happy on October 20, 2016, 09:23:47 PM

JACK REACHER: NEVER GO BACK

ชื่อไทย:    ยอดคนสืบระห่ำ 2
วันที่เข้าฉาย:   19 ตุลาคม 2559
จัดจำหน่าย:    บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


ทอม ครูซ กลับมาบู๊ระห่ำในภาพยนตร์ Jack Reacher: Never Go Back ยอดคนสืบระห่ำ 2 โดยได้เอ็ดเวิร์ด ซวิค (จาก The Last Samurai และ Blood Diamond) รับหน้าที่ผู้กำกับ
 
Jack Reacher: Never Go Back ยอดคนสืบระห่ำ 2 ซึ่งเป็นภาคต่อของ Jack Reacher สร้างจากนวนิยายขายดีลำดับที่ 18 จากซีรีย์ Jack Reacher ที่มียอดจำหน่ายมากกว่า 100 ล้านเล่มทั่วโลก
 
แจ็ค รีชเชอร์ (ทอม ครูซ) กลับมาเพื่อพิทักษ์ความยุติธรรมใน Jack Reacher: Never Go Back ยอดคนสืบระห่ำ 2 เมื่อ ซูซาน เทอร์เนอร์ (โคบี้ สมัลเดอร์) เจ้าหน้าที่กองทัพในหน่วยสืบสวนเดิมที่เขาเคยอยู่ ถูกจับในข้อหาขายชาติ รีชเชอร์จึงกลับมาเพื่อหยุดยั้งกระบวนการและช่วยพิสูจน์ว่าเธอบริสุทธิ์ พร้อมเปิดโปงความจริงเบื้องหลังแผนการสมคบคิดที่เกี่ยวข้องกับทหารที่ถูกฆ่า
 
นอกเหนือจาก ทอม ครูซ ที่มารับบทนำของภาพยนตร์ ยังได้ โคบี้ สมัลเดอร์ส (จาก How I Met Your Mother และ Avengers: Age Of Ultron), ดานิต้า ยาโรช (จาก Heroes Reborn และ Shameless) ออสติน เฮเบิร์ต (จาก Bonnie and Clyde) แพทริค ฮิวซิงเกอร์ (จาก Quantum Break และ Girlfriend’s Guide To Divorce), อัลดิส ฮ็อดจ์ (จาก Straight Outta Compton และ A Good Day To Die Hard) และ โฮลท์ แม็คคัลลานี (จาก Blue Blood และ Gangster Squad)


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=MT4gZy56Un4" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=MT4gZy56Un4</a>

      แจ็ค รีชเชอร์ (ทอม ครูซ) กลับมาอีกครั้งพร้อมกับความยุติธรรมในแบบพิเศษของเขาในซีเควลมันส์ระห่ำที่แฟนๆ รอคอย JACK REACHER:  NEVER GO BACK ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องของรีชเชอร์ระหว่างที่เขารีบเร่งค้นหาความจริงเกี่ยวกับทหารประจำการ ผู้ที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา และบัดนี้ กำลังถูกสังหาร ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจาก JACK REACHER: NEVER GO BACK นิยายเล่มที่ 18 ของนักเขียนลี ไชลด์ ในแฟรนไชส์เบสต์เซลเลอร์ Jack Reacher ที่ทำยอดขายกว่า 100 ล้านเล่มทั่วโลก

   หลังจากที่ลาออกจากตำแหน่งบังคับบัญชาหน่วยทหารตำรวจระดับสูง รีชเชอร์ ผู้แก้ไขในสิ่งผิด ก็ถูกดึงกลับไปสู่ชีวิตที่เขาทิ้งไว้เบื้องหลังอีกครั้ง เมื่อเพื่อนและผู้รับตำแหน่งต่อจากเขา นายพลซูซาน เทิร์นเนอร์ (โคบี้ สมัลเดอร์ส) ถูกจัดฉากว่าเป็นสายลับ รีชเชอร์จะไม่ยอมให้อะไรมาหยุดยั้งเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอและเปิดโปงโฉมหน้าของคนร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการสังหารอดีตทหารของเขาด้วย

   พาราเมาท์ พิคเจอร์สและสกายแดนซ์ ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยทอม ครูซ ภาพยนตร์โดยเอ็ดเวิร์ด ซวิค จากผู้ควบคุมงานสร้างพอลลา แว็กเนอร์, เฮิร์บ ดับเบิลยู. เกนส์, เดวิด เอลลิสันและดานา โกลด์เบิร์ก อำนวยการสร้างโดยทอม ครูซ, พี.จี.เอ., ดอน เกรนเจอร์, พี.จี.เอ., คริสโตเฟอร์ แม็คควอร์รีย์ จากหนังสือเรื่อง “Never Go Back” โดยลี ไชลด์ บทภาพยนตร์โดยริชาร์ด เวงค์และเอ็ดเวิร์ด ซวิค ร่วมด้วยมาร์แชล เฮอร์สโควิทซ์ กำกับโดยเอ็ดเวิร์ด ซวิค





แจ็ค รีชเชอร์ – โรนินสัญชาติอเมริกัน

       นับตั้งแต่ปี 1997 ผู้อ่านต่างก็ชื่นชอบการผจญภัยของแจ็ค รีชเชอร์ ผู้ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในนิยายโดยลี ไชลด์เรื่อง “Killing Floor” และดำเนินต่อไปในนิยายเล่มต่างๆ ในชุดนี้ ซึ่งตอนนี้มียี่สิบเล่ม

   ผู้อำนวยการสร้างดอน เกรนเจอร์ ได้ทำให้ทอม ครูซสนใจหนังสือยอดนิยมเรื่องนี้ ซึ่งทำให้ครูซได้แสดงและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ปี 2012 เรื่อง   Jack Reacher ที่ดัดแปลงจากเรื่อง “One Shot” นิยายรีชเชอร์เล่มที่เก้าของไชลด์ และทำรายได้ไปกว่า 200 ล้านเหรียญทั่วโลก

   หลังจากความสำเร็จของ Jack Reacher ผู้อำนวยการสร้างก็เริ่มพัฒนาภาคต่อไปทันที โดยนำเค้าโครงเรื่องมาจาก “Never Go Back” ซึ่งเป็นตอนที่ค่อนข้างใหม่ในหนังสือชุดนี้

   “สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับนิยายเรื่อง Jack Reacher คือพวกมันไม่ได้เรียงลำดับตามเวลาครับ” เกรนเจอร์อธิบาย “มันไม่ค่อยมีความต่อเนื่องที่คุณจำเป็นจะต้องทำความคุ้นเคยมาก่อนเพื่อที่จะสนุกกับเรื่องราวได้ เว้นแต่รีชเชอร์และแปรงสีฟันของเขา มีตัวละครไม่กี่ตัวหรอกครับที่จะปรากฏในหนังสือหลายเรื่องติด”

   ไชลด์พูดถึงเสน่ห์อมตะของตัวละครของเขาว่า “รีชเชอร์เป็นคนแปลกหน้าลึกลับแบบตีความสมัยใหม่ ซึ่งสำหรับชาวอเมริกัน นั่นคือเวสเทิร์น ที่คนขี่ม้าลึกลับจะขี่ม้ามาจากดินแดนไกลโพ้น เพื่อมาแก้ปัญหา ก่อนจะขี่ม้าหายลับไปท่ามกลางอาทิตย์อัศดง แต่ตัวละครตัวนี้มีความเป็นสากล ยุโรปยุคกลางมีอัศวินผู้แสวงหาการผจญภัย และญี่ปุ่นยุคศักดินามีโรนิน ซึ่งเป็นนักรบที่ถูกเนรเทศให้ต้องเร่ร่อน และทำความดีน่ะครับ”

   เป็นเรื่องเหมาะสมแล้วที่ก่อนหน้านี้ ผู้กำกับและมือเขียนบทร่วมเอ็ดเวิร์ด ซวิคเคยร่วมงานกับทอม ครูซมาแล้วในภาพยนตร์ปี 2013 เรื่อง The Last Samurai “ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับเรื่องราวนี้และตัวละครนี้ได้ทันที” ซวิคกล่าว “แจ็ค รีชเชอร์เป็นฮีโรอเมริกันตามแบบฉบับ และเป็นโรนินยุคปัจจุบัน เขาแลกเปลี่ยนชีวิตที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และโครงสร้างเพื่อใช้ชีวิตเร่ร่อน ที่ปราศจากการผูกมัดทางอารมณ์และความรับผิดชอบใดๆ ครับ”

   “มันมีความรู้สึกของการทำตามความปรารถนาให้เป็นจริงในตัวละครอย่างรีชเชอร์” มือเขียนบทร่วมมาร์แชล เฮอร์สโควิทซ์กล่าว “เราทุกคนต่างก็อยากจะเป็นคนที่ลุกขึ้นต่อสู้กับเหล่าร้าย และรีชเชอร์ก็เป็นคนที่มีพลังในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เขาอยู่ลำพังคนเดียวและเขาก็ไม่ยอมรับเรื่องไร้สาระจากใครทั้งนั้น”

   แม้ว่าพวกเขาจะมีผลงานจอแก้วและจอเงินที่หลากหลาย แต่ซวิคและเฮอร์สโควิทซ์ ผู้มักร่วมงานกันบ่อยๆ ก็ไม่เคยชิมลางงานทริลเลอร์อาชญากรรมมาก่อน “มันไม่ใช่แนวหนังที่คุณคาดหวังว่าเราจะเขียนครับ” ซวิคยอมรับ แต่ผมอยากจะเขียนหนังทริลเลอร์อาชญากรรมมาโดยตลอดเพราะผมทึ่งกับแนวนักสืบ ตั้งแต่เรื่องราวคลาสสิกโดยแดชชีล แฮมเม็ตต์และเรย์มอนด์ แชนด์เลอร์ ไปจนถึงเรื่องราวที่มีความร่วมสมัยกว่าอย่างที่ลีนำเสนอ ผมได้เขียนเรื่องแอ็กชันมาเยอะ และผมก็ได้เขียนเรื่องที่มีตัวละครขับเคลื่อนมากกว่านี้มาเยอะ ดังนั้น ตอนที่ทอมเข้ามาคุยกับผมและให้ผมอ่านหนังสือเรื่องนี้ ผมก็มองเห็นโอกาสที่จะรวมสิ่งเหล่านั้นเข้าด้วยกัน หนังแนวนี้สนุกได้มากจริงๆ ครับ”

   “ผมตื่นเต้นตอนที่เอ็ดตอบตกลง” ผู้อำนวยการสร้างและดารานำของเรื่อง ทอม ครูซ กล่าว “เอ็ดกับผมมองหาโปรเจ็กต์ที่เราจะร่วมงานกันตั้งแต่ The Last Samurai แล้ว ผมชื่นชมเอ็ดมากทั้งในฐานะมือเขียนบทและคนทำหนัง ลองดูหนังของเขาก็ได้ เขาจะทำให้คุณอินไปกับยุคสมัยและสถานที่นั้นจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ผมรักเกี่ยวกับหนัง การได้สัมผัสถึงเท็กซ์เจอร์ของตัวละครและสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ ซึ่งเอ็ดถ่ายทอดอออกมาได้ดีเหลือเกินครับ”

   “เอ็ดเป็นตัวเลือกแรกและตัวเลือกเดียวของเราในการกำกับหนังเรื่องนี้” เกรนเจอร์กล่าว “ถ้าคุณลองดูหนังเก่าๆ ของเขาอย่าง Glory, The Last Samurai หรือ Defiance มันก็ไม่มีข้อสงสัยเลยว่า เอ็ดสามารถกำกับหนังแอ็กชันมันส์ระห่ำ ที่มีทั้งสโคป พลังงานและความตื่นเต้น แต่ในผลงานทุกเรื่องของเขา เอ็ดเชื่อในมนุษย์ครับ คุณจะจดจำเขาได้จากตัวละครของเขา”





ฝูงหมาป่าสันโดษ

      “สิ่งที่ทำให้พวกเราสนใจ ‘Never Go Back’ มากกว่านิยายรีชเชอร์ตอนอื่นๆ ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างรีชเชอร์, เทิร์นเนอร์และซาแมนธาครับ” เกรนเจอร์อธิบาย “ทั้งสามต่างก็เป็นคนที่รักอิสระอย่างรุนแรง และเราก็อยากจะล้วงลึกเข้าไปในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคนแบบนั้นถูกบีบให้ต้องทำงานร่วมกัน เอ็ดถน้ดในการนำเสนอความสัมพันธ์ของตัวละครแบบนั้นครับ”

   ทีมงานสร้างมีไอเดียที่เฉพาะเจาะจงมากๆ ในการคัดเลือกนักแสดงผู้จะมารับบทนายพลซูซาน เทิร์นเนอร์ ในฐานะผู้บังคับบัญชาทหารชุดเก่าของรีชเชอร์ ไม่เพียงแต่นักแสดงหญิงผู้นี้จะต้องเดินตามรอยเท้าของรีชเชอร์ได้อย่างน่าเชื่อเท่านั้น แต่เธอยังต้องแสดงประกบทอม ครูซได้อย่างสมน้ำสมเนื้ออีกด้วย พวกเขาพบคุณสมบัติที่ครบถ้วนในตัวของสมัลเดอร์ส ที่โด่งดังจากผลงานของเธอในซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง “How I Met Your Mother” และในแฟรนไชส์ Avengers ของมาร์เวล

   “เราตกหลุมรักโคบี้ตั้งแต่แรกที่เราพบเธอครับ” เฮอร์สโควิทซ์เล่า “มันมีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเธอที่ทำให้คุณคิดในทันทีว่า ‘ฉันชอบคนๆ นั้นจัง’ เธอมีเสน่ห์ คล่องแคล่ว และแข็งแรง ที่สำคัญที่สุด คุณจะเชื่อว่าเธอเป็นทหาร เป็นผู้นำและไม่มีปัญหาในการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่รีชเชอร์ครับ”

   ผู้อำนวยการสร้างดอน เกรนเจอร์เล่าว่า “โคบี้เป็นทุกอย่างที่เราต้องการ เธอเป็นส่วนผสมที่เพอร์เฟ็กต์ระหว่างความเฉลียวฉลาด ความสามารถทางกายและอารมณ์ขัน เธอเป็นสาวอเมริกันข้างบ้านตัวจริง...แม้ว่าเธอจะเป็นคนแคนาดาก็ตามที”

   “รีชเชอร์ถูกนายพลเทิร์นเนอร์ดึงเข้ามาเพราะเธอเคยทำงานของเขา และเขาก็รู้ว่ามันยากแค่ไหนครับ” ครูซกล่าว “แค่เขาได้ยินเสียงเธอทางโทรศัพท์ เขาก็รู้แล้วว่าเธอฉลาด มีเสน่ห์และสวย และเราต่างก็ชื่นชอบการที่โคบี้นำคุณสมบัติทั้งหมดนั่นมาสู่บทนี้ครับ”

   “โคบี้เป็นอาวุธลับของเรา” ซวิคกล่าว “เธอมีพรสวรรค์ในการแสดงตลก แต่เธอก็มีความสามารถด้านการแสดงดรามาอย่างมาก ที่เธอไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงให้โลกเห็นซักเท่าไหร่ ตัวละครที่ลีเขียนขึ้นเป็นยิ่งกว่าผู้หญิงสวยแสบ ที่เริ่มกลายเป็นสิ่งที่เราเห็นได้บ่อยๆ ในฮอลลีวูด เทิร์นเนอร์มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากกว่านั้นและโคบี้ก็มองมันอย่างจริงจังมากๆ เธอได้พบกับผู้หญิงที่ทำงานในกองทัพหลายคนและที่ปรึกษาทางเทคนิคของเราเพื่อใส่ความสมจริงเข้าไปในการแสดงของเธอครับ”

   สมัลเดอร์สอธิบายว่า “ฉันคิดถึงทุกอย่างที่ตัวละครของฉันน่าจะต้องทนเพือกลายเป็นนายพลหญิงในกองทัพสหรัฐฯน่ะค่ะ และมันก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองแข็งแรงขึ้น เก่งขึ้นและมีอำนาจมากขึ้นค่ะ”
   
     หลังจากหนีจากการถูกคุมขังของตำรวจ รีชเชอร์และเทิร์นเนอร์ก็ถูกไล่ล่าจากชายลึกลับไร้ชื่อ ที่ถูกเรียกว่า นักล่า ที่รับบทโดยแพทริค ฮิวซิงเกอร์

   “เราต้องการคนที่แข็งแกร่งและน่ากลัวพอๆ กับรีชเชอร์” เฮอร์สโควิทซ์อธิบาย “ผมชอบที่จะได้เห็นรีชเชอร์คว่ำคนสี่คนลงได้ แต่ตรงนี้คือตัวละครที่แกร่งพอๆ กัน ผมสนุกกับการได้เล่นกับความคาดหวังของผู้ชมว่าการต่อสู้พวกนี้จะลงเอยยังไงครับ”

   “แพทริคเป็นคนที่ดูดี และสามารถต่อกรกับทอมได้ครับ” ซวิคอธิบาย “นอกจากนั้น เขายังเป็นนักแสดงที่เคยศึกษาด้านการละครมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องเยี่ยมเมื่อนักแสดงนำสิ่งเหล่านั้นใส่ลงไปในบทผู้ร้ายครับ”

   ซวิคกล่าวต่อว่า “นักล่ามีทักษะที่คล้ายกับรีชเชอร์ แต่เขาอายุน้อยกว่านิดๆ ทำให้เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่น่าสนใจครับ แทนที่จะถูกผลักดันจากความรักในความยุติธรรม นักล่ากลับมีความหลงใหลในการกำจัดคู่แข่งของตัวเอง เขาอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยการโค่นแจ็ค รีชเชอร์ในตำนานให้ได้น่ะครับ”

   อีกหนึ่งเป้าหมายของนักล่าคือซาแมนธา วัยรุ่นสาวผู้อาจมีสายสัมพันธ์บางอย่างกับรีชเชอร์ “แจ็ค รีชเชอร์เป็นที่สามารถรับมือกับทุกเรื่องที่คุณโยนใส่เขาได้ เว้นแต่เด็กสาวอายุ 15 ปี” ซวิคกล่าว “เขารู้สึกเหมือนว่าต้องปกป้องเธอ แต่เขาก็ไม่รู้หรือเข้าใจเลยว่าเธอมีนิสัยใจคอยังไง ซึ่งนำไปสู่ช่วงเวลาตลกขบขันในหนัง เพราะคนทั้งสามคนนี้ไม่น่าจะมาทำตัวเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันได้เลย”

   “ในทางกลับกัน ดานิกาเหมือนกับทอมมากครับ” ซวิครำพึง “เธอเป็นคนแอ็กทีฟมากๆ เธอชอบขี่มอเตอร์ไซค์และอยากจะเรียนรู้ทุกอย่าง เธอเป็นแดนเซอร์ เป็นนักกีฬา ซึ่งเป็นประโยชน์มากในตอนออกแบบท่าต่อสู้น่ะครับ”

   “แซมเป็นคนเก่งอย่างเหลือเชื่อ” ครูซกล่าว “เธอเป็นเหมือนอาร์ตฟูล ด็อดเจอร์...เด็กข้างถนนที่ทำได้สารพัดอย่าง สิ่งที่ผมชื่นชอบเกี่ยวกับมุมมองของดานิกาคือเธอทำตัวเหมือนว่าเธอไม่ต้องการใครหรืออะไรทั้งนั้น แต่ลึกลงไปแล้ว เธออยากจะมีตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองครับ”

   ยาโรชกล่าวว่า แจ็ค รีชเชอร์เป็นสิ่งที่ทำให้เธอถูกดึงดูดเข้าหาโปรเจ็กต์นี้ “ฉันชอบแจ็ค รีชเชอร์ค่ะ เขาเด็ดขาดในเรื่องการทำในสิ่งที่ถูกต้อง และเขาก็ทำมันในแบบที่ไม่ธรมดา ฉันคิดว่าสิ่งที่ทำให้ตัวละครตัวนี้พิเศษเหลือเกินคือการที่เขาเป็นหมาป่าสันโดษ ผู้มักจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เขาจะต้องอยู่กับคนอื่นและช่วยเหลือพวกเขาน่ะค่ะ”

   “ดานิกาทำให้เราทึ่งกับการออดิชันของเธอเพราะเธอมีคุณสมบัติบางอย่างที่ไม่นิ่งน่ะครับ” เกรนเจอร์กล่าว “เธอนำเสนอความรู้สึกไม่พอใจและขุ่นเคืองที่มีต่อสถานการณ์ของเธอ ทุกอย่างที่เราทุกคนที่เคยเป็นวัยรุ่นจะรู้สึกได้ค่อนข้างชัดเจน และเธอก็จะทำให้คุณหัวใจสลายครับ”

   อัลดิส ฮ็อดจ์ ผู้เพิ่งรับบทเอ็มซี เรนในภาพยนตร์ปี 2015 เรื่อง Straight Outta Compton รับบท เอสพิน เจ้าหน้าที่ภายใต้บังคับบัญชาของเทิร์นเนอร์ ผู้ที่ความภักดีของเขาถูกทดสอบหลังจากที่เธอถูกจับกุมตัว

   “เอสพินเป็นทหารที่ดี แต่เขารู้สึกขัดแย้งครับ” ฮ็อดจ์อธิบาย “เขาไม่อยากให้เทิร์นเนอร์เป็นคนผิด แต่หลักฐานกลับไม่ได้บ่งชี้แบบนั้น เขาตกที่นั่งลำบากครับ”

   โฮลท์ แม็คคัลลานี รับบท ผู้พันมอร์แกน ผู้บังคับบัญชาผู้เตือนให้รีชเชอร์รับรู้ถึงข้อกล่าวหาที่เทิร์นเนอร์ได้รับ “ตอนที่เราได้พบกับตัวละครของผมครั้งแรก เขาดูเหมือนคนที่จริงจังและยึดถือกฎระเบียบ ดังนั้น เขาก็เลยมีความขัดแย้งกับรีชเชอร์ในทันที” แม็คคัลลานีกล่าว “แต่เราก็ได้เรียนรู้อย่างรวดเร็วว่ามันมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น”

   “ผมอยากจะร่วมงานกับเอ็ด ซวิคมาหลายปีแล้ว ผมก็เลยตื่นเต้นที่คว้าบทนี้มาได้” แม็คคัลบานีกล่าวชื่นชม “ผมคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน เขาเป็นคนฉลาด ช่างคิด และคอยให้กำลังใจนักแสดงของเขาอยู่เสมอครับ”

   โรเบิร์ต เน็บเปอร์ ผู้รับบท นายพลฮาร์คเนส ผู้ลึกลับ ก็ตื่นเต้นกับการได้ร่วมงานในโปรเจ็กต์นี้ไม่แพ้กัน “ผมมักจะดูความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อบทหนังจากความเร็วที่ผมใช้ในการพลิกบท และบทหนังเรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่วางไม่ลงจริงๆ มันจะต้องเป็นการทำงานที่สนุกแน่ๆ ครับ”
« Last Edit: October 24, 2016, 06:59:05 PM by happy »

happy on October 24, 2016, 07:04:34 PM
ความทารุณที่ไม่ธรรมดา – สตันท์ของ Never Go Back

       “Never Go Back ไม่ธรรมดาตรงที่มันไม่ใช่หนังสตันท์เป็นหลัก แต่มันมีตัวละครเป็นจุดสำคัญ” ทอม ครูซรำพึง “ถึงกระนั้น รีชเชอร์ก็เป็นตัวละครที่มีความทารุณที่ไม่ธรรมดาในแบบของตัวเองครับ”

   ในการนำ ‘ความทารุณที่ไม่ธรรมดา’ นี้สู่จอเงิน ซวิคและครูซได้เลือกใช้งานเวด อีสต์วู้ด ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์จาก Mission Impossible: Rogue Nation

   เมื่อถึงเวลาออกแบบแอ็กชันสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ อีสต์วู้ดก็เผยว่า “มันเริ่มต้นจากผู้กำกับของเรา เอ็ดมีวิสัยทัศน์และเขาก็กำหนดสโคปการทำงานให้กับผม ผมก็พยายามจะหาทางสร้างความตึงเครียดขึ้นมา และที่สำคัญที่สุด คือการรักษามันให้อยู่ในบริบทของเรื่องราวครับ”

   “เวดเป็นนักเล่าเรื่อง” ซวิคกล่าวชื่นชม “ในตอนที่คุณนั่งเขียนฉากต่อสู้ คุณจะสามารถคิดภาพจังหวะของมันได้ แต่มันเป็นประสบการณ์ที่ต่างออกไปเลยในตอนที่คุณอยู่ในกองถ่าย เวดกับทอมมีประสบการณ์มากเสียจนพวกเขารู้ว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง พวกเขาเคยทำอะไรมาก่อนบ้าง และพวกเขาอยากจะทดลองการเคลื่อนไหวแบบไหนบ้าง คุณจะเขียนฉากพวกนี้โดยจินตนาการถึงตัวละคร เหมือนกับทุกฉากที่ต้องมีตอนเริ่ม ตอนกลางและตอนจบ แต่แทนที่จะบอกเล่าเรื่องราวของคุณด้วยคำพูดและไดอะล็อค คุณกลับบอกเล่าเรื่องราวของคุณด้วยการเคลื่อนไหว หมัดและการโต้ตอบแทนน่ะครับ”

   แม้ว่า Never Go Back จะใช้ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์และนักแสดงนำคนเดียวกับในแฟรนไชส์ Mission Impossible ซวิคก็กล่าวถึงความแตกต่างระหว่างทั้งสองเรื่องอย่างชัดเจนว่า “แจ็ค รีชเชอร์มีเสน่ห์น้อยกว่าและตรงไปตรงมามากกว่าอีธาน ฮันท์ และสตันท์ของเราก็สะท้อนถึงเรื่องนั้น มันมีความโอ้อวดบางอย่างที่มากับหนังแนวสายลับ ที่หนังเรื่องนี้ไม่มี สิ่งที่เราต้องการนำเสนอจะออกไปทางเรื่องราวอาชญากรรมที่เน้นตัวละครในแบบของยุคเจ็ดศูนย์ เหมือนอย่าง Bullet และ The French Connection ทอมแสดงสตันท์ที่ยากมากๆ เขากระโดดจากรถขึ้นหลังคา ปีนท่อน้ำทิ้งและขับรถลงบันได แต่ทุกอย่างเป็นไปตามหลักฟิสิกส์ครับ”

   ซวิคกล่าวต่อว่า “เมื่อคุณได้เห็นสตันท์พวกนี้ คุณจะรู้สึกถึงมันได้จริงๆ เพราะทีมนักแสดงชุดนี้แสดงฉากพวกนั้นด้วยตัวเอง ทอม, โคบี้และแพทริคฝึกด้วยกันหลายสัปดาห์ก่อนที่เราจะเริ่มถ่ายทำครับ”

   “ฉันโชคดีทีเดียวที่ได้บทนี้” สมัลเดอร์สเล่า “เพราะครั้งแรกที่ฉันได้พบกับเอ็ด ฉันขาหักอยู่ ฉันเดินขโยกเขยกด้วยไม้ค้ำและพยายามจะเกลี้ยกล่อมเขาให้เขาให้บทฉันในหนังแอ็กชันของเขาน่ะค่ะ”

   “โคบี้เป็นมืออาชีพอย่างเหลือเชื่อและเต็มใจจะฝึกอย่างเคี่ยวกรำครับ” ซวิคกล่าว “โคบี้พยายามอย่างหนักที่จะนำเสนอการต่อสู้ แม้ว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บก็ตาม มันสำคัญสำหรับเธอที่จะทำให้ตัวละครของเธอดูเป็นสาวแสบที่น่าเชื่อ และไม่ใช่หญิงสาวที่รอคอยความช่วยเหลือน่ะครับ”

   “ฉันขาหักเมื่อหกสัปดาห์ก่อนที่ฉันจะเริ่มต้นการฝึก ฉันก็เลยอยู่ในสภาพที่อ่อนแอที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาในช่วงอายุผู้ใหญ่ของฉัน เวดและทีมงานฝึกฉันเหมือนกับที่พวกเขาฝึกนักมวย ฉันต้องทำซ้ำบ่อยๆ แค่เคลื่อนไหวท่านั้นท่านี้ สอนว่าฉันจะตั้งท่ายังไง ฉันจะเชื่อมโยงร่างกายกับสะโพก แล้วค่อยๆ เสริมการเคลื่อนไหวเข้าไปยังไงน่ะค่ะ สิ่งที่เวดและทีมงานของเขาเน้นก็คือการใส่ความตั้งใจลงไปในสิ่งที่คุณทำ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำๆ ลงไป เพราะมันเป็นวิธีการแสดงค่ะ มันคือการนึกถึงตัวละครของคุณตลอดการฝึก นึกว่าตัวละครของคุณจะคิดยังไง รู้สึกยังไงระหว่างการฝึก ซึ่งมันช่วยได้มากเลย” สมัลเดอร์สกล่าวกลั้วหัวเราะ “ตอนนี้ ฉันอาจจะฟิตที่สุดเท่าที่เคยฟิตมา แต่หลังจากนี้ มันก็มีแต่ดิ่งลงไปเรื่อยๆ แหละค่ะ”

   การได้ร่วมงานกับอีสต์วู้ดทำให้นักแสดงคนอื่นๆ ในทีมรู้สึกริษยา “ผมจะต้องรบเร้าถึงจะได้แสดงฉากต่อสู้ครับ” แม็คคัลลานีเล่า “ในบทดั้งเดิม ผู้พันมอร์แกนไม่ได้สู้กับใครเลย แต่ผมรบเร้าเอ็ดและถามเวดว่าเขาจะเต็มใจออกแบบท่าต่อสู้ให้กับแพทริคกับผมรึเปล่า” ซวิคและอีสต์วู้ดยินยอม “ผมดีใจจริงๆ ที่มันเวิร์ค เพราะเวดมีความคิดสร้างสรรค์เสมอ ผมเคยถูกซ้อมหรือถูกฆ่าในหนังซักสี่สิบหรือห้าสิบเรื่องได้ แต่หนังเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่น่าจดจำที่สุดก็ได้”


นิวออร์ลีนส์ถูกใช้ในฐานะตัวมันเอง

       สำหรับโลเกชันในการถ่ายทำ ซวิคและเฮอร์สโควิทซ์ได้เจอกับเรื่องแปลกในหลุยส์เซียนา นั่นคือแม้ว่ารัฐแห่งนี้จะถูกใช้แทนสถานที่ต่างๆ จากทั่วโลก แต่เมืองนิวออร์ลีนส์กลับไม่ค่อยถูกใช้เป็นนิวออร์ลีนส์เองเลย

   แม้ว่าเมืองแห่งนี้จะไม่ได้ปรากฏอยู่ในนิยายต้นฉบับ แต่ตัวนักเขียนเองก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ “มันไม่ได้เป็นฉากเดียวกับในหนังสือก็จริง แต่นิวออร์ลีนส์ก็มีความขึ้นกล้องมากๆ” ไชลด์ให้เหตุผล “มันเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจ สิ่งที่ทั้งน่าขนลุกและอันตราย และทีมงานก็ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างมหาศาล มันช่วยส่งเสริมเรื่องราวได้ดีจริงๆ ด้วยครับ”

   ผู้ควบคุมงานสร้างเฮิร์บ เกนส์กล่าวว่า “สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับหลุยส์เซียนาคือลุคหลากหลายที่เราสามารถสร้างขึ้นมาได้ ตอนที่ผมอ่านบทหนังเรื่องนี้ ผมจินตนาการถึงโลเกชัน 80% ในรัฐนี้ เรามีที่ที่ห่างออกไปจากนิวออร์ลีนส์แค่ชั่วโมงเดียวที่เราสามารถใช้เป็นอัฟกานิสถานได้ด้วยซ้ำไปครับ”

   เกนส์กล่าวต่อไปว่า “ถ้าคุณสามารถทำให้หนังเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในสถานที่เดียว โดยไม่ทำให้ลุคเสียไปล่ะก็ คุณก็สามารถใช้เงินกับสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอได้มากขึ้น เรามีทุนสนับสนุนมากมาย ซึ่งมันก็ทำให้เราสามารถทำสิ่งต่างๆ อย่างเช่นการถ่ายทำในเฟรนช์ ควอเตอร์พร้อมด้วยตัวประกอบหลายแสนคนและปิดถนนได้ครับ”

   “ยิ่งผมอ่านเรื่องเกี่ยวกับนิวออร์ลีนส์มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งชอบให้มันเป็นฉากสำหรับองก์ที่สามของเรามากขึ้นเท่านั้น” ซวิคกล่าว “มันทั้งโดดเด่นและเป็นที่จดจำได้ทันที แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจจริงๆ คืองานพาเหรดวันฮัลโลวีนครับ”

   เมื่อรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในเดือนตุลาคม ปี 2016 ซวิคและเฮอร์สโควิทซ์ก็ได้ใส่เอาพาเหรดวันฮัลโลวีนของนิวออร์ลีนส์ ‘ครูว์ ออฟ บู’ เข้าไปในพล็อตเรื่องด้วย

   “บรรยากาศและโลเกชันเป็นประโยชน์ต่อทุกช่วงเวลาในเรื่องราวนี้ครับ” ซวิคเล่า “มันมีขบวนพาเหรดที่ทั้งครึกครื้นและงดงาม แต่ในขณะเดียวกัน ด้านบนของขบวนพาเหรด บนหลังคา ก็กำลังเกิดการไล่ล่ากันที่น่ากลัวเกิดขึ้น ทั้งสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกันอย่างงดงามครับ”

   “เอ็ดเป็นเจ้าของไอเดียที่จะใส่ขบวนพาเหรดเข้าไป” ครูซให้ความเห็น “เขาโชว์ภาพงานวันฮัลโลวีนในนิวออร์ลีนส์ให้ผมดู และผมก็ประทับใจมาก มันมืดหม่น ลึกลับ น่ากลัวและเป็นแบ็คดร็อปที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับหนังของเราครับ”

   ทีมงานได้ถ่ายทำส่วนหนึ่งของขบวนพาเหรดจริงๆ หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันฮัลโลวีนในปี 2015 โดยมีนักแสดงรีบเร่งผ่านถนนดีคาทัวร์ในเฟรนช์ ควอเตอร์ ทีมงานได้กลับมาจุดเดิมนี้ในเดือนธันวาคมเพื่อจำลองขบวนพาเหรดขึ้นมาสำหรับการถ่ายทำเพิ่มเติม

   ครูซกล่าวเสริมว่า “มันมีฉากฝูงชนจริงๆ ที่ผมจะต้องต่อสู้ท่ามกลางฝูงคนที่แออัดยัดเยียดและตัวหุ่นทั้งหลาย การใช้อุปสรรคจริงๆ ในพาเหรดจริงๆ นี้ทำให้เกิดประสบการณ์ที่เจ๋งมากๆ ครับ”


บุคคลผู้มีความสามารถสารพัด

       “งานที่น่าเบื่อที่สุดในกองถ่ายคืองานสตันท์ดับเบิลของทอม” ซวิคกล่าว “ทอมชื่นชอบการได้มีส่วนร่วมในทุกแง่มุมของหนังเรื่องนี้”

   “ทอมเป็นทั้งผู้อำนวยการสร้างและนักแสดงครับ” เกรนเจอร์ ผู้อำนวยการสร้างอีกคนหนึ่งของ Jack Reacher และแฟรนไชส์ Mission: Impossible กล่าว “การได้ร่วมงานกับเขาในฐานะคนทำหนังเป็นเรื่องวิเศษสุดเพราะเขาเป็นเพอร์เฟ็กชันนิสต์ครับ เขามักมองหาวิธีที่จะดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากทุกองค์ประกอบในหนังเรื่องนี้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นมือเขียนบท ผู้กำกับ การกำกับภาพ โลเกชัน การออกแบบงานสร้าง การออกแบบเครื่องแต่งกายและวิชวล เอฟเฟ็กต์ เพราะเขาแคร์ครับ เขามักจะผลักดันเราทุกคนในแบบที่เป็นมิตรและดีที่สุดเพื่อสร้างหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เราจะสร้างได้ ไม่มีการตัดสินใจครั้งไหนเลยในหนังเรื่องนี้ที่ทอมจะพูดง่ายๆ ว่า ‘โอเค ดีพอแล้วล่ะครับ’ น่ะครับ”

   ฮิวซิงเกอร์เล่าถึงการถ่ายทำวันแรกๆ ว่า “ทันทีที่ผมมาถึง ทอมก็ทำให้แน่ใจว่าทุกอย่างที่ผมต้องการจะครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝน การซ้อม อาหารการกิน อาวุธหรือการขับรถ เขาเป็นเหมือนคลังหนังแอ็กชันที่มีลมหายใจครับ”

   สมัลเดอร์กล่าวเห็นพ้องด้วยว่า “ทอมรอบรู้เกี่ยวกับการสร้างหนังมากจนเขาเป็นเหมือนเอ็นไซโคลปีเดียหนังเคลื่อนที่ค่ะ เขารู้ว่าผู้ชมจะมองหาอะไรค่ะ”

   “ทอมคอยรักษาผลประโยชน์ให้กับหนังเรื่องนี้ในทุกทางเท่าที่จะเป็นไปได้ค่ะ” ยาโรชกล่าว “เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทุกแผนก เขาสอนฉันว่ากล้องทำงานยังไง มุมทำงานยังไง แล้วจะทำยังไงถึงจะแสดงสตันท์ออกมาให้สมจริงต่อหน้ากล้อง ฉันมีครูส่วนตัวที่สอนฉันทุกอย่างเกี่ยวกับการถ่ายทำค่ะ!”

   “ทอมมาที่กองถ่ายและทำให้ทุกคนรู้สึกดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพราะเขาเข้าใจดี ไม่ใช่เพียงแต่ในฐานะนักแสดงเท่านั้น แต่เป็นในฐานะผู้อำนวยการสร้างด้วย” ฮ็อดจ์กล่าวชื่นชม “เขาพูดกับทุกคน ใจดีกับทุกคน เขาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากๆ และคอยทำให้แน่ใจว่าทุกคนจะได้รับการดูแลครับ”

   “คติในการทำงานของทอมและโฟกัสในการทำงานหนังเรื่องนี้ของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกอยากทำตาม เขามาพร้อมกับพลังงานและจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยมครับ” เกนส์กล่าว “สิ่งที่ทำให้ผมยินดีคือการได้เห็นว่าเขากับเอ็ดมีความคิดไปในทางเดียวกันจริงๆ การร่วมมือระหว่างพวกเขาวิเศษมาก เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรระหว่างนั้นเลยเพราะทุกอย่างถูกพูดคุยมาแล้วก่อนหน้าที่เราจะถ่ายทำ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นมืออาชีพมากประสบการณ์ที่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร ซึ่งทำให้การถ่ายทำหนังเรื่องนี้เป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุดเหลือเกิน”

   “สำหรับผม การสร้างหนังเป็นเรื่องของการร่วมมือกันครับ” ครูซกล่าวสรุป “ถ้าเราทุกคนต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันในการสร้างหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำได้ มันก็เป็นสิ่งที่ล้ำค่าในตัวมันเองอยู่แล้ว ถ้าคนที่ผมทำงานด้วยมีประสบการณ์ที่ดี ผมก็อาจจะได้ร่วมงานกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้ชม ในตอนที่เราสร้างหนังเยี่ยมๆ ที่ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงด้วย เราก็จะได้สร้างหนังอีกเรื่องหนึ่ง  ผมหวังว่าผู้ชมจะชื่นชอบหนังเรื่องนี้เพราะเราชื่นชอบการสร้างมันขึ้นมาครับ”