Fast & Furious 8
กำหนดเปิดตัวฉายในประเทศไทย: 12 เมษายน 2017
จากความสำเร็จของภาพยนตร์ปี 2015 อย่าง Furious 7 ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่สามารถทำรายได้หลัก $1 พันล้านดอลล่าร์จากทั่วโลกได้เร็วที่สุด และติดอันดับภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดทั่วโลกที่อันดับ 6 ในประวัติศาสตร์บ็อกซ์ออฟฟิศ เรื่องราวดำเนินมาถึงบทใหม่ล่าสุดในภาพยนตร์ชุดที่ได้รับความนิยมสูงสุดและอยู่มาคงทนนานที่สุดตลอดกาล ในตอนที่ชื่อว่า Fast & Furious 8 จากการเปิดตัวภาพยนตร์ตัวอย่างเรื่องนี้ไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันถือเป็นภาพยนตร์ตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา โดยมียอดเข้าชมถึง 139 ล้านวิวภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงหลังจากที่มีการเปิดตัวครั้งแรกที่ไทม์สแควร์ ความหิวกระหายที่คนดูมีต่อเรื่องราวจากภาพยนตร์ชุด Fast & Furious ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แม้ว่าตัวละครกลุ่มนี้จะผ่านเรื่องราวมากมายบนท้องถนน ซึ่งนำพวกเขามาถึงจุดนี้ เมื่อพวกเขาถึงขนาดซิ่งส์รถออกจากเครื่องบิน เหยียบทะลุตึกระฟ้าสูงริบ และวิ่งซิ่งส์ลงจากเขา แต่ไอเดียหลักของเรื่องซึ่งเป็นสิ่งที่ผลักดันพวกเขาให้เดินไปข้างหน้า ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นั่นก็คือ ครอบครัว ตอนนี้ ดอมและเล็ตตี้แต่งงานกันแล้ว ไบรอันกับมีอาถอนตัวจากวงการ ส่วนคนอื่นๆที่เหลือก็รอดพ้นจากความผิด แก๊งตลุยรอบโลกแก๊งนี้ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อมีหญิงสาวลึกลับคนหนึ่ง (รับบทโดยนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ ชาร์ลิซ เธียรอน) ล่อลวงดอมเข้าสู่โลกแห่งอาชญากรรมที่ดูเหมือนดอมจะหนีไม่พ้น และทำให้เขาทรยศเพื่อนๆ ที่สนิทกับเขาที่สุด ทุกคนจึงต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบที่จะทดสอบพวกเขาในแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลย จากชายฝั่งคิวบา และท้องถนนของนิวยอร์กซิตี้ จนถึงที่ราบทุ่งน้ำแข็งชายฝั่งทะเลแบเรนต์ส กลุ่มขาซิ่งส์ระดับหัวกะทิจะต้องเดินทางข้ามโลกเพื่อหยุดจอมวายร้ายจากการสร้างความโกลาหลให้กับโลก และนำตัวชายที่เคยทำให้พวกเขากลายเป็นครอบครัวเดียวกัน กลับคืนสู่บ้านอีกครั้ง สำหรับ Fast & Furious 8 บทแรกของงานไตรภาคสุดท้ายของภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ทุบสถิติของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส วิน ดีเซล ในบท โดมินิค ทอเร็ตโต้ ที่ผันตัวเองมาเป็นวายร้าย ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงชื่อดังที่กลับมาแสดงบทบาทเดิมของพวกเขา รวมถึงนักแสดงหน้าใหม่สำหรับโลกขาซิ่งส์ใบนี้ ทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ ดเวย์น จอห์นสัน ในบท ฮ็อบส์ เจ้าหน้าที่ดีเอสเอสที่ ณ บัดนี้ ต้องมาร่วมมือกับลูกทีมของดอมเพื่อปลุกดอมให้กลับมาเป็นดอมคนเดิม และปกป้องแผนทำลายล้างโลก, มิเชลล์ ร็อดริเกซ ในบท เล็ตตี้ ผู้เปรียบเสมือนรองหัวหน้าแก๊ง และในที่นี้ เธอมีภารกิจที่ถือว่าเป็นงานส่วนตัวมากที่สุด นั่นก็คือการดึงตัวสามีของเธอกลับมาจากขอบเหว, ไทรีส กิ๊บสัน รับบท โรมัน เสือผู้หญิงปากไว ผู้ยังไม่เคยเจอสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถหว่านเสน่ห์จนเอาตัวรอดไม่ได้, คริส “ลูดาคริส” บริดเจส ในบท เทจ ช่างเทคนิคและช่างเครื่องยนต์อัจฉริยะ, เจสัน สเตแธม ในบท เดคการ์ด ชอว์ มือสังหารหน่วยรบพิเศษที่ตอนนี้กลับมีภารกิจร่วมกับลูกทีมของดอม ซึ่งเป็นศัตรูของเขา มากเกินกว่าที่เขาคาดคิดขณะนั่งอยู่ในห้องขังที่มีการคุ้มกันแน่นหนาที่สุด, เคิร์ต รัสเซลล์ ในบท มิสเตอร์ โนบอดี้ เจ้าหน้าที่รัฐฯ หน้าเหลี่ยมที่กล้าลุยงานแบบยื่นหมูยื่นแมว และไม่กลัวที่จะทำผิดกฎหมาย, นาธาลี เอ็มมานูเอล ในบท แรมซี่ย์ แฮ็คเกอร์อัจฉริยะที่รัฐบาลทุกประเทศและทุกองค์กรก่อการร้ายต้องการสิ่งประดิษฐ์ของเขา และเอลซ่า พาทากี้ ในบท เอลีน่า อดีตตำรวจริโอ และปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสเอส ที่ต้องตัดสินใจเลือกอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เพื่อช่วยคนที่เธอรัก นอกจาก เธียรอน ซึ่งมารับบท ไซเฟอร์ ผู้ก่อการร้ายไซเบอร์ชื่อกระฉ่อนที่สุดในโลก และกลายมาเป็นสาวข้างกายคนปัจจุบันของดอม ภาพยนตร์ชุดนี้ยังได้ สก็อตต์ อีสต์วู้ด มารับบท เอริค ไรสเนอร์ มือขวาของมิสเตอร์โนบอดี้ และเฮเลน มิร์เรน นักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ รับบทเป็นผู้หญิงที่ลึกลับที่สุดเท่าที่ดอมเคยเจอในภารกิจตลุยทั่วโลกของเขา Fast & Furious 8 กำกับโดย เอฟ แกรี่ เกรย์ ผู้กำกับที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง Straight Outta Compton ภาพยนตร์เพลงชีวประวัติอันดับ 1 ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์, The Italian Job, Be Cool และ Friday และอำนวยการสร้างโดยผู้อำนวยการสร้างทีมเดิม ได้แก่ นีล เอช มอริทซ์ ซึ่งถือว่าเป็นพ่อทูลหัวของภาพยนตร์ชุด Fast & Furious และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง I Am Legend จนถึงภาพยนตร์ชุด 21 Jump Street , ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 ไมเคิล ฟ็อทเทรลล์ (Furious 7, Fast Five) และดีเซล บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของผู้อำนวยการสร้าง คริส มอร์แกน (Fast & Furious series, Wanted) โดยสร้างจากตัวละครที่สรรค์สร้างโดย แกรี่ สก็อตต์ ธอมป์สัน (The Fast and the Furious) เกรย์ได้รวบรวมทีมงานสร้างสรรค์ระดับแนวหน้า ซึ่งนำทีมโดยเพื่อนร่วมงานขาประจำของครอบครัว Fast & Furious รวมถึงศิลปินหน้าใหม่ที่เข้ามาเสริมทีมงานผู้มีประสบการณ์ ซึ่งรวมถึงผู้กำกับภาพ สตีเฟ่น เอฟ วินดอน (Furious 7, Fast & Furious 6), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ บิลล์ เบรสกี้ (Furious 7, Iron Man 3), ผู้ลำดับภาพ คริสเตียน แว็กเนอร์ (Furious 7, Fast Five) และพอล รูเบลล์ (Thor, Collateral), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย มาร์ลีน สจ๊วร์ต (Oblivion, Tropic Thunder), ผู้ประสานงานเรื่องรถ เดนนิส แม็คคาร์ธี่ (Furious 7, Fast & Furious 6), ผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 สไปโร่ ราซาทอส (Furious 7, Fast & Furious 6) และผู้แต่งดนตรีประกอบ ไบรอัน ไทเลอร์ (Furious 7, Fast & Furious) และเช่นเคย อาแมนด้า ลูอิส (ภาพยนตร์ชุดFast & Furious) และซาแมนธา วินเซนต์ (ภาพยนตร์ชุด Fast & Furious) ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารเบื้องหลังงานสร้าง
ครอบครัวแตกสาแหรก:
งานสร้างเริ่มต้น
Furious 7 ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามันคือสุดยอดของภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ทุกคนรัก ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่ทั้งทีมผู้สร้างและทีมนักแสดงต้องการสร้างเพื่อให้เกียรติกับ พอล วอล์กเกอร์ ที่ถือว่าเป็นหัวใจของภาพยนตร์ชุดนี้เท่านั้น แต่ยังถือเป็นงานที่ดีที่สุดในแง่ที่ภาพยนตร์ The Fast and the Furious ได้จุดประกายขึ้นในกลุ่มคนดูมานานมากกว่า 15 ปีที่แล้ว และยังคงจุดประกายให้กับแฟนๆ รุ่นต่อมาอีกด้วย การสร้างภาพยนตร์จนเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นยังต้องโปรโมทภาพยนตร์เรื่องนี้ไปทั่วโลก ถือเป็นภารกิจแห่งรักและเป็นภารกิจที่เผาผลาญพลังและทำให้เหนื่อยล้าสำหรับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายแล้วคำถามที่เลี่ยงไม่ได้ก็มาถึง นั่นก็คือคำถามที่ว่านี่จะเป็นตอนสุดท้ายของภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่คนดูรักใคร่หรือไม่ การตัดสินใจว่าจะสานต่อเรื่องราวนี้ต่อไปหรือไม่ ทีมผู้อำนวยการสร้าง นีล เอช มอริทซ์ และวิน ดีเซล และผู้เขียนบท คริส มอร์แกน, ทีมผู้บริหารของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และทีมนักแสดงที่เหลือ ต้องใช้เวลาคิดอยู่นาน และรู้สึกลำบากใจในการตัดสินใจเลือกก้าวต่อไปของพวกเขาร่วมกัน ครอบครัว Fast อยู่ในความเศร้าสลด และในเวลานั้น มีเพียงน้อยคนนักที่จะสามารถคิดหาเหตุผลที่คุ้มค่าที่จะหยิบเก็บชิ้นส่วนต่างๆ และดำเนินเรื่องราวนี้ต่อไป เหล่าคนนอกกฎหมายแห่งแวดวงซิ่งส์ใต้ดินแห่งถนนอีสต์ลอสแองเจลิส ต้องลุกขึ้นสู่กับความเลวร้ายในระดับโลก และออกปล้นแบบท้าความตายที่มีเดิมพันสูง ขณะที่พวกเขาต้องสูญเสียเพื่อนและมีศัตรูเพิ่มมากขึ้นในระหว่างเส้นทางการผจญภัยที่ผ่านมา เรื่องราวใหม่ที่จะเกิดขึ้นจะต้องยึดมั่นต่อรากฐานเดิมของพวกเขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทางทีมผู้สร้างรู้สึกว่าพวกเขาจะต้องทำสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าจะสานต่อเรื่องราวนี้ เมื่อมีการตัดสินใจแล้วว่าภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ยังคงมีเรื่องที่น่าสนใจที่จะแบ่งปันให้คนดูต่อไป พวกเขาเลือกที่จะขว้างบอลโค้ง ทิศทางใหม่จะต้องเป็นการพลิกผันเหตุการณ์ที่จะเขย่าฐานแฟนพันธุ์แท้ นับแต่เริ่มต้น ธีมที่พูดถึงครอบครัวของภาพยนตร์ชุดนี้ได้ถูกนำเสนอเอาไว้ในภาพยนตร์ทุกภาค และ ความเชื่อนั้นจะต้องผ่านการทดสอบ “ผมต้องการแค่จะสืบสานตำนานบทนี้ถ้าเราจะสร้างไตรภาคสุดท้ายที่ดีที่สุดเพื่อตัวเราเอง และเพื่อความยิ่งใหญ่ของ พอล พี่น้องของเรา และสำหรับยูนิเวอร์แซล ผู้คอยให้การสนับสนุนมาตลอดหลายปีมานี้” ดีเซล ซึ่งทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ชุดนี้มาตั้งแต่ Fast & Furious บอก “กับ Furious 7 จุดมุ่งเน้นของเราไม่ใช่แค่การสร้างภาพยนตร์ตอนที่ดีที่สุดในตำนานภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้น แต่เพื่อให้เกียรติกับสิ่งที่มันนำเสนอมาเกือบสองทศวรรษ กุญแจที่ไขไปสู่เรื่องราวบทต่อไปนี้ก็คือการท้าทายธีมหลักที่อยู่คงทนมานาน และต้องทำมันในแบบที่น่าติดตามและให้ความบันเทิงด้วยครับ” มือเขียนบท คริส มอร์แกน กลับมาทำงานกับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้เป็นครั้งที่ 6 โดยครั้งนี้เขาได้ร่วมงานกับ มอริทซ์, ดีเซล และฟ็อทเทรลล์ ในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างด้วย สำหรับผู้สร้างสรรค์เรื่องราวที่มีความหลากหลายเรื่องนี้ งานนี้ถือเป็นงานที่ท้าทายที่สุดสำหรับเขา เมื่อครั้งที่มอร์แกนอธิบายไอเดียของทีมในเรื่องราวไตรภาคสุดท้ายนี้ มันกลายเป็นความสำเร็จอย่างมหาศาล มอร์แกนเล่าถึงจุดพีคในครั้งนี้ว่า “Fast & Furious 8 คือเรี่องราวเกี่ยวกับผลกระทบของช่วงเวลาที่ลึกซึ้งที่สุดที่อาจส่งผลทลายทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณเคยเชื่อ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเสาหลักของครอบครัวคุณ คนที่คอยสอนสั่งว่าจงอย่าหันหลังให้กันและกัน กลับเป็นคนทำลายกฎพวกนั้นเสียเอง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาหันเข้าสู่ด้านมืด และครอบครัวพยายามที่จะปลุกเขา และต้องลุกขึ้นสู้กับเขา มันโดดเด่นและออกจะน่ากลัวอยู่เหมือนกัน มันเป็นเรี่องราวดราม่าที่ดีสำหรับแฟรนไชส์เรื่องนี้ และทำให้เรามีเหตุผลที่จะเดินไปข้างหน้าในแบบที่น่าสนใจครับ” มันเป็นเรื่องราวที่หาญกล้า และเมื่อ มอร์แกน, มอริทซ์ และดีเซล วางประเด็นต่างๆ ในเรื่องได้แล้ว พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาสามารถที่จะซิ่งส์ไปบนถนนเส้นใหม่ด้วยเรื่องราวที่มีความตื่นเต้น ไม่เหมือนใคร ขณะที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณแบบคนนอกกฎหมายที่แฟนๆ ติดใจมาครั้งแล้วครั้งเล่าเอาไว้ มอริทซ์ ผู้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้มานาน กล่าวว่า “สิ่งที่มักจะทำให้ผมทึ่งได้เสมอ ก็คือ เราสามารถที่จะพัฒนาเรื่องไป และยังคงรักษาเส้นที่เลือนลางระหว่างคนดีกับคนเลวเอาไว้ได้ตลอดในซีรีส์ชุดนี้ เราปล่อยให้ตัวละครของเราแต่ละตัว ทั้งตัวละครเก่าและตัวละครใหม่ สามารถที่จะเติบโตไปในทิศทางที่แตกต่างกัน เราไม่เคยที่จะเดินเข้าสู่บทใหม่พร้อมกับความคิดว่าพวกเขาควรจะทำอะไร และปล่อยให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องเติบโตไปด้วยตัวละครเหล่านี้ มันน่าพึงพอใจที่ได้เห็นว่าเราสามารถก้าวเข้าสู่พื้นที่ที่แตกต่างกันมากแค่ไหน และวิธีที่เราสามารถเดินไปกับพวกเขา นั่นคือส่วนหนึ่งของความสนุกสำหรับคนดู พวกเขารักตัวละครเหล่านี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาต่อไป” กับเรื่องราวใหม่ๆ ในแต่ละตอน มอริทซ์และดีเซลต้องการทำให้แฟนๆ ได้ลุ้นจนสุดตัว และทำให้พวกเขาได้รับความบันเทิงจากการคาดเดาไม่ถึง การค้นหาตัวผู้กำกับที่มีความสามารถที่จะถ่ายทอดเรื่องราวในทุกระดับ ขณะที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของซีรีส์เรื่องนี้เอาไว้ นั่นคือสิ่งที่ต้องมี จัสติน ลินได้วางงานพื้นฐานเอาไว้ให้กับการเดินเรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้ เมื่อเขาสร้างความร้อนแรงให้กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้อีกครั้งด้วย Tokyo Drift และเจมส์ วาน ก็ทำสำเร็จด้วย Furious 7 ซึ่งทำรายได้แบบทุบสถิติ เอฟ แกรี่ เกรย์ ซึ่งมีประวัติผลงานหลากหลาย เช่น ภาพยนตร์ชีวประวัติที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่าง Straight Outta Compton, ภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่อง The Negotiator, ภาพยนตร์แอ็กชั่นเรื่อง The Italian Job และภาพยนตร์ตลกคลาสสิกเรื่อง Friday เราอาจสังเกตเห็นถึงความคล้ายคลึงกันเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่ภาพยนตร์เหล่านั้น และนั่นก็คือวิธีที่เกรย์ชอบอย่างมาก ผู้กำกับเกรย์ยอมรับว่าเขามีความสนใจในเนื้อหาเรื่องราวที่ท้าทายตัวเขาอยู่แล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับข้อเสนอที่เย้ายวนในการรับกำกับภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของยูนิเวอร์แซล เกรย์รู้สึกสนใจทันที อย่างไรก็ดี เขาขุดลึกลงไปอีกนิดเพื่อหาสิ่งหนึ่ง ที่จะสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันขีดจำกัดของเขาออกไป “ศิลปินจะขุดลึกลงไปอีกเมื่อพวกเขารู้สึกถูกท้าทาย และนี่ก็คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมครับ” เกรย์บอก “ผมอยากนำสิ่งที่แตกต่างมาสู่แฟรนไชน์เรื่องนี้ และทุกอย่างเริ่มต้นด้วยเรื่องนี้ครับ นี่คือสิ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง มันจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยสัมผัสมาก่อนในแฟรนไชส์อย่าง Fast” Fast & Furious 8 ทำให้เกรย์มีโอกาสได้สร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ และทำให้เขาสามารถนำรูปแบบการนำเสนอที่โดดเด่นของตัวเขาเองใส่ลงไปในการเล่าเรื่อง การแสดงที่กระตุ้นความสนใจ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่คาดไม่ถึงในทุกระดับ เขาตั้งใจที่จะนำภาพยนตร์ชุดนี้ไปในทิศทางใหม่ ดังนั้น ไม่เพียงแต่เกรย์จะเดินเข้ามาพร้อมกับไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ เท่านั้น แต่เขายังมาถึงกองถ่ายพร้อมมิตรภาพที่มีร่วมกับนักแสดงหลายคนของทีม Fast อาทิเช่น เขาเคยกำกับ ดีเซล มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง A Man Apart, เคยกำกับสเตแธมกับเธียรอนในภาพยนตร์เรื่อง The Italian Job และเคยกำกับ จอห์นสัน ใน Be Cool นอกจากนี้ เขายังรู้จักกิ๊บสันและบริดเจสจากการทำงานในแวดวงบันเทิง รวมไปถึงตอนที่เขาเข้าวงการใหม่ๆ ซึ่งเขาเคยผ่านงานกำกับมิวสิควิดีโอ และโฆษณาทางทีวีมาอย่างโชกโชน ดีเซลรู้สึกพอใจมากที่ได้เห็นผู้กำกับที่มีฝีมืออย่าง เกรย์ เข้ามาร่วมทีมกับครอบครัว Fast & Furious “ผมรู้ตั้งแต่ตอนร่วมงานกันใน A Man Apart แล้วว่า แกรี่ สามารถที่จะดึงอะไรออกมาจากตัวละครที่ดูมีด้านมืดได้ ผมรู้ว่าเขาเหมาะกับหน้าที่นี้มาก” ดีเซลบอก “แกรี่เป็นผู้กำกับที่ให้ความสำคัญกับความแม่นยำในการแสดงมาก นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เรามีนักแสดงที่ได้รับรางวัลออสการ์หลายคนในภาพยนตร์เรื่องนี้ เรารู้ดีว่าเขาจะต้องใส่ใจกับงานแสดงซึ่งเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์ภาคนี้ต้องการครับ” เกรย์รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรให้สำเร็จ เมื่อเขาได้พบกับทีมผู้อำนวยการสร้างเพื่อพูดคุยถึงโทนและทิศทางที่เป็นเอกลักษณ์ของ Fast & Furious 8’ “ดอม ทอเร็ตโต้คือคนที่คิดถึงครอบครัวเสมอ และด้วยโครงเรื่องนี้ มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณคาดคิดเอาไว้เลย ผมอยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ไม่เพียงแต่นำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างออกไปเท่านั้น แต่ยังให้การแสดงในแบบที่คุณยังไม่เคยเห็นจากทีมนักแสดงของเราเลย ตอนนี้ เราได้สำรวจอารมณ์ที่แตกต่างไปกับดอม ที่ต้องลุกขึ้นมาสู้กับครอบครัวของเขาเองครับ”