ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส และสตูดิโอคานัล และมิราแม็กซ์ ภูมิใจเสนอ
ผลงานความร่วมมือกับ เพอร์เฟ็กต์ เวิลด์ พิคเจอร์ส
ผลงานการสร้างของ เวิร์กกิ้ง ไทเทิ้ล
เรอเน่ เซลล์เวเกอร์
โคลิน เฟิร์ธ
แพทริค เด็มป์ซี่ย์
จิม บรอดเบนท์
เจมม่า โจนส์
และ
เอ็มม่า ธอมป์สัน
ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
อามีเลีย แกรนเจอร์
ลิซ่า ชาซิน
เฮเลน ฟิลดิ้ง
บทภาพยนตร์โดย
เฮเลน ฟิลดิ้ง และแดน เมเซอร์ และเอ็มม่า ธอมป์สัน
อำนวยการสร้างโดย
ทิม บีแวน
เอริค เฟลล์เนอร์
เดบรา เฮย์วอร์ด
กำกับโดย
ชารอน แม็กไกวร์
ชื่อไทย: บริดเจ็ท โจนส์ เบบี้
วันที่เข้าฉาย: 22 กันยายน 2559
จัดจำหน่าย: บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ เรอเน่ เซลล์เวเกอร์ (Chicago, Cold Mountain) และโคลิน เฟิร์ธ (The King’s Speech, Kingsman: The Secret Service) ร่วมผนึกกำลังกับ แพทริค เด็มป์ซี่ย์ (ผลงานดังทางทีวีเรื่อง Grey’s Anatomy, ภาพยนตร์เรื่อง Sweet Home Alabama) เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตบทต่อไปของสาวโสดหนึ่งเดียวคนนี้ที่เป็นขวัญใจของชาวโลก ใน Bridget Jones’s Baby จากฝีมือการกำกับของ ชารอน แม็กไกวร์ (Bridget Jones’s Diary, Incendiary) นี่คือภาคใหม่ของภาพยนตร์ชุดแนวตลกซึ่งเป็นที่รักของคนดู โดยอิงจากตัวละครนางเอกที่เป็นฝีมือการสร้างสรรค์ของ เฮเลน ฟิลดิ้ง และในครั้งนี้ เราจะพบ บริดเจ็ท ที่กำลังเฝ้ารอสิ่งที่มาเยือนเธอโดยไม่คาดฝัน หลังจากเลิกรากับ มาร์ก ดาร์ซี่ (เฟิร์ธ) ตอนจบแบบ “มีความสุขไปตลอดกาล” ของ บริดเจ็ท โจนส์ (เซลล์เวเกอร์) ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วาดไว้ เธอกลับมาเป็นโสดในวัย 40 กว่า บริดเจ็ทจึงตัดสินใจหันมาทุ่มเทมุ่งมั่นกับงานในตำแหน่งโปรดิวเซอร์รายการข่าว และที่รายล้อมตัวเธออยู่ ก็คือบรรดาเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ รวมไปถึงเพื่อนใหม่ๆ คงมีสักครั้งที่บริดเจ็ทสามารถควบคุมทุกอย่างได้อยู่หมัด ชีวิตตอนนี้จะมีอะไรผิดพลาดได้อีก แต่แล้ว ดวงชะตาของบริดเจ็ทก็ต้องพลิกผัน เมื่อเธอพบกับหนุ่มอเมริกันเฟี้ยวฟ้าวที่มีนามว่า แจ็ค ควอนต์ (เด็มป์ซี่ย์) ชายหนุ่มที่เป็นทุกอย่างที่มิสเตอร์ดาร์ซี่ย์ไม่เป็น และแล้ว สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น บริดเจ็ทพบว่าตัวเองตั้งท้อง แต่ดันมีปัญหาอย่างหนึ่ง เธอไม่แน่ใจว่าใครเป็นพ่อเด็ก ระหว่างชายที่เธอหลงรักมานาน หรือชายคนใหม่ที่เพิ่งโผล่เข้ามา ภาพยนตร์ภาคที่ 3 ที่แฟนๆ รอคอยนี้ ยังได้นักแสดงระดับรางวัลออสการ์อย่าง เอ็มม่า ธอมป์สัน (Saving Mr Banks, ภาพยนตร์ชุด Nanny McPhee) มาร่วมแสดง สมทบด้วยทีมนักแสดงจากภาพยนตร์ภาคก่อนๆ อย่าง จิม บรอดเบนท์ ผู้เคยคว้ารางวัลออสการ์มาครอง (Iris, ภาพยนตร์ชุด Harry Potter) และเจมม่า โจนส์ (ผลงานทาง BBC เรื่อง Marvelous, Sense and Sensibility) ซึ่งกลับมารับบทเป็นแม่และพ่อของบริดเจ็ท ทิม บีแวน และเอริค เฟลล์เนอร์ ที่ร่วมงานกันมานาน (Les Misérables, The Theory of Everything, ภาพยนตร์ชุด Bridget Jones) จากบริษัท เวิร์กกิ้ง ไทเทิ้ล ฟิล์มส์ อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับ เดบร้า เฮย์วอร์ด (Pride & Prejudice, ภาพยนตร์ชุด Bridget Jones) ทีมงานเบื้องหลังล้วนแต่เป็นทีมงานที่ประสบความสำเร็จในวงการ อาทิเช่น ผู้กำกับภาพ แอนดรูว์ ดันน์ (Precious, Hitch), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ จอห์น พอล เคลลี่ (The Theory of Everything, Bloody Sunday), ผู้ลำดับภาพ เมลานี่ แอนน์ โอลิเวอร์ (Les Misérables, The Danish Girl), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย สตีเว่น โนเบิ้ล (The Theory of Everything, Bridget Jones’s Diary), ผู้ออกแบบทรงผมและแต่งหน้า แจน ซีเวลล์ (X-Men: First Class, The Danish Girl) และผู้แต่งดนตรีประกอบ เคร็ก อาร์มสตรอง (Moulin Rouge!, Love Actually) ภาพยนตร์ตลกเรื่องนี้อำนวยการสร้างบริหารโดย เอมีเลีย แกรนเจอร์ (About Time), ลิซ่า ชาซิน (Everest) และฟิลดิ้ง สร้างจากตัวละครและเรื่องที่สร้างสรรค์ขึ้นโดย เฮเลน ฟิลดิ้ง (Bridget Jones’s Diary, Bridget Jones: The Edge of Reason) จากบทภาพยนตร์ที่เขียนโดยฟิลดิ้ง และแดน เมเซอร์ (Borat, I Give It a Year) และ เอ็มม่า ธอมป์สัน (Sense and Sensibility, ภาพยนตร์ชุด Nanny McPhee) Ellie Goulding - Still Falling For You (Official MV)
เบื้องหลังงานสร้างโจนส์ก้าวข้ามวัย:
ระดมพลร่วมสร้าง
ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1995 คอลัมน์เล็กๆ โดยนักเขียนที่ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักอย่าง เฮเลน ฟิลดิ้ง ได้ปรากฎขึ้นในหนังสือพิมพ์ของอังกฤษที่ชื่อ The Independent มันเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นจากมุมมองของหญิงสาวโสดนางหนึ่งที่มีชื่อว่า บริดเจ็ท โจนส์ (อายุ 32 ปี น้ำหนักเท่ากับหินยักษ์เก้าก้อน กับสามปอนด์) ผู้ใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในนครลอนดอน คอลัมน์ดังกล่าวนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จนทำให้บริดเจ็ทกลายเป็นชื่อที่ทุกบ้านคุ้นชิน นำไปสู่การที่ผู้สร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมา ได้รับข้อเสนอมากมาย ภายในเวลา 10 ปี นับแต่ฟิลดิ้งบรรเลงถ้อยคำชุดแรกที่ทำให้บริดเจ็ทปรากฎตัวขึ้น บริดเจ็ท โจนส์ พบว่าเธอมีเรื่องราวอยู่ในหนังสือเบสต์เซลเลอร์ 2 เล่ม และอยู่ในภาพยนตร์ทำเงินทั่วโลกสองเรื่อง ฟิลดิ้งไม่เคยคิดที่จะสร้างตัวละครที่เป็นแม่แบบแต่อย่างใด แต่ในตัวนางเอกผู้นี้ เธอได้สร้างคนที่ถูกมองข้ามโดยวัฒนธรรมร่วมสมัย นี่คือผู้หญิงที่แม้จะใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ แต่เธอก็ไม่กลัวที่จะเผยถึงข้อเสียและความไม่มั่นใจของตัวเองออกมา นอกจากตัวฟิลดิ้งที่สร้างบริดเจ็ทขึ้นมาแล้ว คงไม่มีใครที่จะรู้จัก บริดเจ็ท โจนส์ ดีเท่านักแสดงสาวที่รับบทเป็น โจนส์ มาตลอดหลายปีมานี้ “บริดเจ็ทเป็นคนมองโลกในแง่ดีตลอดกาล ทำตัวเรียบง่าย และมีอารมณ์ขันได้แม้ในยามเผชิญหน้ากับอริ” เรอเน่ เซลล์เวเกอร์ อธิบาย “ด้วยความมุ่งมั่นและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ทำให้ยากที่ใครจะเอาชนะเธอได้ เธออาจไม่สมบูรณ์แบบ ตรงนั้นแหละค่ะที่ทำให้ทุกคนอินไปกับเธอได้” ผู้อำนวยการสร้าง ทิม บีแวน และเอริค เฟลล์เนอร์ จากเวิร์กกิ้ง ไทเทิ้ล ฟิล์มส์ ได้รวบรวมทีมเพื่อนำ บริดเจ็ท กลับคืนจอ เฟลล์เนอร์ได้พูดถึงความผูกพันระหว่างตัวละครตัวนี้กับคนดูที่มีมายาวนานว่า “บริดเจ็ทเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี และสามารถรับทุกอย่างที่ถูกโยนเข้ามาในชีวิตเธอด้วยความภาคภูมิ เธอเป็นคนมีอารมณ์ขัน ทำให้ทุกคนรักเธอ เพราะพวกเขาสามารถเข้าใจความตรากตรำของเธอได้ บริดเจ็ททำทุกอย่างอย่างมีสไตล์และมีอารมณ์ขัน ทำให้การได้ใช้เวลาอยู่กับเธอคือช่วงเวลาที่แสนหรรษา ไม่ว่าเธอจะต้องเจอกับอะไร เธอจะกลับมาอย่างหาญกล้า มั่นคง และมักจะมาพร้อมเสียงหัวเราะด้วย” “เธอคือแรงบันดาลใจ ว่าไหมคะ” ผู้อำนวยการสร้าง เดบร้า เฮย์วอร์ด ซึ่งทำงานกับภาพยนตร์ชุดนี้มา ก่อนหน้าที่ภาพยนตร์ภาคแรกจะเริ่มต้นงานถ่ายทำด้วยซ้ำ “บริดเจ็ทมีลักษณะแบบผู้หญิงธรรมดา ทำให้คุณเห็นตัวคุณเองในตัวเธอ แม้ว่าปัญหาที่เธอต้องเจออาจไม่ใช่สิ่งที่คุณจะคิดว่าตัวเองต้องเจอก็ตาม” โดยแก่นแท้ของความไม่แน่ใจของตัวนางเอกของเราก็คือ ความกลัวที่จะต้องลงเอยด้วยการอยู่ตัวคนเดียว ซึ่งมันถูกแปลงให้กลายมาเป็นความเป็นตัวของตัวเอง “หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ภาพยนตร์ภาคแรกประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นภาพยนตร์ตลกเท่านั้น แต่เป็นเพราะผู้คนรู้สึกเข้าอกเข้าใจและอินไปกับความกลัวความโดดเดี่ยวของบริดเจ็ท” ชารอน แม็กไกวร์ ซึ่งปิดท้ายภาพยนตร์ไตรภาคนี้ด้วยงานกำกับภาพยนตร์ตอนนี้ กล่าว “มันคือความกลัวที่เป็นสากล และยังเป็นความกลัวที่ยังเป็นธีมสำคัญในการเดินทางครั้งนี้ของตัวละคร นี่คือจุดที่เข้าถึงได้สำหรับคนดูที่จะเอาใจช่วยบริดเจ็ท คลื่นใต้น้ำที่คนทั่วโลกต่างรู้สึกเหมือนกัน ก็คือทุกคนต่างกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียวทั้งนั้น” เฟลล์เนอร์บอกว่า แม็กไกวร์ คือทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวที่จะมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เมื่อพวกเขาได้เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ “ชารอนรู้จักโลกนี้ดี และรู้จักตัวละครเหล่านี้ดีกว่าใคร เมื่อโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับเธออีกครั้งมาถึง เรากระโดดเข้าใส่โอกาสนั้นทันที เธอเข้าใจถึงสถานการณ์ต่างๆ ดี และไม่มีใครเหมาะจะกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากไปกว่าเธออีกแล้ว” เมื่อบริดเจ็ทถูกจินตนาการขึ้น สาวโสดทั่วโลกรู้ดีว่าพวกเธอไม่ได้โดดเดี่ยวเพียงลำพังกับแรงบันดาลใจที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและความไม่มั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแคลอรี่ที่กินเข้าไป กฎของการแต่งหน้าและการโกนขน ความขัดแย้งในเรื่องหัวใจและความคิด ไม่มีอะไรถูกเก็บซ่อนได้ “ฉันกำลังเป็นแบบบริดเจ็ทเลย” นั่นกลายเป็นคำพูดที่ทุกคนพูดกันไปทั่ว บริดเจ็ทคือตัวแทนของผู้หญิงสายพันธุ์ใหม่ แล้วทำไมถึงได้รอนานขนาดนี้เพื่อนำบริดเจ็ทกลับมา “หลังจากภาพยนตร์ภาคแรกและภาคที่ 2 เราหวังเสมอว่าจะมีเรื่องราวบทใหม่ให้กับบริดเจ็ท” เฮย์วอร์ดกล่าวต่อ “เราเริ่มพูดคุยกับเฮเลนมาหลายปีแล้ว และใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาเรื่อง มันอาจใช้เวลาในการสร้างนาน แต่เราก็อยากจะทำให้เรื่องราวตอนนี้ออกมาลงตัวที่สุด” บัดนี้ บริดเจ็ทคือโปรดิวเซอร์เจ้าของรางวัลแห่งรายการข่าว เธอเลิกสูบบุหรี่ ลดระดับการซดไวน์ และไม่หมกมุ่นกับเรื่องน้ำหนักตัว และหนังสือประเภทช่วยเหลือตัวเอง ถูกแทนที่ด้วยงานวรรณกรรมแนวการเมือง “เราให้บริดเจ็ทมีงานที่ดีขึ้น” เฮย์วอร์ดบอก “มันคือรายการที่เธอตั้งใจจะทำให้มีความสำคัญและจริงจัง แต่เธอก็อยู่ภายใต้ความกดดันที่จะต้องทำให้รายการได้รับความนิยมมากขึ้น” เมื่อคนดูได้พบกับบริดเจ็ทครั้งแรก เธออายุ 32 และใน Edge of Reason เธออายุ 34 ส่วนใน Bridget Jones’s Baby เธอฉลองวันเกิดอายุ 43 ปี เมื่อทีมผู้อำนวยการสร้างดึงแม็กไกวร์ให้มากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ หนึ่งในสิ่งที่ถือว่าสำคัญมากสำหรับผู้กำกับแม็กไกวร์ ก็คือ เรื่องนี้สะท้อนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกผู้ใหญ่ในช่วงอายุแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านอารมณ์และหน้าที่การงาน ถึงแม้จะประสบความสำเร็จ แต่ในเรื่องราวใหม่นี้ บริดเจ็ทก็ยังคงความเฟอะฟะที่แสนน่ารักในแบบที่สร้างเสน่ห์ให้กับเธอเหมือนเดิม “ทุกคนต่างคาดหวังในบางสิ่งบางอย่างและต้องผิดหวัง ลักษณะที่บริดเจ็ทยังคงมุ่งมั่นพากเพียรต่อไป แม้ว่าสภาพแวดล้อมอาจจะทำให้เธอพลาดจนหน้าแตก มันสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนค่ะ” เซลล์เวเกอร์บอก “เธอเองก็ทุกข์ทรมานกับเรื่องเดียวกับที่พวกเราทุกคนเป็น โดยเฉพาะเวลาส่วนตัว คุณสามารถที่จะเข้าใจเธอได้” “บริดเจ็ทอาจจะดูไฮเปอร์และซุ่มซ่าม แต่เธอเป็นคนฉลาดมาก เธอคงแก่เรียน ฉลาด และมีการศึกษาดี แต่เธอทำทุกอย่างผิดพลาดไปหมด” เฮย์วอร์ดอธิบายเสริม “บุคลิกของบริดเจ็ทจะดูเปราะบางเสมอ เพราะถ้าคุณเดินหน้าไปไกลเกินไป เธออาจกลายเป็นคนโง่ไปเลย ทุกอย่างต้องมีสมดุลที่ลงตัว และสมดุลนั้นก็คือสิ่งที่ต้องใช้กลเม็ดมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอเป็นมนุษย์ธรรมดา และสามารถทำผิดพลาดได้ในเรื่องความรัก ถึงยังไงเธอก็ยังมีความโดดเด่นและมีนิสัยแปลก” ถึงจะเป็นตัวของตัวเอง แต่บริดเจ็ทก็ยังอยู่ตัวคนเดียว “เราอยากให้เธอห่างจากคนอื่น” เฮย์วอร์ดอธิบาย “เพื่อนโสดทุกคนของเธอต่างก้าวไปข้างหน้ากันหมดแล้ว แม้แต่ ทอม (เจมส์ คัลลิส) เพื่อนซี้เกย์ของเธอ ก็ยังลงหลักปักฐานมีครอบครัวและรับอุปการะเด็กมาเป็นลูก เธอคือคนโสดหนึ่งเดียวคนสุดท้ายของกลุ่ม” “บริดเจ็ทยังคงต้องเผชิญกับปัญหาเดิมๆ” แม็กไกวร์บอก “เธอยังคงกลัวความโดดเดี่ยว และพยายามมองหาความหมายในชีวิต เธอไม่สมบูรณ์แบบ และมีข้อบกพร่อง หลายอย่างไม่ได้ถูกห่อผูกโบว์ยื่นมาอย่างงดงาม” ก็เหมือนที่ มิแรนด้า (ซาร่าห์ โซเลมานี่) เพื่อนสนิทของเธอได้บอกเอาไว้ บริดเจ็ท “ทำให้เราได้รับรางวัล และผลที่ได้ก็คือ เธอไม่มีชีวิตของเธอ เพราะทุกคนต่างใช้ความจริงที่ว่าเธอตัวคนเดียว เป็นโสด และไม่มีลูก ทำให้ทำงานได้ตลอดเวลา” “นั่นเท่ากับเป็นการบอกว่า เธอยังคงเป็นบริดเจ็ทคนเดิมที่เรารู้จักและรัก” เฮย์วอร์ดยืนยัน “เธอชอบซดไวน์ แต่ตอนนี้เธอมีเหตุมีผลมากขึ้นแล้ว” ถึงแม้บริดเจ็ทจะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ความฝันถึงเรื่องรักๆใคร่ๆ และเรื่องลูก ก็ถูกนำเสนอขึ้นมา “เราพูดคุยกันว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอไม่เคยลืม มาร์ก ดาร์ซี่ ถึงแม้ว่านั่นจะไม่ใช่จุดที่คุณได้พบเธอในตอนต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้” เฮย์วอร์ดอธิบาย “จากตอนแรก เราคิดว่ามันจะเป็นเรื่องของบริดเจ็ทที่พบว่าเธอตั้งท้อง และไม่รู้ว่าพ่อเด็กเป็นใคร” เฮย์วอร์ดยืนยัน ขณะที่ฟิลดิ้งเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับงานพัฒนางานสร้าง และทุ่มเทให้กับงานนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เธอก็ยินดีที่จะให้มีมือเขียนบทอีกคนเข้ามาร่วมงานด้วย “แต่เริ่มเดิมที นี่คืองานที่สร้างขึ้นโดยเฮเลน จากนั้นก็มีมือเขียนบท แดน เมเซอร์” เฮย์วอร์ดอธิบาย “และเมื่อเฮเลนอนุญาต เราก็ดึง เอ็มม่า ธอมป์สัน เข้ามาทำงานเขียนบทด้วยอีกคน” เฟลล์เนอร์เล่าให้ฟังว่าธอมป์สัน ผู้มีความสามารถเก่งรอบตัว ได้เข้ามาร่วมงานนี้ได้อย่างไร “เอ็มม่า ธอมป์สัน คือนักแสดงและมือเขียนบทที่เราโชคดีได้ร่วมงานกับเธอบ่อยๆตลอดหลายปีมานี้ อย่างในเรื่อง Love Actually และในภาพยนตร์ Nanny McPhee ทั้งสองภาค เรากำลังมองหามือเขียนบทที่จะมาช่วยบทภาพยนตร์เรื่องนี้ และดูเหมือนเธอจะเป็นตัวเลือกที่เป็นธรรมชาติมาก เธอสร้างงานได้อย่างยอดเยี่ยม และในกระบวนการทำงานนี้ เธอได้สร้างตัวละครอย่างดร.โรว์ลิ่งส์ ขึ้นมา จากนั้น เราก็หันกลับไปบอกเธอว่าในเมื่อเธอสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมา เธอก็ต้องแสดงบทนี้เลย เธอทำงานได้ยอดเยี่ยมมาก” แม็กไกวร์รู้สึกขอบคุณที่ธอมป์สันได้นำทั้งอุปสรรคและเสียงหัวเราะเข้ามามากขึ้น “โลกของบริดเจ็ทเป็นที่คุ้นเคยอยู่แล้ว ดังนั้นเราต้องใส่จุดหักมุมลงไปและสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับคนดู” ผู้กำกับแม็กไกวร์บอก “ฉันอยากใส่ความสดใหม่และเลือดใหม่เข้าไป ฉันกระตือรือร้นที่เราทำให้เพื่อนๆ ที่ทำงานของเธอ อย่างเช่น มิแรนด้า กลายเป็นส่วนหนึ่งของคนรุ่นใหม่ของบริดเจ็ท ผู้มีมุมมองต่อเรื่องความสัมพันธ์ในแบบที่แตกต่างออกไป มีความคิดที่อิสระมากขึ้นและคำนึงถึงศีลธรรมน้อยลง ฉันคิดว่ามันสนุกมากขึ้นเมื่ออยู่กับมิแรนด้าและเคธี่ ซึ่งเป็นช่างแต่งหน้า (โจแอนนา สแคนแลน)” ขณะที่อารมณ์ขันเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความจริงก็สำคัญเช่นกัน “ฉันอยากให้เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ แต่ก็ต้องตลกด้วย” แม็กไกวร์อธิบายต่อ “ฉันรู้จักหลายคนที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้ ฉันเลยรู้สึกสงสัยว่าบริดเจ็ทจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง” การที่ไม่มีผู้ชายต่อเนื่องในชีวิต มาบัดนี้ พวกเขาจึงโผล่มาเหมือนกับรถบัส ทั้งคู่ต่างอยากจะเป็นพ่อเด็ก ตอนที่ฉันตัดสินใจเข้ามาทำงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เราได้เก็บเอาส่วนนั้นของเรื่องเอาไว้ และเดินหน้าไปกับมัน วางเธอเอาไว้ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดมากขึ้น เช่น การต้องไปสแกนดูลูกในท้องสองรอบ และต้องให้หมอของเธอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย” “ฉันอยากจะคิดว่ามันคือหนังที่พูดถึงการก้าวข้ามวัย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาต่อมาในชีวิตของตัวละครตัวนี้” เซลล์เวเกอร์อธิบาย “ขณะที่คุณดำเนินชีวิตไป คุณรู้ว่าไม่มีจุดที่คุณไปถึง แล้วคุณจะคิดทุกอย่างได้หมด บทนี้ในเรื่องราวของบริดเจ็ท นำเสนอถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่คุณจินตนาการเอาไว้ว่าชีวิตคุณจะเป็น กับความจริงที่คุณพบตัวเองยืนอยู่” หนึ่งในมุมมองที่ทรงพลังที่สุดที่แม็กไกวร์นำมาสู่งานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ เธอสามารถเข้าใจในตัวบริดเจ็ทปัจจุบัน มากพอๆ กับที่เธอเข้าใจในภาพยนตร์ภาคแรก ในความเป็นจริง หลังจาก Bridget Jones’s Diary ปิดกล้องลง แม็กไกวร์ได้ย้ายไปลอสแองเจลิสเพื่อทำงาน และเธอได้กลายเป็นแม่ และเมื่อเธอกลับมายังลอนดอนในปี 2014 ทางทีมผู้อำนวยการสร้างได้ติดต่อมาหาเธอ “ฉันกลัวมาก แต่ก็อยากรู้ ฉันอยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครทั้งหมดนี้ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา” ผู้กำกับแม็กไกวร์บอก “ฉันอยากรู้ว่าความฝันกลายเป็นจริงหรือเปล่า สำหรับฉัน มันให้ความรู้สึกที่แปลกมากที่ได้มาอ่านมัน เพราะฉันต้องย้อนกลับไป 15 ปีในชีวิตของฉัน และมองดูความฝันของฉันเอง และดูว่ามันได้กลายมาเป็นจริงหรือเปล่า” “การนำ ชารอน กลับมาคือกุญแจสำคัญ” เฮย์วอร์ดบอก “ชารอนเข้าถึงจิตวิญญาณของบริดเจ็ท และคุณสมบัติทุกอย่างที่ทำให้ภาพยนตร์ภาคแรกเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจได้มากกว่าใครเพื่อน เรารู้สึกดีใจเมื่อเธอตกลง ชารอนคือคนที่ทำให้ภาพยนตร์ภาคแรกประสบความสำเร็จ ทั้งความรู้สึก โทน อารมณ์ขัน เสียงหัวเราะ น้ำตา และความรัก แน่นอน เธอคือหนึ่งในตัวละครในหนังสือต้นเรื่องของเฮเลน” นอกจากความผูกพันที่แม็กไกวร์มีต่อบริดเจ็ทแล้ว ในชีวิตจริง เธอก็เป็นคุณแม่ในช่วงที่อายุเริ่มเยอะแล้ว ดังนั้น เธอจึงมีความเข้าใจในธีมของเรื่องนี้โดยตรง “เธอให้แรงบันดาลใจตัวละครแช๊ซซ่า/ ชารอน” เซลล์เวเกอร์เปิดเผย “แต่ฉันรู้สึกเสมอว่าเธอเหมือนบริดเจ็ทมาก เวลาเธอหัวเราะฉากที่เราถ่ายทำกันในวันนั้น นั่นคือตอนที่บริดเจ็ทลุกขึ้นมามีชีวิตในห้องนั้น เธอยืนอยู่ตรงกลางระหว่างชารอนกับฉัน ฉันนึกภาพไม่ออกว่าจะมีการร่วมงานกับใครที่สนุกและตื่นเต้นกว่าการร่วมงานที่เรามีร่วมกัน” ในฐานะคนทำหนังสารคดี แม็กไกวร์มีสายตาที่เฉียบคมสำหรับภาพยนตร์ตลก “การกำกับภาพยนตร์ตลก เป็นงานที่ทำได้ยากมาก เพราะจะตลกหรือไม่ตลก มันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล” แม็กไกวร์บอก “ฉันต้องเชื่อสัญชาตญาณตัวเองว่าอะไรตลก ถ้าฉันได้อ่าน หรือคิดไอเดียอะไรขึ้นมา ที่ทำให้ฉันหัวเราะได้ มันก็คุ้มค่าที่จะตามล่าให้ได้มา คล้ายๆ กัน ถ้านักแสดงได้ทดลองแสดง แล้วฉันหัวเราะ เราก็จะใช้มุขนั้นแหละ” การค้นหาช่วงเวลาที่ทีมนักแสดงว่างตรงกัน ก็คือหนึ่งในความท้าทายสูงสุด อย่างไรก็ดี เหล่านักแสดงนำได้มารวมตัวกันในเดือนกันยายน ปี 2015 และ Bridget Jones’s Baby ก็เริ่มเปิดกล้อง และแล้ว ความหวาดกลัวที่ว่าในศตวรรษที่ 21 นี้ โจนส์อาจจะไม่เข้ากับยุคสมัยแล้วนั้น ก็จางหายไปทันที ทีมนักแสดงโดนตากล้องคอยเดินตามเป็นฝูง โดยพวกเขาถ่ายภาพไปลงข่าว และมีแฟนๆ เข้ามาคอมเมนต์กันยาวเหยียดทีเดียว