news on November 01, 2016, 09:54:14 PM
เดลล์ เทคโนโลยีส์ เผยผลวิจัย 83%ของธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น รู้สึกเหมือนโดนคุกคามจาก สตาร์ทอัพ

เริ่มเห็นเค้าลางวิกฤติดิจิทัล 1ใน 2ของผู้นำ กลัวว่าดิจิทัลสตาร์ทอัพจะทำให้ธุรกิจของตนตกยุคภายใน 3-5ปี


ประเด็นข่าวที่น่าสนใจ
•   58% ของธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ยังไม่รู้ว่าอุตสาหกรรมของตนจะเป็นอย่างไรในอีก 3 ปีข้างหน้า (48% ของทั่วโลก)
•   83% ของธุรกิจมองว่าดิจิทัลสตาร์ทอัพคือการคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นเวลานี้ หรือในอนาคต (78% ของทั่วโลก)
•   ประมาณ 6 ใน 10 ของธุรกิจไม่สามารถตอบสนองความต้องการระดับสูงของลูกค้าได้
•   ในทั่วโลก มีเพียง 5% ของธุรกิจเท่านั้น ที่สามารถจัดระดับการเป็น “ผู้นำด้านดิจิทัล”
•   77% ยอมรับว่าการเปลี่ยนโฉมสู่ดิจิทัลน่าจะแพร่หลายมากยิ่งขึ้น(73% ของทั่วโลก)

ข้อความสำหรับทวีต:งานวิจัยใหม่โดย @Dell: 4 ใน 5 ของภาคธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นรู้สึกถึงการโดนคุกคามโดยดิจิทัลสตาร์ทอัพ http://bit.ly/2dfPNg3 #DigitalTransformation



กรุงเทพฯ – 01 พฤศจิกายน 2559 – 83 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น เชื่อว่าดิจิทัลสตาร์ทอัพ ดูจะเป็นการคุกคามองค์กร ไม่ว่าตอนนี้หรือในอนาคต สอดคล้องตาม ผลวิจัยใหม่จากเดลล์ เทคโนโลยีส์ ที่เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้  ปรากฏการณ์ครั้งนี้ นับเป็นการขับเคลื่อนบริษัทที่มีนวัตกรรมให้ก้าวไปข้างหน้า พร้อมเป็นตัวเร่งไปสู่การสิ้นสุดของธุรกิจอื่นที่ไม่มีนวัตกรรม  กว่าครึ่ง(52%) ของธุรกิจที่เข้าร่วมการสำรวจกลัวว่าตัวเองจะตกยุคภายใน3 ถึง 5 ปีข้างหน้าจากการแข่งขันกับบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพที่ถือกำเนิดจากดิจิทัล (45 % ทั่วโลก)

บางบริษัทรู้สึกว่าโดนทำร้ายอย่างแสนสาหัสจากย่างก้าวแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้  6 ใน 10 (61%) ของผู้นำธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น มีประสบการณ์ในการปฏิรูปครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมในช่วง3 ปีที่ผ่านมาอันเป็นผลมาจากเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเตอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง หรือ IoT ส่วนอีก 58 เปอร์เซ็นต์ ของธุรกิจในภาคพื้นดังกล่าวยังมองไม่ออกว่าอุตสาหกรรมจะเป็นอย่างไรต่อไปในอีก 3 ปีข้างหน้า

ซึ่งข้อความข้างต้นเป็นผลที่ได้มาจากการสำรวจที่จัดทำโดย Vanson Bourneซึ่งทำการสำรวจผู้นำธุรกิจ 4,000 ราย จากองค์กรขนาดกลางถึงใหญ่ ครอบคลุม 16 ประเทศและ 12 อุตสาหกรรม

“อิทธิพลจากการปฏิวัติทางดิจิทัลนำไปสู่การทลายกำแพงระหว่างอุตสาหกรรม และด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากทั้งภาครัฐบาลและเจตนารมณ์ความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น เราได้เห็นว่ามีดิจิทัลสตาร์ทอัพเกิดขึ้นมากมาย” อมิต มิดาห์ ประธานฝ่ายธุรกิจคอมเมอร์เชียลประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น เดลล์ อีเอ็มซี กล่าว “ความล้มเหลวในการคิดค้นนวัตกรรมจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบรรดาธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นในยุคดิจิทัล”

ความก้าวหน้าที่ยังไม่ลงตัว หรือเค้าลางของวิกฤติดิจิทัล
คงไม่ใช่การกล่าวเกินเลย หากจะพูดว่าความก้าวหน้ายังไปไม่ทั่วถึงเพราะบางบริษัทแทบจะยังไม่ได้เริ่มปรับเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลเลย  หลายบริษัทใช้วิธีการค่อยๆเริ่มทีละนิดมีเพียงไม่กี่องค์กรที่ก้าวไปสู่จุดของการปฏิรูปสู่ดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ มีเพียงแค่หนึ่งในสามของธุรกิจทั้งหมดที่ร่วมการสำรวจเท่านั้นกำลังเดินหน้าไปได้ด้วยดีในการสร้างส่วนสำคัญสำหรับธุรกิจดิจิทัล  ในขณะที่ในอีกหลายธุรกิจ มีเพียงบางฟังก์ชั่นขององค์กรเท่านั้นที่มีการคิดและทำงานในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งส่วนใหญ่ (77%) ยอมรับว่าการปฏิรูปสู่ดิจิทัลควรทำให้ครอบคลุมทุกส่วนงานทั่วทั้งองค์กร

มีถึง6 ใน 10 บริษัทที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าในระดับสูงได้ เช่นความต้องการระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้นและช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงทั้งข้อมูลและการบริการตลอดเวลาแบบ 24/7 ได้รวดเร็วขึ้น และเกือบสองในสาม (65%) ยอมรับว่าไม่สามารถดำเนินการแบบอัจฉริยะได้ในลักษณะเรียลไทม์

“ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นเป็นจุดที่สำคัญที่สุดของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ และด้วยความคาดหวังของลูกค้าว่าจะได้รับประสบการณ์แปลกใหม่และปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการเฉพาะ เหล่านี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนโฉมสู่ยุคดิจิทัลเพื่อให้ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางการแข่งขันได้  แม้ว่าธุรกิจทั่วภูมิภาคกำลังเดินหน้าในเรื่องดังกล่าว แต่ตอนนี้นับเป็นช่วงเวลาที่ต้องเร่งเดินไปสู่การปฏิรูปดิจิทัล โดยเริ่มต้นด้วยการปฏิรูปไอที” เดวิด เว็บสเตอร์ ประธานฝ่ายธุรกิจเอ็นเตอร์ไพร์ซประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น เดลล์ อีเอ็มซี กล่าว “ด้วยความต้องการด้านผลิตภัณฑ์และการบริการยุคดิจิทัลในรูปแบบใหม่ๆมีเพิ่มมากขึ้น หมายถึงการเพิ่มขึ้นของทั้งจำนวนผู้ใช้และข้อมูลในปริมาณมหาศาล ฉะนั้นการมุ่งเน้นที่การปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัยรวมถึงการลงทุนเพื่อด้านทักษะการพัฒนาซอฟต์แวร์ จึงเป็นหัวใจหลักสำหรับธุรกิจที่ต้องการมอบคุณค่าให้กับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

ดัชนีการเปลี่ยนโฉมสู่ดิจิทัลของเดลล์ เทคโนโลยีส์ สอดคล้องกับผลวิจัยและจัดอันดับบริษัททั่วโลกบนพื้นฐานข้อมูลด้านการรับรู้ของผู้ตอบการสำรวจในเรื่องประสิทธิภาพด้านการปฏิรูปองค์กรของตนไปสู่ดิจิทัล ทั้งนี้จากตัวชี้วัด มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจใน 16 ประเทศที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วจนก้าวสู่กลุ่มผู้นำด้านดิจิทัล ในขณะที่มีธุรกิจอีกเกือบครึ่งหนึ่งที่ถือว่าล้าหลัง

1.   ผู้นำด้านดิจิทัล (Digital Leaders) 5 เปอร์เซ็นต์ การพลิกโฉมสู่ดิจิทัลถูกฝังแน่นอยู่ในดีเอ็นเอของธุรกิจในหลากหลายรูปแบบ
2.   ผู้นำดิจิทัลมาใช้ (Digital Adopters)14 เปอร์เซ็นต์ มีแผนงานดิจิทัลที่ชัดเจน มีการลงทุนและมีนวัตกรรมในองค์กร
3.   ผู้ประเมินดิจิทัล (Digital Evaluators)34 เปอร์เซ็นต์ ระมัดระวัง และค่อยๆตอบรับการปฏิรูปสู่ดิจิทัล มีการวางแผนและการลงทุนเพื่ออนาคต
4.   ผู้ตามดิจิทัล(Digital Followers)32 เปอร์เซ็นต์ ลงทุนด้านดิจิทัลน้อยมาก และมีแนวโน้มว่าอาจจะเริ่มวางแผนสำหรับอนาคต
5.   ผู้ตกกระแสดิจิทัล(Digital Laggards)15 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีแผนงานด้านดิจิทัล มีการลงทุนและความริเริ่มที่ค่อนข้างจำกัด

แผนฟื้นฟูสู่ดิจิทัล
เรื่องของการคุกคามจากการปรับโฉมธุรกิจที่เกิดขึ้นฉับพลันนั้น บรรดาธุรกิจในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่นกำลังเริ่มหาทางแก้ไข และเพื่อเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปทางดิจิทัล

•   78 เปอร์เซ็นต์ เห็นพ้องว่าธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การบริหารจัดการเทคโนโลยีได้จากศูนย์กลางเป็นอันดับหนึ่ง
•   70 เปอร์เซ็นต์ กำลังวางแผนลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีและความเป็นผู้นำเรื่องทักษะทางดิจิทัล
•   73 เปอร์เซ็นต์ กำลังขยายขีดความสามารถด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์

ผลจากการสำรวจผู้ตอบแบบสอบถามในเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น พบว่า การลงทุนด้านไอทีหลักที่มีการวางแผนภายใน 3 ปีข้างหน้าได้แก่
1.   ระบบวิเคราะห์ บิ๊กดาต้า และระบบประมวลผลข้อมูล (Analytics, big data and data processing)(ตัวอย่างเช่น Data Lakes)
2.   ระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบควบรวม (Converged infrastructure)
3.   เทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ (Ultra-high performance technologies)(ตัวอย่างเช่น แฟลช)
4.    เทคโนโลยี อินเตอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ (Internet of Things technologies)

นอกจากนี้ มีหนึ่งในสาม จนถึงสามในสี่ของธุรกิจ ที่สร้างงบกำไรขาดทุนด้านดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ (34%) กำลังเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทสตาร์ทอัพ เพื่อนำโมเดลที่ใช้นวัตกรรมแบบเปิดกว้างมาใช้ (34%) มีการแยกส่วนธุรกิจออกมาจากบริษัทเดิม (31%) หรือตั้งใจที่จะเพิ่มทักษะและนวัตกรรมที่ต้องการโดยการควบรวมกิจการ (27%)  มีเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ ที่วัดความสำเร็จจากจำนวนสิทธิบัตรที่จด และเกือบครึ่ง (46%) กำลังผนวกเอาเป้าหมายด้านดิจิทัลรวมไว้ในวัตถุประสงค์การดำเนินงานของทุกแผนกงานและเป้าหมายของพนักงาน

“การปรับเปลี่ยนสู่ดิจิทัล เป็นผลมาจากการผสานพลังของเทคโนโลยีที่หลอมรวมเข้ากับวัฒนธรรมที่มีการยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เข้าใจถึงประโยชน์ของเทคโนโลยีที่มีต่อธุรกิจ แต่ยังเข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างอนาคตขององค์กรเอ็นเตอร์ไพร์ซ” แดเนียล นิวแมน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทวิจัย Futurum Researchกล่าว “ผู้นำระดับสูงทุกคนที่กำลังมองว่าจะลงทุนเพื่อเปลี่ยนโฉมองค์กรสู่ดิจิทัล ต้องเข้าใจถึงภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมและเข้าใจว่าเทคโนโลยีจะนำพาธุรกิจไปสู่อีกขั้นได้อย่างไรเพื่อให้ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางการแข่งขันได้”

เกี่ยวกับเดลล์ เทคโนโลยีส์
เดลล์ เทคโนโลยีส์ ประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจที่มีลักษณะเฉพาะที่มอบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและสำคัญในการสร้างอนาคตดิจิทัลให้แก่องค์กรธุรกิจ ทั้งเปลี่ยนรูปแบบของไอที และให้การปกป้องข้อมูลที่ถือเป็นสินทรัพย์สำคัญ เดลล์ เทคโนโลยีส์ให้การดูแลสนับสนุนลูกค้าทุกขนาดองค์กรใน180ประเทศ - เริ่มตั้งแต่ 98 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่จัดอันดับใน Fortune 500 ไปจนถึงลูกค้ารายย่อย – ด้วยสายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดตั้งแต่ปลายทางสู่ส่วนกลางตลอดจนคลาวด์

เกี่ยวกับแวนสัน บอร์น
แวนสัน บอร์นเป็นผู้เชี่ยวชาญอิสระในการทำวิจัยด้านการตลาดสำหรับภาคเทคโนโลยี ชื่อเสียงขององค์กรมาจากการวิเคราะห์ที่มีพื้นฐานจากงานวิจัยที่แข็งแกร่ง และน่าเชื่อถือ ซึ่งมีรากฐานอยู่อยู่บนหลักการในการทำวิจัยอย่างถูกต้องแม่นยำ และความสามารถในการแสวงหาความคิดเห็นจากผู้มีอำนาจการตัดสินใจในระดับอาวุโสทั้งในฟังก์ชันการทำงานทั้งในด้านเทคนิค และธุรกิจ ในทุกภาคธุรกิจ และในทุกตลาดสำคัญต่างๆ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม เยี่ยมชมที่ www.vansonbourne.com.