happy on April 09, 2017, 08:08:11 PM

Fast & Furious 8
กำหนดเปิดตัวฉายในประเทศไทย: 12 เมษายน 2017

                        จากความสำเร็จของภาพยนตร์ปี 2015 อย่าง Furious 7 ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่สามารถทำรายได้หลัก $1 พันล้านดอลล่าร์จากทั่วโลกได้เร็วที่สุด และติดอันดับภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดทั่วโลกที่อันดับ 6 ในประวัติศาสตร์บ็อกซ์ออฟฟิศ เรื่องราวดำเนินมาถึงบทใหม่ล่าสุดในภาพยนตร์ชุดที่ได้รับความนิยมสูงสุดและอยู่มาคงทนนานที่สุดตลอดกาล ในตอนที่ชื่อว่า Fast & Furious 8

                        จากการเปิดตัวภาพยนตร์ตัวอย่างเรื่องนี้ไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันถือเป็นภาพยนตร์ตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา โดยมียอดเข้าชมถึง 139 ล้านวิวภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมงหลังจากที่มีการเปิดตัวครั้งแรกที่ไทม์สแควร์ ความหิวกระหายที่คนดูมีต่อเรื่องราวจากภาพยนตร์ชุด Fast & Furious ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แม้ว่าตัวละครกลุ่มนี้จะผ่านเรื่องราวมากมายบนท้องถนน ซึ่งนำพวกเขามาถึงจุดนี้ เมื่อพวกเขาถึงขนาดซิ่งส์รถออกจากเครื่องบิน เหยียบทะลุตึกระฟ้าสูงริบ และวิ่งซิ่งส์ลงจากเขา แต่ไอเดียหลักของเรื่องซึ่งเป็นสิ่งที่ผลักดันพวกเขาให้เดินไปข้างหน้า ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นั่นก็คือ ครอบครัว

                        ตอนนี้ ดอมและเล็ตตี้แต่งงานกันแล้ว ไบรอันกับมีอาถอนตัวจากวงการ ส่วนคนอื่นๆที่เหลือก็รอดพ้นจากความผิด แก๊งตลุยรอบโลกแก๊งนี้ได้ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อมีหญิงสาวลึกลับคนหนึ่ง (รับบทโดยนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ ชาร์ลิซ เธียรอน) ล่อลวงดอมเข้าสู่โลกแห่งอาชญากรรมที่ดูเหมือนดอมจะหนีไม่พ้น และทำให้เขาทรยศเพื่อนๆ ที่สนิทกับเขาที่สุด ทุกคนจึงต้องเผชิญหน้ากับบททดสอบที่จะทดสอบพวกเขาในแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลย

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=VGskq3gh-yE" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=VGskq3gh-yE</a>

                        จากชายฝั่งคิวบา และท้องถนนของนิวยอร์กซิตี้ จนถึงที่ราบทุ่งน้ำแข็งชายฝั่งทะเลแบเรนต์ส กลุ่มขาซิ่งส์ระดับหัวกะทิจะต้องเดินทางข้ามโลกเพื่อหยุดจอมวายร้ายจากการสร้างความโกลาหลให้กับโลก และนำตัวชายที่เคยทำให้พวกเขากลายเป็นครอบครัวเดียวกัน กลับคืนสู่บ้านอีกครั้ง

                        สำหรับ Fast & Furious 8 บทแรกของงานไตรภาคสุดท้ายของภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ทุบสถิติของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส วิน ดีเซล ในบท โดมินิค ทอเร็ตโต้ ที่ผันตัวเองมาเป็นวายร้าย ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงชื่อดังที่กลับมาแสดงบทบาทเดิมของพวกเขา รวมถึงนักแสดงหน้าใหม่สำหรับโลกขาซิ่งส์ใบนี้

                        ทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ ดเวย์น จอห์นสัน ในบท ฮ็อบส์ เจ้าหน้าที่ดีเอสเอสที่ ณ บัดนี้ ต้องมาร่วมมือกับลูกทีมของดอมเพื่อปลุกดอมให้กลับมาเป็นดอมคนเดิม และปกป้องแผนทำลายล้างโลก, มิเชลล์ ร็อดริเกซ ในบท เล็ตตี้ ผู้เปรียบเสมือนรองหัวหน้าแก๊ง และในที่นี้ เธอมีภารกิจที่ถือว่าเป็นงานส่วนตัวมากที่สุด นั่นก็คือการดึงตัวสามีของเธอกลับมาจากขอบเหว, ไทรีส กิ๊บสัน รับบท โรมัน เสือผู้หญิงปากไว ผู้ยังไม่เคยเจอสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถหว่านเสน่ห์จนเอาตัวรอดไม่ได้, คริส “ลูดาคริส” บริดเจส ในบท เทจ ช่างเทคนิคและช่างเครื่องยนต์อัจฉริยะ, เจสัน สเตแธม ในบท เดคการ์ด ชอว์ มือสังหารหน่วยรบพิเศษที่ตอนนี้กลับมีภารกิจร่วมกับลูกทีมของดอม ซึ่งเป็นศัตรูของเขา มากเกินกว่าที่เขาคาดคิดขณะนั่งอยู่ในห้องขังที่มีการคุ้มกันแน่นหนาที่สุด, เคิร์ต รัสเซลล์ ในบท มิสเตอร์ โนบอดี้ เจ้าหน้าที่รัฐฯ หน้าเหลี่ยมที่กล้าลุยงานแบบยื่นหมูยื่นแมว และไม่กลัวที่จะทำผิดกฎหมาย, นาธาลี เอ็มมานูเอล ในบท แรมซี่ย์ แฮ็คเกอร์อัจฉริยะที่รัฐบาลทุกประเทศและทุกองค์กรก่อการร้ายต้องการสิ่งประดิษฐ์ของเขา และเอลซ่า พาทากี้ ในบท เอลีน่า อดีตตำรวจริโอ และปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสเอส ที่ต้องตัดสินใจเลือกอย่างไม่น่าเป็นไปได้ เพื่อช่วยคนที่เธอรัก

                        นอกจาก เธียรอน ซึ่งมารับบท ไซเฟอร์ ผู้ก่อการร้ายไซเบอร์ชื่อกระฉ่อนที่สุดในโลก และกลายมาเป็นสาวข้างกายคนปัจจุบันของดอม ภาพยนตร์ชุดนี้ยังได้ สก็อตต์ อีสต์วู้ด มารับบท เอริค ไรสเนอร์ มือขวาของมิสเตอร์โนบอดี้ และเฮเลน มิร์เรน นักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ รับบทเป็นผู้หญิงที่ลึกลับที่สุดเท่าที่ดอมเคยเจอในภารกิจตลุยทั่วโลกของเขา

                        Fast & Furious 8 กำกับโดย เอฟ แกรี่ เกรย์ ผู้กำกับที่อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง Straight Outta Compton ภาพยนตร์เพลงชีวประวัติอันดับ 1 ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์, The Italian Job, Be Cool และ Friday และอำนวยการสร้างโดยผู้อำนวยการสร้างทีมเดิม ได้แก่ นีล เอช มอริทซ์ ซึ่งถือว่าเป็นพ่อทูลหัวของภาพยนตร์ชุด Fast & Furious และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง I Am Legend จนถึงภาพยนตร์ชุด 21 Jump Street , ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 ไมเคิล ฟ็อทเทรลล์ (Furious 7, Fast Five) และดีเซล บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของผู้อำนวยการสร้าง คริส มอร์แกน (Fast & Furious series, Wanted) โดยสร้างจากตัวละครที่สรรค์สร้างโดย แกรี่ สก็อตต์ ธอมป์สัน (The Fast and the Furious)

                        เกรย์ได้รวบรวมทีมงานสร้างสรรค์ระดับแนวหน้า ซึ่งนำทีมโดยเพื่อนร่วมงานขาประจำของครอบครัว Fast & Furious รวมถึงศิลปินหน้าใหม่ที่เข้ามาเสริมทีมงานผู้มีประสบการณ์ ซึ่งรวมถึงผู้กำกับภาพ สตีเฟ่น เอฟ วินดอน (Furious 7, Fast & Furious 6), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ บิลล์ เบรสกี้ (Furious 7, Iron Man 3), ผู้ลำดับภาพ คริสเตียน แว็กเนอร์ (Furious 7, Fast Five) และพอล รูเบลล์ (Thor, Collateral), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย มาร์ลีน สจ๊วร์ต (Oblivion, Tropic Thunder), ผู้ประสานงานเรื่องรถ เดนนิส แม็คคาร์ธี่ (Furious 7, Fast & Furious 6), ผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่ 2 สไปโร่ ราซาทอส (Furious 7, Fast & Furious 6) และผู้แต่งดนตรีประกอบ ไบรอัน ไทเลอร์ (Furious 7, Fast & Furious)

                        และเช่นเคย อาแมนด้า ลูอิส (ภาพยนตร์ชุดFast & Furious) และซาแมนธา วินเซนต์ (ภาพยนตร์ชุด Fast & Furious) ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร


เบื้องหลังงานสร้าง

ครอบครัวแตกสาแหรก:
งานสร้างเริ่มต้น

                        Furious 7 ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ามันคือสุดยอดของภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ทุกคนรัก ไม่เพียงแต่เป็นผลงานที่ทั้งทีมผู้สร้างและทีมนักแสดงต้องการสร้างเพื่อให้เกียรติกับ พอล วอล์กเกอร์  ที่ถือว่าเป็นหัวใจของภาพยนตร์ชุดนี้เท่านั้น แต่ยังถือเป็นงานที่ดีที่สุดในแง่ที่ภาพยนตร์ The Fast and the Furious ได้จุดประกายขึ้นในกลุ่มคนดูมานานมากกว่า 15 ปีที่แล้ว และยังคงจุดประกายให้กับแฟนๆ รุ่นต่อมาอีกด้วย

                        การสร้างภาพยนตร์จนเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นยังต้องโปรโมทภาพยนตร์เรื่องนี้ไปทั่วโลก ถือเป็นภารกิจแห่งรักและเป็นภารกิจที่เผาผลาญพลังและทำให้เหนื่อยล้าสำหรับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายแล้วคำถามที่เลี่ยงไม่ได้ก็มาถึง นั่นก็คือคำถามที่ว่านี่จะเป็นตอนสุดท้ายของภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่คนดูรักใคร่หรือไม่

                        การตัดสินใจว่าจะสานต่อเรื่องราวนี้ต่อไปหรือไม่ ทีมผู้อำนวยการสร้าง นีล เอช มอริทซ์ และวิน ดีเซล และผู้เขียนบท คริส มอร์แกน, ทีมผู้บริหารของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และทีมนักแสดงที่เหลือ ต้องใช้เวลาคิดอยู่นาน และรู้สึกลำบากใจในการตัดสินใจเลือกก้าวต่อไปของพวกเขาร่วมกัน ครอบครัว Fast อยู่ในความเศร้าสลด และในเวลานั้น มีเพียงน้อยคนนักที่จะสามารถคิดหาเหตุผลที่คุ้มค่าที่จะหยิบเก็บชิ้นส่วนต่างๆ และดำเนินเรื่องราวนี้ต่อไป เหล่าคนนอกกฎหมายแห่งแวดวงซิ่งส์ใต้ดินแห่งถนนอีสต์ลอสแองเจลิส ต้องลุกขึ้นสู่กับความเลวร้ายในระดับโลก และออกปล้นแบบท้าความตายที่มีเดิมพันสูง ขณะที่พวกเขาต้องสูญเสียเพื่อนและมีศัตรูเพิ่มมากขึ้นในระหว่างเส้นทางการผจญภัยที่ผ่านมา เรื่องราวใหม่ที่จะเกิดขึ้นจะต้องยึดมั่นต่อรากฐานเดิมของพวกเขา

                        ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทางทีมผู้สร้างรู้สึกว่าพวกเขาจะต้องทำสิ่งที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าจะสานต่อเรื่องราวนี้ เมื่อมีการตัดสินใจแล้วว่าภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ยังคงมีเรื่องที่น่าสนใจที่จะแบ่งปันให้คนดูต่อไป พวกเขาเลือกที่จะขว้างบอลโค้ง ทิศทางใหม่จะต้องเป็นการพลิกผันเหตุการณ์ที่จะเขย่าฐานแฟนพันธุ์แท้ นับแต่เริ่มต้น ธีมที่พูดถึงครอบครัวของภาพยนตร์ชุดนี้ได้ถูกนำเสนอเอาไว้ในภาพยนตร์ทุกภาค และ ความเชื่อนั้นจะต้องผ่านการทดสอบ 

                        “ผมต้องการแค่จะสืบสานตำนานบทนี้ถ้าเราจะสร้างไตรภาคสุดท้ายที่ดีที่สุดเพื่อตัวเราเอง และเพื่อความยิ่งใหญ่ของ พอล พี่น้องของเรา และสำหรับยูนิเวอร์แซล ผู้คอยให้การสนับสนุนมาตลอดหลายปีมานี้” ดีเซล ซึ่งทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ชุดนี้มาตั้งแต่ Fast & Furious บอก  “กับ Furious 7 จุดมุ่งเน้นของเราไม่ใช่แค่การสร้างภาพยนตร์ตอนที่ดีที่สุดในตำนานภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้น แต่เพื่อให้เกียรติกับสิ่งที่มันนำเสนอมาเกือบสองทศวรรษ กุญแจที่ไขไปสู่เรื่องราวบทต่อไปนี้ก็คือการท้าทายธีมหลักที่อยู่คงทนมานาน และต้องทำมันในแบบที่น่าติดตามและให้ความบันเทิงด้วยครับ”

                        มือเขียนบท คริส มอร์แกน กลับมาทำงานกับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้เป็นครั้งที่ 6 โดยครั้งนี้เขาได้ร่วมงานกับ มอริทซ์, ดีเซล และฟ็อทเทรลล์ ในตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างด้วย สำหรับผู้สร้างสรรค์เรื่องราวที่มีความหลากหลายเรื่องนี้ งานนี้ถือเป็นงานที่ท้าทายที่สุดสำหรับเขา เมื่อครั้งที่มอร์แกนอธิบายไอเดียของทีมในเรื่องราวไตรภาคสุดท้ายนี้ มันกลายเป็นความสำเร็จอย่างมหาศาล

                        มอร์แกนเล่าถึงจุดพีคในครั้งนี้ว่า “Fast & Furious 8 คือเรี่องราวเกี่ยวกับผลกระทบของช่วงเวลาที่ลึกซึ้งที่สุดที่อาจส่งผลทลายทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณเคยเชื่อ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเสาหลักของครอบครัวคุณ คนที่คอยสอนสั่งว่าจงอย่าหันหลังให้กันและกัน กลับเป็นคนทำลายกฎพวกนั้นเสียเอง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาหันเข้าสู่ด้านมืด และครอบครัวพยายามที่จะปลุกเขา และต้องลุกขึ้นสู้กับเขา มันโดดเด่นและออกจะน่ากลัวอยู่เหมือนกัน มันเป็นเรี่องราวดราม่าที่ดีสำหรับแฟรนไชส์เรื่องนี้ และทำให้เรามีเหตุผลที่จะเดินไปข้างหน้าในแบบที่น่าสนใจครับ”
                       
                        มันเป็นเรื่องราวที่หาญกล้า และเมื่อ มอร์แกน, มอริทซ์ และดีเซล วางประเด็นต่างๆ ในเรื่องได้แล้ว พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาสามารถที่จะซิ่งส์ไปบนถนนเส้นใหม่ด้วยเรื่องราวที่มีความตื่นเต้น ไม่เหมือนใคร ขณะที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณแบบคนนอกกฎหมายที่แฟนๆ ติดใจมาครั้งแล้วครั้งเล่าเอาไว้

                        มอริทซ์ ผู้ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้มานาน กล่าวว่า “สิ่งที่มักจะทำให้ผมทึ่งได้เสมอ ก็คือ เราสามารถที่จะพัฒนาเรื่องไป และยังคงรักษาเส้นที่เลือนลางระหว่างคนดีกับคนเลวเอาไว้ได้ตลอดในซีรีส์ชุดนี้ เราปล่อยให้ตัวละครของเราแต่ละตัว ทั้งตัวละครเก่าและตัวละครใหม่ สามารถที่จะเติบโตไปในทิศทางที่แตกต่างกัน เราไม่เคยที่จะเดินเข้าสู่บทใหม่พร้อมกับความคิดว่าพวกเขาควรจะทำอะไร และปล่อยให้ภาพยนตร์แต่ละเรื่องเติบโตไปด้วยตัวละครเหล่านี้ มันน่าพึงพอใจที่ได้เห็นว่าเราสามารถก้าวเข้าสู่พื้นที่ที่แตกต่างกันมากแค่ไหน และวิธีที่เราสามารถเดินไปกับพวกเขา นั่นคือส่วนหนึ่งของความสนุกสำหรับคนดู พวกเขารักตัวละครเหล่านี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาต่อไป”

                        กับเรื่องราวใหม่ๆ ในแต่ละตอน มอริทซ์และดีเซลต้องการทำให้แฟนๆ ได้ลุ้นจนสุดตัว และทำให้พวกเขาได้รับความบันเทิงจากการคาดเดาไม่ถึง การค้นหาตัวผู้กำกับที่มีความสามารถที่จะถ่ายทอดเรื่องราวในทุกระดับ ขณะที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของซีรีส์เรื่องนี้เอาไว้ นั่นคือสิ่งที่ต้องมี จัสติน ลินได้วางงานพื้นฐานเอาไว้ให้กับการเดินเรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้ เมื่อเขาสร้างความร้อนแรงให้กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้อีกครั้งด้วย Tokyo Drift และเจมส์ วาน ก็ทำสำเร็จด้วย Furious 7 ซึ่งทำรายได้แบบทุบสถิติ   

                        เอฟ แกรี่ เกรย์ ซึ่งมีประวัติผลงานหลากหลาย เช่น ภาพยนตร์ชีวประวัติที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่าง Straight Outta Compton, ภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่อง The Negotiator, ภาพยนตร์แอ็กชั่นเรื่อง The Italian Job และภาพยนตร์ตลกคลาสสิกเรื่อง Friday เราอาจสังเกตเห็นถึงความคล้ายคลึงกันเล็กๆ น้อยๆ ในหมู่ภาพยนตร์เหล่านั้น และนั่นก็คือวิธีที่เกรย์ชอบอย่างมาก

                        ผู้กำกับเกรย์ยอมรับว่าเขามีความสนใจในเนื้อหาเรื่องราวที่ท้าทายตัวเขาอยู่แล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับข้อเสนอที่เย้ายวนในการรับกำกับภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของยูนิเวอร์แซล เกรย์รู้สึกสนใจทันที อย่างไรก็ดี เขาขุดลึกลงไปอีกนิดเพื่อหาสิ่งหนึ่ง ที่จะสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันขีดจำกัดของเขาออกไป “ศิลปินจะขุดลึกลงไปอีกเมื่อพวกเขารู้สึกถูกท้าทาย และนี่ก็คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมครับ” เกรย์บอก “ผมอยากนำสิ่งที่แตกต่างมาสู่แฟรนไชน์เรื่องนี้ และทุกอย่างเริ่มต้นด้วยเรื่องนี้ครับ นี่คือสิ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง มันจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยสัมผัสมาก่อนในแฟรนไชส์อย่าง Fast” 

                        Fast & Furious 8 ทำให้เกรย์มีโอกาสได้สร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ และทำให้เขาสามารถนำรูปแบบการนำเสนอที่โดดเด่นของตัวเขาเองใส่ลงไปในการเล่าเรื่อง การแสดงที่กระตุ้นความสนใจ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่คาดไม่ถึงในทุกระดับ

                        เขาตั้งใจที่จะนำภาพยนตร์ชุดนี้ไปในทิศทางใหม่ ดังนั้น ไม่เพียงแต่เกรย์จะเดินเข้ามาพร้อมกับไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ เท่านั้น แต่เขายังมาถึงกองถ่ายพร้อมมิตรภาพที่มีร่วมกับนักแสดงหลายคนของทีม Fast อาทิเช่น เขาเคยกำกับ ดีเซล มาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง A Man Apart, เคยกำกับสเตแธมกับเธียรอนในภาพยนตร์เรื่อง The Italian Job และเคยกำกับ จอห์นสัน ใน Be Cool นอกจากนี้ เขายังรู้จักกิ๊บสันและบริดเจสจากการทำงานในแวดวงบันเทิง รวมไปถึงตอนที่เขาเข้าวงการใหม่ๆ ซึ่งเขาเคยผ่านงานกำกับมิวสิควิดีโอ และโฆษณาทางทีวีมาอย่างโชกโชน

                        ดีเซลรู้สึกพอใจมากที่ได้เห็นผู้กำกับที่มีฝีมืออย่าง เกรย์ เข้ามาร่วมทีมกับครอบครัว Fast & Furious “ผมรู้ตั้งแต่ตอนร่วมงานกันใน A Man Apart แล้วว่า แกรี่ สามารถที่จะดึงอะไรออกมาจากตัวละครที่ดูมีด้านมืดได้ ผมรู้ว่าเขาเหมาะกับหน้าที่นี้มาก” ดีเซลบอก “แกรี่เป็นผู้กำกับที่ให้ความสำคัญกับความแม่นยำในการแสดงมาก นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เรามีนักแสดงที่ได้รับรางวัลออสการ์หลายคนในภาพยนตร์เรื่องนี้ เรารู้ดีว่าเขาจะต้องใส่ใจกับงานแสดงซึ่งเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์ภาคนี้ต้องการครับ”

                        เกรย์รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไรให้สำเร็จ เมื่อเขาได้พบกับทีมผู้อำนวยการสร้างเพื่อพูดคุยถึงโทนและทิศทางที่เป็นเอกลักษณ์ของ Fast & Furious 8’ “ดอม ทอเร็ตโต้คือคนที่คิดถึงครอบครัวเสมอ และด้วยโครงเรื่องนี้ มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณคาดคิดเอาไว้เลย ผมอยากจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานที่ไม่เพียงแต่นำเสนอเรื่องราวที่แตกต่างออกไปเท่านั้น แต่ยังให้การแสดงในแบบที่คุณยังไม่เคยเห็นจากทีมนักแสดงของเราเลย ตอนนี้ เราได้สำรวจอารมณ์ที่แตกต่างไปกับดอม ที่ต้องลุกขึ้นมาสู้กับครอบครัวของเขาเองครับ”
« Last Edit: April 09, 2017, 08:48:26 PM by happy »

happy on April 09, 2017, 08:40:40 PM

อย่าไว้ใจใคร:
ทีมนักแสดงดังกลับมา

เช่นเดียวกับดีเซล เกรย์ให้ความสำคัญกับตัวละครที่มีความแข็งแกร่งในตัว เขาได้ทำการค้นคว้า ซึ่งหมายถึงการกลับไปดูภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ทั้งหมด และร่วมประสบการณ์กับแฟนๆ หลายล้านคนทั่วโลกที่แบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับครอบครัวบนจอของพวกเขากลุ่มนี้ รวมถึงคนที่ไม่มีปัญหากับการแบ่งปันความคิดเห็นเหล่านั้นทางโซเชียลมีเดีย มันคือประสบการณ์ที่ช่วยเปิดความคิดให้กับเกรย์ แต่มันก็ยิ่งทำให้เขาทุ่มเทให้กับภาพยนตร์ชุดนี้มากขึ้น ในทางกลับกัน ทำให้เขายิ่งทุ่มเทเพื่อสร้างความพอใจให้กับคนดูในการก้าวเข้ามารับช่วงเรื่องราวบทต่อไปนี้

เขาตัดสินใจว่าเขาจะให้เวลาและความสำคัญกับเรื่องราวเล็กๆ ที่ใกล้ตัวมากพอๆ กับที่ให้เวลากับฉากแอ็กชั่นสุดตื่นเต้นอลังการ สำหรับแฟนๆ  Fast & Furious อารมณ์ลึกซึ้งส่วนใหญ่ที่เคยเจอมักจะเริ่มต้นและจบลงด้วยเรื่องราวความรักระหว่างดอมกับเล็ตตี้
 
มิเชลล์ ร็อดริเกซ ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดบท เล็ตตี้ ออร์ทิซ ในปี 2001 ยังคงพยายามที่จะรักษาความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ให้ดูติดดินและเหมือนจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะกับความเป็นมาที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาต้องผ่านช่วงเวลาที่ต้องเสี่ยงอันตรายมาครั้งแล้วครั้งเล่า และที่แรงที่สุดก็คือการที่เธอตาย (ตามท้องเรื่อง) ใน Fast & Furious แม้แต่ในช่วงที่เล็ตตี้หายหน้าหายตาไป ตัวตนของเล็ตตี้ก็ยังคงอยู่ จนนำไปสู่การที่เธอกลับมาปรากฏตัวบนจออีกครั้งใน Fast Five และได้กลับมาสานสัมพันธ์กับดอมและเพื่อนๆ อีกครั้งใน Fast & Furious 6 

เรื่องราวความรักที่ไม่ธรรมดาของทั้งคู่คือบทพิสูจน์ให้กับพลังที่ยังคงอยู่ของภาพยนตร์ชุดนี้นานเกือบสองทศวรรษ “ของขวัญที่ทรงพลังที่สุดของผู้หญิงคือความรักค่ะ” ร็อดริเกซบอก “สิ่งที่สวยงามในตัวดอม ก็คือ เขามองแค่ความแข็งแกร่งของความรัก และนั่นคือบทพิสูจน์สำหรับตัวละครของเขา มีแต่ผู้ชายประเภทนี้ที่ยอมรับผู้หญิงที่มีความแข็งแกร่งจริงๆ แต่นั่นจะใช่ความงดงามของความรักหรือไม่ คุณผูกพันกับคนๆ หนึ่งที่สิ่งเดียวที่สำคัญก็คือสิ่งที่คุณทั้งคู่ต่างก็รู้ว่าจริง สิ่งที่วินกับฉันพยายามที่จะสำรวจกับตัวละครดอมและเล็ตตี้ ก็คือ สุดท้ายแล้ว สารที่แท้จริงก็คือความรักในอุดมคติที่ผลักดันคนสองคนนี้ให้ต่อสู้เพื่อกันและกัน เพื่อจะอยู่ด้วยกันท่ามกลางเวลาที่ยากลำบาก และมีความศรัทธาในกันและกัน” 

หลังจากรอดชีวิตมาจากแผนการร้ายที่ทำให้พวกเขาต้องห่างกันไปนานหลายปี Fast & Furious 8 ทำให้ดอมและเล็ตตี้ได้กลับมาผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง และกำลังมีความสุขกับชีวิตที่เงียบสงบสวยงามของคิวบา แต่ทุกอย่างหายวับไปในทันทีเมื่อเกิดระเบิดและดอมทรยศต่อทุกคนที่เขารัก และคนที่รักเขาด้วย

เมื่อเผชิญหน้ากับหลักฐานที่เถียงไม่ได้ว่าดอมร่วมมือกับผู้ก่อการร้ายไซเบอร์ ทำให้เกิดความกังขาขึ้นในทีม และทำให้ความผูกพันเกิดความเปราะบางขึ้น ถึงแม้จะมีหลักฐานทุกอย่าง แต่เล็ตตี้เป็นเพียงคนเดียวที่เชื่อในตัวดอม ความรักที่พัฒนาไปมิอาจปฏิเสธได้ “เล็ตตี้ขับเคลื่อนด้วยศรัทธาไปตลอดภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งเรื่อง” ร็อดริเกซบอก “เธอรู้จักดอมดี เธอรู้ว่าเขาเกี่ยวพันกับอะไร และสิ่งใดที่คอยผลักดันเขาอยู่ นี่คือสิ่งที่ยากที่สุดที่เธอเคยเผชิญมา ความสัมพันธ์ระหว่างดอมกับเล็ตตี้เกิดมาจากความรักที่ไม่มีเงื่อนไขที่ผูกพันพวกเขาเอาไว้ด้วยกัน”

“ความรักระหว่างสองคนนี้มีความลึกซึ้งอย่างมาก” ดีเซลกล่าวเสริม “แม้ว่าสถานการณ์จะดูสิ้นหวังเพียงใด แต่เล็ตตี้ก็ยังคงต่อสู้เพื่อคนรักของเธอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

กับการที่มีภาพยนตร์ Fast ที่ทำรายได้ระเบิดระเบ้อมาถึง 7 ภาคเป็นประวัติผลงานที่ผ่านมา มอริทซ์รู้สึกว่า วิธีการเสนองานของทีมผู้สร้างทำให้พวกเขามีอิสระที่จะสร้างพลังให้กับเรื่องราวนี้ขึ้นมาได้อยู่เรื่อยๆ และนั่นหมายถึงการทำลายสิ่งที่แฟนๆ หนังคิดว่าพวกเขารู้ดีอยู่แล้ว “ตำนานที่เราสร้างขึ้น ไม่ใช่ด้วยตัวละครแต่ละตัวเท่านั้น แต่ด้วยโลกที่แตกต่างกันไปที่ภาพยนตร์ Fast แต่ละตอนได้สัมผัสมา ทำให้เราสามารถที่จะเดินไปในทิศทางที่แตกต่างออกไปมากมาย ด้วยตัวละครของเราที่ได้สำรวจหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะจับพวกเขาไปเผชิญ มิตรภาพถูกสร้างขึ้น จากนั้นก็ถูกสลายลง นั่นแหละคือความพิเศษของภาพยนตร์ชุดนี้ เรามีเรื่องมากมายเลยครับ และมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจว่าเรื่องไหนที่เราจะหยิบนำมาเล่าในภาพยนตร์แต่ละภาคครับ"

เริ่มต้นด้วย Fast Five ทีมผู้สร้างประสบความสำเร็จกับการวางตัวละครใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นในโครงเรื่องระยะสั้นหรือระยะยาว พวกเขานำตัวละครที่เป็นขวัญใจคนดูกลับมา อย่างเช่น ไทรีส กิ๊บสัน, คริส “ลูดาคริส” บริดเจส, ซุงกัง และแกล กาด็อท ขณะที่แนะนำสมาชิกใหม่อย่าง ดเวย์น จอห์นสัน และเอลซ่า พาทากี้

และยังมีมือแฮ็คอัจฉริยะอย่างแรมซี่ย์ บทของนาธาลี เอ็มมานูเอล ซึ่งเป็นผู้สร้าง ก็อดส์อาย เครื่องมือต้นแบบที่เป็นตัวเติมเชื้อให้กับโครงเรื่องของ Furious 7 รวมถึงบท มิสเตอร์โนบอดี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล บทบาทของเคิร์ต รัสเซลล์ นอกจากนี้ ยังมี เจสัน สเตแธม ที่ได้เปิดตัวได้อย่างน่าตื่นเต้นในตอนท้ายของ Fast & Furious 6 ซึ่งเป็นการทิ้งท้ายให้คนดูถึงกับอ้างปากค้างเพราะการเชื่อมโยงไปถึงการตายของ ฮาน ใน Tokyo Drift และเป็นผู้จัดฉากเหตุการณ์ใน Furious 7   

ด้วยแนวคิดเกี่ยวกับครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงนี้ ทางทีมผู้สร้างจึงรู้สึกเหมือนเป็นภาระผูกพันที่จะต้องเจาะลึกลงไปในความเป็นมาของตัวละครของภาพยนตร์ชุดนี้ คนดูได้เห็นภาพลักษณ์อีกด้านของชายที่อยู่เบื้องหลังท่าทางโหดๆ เถื่อนๆ เมื่อ ซาแมนธา ลูกสาวของฮ็อบส์ ปรากฎตัวขึ้นเคียงข้างเขาที่โรงพยาบาลใน Furious 7

อีกครั้งที่มอร์แกนทำงานประสานอย่างใกล้ชิดกับ ดเวย์น จอห์นสัน เพื่อสร้างเรื่องราวความเป็นมาให้กับฮ็อบส์ เจ้าหน้าที่หัวกะทิของดีเอสเอสให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายผู้นี้ที่เคยยึดถือกฎอย่างเข้มงวดเริ่มทำตัวยืดหยุ่นมากขึ้น ต้องขอบคุณการผ่อนคลายความตึงเครียดที่เขากับดอมค่อยๆ สร้างขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีน้อยคนนักที่จะสามารถยึดถือแต่เรื่องงานเป็นหลักได้อย่างฮ็อบส์ แต่เมื่อตัวละครทีมนี้ได้รับความนับถือและความไว้วางใจจากเขามากขึ้น ความสนิทสนมระหว่างพวกเขาก็มีมากขึ้นตามไปด้วย   

สำหรับฮ็อบส์แล้ว นี่คือสิ่งที่ทำให้การกระทำของดอมในตอนนี้เป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้ เมื่อดอมทรยศพวกเขาในภารกิจลับในเบอร์ลิน ฮ็อบส์รู้สึกเสียใจและถูกทิ้งให้ต้องปกป้องตัวเอง บัดนี้รัฐบาลสหรัฐฯ หันหลังให้กับเขา และฮ็อบส์ลงเอยด้วยการต้องเข้าไปติดอยู่ในคุกที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา ที่ซึ่งเขาเคยส่งตัวอดีตศัตรูคู่อาฆาตอย่าง เดคการ์ด ชอว์ เข้าไปโดนขังอยู่ในนั้น ในเมื่อตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับกฎหมายอีกแล้ว ฮ็อบส์จึงเริ่มสละเปลือกที่เขาเคยใช้ในการให้คุณค่ากับตัวเองว่าเป็นมือดีที่สุดของรัฐฯ ทิ้งไป

สำหรับ ชอว์  เจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษที่เคยตามล่าดอมและพรรคพวกอย่างไม่ยอมหยุดยั้งใน Furious 7 เขาต้องเข้าไปใช้เวลาอยู่ในเรือนจำที่ถูกซ่อนเร้น ที่มีแต่คนเลวสุดๆ เท่านั้นที่ถูกขังอยู่ แต่การมาถึงของฮ็อบส์ ทำให้การถูกจองจำ กลับกลายเป็นเรื่องที่เขารู้สึกดีมากขึ้น

สเตแธมหัวเราะ “เดคการ์ดมักจะมีทีเด็ดซ่อนอยู่เสมอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสนุกมากที่มีความขัดแย้งระหว่างเขากับฮ็อบส์อย่างต่อเนื่องแบบนี้ ดเวย์นกับผมมีโอกาสได้เล่นกับความตึงเครียดนี้ ซึ่งเป็นพาหนะชั้นดีสำหรับคนสองคนนี้ที่เป็นเหมือนน้ำกับน้ำมัน”

เรื่องราวความเป็นมาของชอว์จะค่อยๆ ถูกเผยให้เห็นมากขึ้นว่าเจ้าหน้าที่ของอังกฤษผู้นี้ก็มีหลักศีลธรรมของเขาเช่นกัน ซึ่งในที่สุดมันได้สร้างความนับถือต่อเหยื่อของเขา โอเว่น น้องชายของเดคการ์ด ซึ่งรับบทโดยนักแสดงชาวเวลท์ ลุค อีแวนส์ มีบทบาทอยู่ใน Fast & Furious 6 โดยเขาเป็นวายร้ายคนแรกในภาพยนตร์ชุดนี้ที่มีความเจ้าเล่ห์และความสามารถในระดับที่ทำให้ดอมและทีมของเขายกย่องว่าเป็นคู่ปรับตัวจริง และเดคการ์ดต้องทิ้ง โอเว่น น้องชายของเขา ที่ใกล้จะตายไว้ที่โรงพยาบาล เพื่อไปล้างแค้นดอม

สำหรับฮ็อบส์และชอว์ เกรย์อยากเห็นทั้งคู่ปะทะกันด้วยฝีปาก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การปะทะกันด้วยกำลังเหมือนที่พวกเขาเคยต่อสู้กันใน Furious 7  ฉากการต่อสู้ในห้องขังระหว่างฮ็อบส์กับชอว์ใน Fast & Furious 8 เป็นผลมาจากแผนการของมิสเตอร์โนบอดี้ที่ต้องการช่วยฮ็อบส์ออกจากห้องขังที่มีการป้องกันสูงสุด สิ่งที่ติดตามมาก็คือ ฉากแอ็กชั่นที่ทำให้อดีตคู่อริต้องมาต่อสู้กัน

เกรย์อธิบายว่า “ฮ็อบส์และชอว์ต่างเป็นนักโทษด้วยกันทั้งคู่ แต่พวกเขาต่อสู้ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้ฉากนี้ดูน่าตื่นเต้น สิ่งที่ผมชอบมากก็คือ เราแสดงให้เห็นการต่อสู้สองสไตล์ที่แตกต่างกัน เจสันใช้สไตล์แบบปากัวร์ที่ดูเท่ ขณะที่ดเวย์นจะเป็นสไตล์แข็งแกร่งแบบดิบๆ เขาจะบีบทุกอย่าง จนคนสลบไปเลย ผมชอบความแตกต่างนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของแรงจูงใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความขัดแย้งกันในสไตล์การต่อสู้ด้วย มันจะต้องเป็นฉากที่คลาสสิกมากทีเดียวครับ” 

การได้กลับไปรับบทเป็นตัวละครตัวหนึ่งทุกๆ สองปี ถือเป็นความพิเศษที่มีนักแสดงไม่มากนักที่จะได้รับโอกาสนี้ แต่สำหรับ คริส “ลูดาคริส” บริดเจส ซึ่งกลับมารับบท เทจ ช่างเทคนิคและช่างซ่อมรถเป็นรอบที่ 5  มันคือสิ่งที่เขายินดีต้อนรับเมื่อบทภาพยนตร์ตอนใหม่ล่าสุดของ มอร์แกน ถูกส่งมา เทจปรากฎตัวครั้งแรกในแวดวงแข่งรถผิดกฎหมายของไมอามี่ใน 2 Fast 2 Furious ทุกวันนี้ เขาอัพเกรดเสื้อผ้าหน้าผม ของเล่น และเครื่องไม้เครื่องมือให้พร้อมที่สุดเท่าที่เงินจะซื้อได้

 “ถึงจุดนี้ ถ้ามีคนมาบอกผมว่า เทจ ควรทำหรือไม่ควรทำอะไร ผมจะรับฟังแบบเป็นเรื่องส่วนตัวเลยครับ ผมอยากให้เขามีพัฒนาการในภาพยนตร์ทุกภาค เขาจะต้องไม่เหมือนเดิม ผมจึงรับฟังทุกความเห็นอย่างจริงจัง ตั้งแต่เรื่องที่เขาพูด จนถึงการปรากฎตัวบนจอของเขา ในตัวเขายังมีเรื่องราวอีกมากที่ไม่มีใครรู้ ความจริงที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นสมาชิกที่จัดการเรื่องเทคนิคให้กับทีมนี้ ถือเป็นพัฒนาการที่ดีมากสำหรับเขา”

เมื่อได้ นาธาลี เอ็มมานูเอล กลับมาหลังจากที่เปิดตัวในภาพยนตร์เรื่อง Furious 7 ในบทแรมซี่ย์ แฮ็คเกอร์คนเก่ง และเป็นผู้สร้างก็อดส์อาย ทำให้ เทจ เหมือนมีคู่หูมาช่วยเสริมทักษะด้านเทคนิคของเขา จากอดีตสาวสวยผู้โดดเดี่ยว บัดนี้เธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมนี้ และดูจะปักหลักลงตัวในบทบาทที่ต้องเคียงคู่กับเทจ เธอสามารถสร้างเกมเทคนิคของเธอเองขึ้นมาได้เมื่อเธอมีแหล่งอุปกรณ์แบบไม่จำกัด 

ถึงแม้ เล็ตตี้ จะยืนกรานแน่วแน่ในการสนับสนุนดอม แต่ แรมซี่ย์ ที่เป็นมือแฮ็คเกอร์อัจฉริยะ คือคนแรกที่ตั้งคำถามถึงความภักดีของดอมอย่างเปิดเผย “แรมซี่ย์ไม่เคยมีประวัติร่วมกับดอมมาก่อนเหมือนตัวละครตัวอื่นๆ ในทีม” นาธาลี เอ็มมานูเอล ซึ่งโด่งดังจากบทบาทใน Game of Thrones กล่าว “ถึงแม้เธอจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวนี้ แต่ขณะเดียวกัน เธอก็เป็นคนที่มีเหตุมีผล เธอคิดอย่างตรงไปตรงมา และพยายามที่จะคิดทุกอย่างจากมุมมองที่มีเหตุผล แรมซี่ย์ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมเหมือนคนอื่นๆ และเป็นเพียงคนเดียวที่ตั้งคำถามได้ว่า ‘เขากลายเป็นผู้ร้ายไปแล้วหรือ’”

ความร่วมมือกันของเทคจและแรมซี่ย์ ทำให้ โรมัน เหมือนถูกกีดกันให้ห่างออกไป ขณะที่ตัวเขาเองพยายามจะหาทางสอดแทรกตัวเองเข้าไปในสมการนี้ บ่อยครั้งที่ โรมัน เพียร์ซ เป็นตัวสร้างอารมณ์ขัน ซึ่งเป็นตัวสร้างสมดุลให้กับฉากแอ็กชั่นสุดตื่นเต้นและงานดราม่าที่เป็นรากฐานให้กับภาพยนตร์ชุด Fast นี้ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เขาคือคนแรกที่เผ่นหนีจากเจ้าหน้าที่ และคิดอะไรก็พูดออกมาแบบไม่ต้องคิดในทุกสถานการณ์ และมันคือสิ่งที่ทำให้คนดูหัวเราะได้ตลอด

สำหรับ ไทรีส กิ๊บสัน ซึ่งกลับมารับบทเป็น โรมัน เพื่อนวัยเด็กของ ไบรอัน โอคอนเนอร์ ที่ได้กลับมาพบกับเขาอีกครั้งที่ไมอามี่ใน 2 Fast 2 Furious การได้กลับมาพบเจอเพื่อนที่คุ้นเคยกันดี และบรรยากาศในฉากของ Fast ถือเป็นสิ่งที่เขายินดีต้อนรับสุดหัวใจ แม้ว่าโครงเรื่องจะดูฉีกออกไป ก็ไม่สามารถลดความกระตือรือร้นของโรมันลงได้ 

ในเวลาที่ดีเซลไม่ได้เข้าฉากร่วมกับเพื่อนๆ กิ๊บสันก็คือคนที่ทำให้ครอบครัว Fast ของเขายังคงผูกพันกันอยู่ได้ ด้วยการสร้างพื้นที่ผ่อนคลายกลางแจ้ง โดยในพื้นที่นั้น เพื่อนนักแสดงและแขกเหรื่อสามารถมานั่งฟังเพลงกันชิลๆ มีอาหารง่ายๆ  ให้ทาน นั่งดูทีวี ฉลองวันเกิดกัน หรือจัดฉลองที่งานโหดๆ ผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์ พื้นที่นั่งชิลของกิ๊บสันเปิดรับทุกคน

กิ๊บสันพูดถึงความสัมพันธ์นอกจอของเหล่านักแสดงอย่างง่ายๆ ว่า “ทีมนักแสดงของ Fast ได้สร้างความภาคภูมิให้กับตัวเอง ไม่ใช่แค่โปรโมทว่าพวกเราคือครอบครัวของภาพยนตร์เรื่องนี้เท่านั้น แต่เราเป็นครอบครัวกันจริงๆ ครับ โดยส่วนตัวแล้ว มันได้สร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของผม ผมก็แค่ทำให้ครอบครัวของผมได้มีพื้นที่สำหรับผ่อนคลายและมาสนุกด้วยกันครับ”

เอลซ่า พาทากี้ นักแสดงหญิงชาวสเปน กลับมารับบท เอลีน่า นีเวส ตำรวจริโอที่เคยตกหลุมรักดอมก่อนจะต้องหลบหนีจากตำรวจใน Fast Five ด้วยความเข้าอกเข้าใจในความสูญเสียที่มีร่วมกัน เธอได้ทิ้งชีวิตในรีโอ เพื่อมาสร้างชีวิตใหม่กับดอมที่คานารี่ ไอสแลนด์ส อย่างไรก็ดี ชีวิตที่เงียบสงบของพวกเขาต้องพังพินาศลงเมื่อเล็ตตี้กลับมา แม้จะเสียใจมาก แต่เอลีน่ารู้ดีว่าดอมต้องค้นหาความจริงเกี่ยวกับคู่ชีวิตของเขา

เธอค่อยๆ สร้างชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และร่วมงานกับฮ็อบส์ที่ดีเอสเอส อย่างไรก็ดี แม้เอลีน่าจะเป็นคนที่รู้จักยืดหยุ่น แต่เธอก็ตัดสินใจที่จะทิ้งหน่วยงานที่เธอทำงานอยู่ และทิ้งระยะห่างระหว่างตัวเธอเองกับความเป็นมาที่ซับซ้อนของเธอกับดอม

พาทากี้ยังคงเชื่อว่าความรักที่เอลีน่ามีให้ดอมนั้น ยังคงผูกทั้งคู่ไว้ด้วยกันตลอดไป “ความจริงอย่างหนึ่งเกี่ยวกับตัวเอลีน่าและดอมก็คือ พวกเขาจะคอยช่วยเหลือกันอยู๋เสมอ ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้คบกันฉันท์คนรักแล้ว แต่ก็ยังคงมีความรัก ความนับถือ และมีประวัติร่วมกันเสมอ ซึ่งยืนอยู่บนพื้นฐานของมิตรภาพที่แท้จริง ไม่ว่าคนอื่นๆ จะมองอย่างไร แต่เอลีน่าก็ไม่ต่างจากเล็ตตี้ เธอรู้ดีว่าครอบครัวยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับดอม”

ขณะที่ความภักดีของเอลีน่าจะยังคงอยู่เคียงข้างคนที่เธอรักเสมอ แต่ความภักดีของมิสเตอร์โนบอดี้ก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นเช่นกัน เคิร์ต รัสเซลล์ นักแสดงรุ่นใหญ่ที่ทุกคนนับถือ ซึ่งตัวละครของเขาเกือบตายในภาพยนตร์ภาคที่แล้ว รู้สึกยินดีอย่างมากที่กลับมารับบทเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ดูเจ้าเล่ห์และน่าขนลุก ผู้ยังคงทำให้ทุกคนต้องคาดเดาอยู่เสมอ 

“การเดินเข้ามาใน Furious 7 ผมอยากสร้างสิ่งที่เป็นความแตกต่างออกไปเล็กน้อยสำหรับแฟรนไชส์เรื่องนี้”  รัสเซลล์อธิบาย “คุณไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับตัวมิสเตอร์โนบอดี้ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นความคิดที่สนุกทีเดียวในการหาวิธีนำเสนออย่างต่อเนื่อง สำหรับตอนนี้ เขากำลังพิสูจน์ว่าเขาคือคนที่แก๊งนี้ไว้ใจได้ ผมไม่รู้ว่านานแค่ไหนหรือถ้านั่นยังคงเป็นความจริงอยู่ แต่มันคือความสนุกในการแสดงเป็นเขา เขาตอบรับต่อทุกสิ่งที่เดินเข้ามา และมันน่าขนลุกมากครับ”
« Last Edit: April 09, 2017, 08:54:04 PM by happy »

happy on April 09, 2017, 08:41:04 PM

เหล่าราชวงศ์ฮอลลีวู้ด:
เธียรอน, มิร์เรน และอีสต์วู้ดร่วมทีมนักแสดง

ทีมผู้สร้างมักจะมองหาวิธีสานต่อเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ด้วยตัวละครใหม่ๆ โครงเรื่อง และการหักมุมที่น่าสนใจอยู่เสมอ Fast & Furious 8 ยังคงสานต่อรูปแบบของการเลือกนักแสดงที่ทุกคนคาดไม่ถึง ด้วยการแนะนำคนดูให้รู้จักกับ สก็อตต์ อีสต์วู้ด (Suicide Squad, The Longest Ride) รวมถึงนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อย่าง ชาร์ลิซ เธียรอน (Mad Max: Fury Road, Atomic Blonde) และเฮเลน มิร์เรน (The Queen, The Hundred-Foot Journey) ซึ่งเข้ามาร่วมทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้

เมื่อถึงเวลาต้องสร้างตัวผู้ร้ายที่คู่ควร ผู้ทำให้ดอมทรยศทีมของเขาได้ ทีมผู้สร้างซ่อนไพ่เด็ดเอาไว้ในมือ ชาร์ลิซ เธียรอน นักแสดงสาวผู้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก แค่ชื่อชั้นของเธอก็สามารถเพิ่มความน่าสนใจให้กับทีมนักแสดงนี้ได้ ขณะเดียวกันก็เพิ่มจุดหักมุมให้กับแฟรนไชส์อย่าง Fast ได้ด้วย

“เรามีไอเดียที่เราอยากให้ผู้ร้ายของเราคนหนึ่งเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งคนนี้ และบอกตรงๆ เราเล็ง ชาร์ลิซ เธียรอน เอาไว้” มอริทซ์สารภาพตามตรง “เราคุยกับเธอมานานหลายปีแล้วครับเรื่องให้เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์เรื่องนี้ และเมื่อเราเกิดไอเดียว่าตัวละครของเธอเป็นอะไรได้บ้าง เราก็เลยไปหาเธอครับ”

สำหรับเธียรอน การถูกทาบทามให้เข้ามาทำงานกับหนึ่งในภาพยนตร์ชุดที่มีผู้คนรักมากที่สุดในโลก ถือเป็นโอกาสอันน่าตื่นเต้นอย่างมาก นอกจากนั้นแล้ว เธอยังรู้ว่าบทบาทนี้ ซึ่งเป็นผู้ร้ายหญิงคนแรกของภาพยนตร์ชุดนี้ และอาจเป็นตัวร้ายที่ร้ายกาจที่สุดด้วย จะเป็นการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงแกนโลกที่ทีมนักแสดงและทีมงานของ Fast & Furious ได้สร้างขึ้น   

“มันเป็นจุดที่เยี่ยมยอดมากค่ะที่พบว่าตัวคุณเอง ไม่เพียงแต่ได้รับข้อเสนอให้แสดงบทบาทที่ดีในหนึ่งในภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่ยังเป็นวายร้ายหญิงคนแรกด้วย นั่นถือเป็นเกียรติมากจริงๆ ค่ะ” เธียรอนบอก “ไซเฟอร์เป็นคนที่ร้ายกาจจริงๆ โดยหัวใจแล้ว เธอเป็นคนโลภ นั่นคงบอกอะไรเกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ได้เยอะมาก ในฐานะนักแสดง มีข้อดีเกี่ยวกับการได้มารู้เห็นถึงตัวละครตัวหนึ่งที่เดินเข้ามาและฉวยสิ่งที่เธอต้องการ และทำมันในแบบที่คาดไม่ถึงจริงๆ ค่ะ”

ไซเฟอร์คือคนที่คอยบงการทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง เธอคือแฮ็คเกอร์ผู้เป็นตำนาน ทุกคนรู้จักผลงานของเธอดี กลยุทธ์และแผนการของเธอยิ่งใหญ่ และจะทำให้คนดูต้องคอยเดาเมื่อพวกเขาได้เห็นเล่ห์เพทุบายที่เลือดเย็นและผ่านการคาดคำนวณมาแล้วของเธอ
“ผู้กำกับต้องการคนที่ไม่เพียงแค่สามารถอ่านตัวหนังสือบนหน้ากระดาษได้เท่านั้น แต่เขาต้องการคนที่สามารถมอบชีวิตให้กับตัวละครได้ สามารถใส่หลายสิ่งหลายอย่างเข้าไปในบทนี้ในแบบที่คุณไม่เคยคาดคิด” เกรย์พูดถึงหนึ่งในสมาชิกนักแสดงคนใหม่ของทีม “ชาร์ลิซน่าทึ่งมากครับ มีแรงดึงดูดและรายละเอียดอยู่ในการแสดงของเธอในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในตัวผู้ร้ายของ Fast ที่เธอคว้ารางวัลออสการ์มาได้มันก็มีเหตุผลนะครับ” 

หนึ่งในแง่มุมที่คาดไม่ถึงของ Fast & Furious 8 ก็คือองค์ประกอบของความเป็นภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่ถักทอกันขึ้นมาตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งทำให้คนดูต้องคาดเดาอยู่ตลอดเวลา การจับสองจ่าฝูงอย่างไซเฟอร์และดอมมาอยู่ในห้องเดียวกันทำให้เกิดพลังมหาศาล และยิ่งมีพลังมากขึ้นเมื่อสองนักแสดงให้การแสดงที่มีเคมีเข้ากันอย่างมาก

เกรย์พูดถึงการจับคู่ดีเซลกับเธียรอนว่า “เมื่อไซเฟอร์จับมือร่วมงานกับดอม เคมีระหว่างวินกับชาร์ลิซเป็นภาพที่น่าตื่นเต้นอย่างมาก เห็นได้ชัดจากฉากแรกที่เขากับเธอแสดงด้วยกันครับ และมันก็เริ่มเติบโตขึ้นตลอดเรื่อง มันคือสิ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนในแฟรนไชส์เรื่องนี้ ผมภูมิใจมากครับ คนดูจะได้ทุกอย่างที่พวกเขาต้องการจาก Fast & Furious 8 ครับ”

แม้แต่ดีเซล ซึ่งรับบทเป็น ดอม ทอเร็ตโต้ มานานเกือบสองทศวรรษ ก็ยังรู้สึกงงเมื่อได้เห็นมิติใหม่ในตัวละครของเขา เขายอมรับว่าเขาต้องเพิ่มระดับการแสดงของตัวเองเข้าไปอีกในฐานะนักแสดงเมื่อต้องลุกขึ้นปะทะกับนักแสดงหญิงที่มีความสามารถที่มีจิตวิญญาณไม่แตกต่างกันกับเขา พวกเขาแบ่งปันวิธีในการพัฒนาตัวละครร่วมกัน

“ตอนที่ชาร์ลิซและผมเริ่มทำงานด้วยกันครั้งแรก เธอให้ความเห็นว่าผมคงจะต้องรู้จักดอมเป็นอย่างดีแน่ ผมจำได้ผมตอบไปว่า  ‘ผมอาจรู้จักดอมดี แต่นั่นมันก่อนที่ไซเฟอร์จะส่งผลกระทบต่อตัวเขา ผมไม่รู้จักดอมที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้เลย”  ดีเซลกล่าวเสริมพร้อมเสียงหัวเราะ “นั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เราสร้างขึ้น ผมภูมิใจกับการมาเจอกันครั้งนี้มาก ผมต้องยอมรับ เมื่อผมได้เห็นชาร์ลิซกับตัวผมเองอยู่บนจอด้วยกัน มันดูทรงพลังมาก ผมภูมิใจกับงานของเราครับ”

สำหรับเรื่องราวบทใหม่นี้ เฮเลน มิร์เรน นักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ ได้รับเลือกให้มารับบทสำคัญอีกบทหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นบทที่ตัวละครของเธอได้ก้าวเข้ามาผูกมิตรกับดอม ถึงแม้เธอจะก้าวเข้ามาเพื่อเป็นตัวรบกวน แต่ข้อตกลงใดๆ ที่เกิดขึ้นในโลกใต้ดินเช่นนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและล่อแหลมมาก ตัวละครผู้หญิงชาวอังกฤษท่าทางเป็นผู้ดีผู้ได้พบกับดอม ดูมีทีท่าสบายอกสบายใจมากเกินไปท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความฉงน

การเลือกมิร์เรนมาแสดงภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious 8 เกิดขึ้นหลังจากที่เธอได้พบกับดีเซลที่งานเลี้ยงออสการ์ในปี 2016 มิร์เรนได้พูดถึงความชื่นชอบที่เธอมีต่อการขับรถห้าคัน รวมถึงการที่หลานชายของเธอชื่นชอบภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง Fast  อย่างมาก เธอรู้สึกคุ้นเคยกับภาพยนตร์ชุดนี้หลังจากได้แนะนำตัวกับดีเซล และเธอก็คิดว่า “ได้ทำงานกับวิน ได้ขับรถซิ่งส์ด้วยเหรอ นั่นช่างเป็นงานที่สมบูรณ์แบบสำหรับฉันจริงๆ”

ดีเซลอาจทำเป็นนิ่งๆ แต่ที่จริงเขายิ่งกว่าตื่นเต้นเสียอีกที่ได้เผชิญหน้ากับผู้มีศักดิ์มียศจากอังกฤษอย่างมิร์เรน เขาหัวเราะกับเรื่องที่ว่าไม่ว่าเดมมิร์เรนต้องการอะไร เดมมิร์เรนก็จะต้องได้สิ่งนั้น ดีเซลได้ระดมพลกองทัพที่รู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างจากเขา และเริ่มลงมือทำงาน เขาอธิบายว่า “ในเวลาหนึ่งอาทิตย์ แกรี่ คริส และผมเขียนตัวละครของเธอใส่เข้าไป บทใหม่ของเธอคือของขวัญสำหรับพวกเราครับ เธอคือตัวเชื่อมที่เรารู้ว่าเราต้องมีในพลอตเรื่อง จนถึงวันนี้ หนึ่งในช่วงเวลาที่ผมชื่นชอบมากที่สุดตอนถ่ายทำก็คือฉากที่ผมได้แสดงกับ เฮเลน มิร์เรน ครับ”

สำหรับบทบาทของเธอ มิร์เรนไม่รู้เหมือนกันว่าจะเจออะไรกับบทบาทนี้ แต่เธอก็รู้สึกมีความสุขที่ได้เข้ามาร่วมกลุ่มกับพวกเขา “ฉันก็แค่อยากออกไปเผชิญโลก แล้วฉันก็ได้รับข้อเสนอให้แสดง”  มิร์เรนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าจะเจออะไร แต่ฉันก็แค่ทำทุกอย่างไป ฉันดีใจมากที่พวกเขาแหวกหาพื้นที่เล็กๆ ให้กับฉันได้ ตัวละครของฉันทั้งฉลาด แข็งแกร่ง และรู้ดีว่าเธอควรอยู่ที่ไหนในโลกนี้ ด้วยอายุขนาดฉัน  การได้มาแสดงหนังแอ็กชั่นฟอร์มยักษ์กับคนเหล่านี้ คุณต้องแสดงความเก๋าออกมาถ้าคุณอยากจะเท่าทันพวกเขา นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากจะสื่อสารออกไปค่ะ”

แต่น่าเสียดายบทของมิร์เรนในภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่เอื้อให้เธอได้ไปนั่งอยู่หลังรถซิ่งส์และได้ขับรถ แต่แฟนๆ ของ Fast  อาจทักท้วงว่า โอกาสมักปรากฎบนถนนที่รออยู่เบื้องหน้าเสมอ

นาธาลี เอ็มมมานูเอล ที่ไม่ใช่หน้าใหม่ของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว เป็นผู้หยิบยื่นหน้าที่ให้กับ สก็อตต์ อีสต์วู้ด ซึ่งเข้าร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ในบท เอริค ไรสเนอร์ หรือลิตเติ้ลโนบอดี้ คนสนิทของมิสเตอร์ โนบอดี้ ตัวละครของรัสเซลล์ โดยรัสเซลล์เองได้กลับมารับบทเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ชวนให้ขนลุกที่เขาได้เริ่มต้นแสดงเอาไว้ใน Furious 7

เมื่อมาอยู่กับรัสเซลล์และเอ็มมานูเอล อีสต์วู้ดพบว่าทีมนักแสดงให้การต้อนรับเขาพร้อมอ้อมแขนที่เปิดกว้าง อย่างไรก็ดี การได้เข้ามาร่วมทีมกับทีมนักแสดงชุดนี้มันให้อารมณ์ที่ลึกซึ้งมากสำหรับอีสต์วู้ด เพราะตัวเขาเองสนิทสนมกับพอล วอล์กเกอร์มานานมาก ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2005 เมื่อทั้งคู่ได้พบกันในกองถ่ายของภาพยนตร์เรื่อง Flags of our Fathers ซึ่งกำกับโดย คลิ้นต์ อีสต์วู้ด พ่อของสก็อตต์

ความสำคัญของครอบครัวมีความหมายมาก และเป็นเรื่องที่ฝังรากลึกกับทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ อีสต์วู้ดจะอธิบายให้เข้าใจถึงกระบวนการในการเข้าร่วมกลุ่มกับครอบครัวนี้ “พอลเปรียบเสมือนพี่ชายของผมเลยนะครับ ดังนั้น การตัดสินใจมารับบทนี้จึงเป็นการตัดสินใจที่ส่งผลต่ออารมณ์ของผมมาก สุดท้ายแล้ว ผมรู้สึกว่าเขาคงอยากให้เพื่อนของเขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานที่เขาภาคภูมิใจ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับการตัดสินใจครั้งนี้ และเมื่อผมไปอยู่ในกองถ่าย ผมรู้เลยว่ามันคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง” 

หลักการของทอเร็ตโต้ทำให้เส้นแบ่งระหว่างสีขาวและสีดำรางเลือนไป แม้จะไม่มีดอมมาอยู่ใกล้ๆ ผลของหลักการนี้ยังคงเหมือนเดิม

เป็นอีกครั้งที่เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่อุทิศตน และปฏิบัติตนตามตำรา ได้ก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ พร้อมความเชื่อมั่นว่าพวกเขายืนอยู่ในฝั่งฟากที่ถูกต้องของกฎหมาย และเขาสามารถที่จะจับกุมหรือหยุดดอมและพรรคพวกได้ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยกับตำรวจลับอย่าง ไบรอัน โอคอนเนอร์ หรือเจ้าหน้าที่ดีเอสเอสอย่างฮ็อบส์ และกับไรสเนอร์ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้นำทีมตามจับดอมและไซเฟอร์ก็เช่นกัน

อีสต์วู้ดชี้แจงถึงการเปลี่ยนแปลงของลิตเติ้ล โนบอดี้ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างช้าๆ และการเผชิญหน้ากับแก๊งนี้ “กฎบางข้อมีขึ้นไว้ให้แหกกฎ โดยเฉพาะเมื่อคุณรู้ว่าเส้นแบ่งระหว่างความถูกผิดมันรางเลือนไปแล้ว ในฐานะนักแสดง คุณอยากสำรวจธรรมชาติของมนุษย์ และธีมเรื่องศีลธรรมแบบนั้น”

นักแสดงชายชาวนอร์เวย์ คริสโตเฟอร์ ฮิฟจู ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากบทผู้นำอย่าง ทอร์มันด์ ไจแอนท์สเบน ในซีรีส์สุดยิ่งใหญ่ของ HBO เรื่อง Game of Thrones มาร่วมสมทบในบท โร้ดส์ มือขวาสุดโหดของไซเฟอร์ น่าเสียดายสำหรับโร้ดส์ ที่อยู่คนละด้านกับครอบครัวทอเร็ตโต้ เขามีประวัติไม่ดีนักเมื่อเจอกับดอม

happy on April 09, 2017, 08:43:29 PM

งานถ่ายทำ:
กล้องพร้อม แอ็กชั่น ในคิวบา!

การถ่ายทำของ Fast & Furious 8 เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของปี 2016 โดยแยกกองถ่ายออกเป็นสองกองในหลายประเทศ ทั้งคิวบาและไอซ์แลนด์ แอตแลนต้า, นิวยอร์กซิตี้ และซินซินนาติ กลายเป็นฉากหลังให้กับเรื่องราวบทใหม่ โดยกองถ่ายย่อยจะเก็บภาพแอ็กชั่นสุดระห่ำ และฉากดราม่าในแบบที่แฟนๆ ต้องการ

การถ่ายทำในนิวยอร์กเป็นสิ่งที่ต้องมีสำหรับทีมผู้สร้าง เพราะเมืองนี้เหมือนฝังอยู่ในดีเอ็นเอของ Fast ไปแล้ว ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นด้วยบทความ เรื่อง “Racer X” ในแม็กกาซีน Vibe ซึ่งพูดถึงนักซิ่งส์บนถนนที่อยู่ในแวดวงนักซิ่งส์ใต้ดินของเมืองนี้ ผู้อำนวยการสร้างมอริทซ์ซื้อลิขสิทธิ์บทความนั้นเอาไว้ และเริ่มลงมือวางเรื่องราวในลอสแองเจลิส เป็นการเริ่มต้นหมุนวงล้อให้กับหนึ่งในภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่มีผู้คนหลงรักมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส

สำหรับดีเซล ซึ่งตัวเขาเองก็เป็นชาวนิวยอร์ก ความสำคัญของการต้องถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในนครบิ๊กแอ๊ปเปิ้ล ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น “การนำ Fast มาสู่นิวยอร์กซิตี้นั้นคือฝันของผมเสมอมาครับ”  ดีเซลบอก “ผมรู้สึกเสมอว่ามันคือความเป็นธรรมสำหรับตัวละครของเราที่จะกลับมายังนิวยอร์ก ที่ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นด้วยบทความในแม็กกาซีน Vibe ที่พูดถึงการแข่งรถบนท้องถนนของโดมินิกัน นิวยอร์กคือผ้าใบผืนใหญ่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ และงานแอ็กชั่นที่ติดตามมานั้นก็ยากที่จะเอาชนะได้ ฉากที่เห็นจะต้องทำให้คนดูอึ้งไปเลยครับ”

ฉากทั้งในรัสเซีย, คิวบา และนิวยอร์กถือเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนการพัฒนางานสร้างในช่วงแรกๆ ของโปรเจ็กต์นี้ และยังคงอยู่เพราะความแข็งแกร่งของการเล่าเรื่องของมอร์แกน โดยเฉพาะในคิวบา

ทางทีมผู้สร้างต้องการที่จะรักษาสิ่งสำคัญของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้เอาไว้เสมอมา นั่นก็คือ การแข่งรถแบบผิดกฎหมายบนท้องถนน และวัฒนธรรมใต้ดินของนักซิ่งส์ เพื่อให้เกียรติกับการแข่งรถแบบใต้ดิน ใน Fast & Furious 8 พวกเขาจึงได้จินตนาการฉากแข่งรถแบบควอเตอร์ไมล์ในคิวบาที่เป็นจุดเริ่มต้นทุกอย่างขึ้นมา

ว่าแต่การแข่งรถแบบคิวบาไมล์ในคิวบาควรจะเป็นอย่างไร เกรย์เป็นคนออกมาอธิบาย “สิ่งหนึ่งที่แฟนๆ Fast ทุกคนคุ้นเคยดีก็คือฉากการแข่งรถแบบควอเตอร์ไมล์ เราอยากนำเสนอสิ่งใหม่ๆ และนั่นก็คือการแข่งรถแบบคิวบาไมล์ ซึ่งมีอันตรายอย่างมาก มีจุดเลี้ยวหักศอกมากมายที่คุณซิ่งส์เข้าๆ ออกๆ ท่ามกลางจราจร การแข่งรถครั้งนี้พาคุณไปทั่วฮาวาน่า และไม่มีการหยุดจอด มันบ้าจริงๆ เลยครับ และนั่นก็คือสิ่งที่เราอยากใช้เพื่อสร้างความมันส์ให้กับ Fast & Furious 8” 

วัฒนธรรมซิ่งส์รถในคิวบาถือว่าฝังแน่นอยู่ในประเทศนี้มานานหลายปี ทางทีมผู้สร้างเคยพูดคุยกันมานานมากเกี่ยวกับการวางเหตุการณ์ตอนหนึ่งของภาพยนตร์ชุดนี้ในดินแดนแห่งนี้ มีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้มาตลอด โดยที่รู้ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้ จนกระทั่งในช่วงที่ประธานาธิบดีโอบาม่าขึ้นบริหารประเทศ ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศเริ่มผ่อนคลายขึ้น

ที่สำคัญไปกว่านั้น ความชื่นชอบที่ดอมมีต่อประเทศแห่งนี้ถือเป็นความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่มีเหตุมีผลสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ตามที่มอร์แกนบอก “คิวบามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในเรื่องวัฒนธรรมการแข่งรถอยู่แล้วครับ ถ้าจะมีใครสักคนที่จะเข้าไปสุงสิงอยู่ในวัฒนธรรมนี้ได้ เขาคนนั้นก็คือ ดอม ทอเร็ตโต้ เขารู้ดีทุกอย่างเกี่ยวกับรถโบราณเหล่านั้น และยังให้เกียรติกับขนบในการดูแลรักษารถพวกนี้ ความเฉลียวฉลาดของคนคิวบาที่สามารถทำให้รถวิ่งได้ด้วยอะไหล่ทุกอย่างที่พวกเขาหาได้ ไม่ว่าจะเป็นรถตัดหญ้า รถแทร็คเตอร์ หรือแม้แต่อะไหล่ของเรือ คือจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบสำหรับดอมและภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ”

ผู้อำนวยการสร้างฟ็อทเทรลล์ ซึ่งดูแลงานสร้างของภาพยนตร์ Fast มาแล้วสี่ภาค (2 Fast 2 Furious, Fast & Furious, Fast Five และ Furious 7) ได้ติดต่อหาทนายชาววอชิงตันดีซี อย่าง รอน เม็ทซ์เลอร์ และที่ปรึกษาด้านการเมืองอย่าง ริชาร์ด ไคลน์ เพื่อพูดคุยถึงความเป็นไปได้ที่จะไปถ่ายทำหนังกันในประเทศที่มีตัวแปรที่คาดไม่ถึงมากมาย ความมโหฬารของงานมากมายที่ต้องทำตกเป็นหน้าที่ของไคลน์ ซึ่งเคยเข้ามาร่วมงานกับทีมผู้สร้าง Fast มาแล้วเมื่อครั้งที่เขาเป็นผู้เจรจาจนทำให้ทั้งทีมนักแสดงและทีมงานสามารถเข้าไปถ่ายทำกันในอาบูดาบี ตอนถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Furious 7 มาแล้ว

ไคลน์และเม็ทซ์เลอร์คือกุญแจสำคัญในการเจรจาด้านการเมืองระหว่างสองประเทศ มีการพูดคุยกันทั้งทางโทรศัพท์และนัดประชุมกันกับ โฮเซ่ คาบานัส ทูตของคิวบาประจำสหรัฐอเมริกา รวมถึงเจ้าหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศของอเมริกา มีข้อกำหนดทางกฎหมายที่ฟ็อทเทรลล์และทีมงานของเขาจะต้องพูดคุยกับกระทรวงต่างประเทศ และหน่วยงานรัฐบาลอีกหลายหน่วย เพื่อให้ได้รับอนุญาตในการนำทั้งทีมนักแสดง ทีมงาน อุปกรณ์ และรถเข้าไปยังคิวบา รวมถึงการสร้างธุรกิจที่นั่นด้วย

มันคือดินแดนที่ยังไม่มีใครเข้าไปถ่ายทำหนังมาก่อน อย่างน้อยก็สำหรับกองถ่ายหนังอเมริกัน โดยเฉพาะภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์จากฮอลลีวู้ด เพื่อจัดการเตรียมงานทั้งหลาย ฟ็อทเทรลล์และทีมงานของเขา ต้องเดินทางไปคิวบาหลายต่อหลายครั้ง เพื่อประเมินโลเกชั่นในการถ่ายทำที่พอจะเป็นไปได้ รวมถึงสาธารณูปโภค ทีมงาน บุคลากร และอุปกรณ์ต่างๆ และเพื่อตัดสินใจว่าการไปถ่ายทำที่นั่นจะเป็นไปได้หรือไม่ ต้องขอบคุณที่ฟ็อทเทรลล์พอจะมีรูปแบบการทำงานอยู่แล้ว เพราะทีมงานของเขาเคยไปถ่ายทำตามโลเกชั่นที่ไม่ต่างกันนักอย่างในเปอร์โตริโก้ บราซิล และเม็กซิโก จากแง่มุมของการถ่ายทำ เขารู้ดีว่าพวกเขาต้องการสิ่งใดบ้างเพื่อให้งานทั้งหมดสำเร็จลงได้

ในที่สุด ก็ถึงเวลาที่ผู้บริหารของสตูดิโอและทีมผู้สร้างจะต้องเข้าไปนั่งอธิบายให้สมาชิกคนสำคัญของรัฐบาลของประธานาธิบดี ราอูล คาสโทร ฟังถึงแผนการถ่ายทำของพวกเขา เจ้าหน้าที่บ้านเมืองของคิวบาเหล่านี้ไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ แต่พวกเขาก็มีการไต่ถามและแสดงน้ำใจในระหว่างการประชุม หลังจากนั้น ทีมผู้สร้างเดินทางกลับมายังอเมริกาเพื่อรอฟังคำตัดสิน

เมื่อข่าวดีมาถึง และเมื่อข่าวที่ว่าเรื่องราวบทใหม่ล่าสุดของภาพยนตร์แฟรนไชส์ The Fast and the Furious อยากไปถ่ายทำกันในฮาวาน่า เริ่มต้นแพร่กระจายออกไปในครอบครัว เพื่อนๆ และเพื่อนร่วมงาน ระดับของความตื่นเต้นพุ่งสูงขึ้นจนทางรัฐบาลมิอาจมองข้ามได้อีกต่อไป

“ไม่ว่าเราเดินทางไปไหน จะมีคนที่โอบกอดเรา” ฟ็อทเทรลล์เล่า “Fast เป็นงานแฟรนไชส์ระดับโลก ตั้งแต่เม็กซิโก จนถึงริโอ เดอจานีโร จนถึงอาบูดาบี และตอนนี้ก็คือคิวบา ทีมนักแสดงของเราและภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ยังคงแหวกเครื่องกั้นทุกอย่าง มันคือภาพยนตร์ชุดที่รวมเป็นหนึ่ง ซึ่งมีทั้งพลังและสามารถเอื้อมไปถึงประตูที่เปิดรับเราทั่วทั้งโลก”

“มีภาพยนตร์ไม่มากเรื่องนักหรอกที่สามารถทำแบบนั้นได้” ไคลน์กล่าวเสริม “คิวบาไม่ใช่ที่ที่มีส่วนร่วมกับตลาดภาพยนตร์ของโลกสักเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงไม่แน่ใจว่าภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้จะเป็นที่รู้จักดีนัก โชคดีที่ชื่อเสียงของภาพยนตร์เรื่องนี้ไปถึงที่นั่นก่อนเรา และภาพยนตร์ Fast ก็ดังและได้รับความนิยม ธีมที่พูดถึงเรื่องมิตรภาพ ความภักดี และรถก็เป็นสากลอยู่แล้ว จนทำให้ฝั่งรัฐบาลรู้สึกสบายใจและอยากจะเข้ามาช่วยงานสร้างของเราครับ”

เมื่อกระบวนการทำงานเริ่มต้นขึ้น ทุกอย่างเดินหน้าทันที แต่ถึงกระนั้นก็ต้องใช้เวลา มีการพูดคุยและเตรียมงานกันหลายเดือน ทั้งในส่วนของคิวบาและอเมริกา เพื่อประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง วางแผน และเมื่อได้รับการอนุมัติจากทั้งสองฝ่าย พวกเขาก็เริ่มวางรากฐานในการไปถ่ายทำกันนานสองอาทิตย์ในช่วงเดือนเมษายน   

ทีมงานอเมริกันกลุ่มแรกจากจำนวน 200 คน เดินทางไปถึงคิวบาก่อนหน้าการถ่ายทำจะเริ่มต้นขึ้นนานสี่เดือน เมื่อพวกเขาใช้ชีวิตประจำวันแบบฮาวาน่า พวกเขาได้ทำงานประสานอย่างใกล้ชิดกับทุกส่วนของรัฐบาล รวมถึงทีมงานท้องถิ่น ชาวเมือง และธุรกิจต่างๆ ทั่วทั้งเมืองหลวงของที่นั่น

เมื่อการถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น ความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์ของทุกคน เกรย์, ดีเซล, ร็อดริเกซ และเธียรอน เริ่มต้นงานถ่ายทำบนถนนของฮาวาน่า และกลายเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของยูนิเวอร์แซลที่มาถ่ายทำในคิวบานับแต่มีคำสั่งห้ามเข้าออกสหรัฐฯ ในปี 1963   
   
เมื่อประธานาธิบดีโอบาม่าได้พบปะกับประธานาธิบดีคาสโทรในฮาวาน่า การถ่ายทำได้เริ่มต้นขึ้นในเวลาต่อมาไม่ถึงหนึ่งเดือน และที่คิวบานี้ ทีมงานทั้งที่เป็นคนอเมริกันและคิวบา ได้ลงมาทำงานตามท้องถนนเพื่อถ่ายทำงานปาร์ตี้สไตล์คิวบาที่ให้อารมณ์เซ็กซี่ รวมถึงฉากแข่งรถที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ในทุกๆ วัน ทั้งทีมนักแสดงและทีมงานต้องเจอกับชาวเมืองที่อยากรู้อยากเห็นซึ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นในแต่ละวัน โดยพวกเขาอยากเห็นดีเซลและร็อดริเกซ ขณะที่พวกเขาถ่ายทำฉากต่างๆ ด้วยกัน

ในส่วนของทีมงานอเมริกัน พวกเขาต่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นรถคลาสสิกที่สวยที่สุดที่คิวบามีให้พวกเขา พวกเขารู้สึกทึ่งที่ได้มาถ่ายทำในย่านสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลที่น่าตื่นตะลึงของที่นี่ โรงแรมชื่อดัง กำแพงกั้นทะเลที่ยาวถึงห้าไมล์จากโอลด์ฮาวาน่า ขึ้นไปจนถึงย่านวีดาโด

หนึ่งในช่วงเวลาการถ่ายทำที่น่าตื่นเต้น เกิดขึ้นเมื่อมีการวางแผนถ่ายทำฉากกลางอากาศ เฟร็ด นอร์ธ นักบินผู้มีประสบการณ์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลงานกล้องภาคอากาศให้กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ ควบคุมการบินเหนือฮาวาน่า ซึ่งทำให้เกิดเป็นช่วงเวลาอันควรจารึกเอาไว้สำหรับงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้และสำหรับคิวบา เขาจะต้องนำเฮลิคอปเตอร์บินต่ำ เพื่อถ่ายทำฉากแอ็กชั่นซิ่งส์รถบนท้องถนนด้านล่าง ขณะที่เสียงของเฮลิคอปเตอร์ดังก้องสะท้อนกับตัวอาคารต่างๆ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เฮลิคอปเตอร์ของอเมริกันบินอยู่เหนือน่านฟ้าของคิวบา

และเป็นอีกครั้งที่ทางทีมผู้อำนวยการสร้างต้องให้ไคลน์เข้าไปเปิดการเจรจาที่แสนเปราะบางนี้ ที่ปรึกษาด้านการเมืองผู้นี้เล่าว่า “ไอเดียเรื่องนำเฮลิคอปเตอร์ไปบินอยู่เหนือฮาวาน่า เพื่อให้ได้ภาพทางอากาศ เกิดขึ้นเร็วมาก วันแรกๆ ของการถ่ายทำจากอากาศเป็นวันที่ควรค่าแห่งการจดจำมาก ทุกสิ่งทุกอย่างในฮาวาน่าต้องหยุดชะงักไป ผู้คนต่างเดินลงมาจากรถ พวกเขาเดินออกมาที่ระเบียงบ้าน และออกมายืนอยู่ตามถนน พวกเขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนครับ มันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษมาก ซึ่งเรารู้ว่าเรากำลังสร้างประวัติศาสตร์แล้ว” 

อารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดสำหรับทีมงานท้องถิ่นและชาวเมือง นี่เป็นครั้งแรกในเวลาเกือบชั่วสามอายุคนที่ได้เห็นและจับต้องได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของพวกเขากับอเมริกานั้นแตกต่างกันอย่างไร ทางด้านทีมงานชาวอเมริกันเองก็อดไม่ได้เลยที่จะรู้สึกประทับใจกับความรู้สึกปลาบปลื้มที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวพวกเขา

สำหรับเกรย์, มอริทซ์, ดีเซล, ฟ็อทเทรลล์, มอร์แกน และผู้อำนวยการสร้างคนอื่นๆ ซึ่งรวมถึง ซาแมนธา วินเซนต์ จากบริษัทวันเรซ ฟิล์มส์ และอาแมนด้า ลูอิส จากออริจินัล ฟิล์ม การที่พวกเขาสามารถไปถ่ายทำในประเทศที่แสนถ่อมตนแต่งดงามแห่งนี้ได้นั้นถือเป็นความรู้สึกเหมือนฝันที่เป็นจริงอย่างมาก แกรี่สรุปตารางการถ่ายทำ ณ ที่แห่งนั้นว่า “เราอยากถ่ายทำฉากเปิดเรื่องที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็อยากจะแสดงภาพของคิวบาให้เป็นประเทศที่น่าทึ่ง และมีผู้คนที่ดีมากๆ มีความเป็นฮาวาน่าที่คุณไม่สามารถหาได้จากที่อื่นในโลกนี้อีกแล้ว เมืองนี้คือผลงานศิลปะอันโดดเด่นซึ่งร่ำรวยไปด้วยวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เราอยากให้ผู้คนทั่วโลกได้มีโอกาสได้สัมผัสคิวบาในแบบที่เราได้สัมผัสมาครับ”

happy on April 09, 2017, 08:46:33 PM


งานแอ็กชั่นรอบโลก และยวดยาน:
รถซิ่งส์จากไอซ์แลนด์ จนถึงแมนฮัตตัน

ครอบครัว Fast ไม่เพียงแต่ประกอบไปด้วยทีมนักแสดงหน้ากล้องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทีมงานเบื้องหลัง ซึ่งรวมถึงคนที่เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มในปี 2000   

ทีมงานเบื้องหลังยังรวมถึงผู้ประสานงานเรื่องรถอย่าง เดนนิส แม็คคาร์ธี่ และผู้กำกับกองถ่ายย่อยที่สอง สไปโร่ ราซาทอส และทีมออกแบบสตั๊นต์ ซึ่งนำทีมโดยพี่น้อง แจ็ค จิลล์ และแอนดี้ จิลล์ ซึ่งรวมกันคิดคอนเซ็ปต์และจัดฉากแอ็กชั่นที่ทำให้อ้าปากค้างจากจินตนาการของมอร์แกน

สำหรับฉากแอ็กชั่นซิ่งส์รถ ทางทีมผู้สร้างให้ ราซาทอส เป็นผู้ออกแบบฉากที่ใหญ่ขึ้นและดีขึ้นด้วย ซึ่งผู้นำทีมแอ็กชั่นที่เกี่ยวกับรถของภาพยนตร์ชุดนี้มักจะผลักดันขอบเขตจำกัดออกไป โดยจะเป็นงานที่สามารถสร้างได้ ณ จุดถ่ายทำ และเป็นงานที่อาจถ่ายทำด้วยรูปแบบใหม่ๆ ได้

สำหรับ Fast & Furious 8 นั่นหมายถึงการซิ่งส์รถแข่งข้ามทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งในย่านชนบทของไอซ์แลนด์ หรือผ่านท้องถนนของนิวยอร์กซิตี้ที่การจราจรแน่นหนา

ด้วยการปิดฉากการถ่ายทำนานสี่อาทิตย์บนทะเลสาบที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง ในภูมิภาคอันห่างไกลของไอซ์แลนด์ จากนั้นก็ในเมืองเรคจาวิก ทีมงานรู้สึกดีใจมากเมื่อพวกเขาสามารถทำงานได้สำเร็จตามกำหนดเวลาที่กระชั้นชิดมาก พวกเขาลงเอยด้วยการต้องขับรถซิ่งส์ถึง 16 คัน รวมไปถึงการจัดฉากระเบิดให้เหมือนกับเรือดำน้ำโผล่ขึ้นมายังผิวน้ำ

ทะเลแบเรนท์สที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง กลายเป็นฉากหลังให้กับฉากเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายระหว่างไซเฟอร์กับดอม เมื่อเขาซิ่งส์ไปบนผิวน้ำแข็งเพื่อพุ่งเข้าไปหาเรือดำน้ำนิวเคลียร์ ที่นั่น ฮ็อบส์และพรรคพวกของดอมพร้อมที่จะปล่อยตัวดอมลงเมื่อมีโอกาส
 
เพื่อให้แน่ใจว่าการถ่ายทำมีความปลอดภัยและเป็นไปได้จริง ทีมงานท้องถิ่นต้องประเมินและจัดการในเรื่องของหิมะและน้ำแข็ง ต้องมีการค้นคว้าเยอะมาก แต่สุดท้าย ทุกอย่างก็ส่งผลดีด้วยความอดทนและการวางแผนงานสตั๊นต์อย่างแม่นยำ

สำหรับแม็คคาร์ธี่ ซึ่งเป็นกูรูในเรื่องของรถประจำภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้นับแต่ Tokyo Drift เรื่องราวบทนี้ได้สร้างความท้าทายใหญ่ๆ ให้ถึงสองเรื่องด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป

โลเกชั่นที่ไอซ์แลนด์ ซึ่งเป็นฉากให้กับเหตุการณ์ในรัสเซียในองก์ที่ 3 ของเรื่อง เป็นพื้นที่ที่ห่างไกล และมาพร้อมอุณหภูมิที่หนาวจัดจนส่งผลต่อทุกอย่าง ตั้งแต่การดูแลรักษารถ การแสดงบนแผ่นน้ำแข็ง และความเร็วที่ราซาทอสและทีมงานของเขาจะใช้ควบคุมรถได้เมื่อถ่ายทำกัน แต่ถึงกระนั้น ฉากที่แสนยิ่งใหญ่ระหว่างรถและเรือดำน้ำก็น่าอัศจรรย์อย่างมาก

ระหว่างการเตรียมงานอยู่ในเวิร์กช้อปที่เซ้าเธิร์นแคลิฟอร์เนีย แม็คคาร์ธีและทีมงานของเขาได้ทำการปรับแต่งกองทัพรถและส่งขึ้นเรือไปยังไอซ์แลนด์ ขณะที่ ดอม ใช้รถ ด็อดจ์ “ไอซ์” ชาร์เจอร์ รถคันหนึ่งที่วิ่งตรงเข้าหาเขาด้วยความเร็วสุดกำลัง ก็คือรถปรับแต่ง ด็อดจ์ “ไอซ์ แรม” ทรัค ที่มีฮ็อบส์เป็นคนขับ ร่วมด้วย เล็ตตี้ในรถ แรลลี่ ไฟเตอร์ และลิตเติ้ล โนบอดี้ ในรถซูบารุ ดับเบิ้ลยูอาร์เอ็กซ์  ขณะที่เทจมีรถถังริปซอว์ ขณะที่ โรมัน ซิ่งส์รถลัมบอร์กินี่ข้ามทุ่งน้ำแข็ง

หลังจากทิ้งอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศาของไอซ์แลนด์ไว้เบื้องหลัง แม็คคาร์ธีและทีมงานของเขา เดินทางต่อไปยังคิวบาเพื่อเริ่มต้นความท้าทายต่อไป ฉากเปิดเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นฉากที่ดอมขับรถเชฟวี่ ฟลีทไลน์ปี 1953 แข่งกับรถฟอร์ด แฟร์เลน ปี 1956 ซึ่งเป็นรถที่เร็วที่สุดของเกาะแห่งนี้

ขณะที่สภาพแวดล้อมและข้อเรียกร้องของการถ่ายทำในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร ส่งผลเสียต่อเกรย์ในไอซ์แลนด์ สำหรับในคิวบา การไร้ซึ่งชิ้นส่วนอะไหล่รถ หรือระบบสนับสนุน ทำให้ทีมงานของเขาจำต้องขนทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มีการเตรียมการเอาไว้เผื่อเกิดกรณีฉุกเฉินมาด้วย

ขณะที่พวกเขาซิ่งส์รถกันไปทั่วฮาวาน่า ทางแผนกรถลงเอยด้วยการต้องขนรถเชฟวี่เข้ามา 10 คัน รวมถึงฟอร์ดอีก 7 คัน เพื่อเตรียมพร้อมกรณีรถเกิดความเสียหายอย่างหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอในฉากแข่งรถของ Fast 

แม็คคาร์ธี่เล่าว่า “ความท้าทายในการทำงานที่คิวบาก็คือ เราไม่สามารถหาอะไรได้เลยครับ เราต้องวางแผนล่วงหน้า และคิดว่าจะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นได้บ้าง และเตรียมตัวรับมือเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น แม้ว่าที่ไอซ์แลนด์จะถ่ายทำยาก แต่อย่างน้อยที่นั่นก็มีร้านขายอะไหล่รถ สำหรับที่คิวบา เรานำทุกสิ่งทุกอย่างไปพร้อมหมด ตั้งแต่รถลาก รถขนเครื่องมือ รถขนอะไหล่ และเทรลเลอร์ และขนทุกอย่างใส่เอาไว้ในรถจนอัดแน่นไปหมด”

เพื่อให้เข้าถึงแวดวงรถท้องถิ่น แม็คคาร์ธี่หันไปพึ่งเจ้าพ่อด้านยวดยานของคิวบาอย่าง เดวิด พีน่า ผู้มีฉายาเป็นที่รู้จักในแวดวงรถแข่งว่า แม็คควีน เขาคอยดูแลรถวินเทจที่ดีที่สุดบนเกาะแห่งนี้

สำหรับผู้ที่คลั่งไคล้ในรถอย่างแม็คคาร์ธี่ คิวบาทำให้เขาต้องอึ้งไปเลย “มันทำให้แทบลืมหายใจไปเลยครับ คุณเดินออกไปที่ถนน และรู้สึกเหมือนคุณเดินทางย้อนเวลาผ่านเครื่องไทม์แมชชีนเลยครับ 70 เปอร์เซนต์ของรถที่นั่นเป็นรถจากยุค ’50s และ ’40s สิ่งที่ทำให้ประทับใจมากกว่านั้นก็คือวิธีที่คนที่นั่นยังทำให้รถพวกนั้นวิ่งอยู่ได้ ผมชอบมากที่ได้เห็นความกระตือรือร้นและความตื่นเต้นจากคนท้องที่เมื่อเราไปอยู่ที่นั่น”

การถ่ายทำภาพยนตร์หรือการได้ยินเสียงพูดสำเนียงแบบอเมริกันทำให้เกิดคำถามและการสนทนาที่น่าตื่นเต้นจากชาวคิวบา ความตื่นเต้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด เมื่อชาวเมืองที่อยากรู้อยากเห็น นักท่องเที่ยว และแฟนๆ หลายร้อยคนออกมายืนดูเหตุการณ์ขณะที่การถ่ายทำเกิดขึ้นตามย่านต่างๆ

งานง่ายๆ อย่างการโหลดรถขึ้นไปยังรถที่ใช้ขนรถอีกที กลับเรียกเสียงตบมือ หรือมีชาวคิวบามุงมารุมกันเพื่อส่องเหตุการณ์ในระยะที่ใกล้ขึ้น พวกเขายกมือขึ้นแตะหรือถ่ายรูป และเมื่อได้เห็นดีเซลหรือร็อดริเกซ บรรดาคิวบามุงจะส่งเสียงเชียร์และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นสิบเท่า สร้างความตื่นเต้นไปทั่วทั้งกองถ่ายและถนนรอบๆ

อย่างไรก็ดี สำหรับแม็คคาร์ธี่ ฉากหนึ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้นมากที่สุด กลับไม่ได้ข้องเกี่ยวกับรถซิ่งส์ หรือฉากขับรถสตั๊นต์ท้าความตาย แต่เป็นฉากที่ฮ็อบส์, ชอว์ และทีม มุ่งหน้าสู่โรงงานปลา ซึ่งเป็นฉากหน้าของสถานที่เกิดปฏิบัติการลับ เหล่าทวยเทพส่งเสียงร้องเพลงขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปด้านใน โกดังเก็บรถขนาดใหญ่ชวนให้นึกถึงฉากท้ายๆ ของภาพยนตร์อินเดียน่า โจนส์ ตอน Raiders of the Lost Ark

เพื่อให้ได้สถานที่ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับถ่ายทำฉากนี้ แม็คคาร์ธี่ตระเวณหาทั้งเจ้าของรถเอกชน พ่อค้า ร้านปรับแต่งรถ และโรงงานทั่วโลก

 
แม็คคาร์ธี่ได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าตลอดหลายปีมานี้ ภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่องนี้ได้สร้างชื่อเสียงเอาไว้มากมาย ดังนั้น ภารกิจที่เป็นงานช้างกลับเป็นงานที่สามารถจัดการได้ไม่ยาก เพราะทุกคนต่างก็อยากเอารถของพวกเขามาโชว์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้แต่แม็คคาร์ธี่และมอริทซ์เองก็ยังขนรถที่เป็นลูกรักของพวกเขามาร่วมแสดงด้วย เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ทีมงานของแม็คคาร์ธี่สามารถรวบรวมกองทัพรถที่มีมูลค่ามากกว่า $17 ล้านมาเพื่อใช้ในการถ่ายทำเพียงไม่กี่วัน

พวกเขามีรถที่เยี่ยมที่สุดของอเมริกา อย่างด็อดจ์, ฟอร์ด และรถเชฟวี่วินเทจ จนถึงรถนำเข้าอย่าง เฟอร์รารี่, ลัมบอร์กินี่, จากัวร์, โตโยต้า, ซูบารุ และรถคอนเซ็ปต์ของนิสสันที่มีมูลค่าถึง $2 ล้านที่ถูกขนส่งมาจากญี่ปุ่น จนถึงดูคาตี้, ฮาร์เล่ย์ เดวิดสันส์ และมอเตอร์ไซค์คอนฟีเดอเรทของเคทีเอ็ม     

หลังจากเก็บตัวแบบเงียบๆ อยู่ในแผนกรถใน Furious 7 กิ๊บสันรู้สึกตื่นเต้นมากที่แม็คคาร์ธี่ได้อัพเกรดรถของโรมันใน Fast & Furious 8  “ผมได้ขับเบนท์ลี่ย์ จีที คูเป้ครับ” กิ๊บสันบอก “สองประตู สีขาวที่มาพร้อมแถบลายเบอร์กันดี จากนั้น ผมก็ได้ขับลัมบอร์กินี่สีส้ม ผมเลยแฮปปี้มากครับ ผมรักรถของผมมาก”

ในฐานะผู้คลั่งไคล้ในทุกอย่างที่มีความเร็ว แม็คคาร์ธี่ยังเพิ่มสีสันและความเข้มข้นลงไปอีกด้วยรถถังริปซอว์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ, เรือสปีดโบ้ทมิสติค, รถถังสไตรเกอร์ และเฮลิคอปเตอร์เอ็มดี


« Last Edit: April 09, 2017, 08:49:50 PM by happy »