังว่าคนดูจะเชื่อคุณในฐานะตัวละครตัวหนึ่ง” แม็คอะวอยอธิบาย “จากนั้น คุณก็ต้องการให้พวกเขาเชื่อคุณในบุคลิกต่อมา และทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นน่าสนใจโดยไม่ทำให้คนดูรู้สึกห่างเหิน”

อย่างไรก็ดี บทบาทนี้ยังถือเป็นโอกาสพิเศษจริงๆ สำหรับนักแสดงที่มีประสบการณ์ทั้งงานแสดงละครเวทีและภาพยนตร์อย่างแม็คอะวอย “บอกตรงๆ นะครับ ผมสนุกกับการเล่นเป็นตัวละครแต่ละตัวมาก เพราะในฐานะนักแสดง หาได้ยากมากที่คุณจะได้รับโอกาสได้แสดงแบบนี้” แม็คอะวอยกล่าว “มันน่าตื่นเต้นมากที่ได้เปลี่ยนแปลงในสิ่งที่คุณคิด สิ่งที่คุณเป็น และสิ่งที่สร้างคุณในนาทีหนึ่งๆ นั้น”

ทั้งสองคนทำงานกันอย่างขยันขันแข็งเพื่อให้แน่ใจว่าแต่ละบุคลิกนั้นมีความคิดและบุคลิกลักษณะที่โดดเด่น “เจมส์เป็นคนสก็อต แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาจะแสดงด้วยสำเนียงอเมริกันหรือไม่ก็อังกฤษ” ชยามาลานบอก “ผมลองค้นเอนไซโคลปิเดียสำเนียงการพูดของเขา และก็เสนอไอเดียไปว่า ‘เอาเป็นให้เฮ็ดวิกพูดไม่ชัดเหมือนเด็กๆ ดูไหม’  แล้วเจมส์ก็เก่งมากในการปรับสำเนียงพูดของเขาครับ”

เมื่อต้องแสดงเป็นเฮ็ดวิกน้อย แม็คอะวอยใช้วิธีเดินไปเส้นตรงกลางระหว่างการแสดงเป็นเด็กกับการแสดงเป็นผู้ใหญ่ที่ดูง่ายๆ “นั่นคือวิธีที่คนส่วนใหญ่แสดงเป็นเด็ก” ชยามาลานบอก “เฮ็ดวิกเป็นคนฉลาดมาก เขาแค่บังเอิญเป็นเด็กสิบขวบเท่านั้น ผมจะบอกเจมส์ว่า ‘คุณไม่ได้กำลังเล่นเป็นผู้ใหญ่ซื่อบื้อ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ จงใช้สายตาของคุณ คุณฉลาดมากนะ แต่คุณอายุ 10 ขวบ ดังนั้นคุณไม่รู้หรอกว่าท่าทางนั้นหมายถึงอะไร’”

แม็คอะวอยและชยามาลานยังคงขุดลึกลงไปถึงสิ่งที่แต่ละตัวตนชอบและแรงกระตุ้นของพวกเขา “เจมส์จะถามว่าทำไมตัวละครตัวหนึ่งถึงตอบโต้ออกมาแบบนั้น เพราะผมใกล้ชิดกับเรื่องนี้มาก ผมจึงสามารถที่จะให้เหตุผลกับเขาได้” ชยามาลานบอก “มันสำคัญมากที่จะพูดคุยถึงตัวละครแต่ละตัวจนบุคลิกนั้นๆ มันโดดขึ้นมาสำหรับเราสองคน”

ขณะที่ชยามาลานยึดมั่นต่อบทภาพยนตร์ของเขา แต่เขาก็สนับสนุนให้นักแสดงใส่สีสันเฉพาะตัวของแต่ละคนลงไปในระหว่างบทพูดด้วย “หนึ่งในหลายวิธีที่จะให้ได้ความสมจริงก็คือการด้นมุขสดครับ” ชยามาลานบอก “แต่ผมจะทำกับบทภาพยนตร์เหมือนมันเป็นบทละครเวที นั่นคือวิธีที่ผมพูดถึงมัน และผมจะไม่ปรับเปลี่ยนบทพูด”

สำหรับชยามาลาน มีหลายล้านวิธีที่จะแสดงฉากหนึ่งได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนคำพูดเลยสักคำ “ผมต้องการให้นักแสดงรู้ว่าพวกเขายืดหยุ่นได้มากกว่าที่พวกเขาคิดว่าตัวเองทำได้” ชยามาลานบอก

แม็คอะวอยสามารถปล่อยการแสดงระหว่างบทพูดได้ด้วยความเชี่ยวชาญอย่างมหัศจรรย์ “เขาพูดคำพูดในบทภาพยนตร์ออกมาเป๊ะๆ แต่ก็เพิ่มการด้นสดเข้าไปด้วยสีหน้าและท่าทางของเขา” ชยามาลานบอก “เจมส์จะนำเอาแง่มุมใหม่ๆ ที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นมา เราได้จังหวะที่วิเศษมากในจุดที่เขาแทบไม่ได้สัมผัสมัน แต่กลับทำให้มันโดดเด่นขึ้นมา”
 
ความคล่องแคล่วของแม็คอะวอยถือเป็นประโยชน์มหาศาล “เขาทำอะไรได้มากมายอย่างยอดเยี่ยม อย่างเช่นการกระโดดข้ามรั้วและการปีนป่าย” ชยามาลานบอก “เรามีสตั๊นแมนเตรียมตัวรออยู่ด้วยในกรณีที่อาจต้องใช้ แต่เจมส์เป็นคนคล่องแคล่วมาก และร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ”

นอกจากการแสดงฉากสตั๊นต์แล้ว แม็คอะวอยยังเหมือนกับตัวหดลงไปสามนิ้วเมื่อเขาต้องแสดงเป็นเฮ็ดวิก และตัวแข็งทื่อเมื่อต้องแสดงเป็นเดนนิสผู้แข็งแกร่ง “ไม่ว่าเขาจะเล่นเป็นเด็กหรือเล่นเป็นผู้หญิงที่มีความรุนแรง เขาสามารถแสดงเป็นตัวละครแต่ละตัวด้วยท่วงท่าที่ดูสบายอย่างมาก” ชยามาลานกล่าวชม “เขาแสดงฉากหนึ่งเสร็จ ทีมงานจะต้องตบมือ เพราะเรารู้ดีว่าเรากำลังได้เห็นงานที่พิเศษมากๆ เลยครับ”

“เมื่อคุณคิดถึงสิ่งที่เจมส์ต้องทำในภาพยนตร์เรื่องนี้” บลูมกล่าวชื่นชม “ไม่เพียงแต่เขาดูเหมือนไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย ขณะที่เขาเปลี่ยนไปมาระหว่างแต่ละบุคลิกในการถ่ายทำแต่ละวัน แต่เขายังสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นตัวละครไปมาในระหว่างฉากได้ด้วย คุณได้เห็นนักแสดงที่กำลังเล่นระดับท็อปฟอร์ม และเราทุกคนต่างอึ่งไปหมดกับสิ่งที่เขาทำในฐานะนักแสดงที่มีวินัยสูงมาก ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน และผมหวังว่าการแสดงของเขาคงจะได้รับคำชมอย่างที่ควรได้รับภายใต้การกำกับที่คล่องแคล่วของไนท์”





การค้นหาบุคลิกต่างๆ:
การเลือกตัวนักแสดงในภาพยนตร์ทริลเลอร์

ด้วยงบสร้างจำกัด และทีมนักแสดงหลักที่มีอยู่เพียงห้าคน ชยามาลานต้องทุ่มเทให้กับการเลือกตัวนักแสดง โดยเขาได้เลือกนักแสดงที่มีประสบการณ์ผสมกับทีมนักแสดงหน้าใหม่
ชยามาลานอธิบายถึงกระบวนการทำงานของเขาว่า “ผมชอบนักแสดงรุ่นใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ครับ เพราะว่าพวกเขาจะสมบูรณ์แบบในแง่ของพลังงาน จากนั้นผมก็เลือกนักแสดงที่ผ่านการฝึกฝนฝีมือในละครเวทีมาอย่างเบ็ตตี้และเจมส์ ซึ่งสามารถแสดงได้โดยไม่ต้องซักซ้อมอะไรมาก”

ชยามาลานเขียนบทดร.เฟล็ทเชอร์ ขึ้นมาโดยนึกถึงภาพดาราผู้คร่ำหวอดทั้งในแวดวงละครเวทีและภาพยนตร์อย่าง เบ็ตตี้ บั๊คลี่ย์ อยู่ในหัว “ไนท์มีความเบิกบานใจและความซุกซน ซึ่งฉันชอบความซุกซนนั้นค่ะ” บั๊คลี่ย์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ของชยามาลานเรื่อง The Happening บอก

ดร.เฟล็ทเชอร์ ซึ่งเป็นนักบำบัดผู้มุ่งมั่นทุ่มเท ห่วงใยคนที่เธอรักษาและเธอยอมละทิ้งขนบธรรมเนียมด้วยการมองสภาพของเควินว่าเป็นทรัพย์สินที่มีโอกาส มากกว่าจะเป็นอุปสรรค “เธอมองว่าเขามีแววในฐานะมนุษย์ อาจจะมากกว่าคนปกติทั่วไปด้วยซ้ำ” บั๊คลี่ย์บอก “โรคหลายบุคลิกคือวิธีที่ดร.เฟล็ทเชอร์วิเคราะห์อาการเควิน แต่เธอรู้สึกทึ่งกับวิวัฒนาการของหนึ่งในบุคลิกเหล่านี้ ซึ่งเควินกำลังจะกลายเป็นบุคลิกนั้น”

บั๊คลี่ย์ค้นคว้าบทบาทของเธอด้วยการปรึกษากับจิตแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการรักษาคนที่มีอาการเช่นนี้ “ฉันอยากแน่ใจว่าฉันตอบสนองและมีปฏิกริยาต่อแต่ละตัวละครที่หลากหลายที่เจมส์แสดงเอาไว้ได้อย่างเหมาะสม” บั๊คลี่ย์อธิบาย “เป้าหมายของเธอคือการช่วยให้มนุษย์ผู้นี้ได้ค้นพบตัวตนกลางที่เขาสามารถจะรวมมุมต่างๆ เหล่านี้ของตัวเขาให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ ซึ่งตอนนี้มันยังแตกเป็นส่วนๆ อยู่ แต่ละบุคลิกแสดงพฤติกรรมและคิดต่างกันออกไป และมีวาระที่ต่างกันออกไปด้วย มันซับซ้อนมาก และการแสดงของฉันก็ต้องให้ความรู้สึกที่เหมือนจริงด้วย”

ความรู้อันเฉียบคมที่ชยามาลานมีต่อเรื่องนี้คือลู่ทางสำคัญในความร่วมมือ “เขาเป็นคนคิดสร้างบทภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา และเขาก็มีไอเดียที่ชัดเจนในทุกรายละเอียด ซึ่งทำให้เขาเป็นคนที่ให้ความร่วมมือดีมาก” บั๊คลี่ย์บอก “ถ้าคุณมีไอเดียอะไร เขาจะช่วยคุณพัฒนามันไปมากขึ้น หรือบอกคุณทันทีถ้ามันไม่อยู่ภายในแนวคิดหลักของภาพที่เขาจินตนาการเอาไว้”

นอกเหนือจากความตื่นเต้นของบทภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว บั๊คลี่ย์ยังรู้สึกสนใจในธีมที่มีความโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่พูดถึงความโดดเดี่ยว โดยเฉพาะภายในตัวละครของเธอ “เธอเลือกชีวิตสันโดษ เพื่อจะอุทิศตัวให้กับงานและคนไข้ ฉันพยายามจะนำสำนึกและความรู้สึกนั้นใส่เข้าไปในภาพยนตร์เรื่องนี้” บั๊คลี่ย์บอก “เมื่อมองภาพรวม  Split ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพยนตร์ฝรั่งเศสในแง่ของธีมและสไตล์ที่มีความเป็นศิลปะ ซึ่งก็คือส่วนผสมที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับภาพยนตร์ที่ถูกสร้างมาเพื่อทำให้คุณกลัวแทบตาย”

บั๊คลี่ย์ยังชื่นชอบมากที่ชยามาลานเลือกนักแสดงที่มีแบ็คกราวน์ทางด้านละครเวทีมาก่อน “ไนท์ฉลาดมากค่ะที่เลือกใช้นักแสดงอย่าง เจมส์ ซึ่งมีพื้นฐานในละครเวที” เธอให้ความเห็นไว้ “ศิลปินในแขนงงานนั้นมีความเข้าใจเป็นอย่างดีในเรื่องของการเล่าเรื่องและวินัย  และไนท์ก็นำฝีมือนั้นใส่ลงไปในการทำหนังของเขา”

เพื่อหาคนมารับบท เคซี่ย์ ผู้รอดชีวิตมาด้วยอดีตอันลึกลับดำมืดของเธอเอง และเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ ทีมผู้สร้างเลือก อันย่า เทย์เลอร์-จอย หนึ่งในนักแสดงที่กำลังมาแรงของฮอลลีวู้ด คนดูได้สัมผัสกับฝีมือการแสดงอันโดดเด่นของเทย์เลอร์-จอยครั้งแรก จากบทแจ้งเกิดของเธอในภาพยนตร์สยองขวัญปี 2015 เรื่อง The Witch ชยามาลานพูดถึงการแสดงของเทย์เลอร์-จอยว่า “เธอมีความดิบระดับที่น่าทึ่ง ผมรู้สึกโชคดีมากที่เธอตอบตกลงมาแสดงภาพยนตร์เรื่อง Split”

ก่อนจะมาร่วมทีมนักแสดงชุดนี้ เทย์เลอร์-จอยมีโอกาสได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ก่อน “ในตอนแรก พวกเขาอยากให้ฉันเซ็นสัญญาร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้โดยไม่ต้องอ่านบทก่อน แต่ฉันร้องขอสำเนาบทไป” เทย์เลอร์-จอยเล่า “ฉันช็อคและรู้สึกทึ่งกับเรื่องนี้มาก มันยึดครองสมองฉันอยู่นานหลายวันเลยค่ะ”

เทย์เลอร์-จอยพบเส้นทางที่จะเข้าถึงตัวละครของเธอ เพราะเธอรู้สึกเข้าใจในสถานะคนนอกของเคซี่ย์ได้อย่างง่ายดาย “คุณสมบัติที่เหมือนไม่เข้ากับสังคมกลับเป็นที่พึ่งของเธอ ซึ่งเป็นไอเดียที่น่าสนใจมาก” เทย์เลอร์-จอยยังกล่าวเสริมอีกว่าเธอรู้สึกชื่นชมในความมุ่งมั่นและความเข้มแข็งของเคซี่ย์ “เธอทรหดทีเดียวค่ะเพราะเธอต้องเอาชีวิตรอดจากประสบการณ์ที่ไม่ควรจะมีใครต้องเจอ แต่ความเป็นมานั้นทำให้เธอมีความสามารถอันโดดเด่นที่จะตีโจทย์ปัญหาได้ด้วยการมองสถานการณ์ตามแบบที่มันเป็น ไม่ใช่ในแบบที่เธออยากให้เป็น”

สไตล์การกำกับที่โดดเด่นของชยามาลานคือสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเทย์เลอร์-จอย โดยเฉพาะในฉากที่น่ากลัวที่สุดหลายต่อหลายฉากที่ตัวละครของเธอจะต้องเผชิญหน้ากับตัวตนอันหลากหลายของเควิน “ฉันได้เรียนรู้ว่ามีสิ่งที่โดยทั่วไปถูกมองว่าเป็นความกลัว, ความตื่นตะหนก หรือความสิ้นหวัง และความรู้สึกเหล่านี้ไม่สามารถเป็นลักษณะทั่วไปได้ มันต้องจำเพาะสำหรับตัวละครตัวนี้” เทย์เลอร์-จอยบอก “ในฉากหนึ่งที่ฉันต้องแสดงความกลัวออกไป ไนท์จะพูดว่า ‘ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นใครนะ แต่นั่นไม่ใช่เคซี่ย์’ แล้วเขาก็ถูกเสมอค่ะ”

ชยามาลานยังหาทางที่จะทำให้แต่ละเทกที่ถ่ายทำมีความโดดเด่นด้วยการให้นักแสดงแสดงฉากๆ หนึ่งออกมาด้วยความคิดที่อยู่ในหัวแตกต่างกันไปด้วย “ในฐานะนักแสดง เราต่างกำลังเติมเต็มให้กันและกัน ถ้าเจมส์แสดงออกมาแตกต่างออกไป ฉันก็จะตอบโต้แตกต่างออกไปเช่นกัน” เทย์เลอร์-จอยบอก “มันน่าทึ่งที่ได้มาเห็นว่าฉากนั้นๆ ถูกแสดงออกมาอย่างไร เจมส์คือหนึ่งในนักแสดงที่ดีที่สุดในรุ่นเรา และการได้เห็นเขาใกล้ๆ แบบนั้นมันเหมือนการได้เข้าชั้นเรียนระดับปรมาจารย์เลย”

ในฉากที่ตึงเครียดมากเป็นเหมือนการกระตุ้นให้แม็คอะวอยคอยปกป้องนักแสดงรุ่นน้องอย่างเทย์เลอร์-จอย “มันจะยากมาก และอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจ กับการแสดงบทนี้กับนักแสดงที่มีระเบียบวิธีที่เป๊ะมาก” เทย์เลอร์-จอยบอก “โชคดีที่เจมส์อยากให้ฉันเกิดความรู้สึกสบายใจมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และบ่อยครั้งที่เขาจะปล่อยมุขตลกระหว่างเทกเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น” 

เพื่อหาคนมาแสดงเป็น มาร์เซีย ทางทีมผู้สร้างคิดถึง เจสสิก้า ซูล่า (ผลงานทางทีวีเรื่อง Recovery Road) ผู้ถ่ายทำคลิปออดิชั่นบทใน Split โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนคนหนึ่ง และโทรศัพท์ไอโฟน “มันไม่ใช่การบันทึกภาพที่มีคุณภาพมากนักหรอกนะคะ” ซูล่าเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ “ฉันส่งมันตอนตีหนึ่ง และวันรุ่งขึ้น ฉันก็ได้รับโทรศัพท์ให้ไปพบแคสติ้งไดเร็คเตอร์ในลอสแองเจลิส เพื่อถ่ายออดิชั่นใหม่”

หลังจากเซ็นสัญญาเพื่อแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ซูล่ารู้สึกอึ้งไปเลยเมื่อได้อ่านบทภาพยนตร์ของชยามาลานเรื่องนี้ “แต่ละหน้าให้ความรู้สึกเหมือนการปีนหน้าผา” เธอบอก “นี่คือเรื่องทริลเลอร์ที่น่ากลัวที่สุด และมีเนื้อหาสาระ มันคือความเป็นชยามาลานโดยแท้ค่ะ”

สำหรับซูล่าแล้ว ความท้าทายก็คือการใส่ความลึกให้กับมาร์เซีย เธอทำงานอย่างใกล้ชิดกับชยามาลานเพื่อเพิ่มความซับซ้อนให้กับตัวละครของเธอ ซึ่งเป็นคนที่ติดอยู่ในห้องขัง และหวาดกลัวแทบตาย “เธอเป็นวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากครอบครัวที่ดี และพบตัวเองอยู่ในสถานการณ์น่ากลัวที่เธอไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน” ซูล่าบอก “ฉันไม่อยากแสดงให้เธอเป็นแค่เด็กสาวขี้กลัวจนตัวสั่นเท่านั้น ไนท์รู้จักตัวละครพวกนี้ดีทั้งนอกและใน เขาช่วยฉันยิงเข้าเป้าซึ่งช่วยเพิ่มมิติให้ตัวละครมากขึ้น”

ฉากที่อารมณ์ตึงเครียดของภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งผลต่อซูล่าและทีมนักแสดงทั้งหมด “บ่อยครั้งที่เรานิ่งเงียบ สงวนท่าที และไม่พูดกันเลยระหว่างฉาก” ซูล่าบอก “ฉันฟังเพลงคลาสสิกเยอะมาก อย่างเพลงของบีโธเฟ่น เพราะมันช่วยให้สมองฉันโล่งโดยไม่ดึงฉันออกจากอารมณ์”

ต่อมา ทางทีมผู้สร้างได้เลือก เฮลี่ย์ ลู ริชาร์ดสัน (The Edge of Seventeen, ผลงานทางทีวีเรื่อง Recovery Road) ให้มารับบท แคลร์ นักเรียนสาวสุดป็อปปูล่า

ริชาร์ดสันเล่าถึงหนึ่งในช่วงเวลาการออดิชั่นที่ตึงเครียดที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยไม่เคยได้อ่านบทภาพยนตร์มาก่อนเลย “ก่อนการถ่ายทำ ไนท์จะเก็บความลับทุกอย่างเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่เขาจะสร้างออกมา ดังนั้น มันจึงเป็นความท้าทายที่จะไปออดิชั่นบทโดยไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนหรือว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันต้องสร้างโลกขึ้นมาโดยอิงจากฉากเดียวและทุ่มเทให้กับมัน” เธอเล่า “เมื่อในที่สุดฉันได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ฉันถึงรู้ว่ามันหักมุมและน่ากลัวกว่าที่ฉันจินตนาการเอาไว้เยอะมากค่ะ”

ริชาร์ดสันและชยามาลานได้พูดคุยสนทนากันเกี่ยวกับตัวละครของเธอ และหาวิธีที่จะทำลายรูปแบบของตัวละครหญิงในภาพยนตร์สยองขวัญ “ในภาพยนตร์สยองขวัญมากมายหลายเรื่อง สาวผมทองที่ทุกคนชื่นชอบมักจะตายก่อนคนแรก เราอยากให้แคลร์มีความซับซ้อนมากกว่านั้น” ริชาร์ดสันบอก “เธอเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง และเชื่อว่าด้วยจิตวิญญาณของเธอ เด็กสาวทั้งสามคนสามารถที่จะร่วมมือกันและเอาชีวิตรอดไปได้ เคซี่ย์บังเอิญมีประสบการณ์ที่แตกต่างไปในชีวิตของเธอซึ่งทำให้เธอไม่เห็นด้วยกับแคลร์ แต่ไม่ว่าวิธีการของใครจะถูก แคลร์ก็ไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ"
« Last Edit: January 22, 2017, 08:21:08 PM by happy »

happy on January 22, 2017, 08:24:26 PM
ภาพลักษณ์ที่ถูกปรับเปลี่ยน:
การออกแบบ Split

อีกครั้งที่ชยามาลานหวนกลับไปยังบ้านเกิดของเขาที่ฟิลาเดลเฟียเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Split  “ฟิลาเดลเฟียคือที่ที่ไนท์สร้างภาพยนตร์ของเขาทุกเรื่อง” ผู้อำนวยการสร้างบีนสต็อคอธิบาย “เขามีความหลงใหลในเรื่องนั้นมาก”

มาร่า เลอเพียร์-ชลูป โปรดักชั่นดีไซเนอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำงานร่วมกับชยามาลานเพื่อนำเอาความเป็นจริงที่แสนกล้าของเควินมาปลุกปั้นให้มีชีวิต “นี่คือภาพยนตร์ที่มีความซับซ้อนมาก เพราะเรื่องมีหลายระดับด้วยกัน และคนดูก็อินไปกับบางสิ่งในแต่ละช่วงเวลา” เลอเพียร์- ชลูปอธิบาย “เราต้องการความแตกต่างและรายละเอียดปลีกย่อยที่บ่งบอกเป็นนัยถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องแสดงอะไรออกไปเลย”

เลอเพียร์-ชลูปและทีมของเธอใช้สีเป็นตัวสะท้อนถึงบุคลิกที่แตกต่างของเควิน “มันคือรูปแบบของผู้คน และเราก็พูดคุยกันเยอะมากเกี่ยวกับการใช้สีใหม่ๆ ให้กับตัวละครใหม่ที่เรากำลังแนะนำให้โลกนี้ได้รู้จัก” เลอเพียร์-ชลูปอธิบาย

โลกในห้องใต้ดินมีสีที่ถูกร้อยเรียงกันไปตลอดอย่างมีแผนการ “เราพยายามที่จะลดทอนสีของทุกอย่างออกไป เพื่อให้เมื่อมีสีหนึ่งกระโดดออกมา มันจึงส่งผลอย่างรุนแรง” เลอเพียร์-ชลูปอธิบาย “การเคลื่อนผ่านฉาก สีบนกำแพงจะถูกย้อมและถูกลดทอนสี ขึ้นอยู่กับฉากนั้นๆ ในพื้นที่ที่คนดูเห็นเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงและตึงเครียดที่สุด เราจะใช้สีที่เจิดจ้าที่สุด”

การเตรียมตัวเป็นอย่างดีและการใช้สตอรี่บอร์ดของชยามาลานช่วยให้เลอเพียร์-ชลูปสร้างสิ่งที่อยู่ในความคิดของผู้กำกับให้มีชีวิตขึ้นมาได้จริงๆ “ไนท์มีหนังทั้งเรื่องอยู่ในหัวของเขาอยู่แล้ว และเขาก็ยอมสละเวลาที่จะอธิบายถึงสิ่งสำคัญๆ” เลอเพียร์-ชลูปเล่า “ฉันจึงมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงโลกที่เรากำลังสร้างขึ้นมา และชอตภาพในแบบที่เขาต้องการ”

นอกจากการวางแผนอย่างพิถีพิถันแล้ว มีบ่อยครั้งที่เลอเพียร์-ชลูปต้องทำงานอย่างรวดเร็วโดยไม่ประนีประนอมต่อขนาดของงานที่มีขนาดใหญ่ขึ้นของภาพยนตร์เรื่องนี้ “คุณไม่สามารถตัดสินใจแยกเดี่ยวออกไปได้ในทุกเรื่องเมื่อคุณสร้างภาพยนตร์ที่มีขนาดใหญ่แบบเรื่องนี้ คุณต้องคิดในแง่ของเนื้อหาโดยรวม” เธออธิบาย “เราถูกบีบให้ต้องคิดและมีประสิทธิภาพในทุกอย่าง”

ชยามาลานมักพูดคุยถึงไอเดียหรือตอบคำถามต่างๆ แม้แต่ในเรื่องเกี่ยวกับรายละเอียดที่เล็กที่สุด “ในทุกวัน เราอาจมีเรื่องให้ต้องตัดสินใจเป็นพันๆ เรื่อง ตั้งแต่สีของกำแพง จนถึงรูปแบบของหลอดไฟ” เลอเพียร์-ชลูปเล่า “ไนท์สามารถทำงานหลากหลายงาน และมีความกระตือรือร้นที่จะพูดคุยถึงทุกแง่มุมของจินตนาการของเขาค่ะ”

ปาโค่ เดลกาโด ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย พยายามใช้สีให้น้อยที่สุด “ไอเดียก็คือการสร้างภาพที่ดูแข็ง” เดลกาโดบอก

สำหรับชุดของเคซี่ย์ เดลกาโดเลือกเนื้อผ้าและขนาดที่ดูใหญ่โคร่งเพื่อปิดซ่อนเรือนร่างของเธอ “เธอเป็นคนที่เคยโดนทำร้าย เธอไม่สนใจเรื่องแฟชั่นหรือการจะต้องทำตัวให้เหมือนกับเด็กสาวคนอื่น” เดลกาโดบอก

ขณะที่เสื้อผ้าของ ดร.เฟล็ทเชอร์ เดลกาโดเลือกโทนสีน้ำตาล เทา และน้ำเงินที่ดูเคร่งขรึม “ผมอยากให้เสื้อผ้าของเธอดูเป็นเสื้อผ้าหรูงดงาม แต่จะต้องดูไม่ฉูดฉาด เพราะเธอเป็นนักวิชาการ”

เขายังใช้สีเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างบุคลิกที่หลากหลายของเควิน “เดนนิสเป็นบุคลิกที่แข็งแกร่งที่สุด ทำให้ฉันนึกถึงทหารที่ควบคุมทุกอย่าง” เดลกาโดอธิบาย “เราสะท้อนคุณลักษณะแบบตำรวจด้วยสีเทาเข้ม”

แบร์รี่ผู้มีจินตนาการสวมใส่เสื้อผ้าโทนสีนุ่มนวลขึ้น และใช้วัสดุอย่างผ้าขนสัตว์ เดลกาโดบอกว่า “เราอยากให้เสื้อผ้าของเขาบ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ของเขา”

สำหรับเด็กน้อยเฮ็ดวิก เดลกาโดได้แรงบันดาลใจมาจากเด็กผู้ชายตามโรงเรียนใกล้ๆ ในฟิลาเดลเฟีย “เราให้เขาใส่ชุดวอร์ม ซึ่งเป็นชุดยอดฮิตของเด็กในวัยนั้น เราเพิ่มสีสันเข้าไปอีกนิดหน่อยเพราะเขาเป็นเด็กครับ”

แพทริเซียเป็นหนึ่งในบุคลิกภาพที่แต่งตัวได้ยากมากในเรื่องราวเหนือธรรมชาตินี้ “เราได้พูดคุยกันว่าเจมส์ควรจะใส่วิกผม และแต่งตัวให้ดูคล้ายผู้หญิงหรือไม่”  เดลกาโดเล่า “สุดท้าย เราตัดสินใจว่าแพทริคเซียต้องมีลักษณะที่ดูเหมือนผู้ชายที่ใส่เสื้อผ้าผู้หญิง”

องค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ต้องมีความต่อเนื่องกันระหว่างแต่ละบุคลิกภาพก็คือ ทรงผมสไตล์มินิมอลิสต์ของแม็คอะวอย “ผมไม่อยากทำอะไรกับสไตล์ผมหรือวิกผมของเขา” ชยามาลานบอก “ศีรษะที่ถูกโกนผมของเขาได้สร้างฐานที่ว่างเปล่า ซึ่งเป็นจุดที่การแสดงออกของเขาสามารถนำพาคุณจากตัวละครตัวหนึ่งไปยังตัวต่อไปได้ครับ”


####

                 ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอผลงานการสร้างของ ไบลดิ้ง เอดจ์ พิคเจอร์ส/ บลูมเฮ้าส์ ภาพยนตร์ของ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน เรื่อง Split นำแสดงโดย เจมส์ แม็คอะวอย, อันยา เทย์เลอร์-จอย, เบ็ตตี้ บั๊คลี่ย์, เฮลี่ย์ ลู ริชาร์ดสัน, เจสสิก้า ซูล่า ผู้ทำหน้าที่คัดเลือกตัวนักแสดงให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ดักลาส ไอเบล, CSA มิวสิค ซูเปอร์ไวเซอร์ คือ ซูซาน เจค็อบส์ ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ เวสต์ ดิแลน ธอร์ดสัน และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย คือ ปาโค่ เดลกาโด ผู้ทำหน้าที่ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แก่ ลุค เซียร์ร็อคชี่ โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ได้แก่ มาร่า เลอเพียร์-ชลูป ผู้กำกับภาพ ได้แก่ ไมเคิล จิอูลาคิส ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ สตีเว่น ชไนเดอร์, อัชวิน ราจัน, เควิน เฟรกส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน, เจสัน บลูม, มาร์ค บีนสต็อค Split เขียนบทและกำกับโดย เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน  © 2016 Universal Studios  www.splitmovie.com

####

                 สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับโรคหลายบุคลิก Dissociative Identity Disorder หาอ่านได้ที่ www.nami.org.