ความทารุณที่ไม่ธรรมดา – สตันท์ของ Never Go Back
“Never Go Back ไม่ธรรมดาตรงที่มันไม่ใช่หนังสตันท์เป็นหลัก แต่มันมีตัวละครเป็นจุดสำคัญ” ทอม ครูซรำพึง “ถึงกระนั้น รีชเชอร์ก็เป็นตัวละครที่มีความทารุณที่ไม่ธรรมดาในแบบของตัวเองครับ”
ในการนำ ‘ความทารุณที่ไม่ธรรมดา’ นี้สู่จอเงิน ซวิคและครูซได้เลือกใช้งานเวด อีสต์วู้ด ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์จาก Mission Impossible: Rogue Nation
เมื่อถึงเวลาออกแบบแอ็กชันสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ อีสต์วู้ดก็เผยว่า “มันเริ่มต้นจากผู้กำกับของเรา เอ็ดมีวิสัยทัศน์และเขาก็กำหนดสโคปการทำงานให้กับผม ผมก็พยายามจะหาทางสร้างความตึงเครียดขึ้นมา และที่สำคัญที่สุด คือการรักษามันให้อยู่ในบริบทของเรื่องราวครับ”
“เวดเป็นนักเล่าเรื่อง” ซวิคกล่าวชื่นชม “ในตอนที่คุณนั่งเขียนฉากต่อสู้ คุณจะสามารถคิดภาพจังหวะของมันได้ แต่มันเป็นประสบการณ์ที่ต่างออกไปเลยในตอนที่คุณอยู่ในกองถ่าย เวดกับทอมมีประสบการณ์มากเสียจนพวกเขารู้ว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง พวกเขาเคยทำอะไรมาก่อนบ้าง และพวกเขาอยากจะทดลองการเคลื่อนไหวแบบไหนบ้าง คุณจะเขียนฉากพวกนี้โดยจินตนาการถึงตัวละคร เหมือนกับทุกฉากที่ต้องมีตอนเริ่ม ตอนกลางและตอนจบ แต่แทนที่จะบอกเล่าเรื่องราวของคุณด้วยคำพูดและไดอะล็อค คุณกลับบอกเล่าเรื่องราวของคุณด้วยการเคลื่อนไหว หมัดและการโต้ตอบแทนน่ะครับ”
แม้ว่า Never Go Back จะใช้ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์และนักแสดงนำคนเดียวกับในแฟรนไชส์ Mission Impossible ซวิคก็กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองเรื่องอย่างชัดเจนว่า “แจ็ค รีชเชอร์มีเสน่ห์น้อยกว่าและตรงไปตรงมามากกว่าอีธาน ฮันท์ และสตันท์ของเราก็สะท้อนถึงเรื่องนั้น มันมีความโอ้อวดบางอย่างที่มากับหนังแนวสายลับ ที่หนังเรื่องนี้ไม่มี สิ่งที่เราต้องการนำเสนอจะออกไปทางเรื่องราวอาชญากรรมที่เน้นตัวละครในแบบของยุคเจ็ดศูนย์ เหมือนอย่าง Bullet และ The French Connection ทอมแสดงสตันท์ที่ยากมากๆ เขากระโดดจากรถขึ้นหลังคา ปีนท่อน้ำทิ้งและขับรถลงบันได แต่ทุกอย่างเป็นไปตามหลักฟิสิกส์ครับ”
ซวิคกล่าวต่อว่า “เมื่อคุณได้เห็นสตันท์พวกนี้ คุณจะรู้สึกถึงมันได้จริงๆ เพราะทีมนักแสดงชุดนี้แสดงฉากพวกนั้นด้วยตัวเอง ทอม, โคบี้และแพทริคฝึกด้วยกันหลายสัปดาห์ก่อนที่เราจะเริ่มถ่ายทำครับ”
“ฉันโชคดีทีเดียวที่ได้บทนี้” สมัลเดอร์สเล่า “เพราะครั้งแรกที่ฉันได้พบกับเอ็ด ฉันขาหักอยู่ ฉันเดินขโยกเขยกด้วยไม้ค้ำและพยายามจะเกลี้ยกล่อมเขาให้เขาให้บทฉันในหนังแอ็กชันของเขาน่ะค่ะ”
“โคบี้เป็นมืออาชีพอย่างเหลือเชื่อและเต็มใจจะฝึกอย่างเคี่ยวกรำครับ” ซวิคกล่าว “โคบี้พยายามอย่างหนักที่จะนำเสนอการต่อสู้ แม้ว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บก็ตาม มันสำคัญสำหรับเธอที่จะทำให้ตัวละครของเธอดูเป็นสาวแสบที่น่าเชื่อ และไม่ใช่หญิงสาวที่รอคอยความช่วยเหลือน่ะครับ”
“ฉันขาหักเมื่อหกสัปดาห์ก่อนที่ฉันจะเริ่มต้นการฝึก ฉันก็เลยอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาในช่วงอายุผู้ใหญ่ของฉัน เวดและทีมงานฝึกฉันเหมือนกับที่พวกเขาฝึกนักมวย ฉันต้องทำซ้ำบ่อยๆ แค่เคลื่อนไหวท่านั้นท่านี้ สอนว่าฉันจะตั้งท่ายังไง ฉันจะเชื่อมโยงร่างกายกับสะโพก แล้วค่อยๆ เสริมการเคลื่อนไหวเข้าไปยังไงน่ะค่ะ สิ่งที่เวดและทีมงานของเขาเน้นก็คือการใส่ความตั้งใจลงไปในสิ่งที่คุณทำ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำๆ ลงไป เพราะมันเป็นวิธีการแสดงค่ะ มันคือการนึกถึงตัวละครของคุณตลอดการฝึก นึกว่าตัวละครของคุณจะคิดยังไง รู้สึกยังไงระหว่างการฝึก ซึ่งมันช่วยได้มากเลย” สมัลเดอร์สกล่าวกลั้วหัวเราะ “ตอนนี้ ฉันอาจจะฟิตที่สุดเท่าที่เคยฟิตมา แต่หลังจากนี้ มันก็มีแต่ดิ่งลงไปเรื่อยๆ แหละค่ะ”
การได้ร่วมงานกับอีสต์วู้ดทำให้นักแสดงคนอื่นๆ ในทีมรู้สึกริษยา “ผมจะต้องรบเร้าถึงจะได้แสดงฉากต่อสู้ครับ” แม็คคัลลานีเล่า “ในบทดั้งเดิม ผู้พันมอร์แกนไม่ได้สู้กับใครเลย แต่ผมรบเร้าเอ็ดและถามเวดว่าเขาจะเต็มใจออกแบบท่าต่อสู้ให้กับแพทริคกับผมรึเปล่า” ซวิคและอีสต์วู้ดยินยอม “ผมดีใจจริงๆ ที่มันเวิร์ค เพราะเวดมีความคิดสร้างสรรค์เสมอ ผมเคยถูกซ้อมหรือถูกฆ่าในหนังซักสี่สิบหรือห้าสิบเรื่องได้ แต่หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่น่าจดจำที่สุดก็ได้”
นิวออร์ลีนส์ถูกใช้ในฐานะตัวมันเอง
สำหรับโลเกชันในการถ่ายทำ ซวิคและเฮอร์สโควิทซ์ได้เจอกับเรื่องแปลกในหลุยส์เซียนา นั่นคือแม้ว่ารัฐแห่งนี้จะถูกใช้แทนสถานที่ต่างๆ จากทั่วโลก แต่เมืองนิวออร์ลีนส์กลับไม่ค่อยถูกใช้เป็นนิวออร์ลีนส์เองเลย
แม้ว่าเมืองแห่งนี้จะไม่ได้ปรากฏอยู่ในนิยายต้นฉบับ แต่ตัวนักเขียนเองก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ “มันไม่ได้เป็นฉากเดียวกับในหนังสือก็จริง แต่นิวออร์ลีนส์ก็มีความขึ้นกล้องมากๆ” ไชลด์ให้เหตุผล “มันเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจ สิ่งที่ทั้งน่าขนลุกและอันตราย และทีมงานก็ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างมหาศาล มันช่วยส่งเสริมเรื่องราวได้ดีจริงๆ ด้วยครับ”
ผู้ควบคุมงานสร้างเฮิร์บ เกนส์กล่าวว่า “สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับหลุยส์เซียนาคือลุคหลากหลายที่เราสามารถสร้างขึ้นมาได้ ตอนที่ผมอ่านบทหนังเรื่องนี้ ผมจินตนาการถึงโลเกชัน 80% ในรัฐนี้ เรามีที่ที่ห่างออกไปจากนิวออร์ลีนส์แค่ชั่วโมงเดียวที่เราสามารถใช้เป็นอัฟกานิสถานได้ด้วยซ้ำไปครับ”
เกนส์กล่าวต่อไปว่า “ถ้าคุณสามารถทำให้หนังเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในสถานที่เดียว โดยไม่ทำให้ลุคเสียไปล่ะก็ คุณก็สามารถใช้เงินกับสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอได้มากขึ้น เรามีทุนสนับสนุนมากมาย ซึ่งมันก็ทำให้เราสามารถทำสิ่งต่างๆ อย่างเช่นการถ่ายทำในเฟรนช์ ควอเตอร์พร้อมด้วยตัวประกอบหลายแสนคนและปิดถนนได้ครับ”
“ยิ่งผมอ่านเรื่องเกี่ยวกับนิวออร์ลีนส์มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งชอบให้มันเป็นฉากสำหรับองก์ที่สามของเรามากขึ้นเท่านั้น” ซวิคกล่าว “มันทั้งโดดเด่นและเป็นที่จดจำได้ทันที แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจจริงๆ คืองานพาเหรดวันฮัลโลวีนครับ”
เมื่อรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในเดือนตุลาคม ปี 2016 ซวิคและเฮอร์สโควิทซ์ก็ได้ใส่เอาพาเหรดวันฮัลโลวีนของนิวออร์ลีนส์ ‘ครูว์ ออฟ บู’ เข้าไปในพล็อตเรื่องด้วย
“บรรยากาศและโลเกชันเป็นประโยชน์ต่อทุกช่วงเวลาในเรื่องราวนี้ครับ” ซวิคเล่า “มันมีขบวนพาเหรดที่ทั้งครึกครื้นและงดงาม แต่ในขณะเดียวกัน ด้านบนของขบวนพาเหรด บนหลังคา ก็กำลังเกิดการไล่ล่ากันที่น่ากลัวเกิดขึ้น ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกันอย่างงดงามครับ”
“เอ็ดเป็นเจ้าของไอเดียที่จะใส่ขบวนพาเหรดเข้าไป” ครูซให้ความเห็น “เขาโชว์ภาพงานวันฮัลโลวีนในนิวออร์ลีนส์ให้ผมดู และผมก็ประทับใจมาก มันมืดหม่น ลึกลับ น่ากลัวและเป็นแบ็คดร็อปที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับหนังของเราครับ”
ทีมงานได้ถ่ายทำส่วนหนึ่งของขบวนพาเหรดจริงๆ หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันฮัลโลวีนในปี 2015 โดยมีนักแสดงรีบเร่งผ่านถนนดีคาทัวร์ในเฟรนช์ ควอเตอร์ ทีมงานได้กลับมาจุดเดิมนี้ในเดือนธันวาคมเพื่อจำลองขบวนพาเหรดขึ้นมาสำหรับการถ่ายทำเพิ่มเติม
ครูซกล่าวเสริมว่า “มันมีฉากฝูงชนจริงๆ ที่ผมจะต้องต่อสู้ท่ามกลางฝูงคนที่แออัดยัดเยียดและตัวหุ่นทั้งหลาย การใช้อุปสรรคจริงๆ ในพาเหรดจริงๆ นี้ทำให้เกิดประสบการณ์ที่เจ๋งมากๆ ครับ”
บุคคลผู้มีความสามารถสารพัด
“งานที่น่าเบื่อที่สุดในกองถ่ายคืองานสตันท์ดับเบิลของทอม” ซวิคกล่าว “ทอมชื่นชอบการได้มีส่วนร่วมในทุกแง่มุมของหนังเรื่องนี้”
“ทอมเป็นทั้งผู้อำนวยการสร้างและนักแสดงครับ” เกรนเจอร์ ผู้อำนวยการสร้างอีกคนหนึ่งของ Jack Reacher และแฟรนไชส์ Mission: Impossible กล่าว “การได้ร่วมงานกับเขาในฐานะคนทำหนังเป็นเรื่องวิเศษสุดเพราะเขาเป็นเพอร์เฟ็กชันนิสต์ครับ เขามักมองหาวิธีที่จะดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากทุกองค์ประกอบในหนังเรื่องนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นมือเขียนบท ผู้กำกับ การกำกับภาพ โลเกชัน การออกแบบงานสร้าง การออกแบบเครื่องแต่งกายและวิชวล เอฟเฟ็กต์ เพราะเขาแคร์ครับ เขามักจะผลักดันเราทุกคนในแบบที่เป็นมิตรและดีที่สุดเพื่อสร้างหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เราจะสร้างได้ ไม่มีการตัดสินใจครั้งไหนเลยในหนังเรื่องนี้ที่ทอมจะพูดง่ายๆ ว่า ‘โอเค ดีพอแล้วล่ะครับ’ น่ะครับ”
ฮิวซิงเกอร์เล่าถึงการถ่ายทำวันแรกๆ ว่า “ทันทีที่ผมมาถึง ทอมก็ทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างที่ผมต้องการจะครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝน การซ้อม อาหารการกิน อาวุธหรือการขับรถ เขาเป็นเหมือนคลังหนังแอ็กชันที่มีลมหายใจครับ”
สมัลเดอร์กล่าวเห็นพ้องด้วยว่า “ทอมรอบรู้เกี่ยวกับการสร้างหนังมากจนเขาเป็นเหมือนเอ็นไซโคลปีเดียหนังเคลื่อนที่ค่ะ เขารู้ว่าผู้ชมจะมองหาอะไรค่ะ”
“ทอมคอยรักษาผลประโยชน์ให้กับหนังเรื่องนี้ในทุกทางเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ” ยาโรชกล่าว “เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทุกแผนก เขาสอนฉันว่ากล้องทำงานยังไง มุมทำงานยังไง แล้วจะทำยังไงถึงจะแสดงสตันท์ออกมาให้สมจริงต่อหน้ากล้อง ฉันมีครูส่วนตัวที่สอนฉันทุกอย่างเกี่ยวกับการถ่ายทำค่ะ!”
“ทอมมาที่กองถ่ายและทำให้ทุกคนรู้สึกดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะเขาเข้าใจดี ไม่ใช่เพียงแต่ในฐานะนักแสดงเท่านั้น แต่เป็นในฐานะผู้อำนวยการสร้างด้วย” ฮ็อดจ์กล่าวชื่นชม “เขาพูดกับทุกคน ใจดีกับทุกคน เขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากๆ และคอยทำให้แน่ใจว่าทุกคนจะได้รับการดูแลครับ”
“คติในการทำงานของทอมและโฟกัสในการทำงานหนังเรื่องนี้ของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกอยากทำตาม เขามาพร้อมกับพลังงานและจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยมครับ” เกนส์กล่าว “สิ่งที่ทำให้ผมยินดีคือการได้เห็นว่าเขากับเอ็ดมีความคิดไปในทางเดียวกันจริงๆ การร่วมมือระหว่างพวกเขาวิเศษมาก เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรระหว่างนั้นเลยเพราะทุกอย่างถูกพูดคุยมาแล้วก่อนหน้าที่เราจะถ่ายทำ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นมืออาชีพมากประสบการณ์ที่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร ซึ่งทำให้การถ่ายทำหนังเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุดเหลือเกิน”
“สำหรับผม การสร้างหนังเป็นเรื่องของการร่วมมือกันครับ” ครูซกล่าวสรุป “ถ้าเราทุกคนต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันในการสร้างหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ มันก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว ถ้าคนที่ผมทำงานด้วยมีประสบการณ์ที่ดี ผมก็อาจจะได้ร่วมงานกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้ชม ในตอนที่เราสร้างหนังเยี่ยมๆ ที่ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงด้วย เราก็จะได้สร้างหนังอีกเรื่องหนึ่ง ผมหวังว่าผู้ชมจะชื่นชอบหนังเรื่องนี้เพราะเราชื่นชอบการสร้างมันขึ้นมาครับ”