happy on August 14, 2016, 05:55:00 PM

ชื่อภาพยนตร์         EYE IN THE SKY แผนพิฆาตล่าข้ามโลก

ภาพยนตร์แนว      แอ็คชั่น-ทริลเลอร์

กำหนดเข้าฉาย       18 สิงหาคมนี้ (ในโรงภาพยนตร์เอส เอฟ เวิลด์เท่านั้น)

กำกับการแสดงโดย      Gavin Hood (แกวิน ฮู้ด) ผลงานที่ผ่านมา X-Men Origins :  Wolverine

นำแสดงโดย…


Helen Mirren  (เฮเลน มีร์เรน)  รับบท  Colonel Katherine Powell (พันเอกหญิง แคเธอรีน พาวล์)
ผลงานที่ผ่านมา Trumbo , Woman in Gold , The Hundred Foot Journey

Aaron Paul (แอรอน พอล)  รับบท Steve Watts (สตีฟ วัตต์ส)
ผลงานที่ผ่านมา Triple 9 ,  Exodus: Gods and Kings , Need for Speed

Alan Rickman (อลัน ริกแมน) รับบท Lt.General Frank Benson (พลโทแฟรงค์ เบนสัน)
ผลงานที่ผ่านมา Harry Potter , A Lice in Wonderland , Love Actually

Barkhad Abdi  (บาร์กาด แอ็บดี)  รับบท Jama Farah (จามา แฟราห์)
ผลงานที่ผ่านมา Captain Phillips , The Oscars


ตัวอย่างภาพยนตร์ซับไทย https://www.youtube.com/watch?v=J5QbZ5iMzX8

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=J5QbZ5iMzX8" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=J5QbZ5iMzX8</a>

เรื่องย่อ EYE IN THE SKY

                  “ผู้พันแคทเธอรีน พาวเวลล์” (รับบทโดย เฮเลน มีร์เรน) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองทางทหารที่ประจำการที่ลอนดอน กำลังอยู่ระหว่างการบังคับบัญชาปฏิบัติการโดรนลับสุดยอดเพื่อจับกุมกลุ่มผู้ก่อการร้ายสุดอันตรายจากเซฟเฮาส์ของพวกเขาในเมืองไนโรบี ประเทศเคนยา จู่ๆ ภารกิจของเธอก็ยกระดับจากปฏิบัติการ “จับกุม” ไปเป็น “การสังหาร” เมื่อพาวเวลล์ตระหนักได้ว่าผู้ก่อการร้ายกำลังจะปฏิบัติภารกิจพลีชีพที่แสนอันตรายจากฐานของเขาในเนวาดา

                  “สตีฟ วัตส์” (รับบทโดย แอรอน พอล) นักบินโดรนชาวอเมริกัน กำลังเตรียมพร้อมที่จะทำลายเซฟเฮาส์  เด็กหญิงวัย 9 ขวบ กำลังก้าวเข้ามาอยู่ในโซนสังหารนอกรั้วบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายอังกฤษและอเมริกัน ต้องมาถกกันว่าควรทำยังไง? คุ้มไหม?ที่จะปล่อยให้เด็กน้อยผู้บริสุทธิ์ต้องตาย เพื่อป้องกันเหตุระเบิดที่จะมีผู้คนอีกมากมายเสียชีวิต การตัดสินใจถูกส่งต่อไปตาม “ลำดับสั่งการสังหาร” ของนักการเมืองและทนายความในตอนที่เวลางวดเข้ามา

                  EYE IN THE SKY นับเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่น-ทริลเลอร์ร่วมสมัย ที่เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่มืดหม่นของการทำสงครามระยะไกลโดยโดรนที่มีนักบินบังคับ




เกี่ยวกับงานสร้าง EYE IN THE SKY

                    หลังจาก Rendition ภาพยนตร์ปี 2007 ของเขา ผู้กำกับแกวิน ฮู้ด ก็หวนคืนสู่โลกของการทำสงครามร่วมสมัยอีกครั้งด้วยภาพยนตร์ทริลเลอร์สุดเข้มข้นเรื่อง EYE IN THE SKY ซึ่งสำรวจเรื่องราวของการใช้โดรนในการทำสงครามและผลกระทบทางศีลธรรมที่ตามมา

           แกวิน ฮู้ด กล่าวว่า  “…ผมตระหนักดีถึงแง่มุมต่างๆ ของการทำสงครามด้วยโดรน เพราะผมเคยสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับการผจญภัยของทหารอเมริกันมาแล้วใน Rendition ผมได้อ่านบทความ อ่านความคิดเห็นและพวกหนังสือมาแล้ว ผมพยายามจะติดตามอัพเดทสิ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงทหารอเมริกันเสมอ แต่ผมไม่เคยล้วงลึกลงไปในการลอบสังหารแบบมีเป้าหมายแบบนี้มาก่อน…”

           โอกาสในการได้สำรวจแง่มุมที่เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากของการทำสงครามสมัยใหม่เกิดขึ้นเมื่อฮู้ดได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่อง EYE IN THE SKY จากมือเขียนบทกาย ฮิบเบิร์ท ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Five Minutes of Heaven (2009), Omagh (2004) และ Shot Through the Heart (1998)

           “…ผมรู้ว่าโดรนและการทำสงครามโดยอาศัยคอมพิวเตอร์จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในศตวรรษที่ 21 และผมก็คิดว่าไม่มีใครเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ งั้นมาลองดูกันดีกว่าครับ…” ฮิบเบิร์ทอธิบาย

           ฮิบเบิร์ทได้ไปเยี่ยมชมงานแสดงอาวุธในกรุงปารีส “…และโดรนก็อยู่ทุกหนทุกแห่ง ผู้ผลิตอาวุธทุกรายต่างก็นำอุปกรณ์ชนิดใหม่มาโชว์ แล้วผมก็ได้คุยกับทางกองทัพ ซึ่งพวกเขาบอกว่ามันไม่เคยมีการโต้วาทีต่อหน้าสาธารณชนเกี่ยวกับการทำสงครามรูปแบบนี้มาก่อน สิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลใจคือในการทำสงครามในรูปแบบเดิม ผู้บังคับบัญชาจะอยู่ในสนามรบและเขาก็จะเป็นคนตัดสินใจเดี๋ยวนั้น แต่กับสงครามที่ใช้โดรน มันไม่ได้เป็นแบบนั้น ดังนั้น การสำรวจไอเดียนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับหนังเรื่องหนึ่งครับ…”

            บทภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกพัฒนาขึ้นร่วมกับผู้อำนวยการสร้างโคลิน เฟิร์ธและเก็ด โดเฮอร์ตี้ “…ผมชื่นชอบไอเดียในบทของกาย และท้ายที่สุดเราก็นำมันไปเสนอแกวิน ฮู้ด ผู้เป็นผู้กำกับมากฝีมือ…” โดเฮอร์ตี้อธิบาย

            ความสนใจของฮู้ดได้รับการจุดประกายจากคำถามที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้ตั้งขึ้น “…นี่เป็นผลงานของนักเขียนมากพรสวรรค์ที่สร้างสรรค์ในสิ่งที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยกันในสาธารณชนและสื่อมวลชนได้ครับ มันสร้างสถานการณ์ที่ไม่ได้ให้คำตอบได้ง่ายดายนัก…” ผู้กำกับกล่าว

            สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นในเมืองไนโรบี ประเทศเคนยา หัวหน้าหน่วยทหารของอเมริกันและอังกฤษมีโอกาสในการลอบสังหารผู้ก่อการร้ายคนสำคัญ ซูซาน แดนฟอร์ด (เล็กซ์ คิง) หรืออาเยชา อัล-เฮดี้ ชาวอังกฤษผู้เปลี่ยนความเชื่อและผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้ก่อการร้ายระดับสูงจากอัลชาบับ

            หลังจากนั้น เรื่องราวก็โฟกัสไปที่ชายและหญิงบนภาคพื้นดินที่ได้รับมอบหมายให้สะกดรอยผู้ก่อการร้ายรายนี้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ทำงานในเคนยา อังกฤษและอเมริกา ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงและนักการเมือง พร้อมด้วยนักบินโดรนและทีมงานของเขา คนเหล่านี้รวมกันเป็น ‘ลำดับสั่งการสังหาร’ โครงสร้างการโจมตีที่ประสานงานกันระหว่างฝ่ายชี้เป้าหมายและกองกำลังพิเศษที่ถูกส่งไปกำจัดเป้าหมายนั้น นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังนำเสนอการพูดคุยถกเถียงและการออกคำสั่งให้โจมตีเป้าหมายนั้น รวมถึงผู้ที่ในที่สุดแล้วมีส่วนรับผิดชอบต่อการดำเนินการกำจัดเป้าหมายนั้นด้วยตัวเอง

            ฮิบเบิร์ท ตั้งข้อสังเกต “…Kill Chain เป็นชื่อเรื่องที่ผมคิดเอาไว้ตอนแรก ตลอดการทำสงครามหลายร้อยปี นายพลในสนามรบจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะยิงหรือไม่ยิง แต่สำหรับการทำสงครามที่สั่งการโดยคอมพิวเตอร์ ตอนนี้ ภาพจะถูกส่งไปที่โต๊ะของทุกคนทั่วโลก และคนเหล่านี้ก็ต้องการข้อมูล พวกทหารเรียกสิ่งนี้ว่าลำดับสั่งการสังหาร และนั่นก็นำมาซึ่งคำถามสำคัญที่ว่า ใครกันที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ที่จะเป็นคนกดปุ่ม เป็นนักการเมือง นายพลในลอนดอน นายพลในอเมริกา หรือผู้บังคับบัญชาในเคนยา คนที่กำลังจะถูกสังหารในเรื่องราวของเรามีทั้งชาวเคนยา ชาวอังกฤษสองคนและชาวอเมริกันอีกหนึ่งคน ใครกันล่ะที่เป็นคนตัดสินใจ…”

            การตัดสินใจที่จะทำลายเป้าหมายถูกทำให้ซับซ้อนยิ่งขึ้นด้วยปัญหาของความเสียหายข้างเคียง ซึ่งจะต้องถูกวิเคราะห์จากระยะไกลอีกเช่นเคย

            “…บทหนังของกายสร้างสถานการณ์สมมติที่ซับซ้อนมากๆ บทหนังเรื่องนี้ให้ข้อมูลหลายอย่างตรงที่มันได้ปูพื้นสถานการณ์แวดล้อม ลำดับการสั่งการและลักษณะการใช้โดรนในสงครามสมัยใหม่ เราได้เห็นว่าอารมณ์ของมนุษย์ได้ถูกทดสอบอย่างน่าตื่นตะลึงยังไงบ้างในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แล้วเมื่อผู้ชมตระหนักถึงกระบวนการนี้ เราก็สามารถเริ่มต้นถกเถียงกันถึงข้อดีของการใช้เทคโนโลยีนี้กันได้แล้วครับ คำถามที่ยังคงอยู่ก็คือ จะใช้อาวุธสงครามนี้เมื่อไหร่ และผลลัพธ์ที่ตามมาของการใช้อาวุธนั้นคืออะไร อาวุธนี้อาจจะมีประสิทธิภาพในการกำจัดเป้าหมายก็จริง แต่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดของการใช้อาวุธที่ว่าล่ะ…”  ผู้กำกับแกวิน ฮู้ด กล่าว   

            “…ผมคิดว่าสิ่งที่บทหนังของกายทำได้อย่างยอดเยี่ยมคือการเชื้อเชิญให้เกิดการพูดคุยกันจริงๆ” เขากล่าวเสริม “มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ปัญหาหนักอกที่ตัวละครในหนังเรื่องนี้ต้องเผชิญเป็นเรื่องจริงและไม่ได้แก้ได้ง่ายๆ คำตอบที่พวกเขามีให้กับปัญหาเหล่านี้มีความเป็นมนุษย์อย่างยิ่งและผมก็หวังว่าผู้ชมจะสามารถพบสิ่งที่พวกเขาเข้าถึงได้ในหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองทางอารมณ์ของนักบินโดรนหรือการตอบสนองของผู้บังคับบัญชาในเคนยา ในอังกฤษหรือในอเมริกาครับ…” ผู้กำกับแกวิน ฮู้ด กล่าว

            “…การโจมตีของโดรน ซึ่งเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตพลเมือง และก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านชาติตะวันตกมากถึงขนาดที่ว่าไม่ว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในการกำจัดเป้าหมายระดับสูงยังไงก็ตาม มันกลับก่อให้เกิดความเกลียดชังโลกตะวันตกที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นเป็นคำถามเกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อครับ ในสงคราม การโฆษณาชวนเชื่อเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากๆ เรากำลังสร้างโฆษณาชวนเชื่อในเชิงลบต่อโลกตะวันตกด้วยการใช้โดรนรึเปล่า?  ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ตั้งคำถามว่าตอนที่เราใช้การทำสงครามรูปแบบนี้ เรากำลังชนะจริงๆ รึเปล่า เมื่อไหร่ที่เราควรจะใช้เทคโนโลยีนี้ อะไรคือผลลัพธ์ของการใช้เทคโนโลยีนี้ มาดูหนังเรื่องนี้แล้วตัดสินใจด้วยตัวเองสิครับ…” ฮู้ดกล่าว.

            สำหรับทีมผู้สร้าง สิ่งสำคัญคือการที่เรื่องราวนี้จะตั้งคำถามยากๆ เหล่านี้พร้อมกับการขอให้ผู้ชมตัดสินใจคำตอบด้วยตัวเอง

            “…สิ่งที่คุณไม่อยากทำในฐานะผู้กำกับคือการเทศนาสั่งสอนผู้ชมของคุณครับ คุณอยากจะสร้างความรู้สึกของการเดินหน้า ความตึงเครียด ทริลเลอร์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ตั้งคำถามเชิงปรัชญายากๆ ในใจผู้ชมด้วย  ในการนั้น คุณจะต้องผลักดันให้เรื่องราวเดินไปข้างหน้าอยู่ตลอดเพื่อรักษาระดับความตึงเครียด แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ต้องหาช่วงเวลาให้เรื่องราวได้หายใจ เพื่อให้ผู้ชมตามทัน คุณต้องให้เวลาผู้ชมในการประมวลผลข้อโต้แย้งต่างๆ ด้วยครับ แล้วในตอนที่ผู้ชมคิดว่าพวกเขาเลือกข้างใดข้างหนึ่งแล้ว คุณก็ใส่เอาข้อโต้แย้งอีกข้อหนึ่งที่พลิกสถานการณ์แบบตารปัตรและทำให้ผู้ชมถามตัวเองว่า ‘เดี๋ยวนะ นี่ฉันคิดอย่างที่ฉันคิดเอาไว้เมื่อนาทีก่อนรึเปล่า บางทีอาจจะไม่’ แล้วตอนที่พวกเขาเห็นด้วยกับคนอื่น ก็จะเกิดอีกมุมมองหนึ่งขึ้นครับ…” ฮู้ดบอก
« Last Edit: August 14, 2016, 06:11:25 PM by happy »

happy on August 14, 2016, 06:08:53 PM



ลำดับสั่งการสังหาร & ตัวละครและนักแสดง

                 “…ไม่มีตัวละครตัวไหนที่มีข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับสถานการณ์ที่พวกเขากำลังมองเห็นอยู่บนหน้าจอ และตัวละครทุกตัว ก็เหมือนมนุษย์ปุถุชน ที่มองโลกจากมุมมองของตัวเอง มันเป็นเรื่องสำคัญที่ตัวละครแต่ละตัวจะแสดงตัวตนของพวกเขาออกมาอย่างจริงใจครับ…”

           ฮู้ดไม่ต้องการตัวละคร ‘สต็อค’ ในภาพยนตร์ของเขาเลย “…บางครั้ง เมื่อนักแสดงรับบทที่เป็นที่โจษจันหรือมีการวางตัวในสถานะที่น่าเคลือบแคลงทางด้านศีลธรรม นักแสดงก็มักอยากจะบอกว่าตัวพวกเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย เราจะให้เกิดเรื่องแบบนั้นไม่ได้…” เขากล่าว

           ดังนั้น การตัดสินใจคัดเลือกนักแสดงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ตัวละครที่กระหายสงครามที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ คนที่ปรารถนาจะกำจัดเป้าหมายมากที่สุดคือผู้พันแคทเธอรีน พาวเวลล์ ที่รับบทโดยนักแสดงรางวัลออสการ์ ท่านผู้หญิงเฮเลน เมอร์เรน “….ตอนแรกตัวละครของเฮเลนเป็นผู้ชาย แต่เราก็พูดกันว่า ทำไมเราไม่ทำให้ตัวละครตัวนี้เป็นผู้หญิงล่ะ แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงความซับซ้อนของหนังเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิง…” ผู้อำนวยการสร้างเก็ด โดเฮอร์ตี้กล่าว

           “…ไอเดียของการได้เฮเลนมาแสดงหนังเรื่องนี้วิเศษมากเพราะในแง่หนึ่ง คุณอาจจะคิดว่าผู้หญิงอาจจะต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนที่เธอจะเหนี่ยวไก แต่คุณรู้ว่านี่คือเฮเลน เมอร์เรน และคุณก็รู้ว่าเธอสามารถแสดงบทตัวแสบได้ คุณจะไม่มั่นใจเลยว่าเธอจะเลือกทางไหน เฮเลนสร้างสมดุลที่เพอร์เฟ็กต์ให้กับตัวละครตัวนี้และเราก็ตรงไปเสนอบทนี้ให้กับเธอทันทีเลยครับ…”

           ฮู้ดกล่าวเสริมว่า “…สิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับนักแสดงอย่างเฮเลน เมอร์เรนคือแม้ว่าเธอจะทำการตัดสินใจหลายๆ อย่างที่อาจจะน่าเคลือบแคลงทางศีลธรรม แต่คุณจะเชื่อว่าเธอมีมุมมองที่จริงใจ จากสถานะของเธอในฐานะผู้พันแห่งกองทัพอังกฤษ เราก็เลยเห็นใจเธอแม้กระทั่งในช่วงเวลาที่เราอาจจะไม่เห็นด้วยกับเธอ และกับตัวละครของแอรอน พอลก็เช่นกันครับ…”

           แอรอน พอล รับบท สตีฟ วัตส์ นักบินผู้ควบคุมโดรนจากฐานทัพอากาศสหรัฐฯกลางทะเลทรายเนวาดา เช่นเดียวกับตัวละครทุกตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาปฏิบัติตัวภายในขอบเขตการฝึกฝนของตัวเอง และสิ่งที่เขาสามารถมองเห็นได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์

           “…แอรอน พอลโต้แย้งผู้พันพาวเวลล์ แต่กุญแจสำคัญ คือเขามีเหตุผลที่จริงใจในการทำแบบนั้น เขาเป็นคนที่ต้องเหนี่ยวไกจริงๆ แม้ว่าคนอื่นๆ อาจจะตัดสินใจสั่งยิงมิสไซล์ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาคือคนที่ปล่อยอาวุธนั้นครับ แล้วในการจินตนาการว่าเขาจะรู้สึกยังไง คุณก็ต้องการนักแสดงที่จะทำให้คุณรู้สึกร่วมไปกับความลำบากใจของเขาและไม่ตัดสินตัวละครที่เขาแสดง สิ่งที่ผมภูมิใจกับนักแสดงทุกคนมากคือในหนังเรื่องนี้ไม่มีใครที่เป็นตัวละครตามแบบฉบับเลยซักนิด ผมหวังว่าคุณจะชอบเฮเลนและแอรอนแม้ว่าพวกเขาจะมีจุดยืนที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม คุณอาจจะไม่เห็นด้วยกับพวกเขาในบางประเด็นแต่คุณจะเห็นได้ว่าพวกเขาเป็นคนจริงๆ ที่รับมือกับปัญหาน่าหนักใจจริงๆ ในรูปแบบจริงๆ…” ฮู้ดอธิบาย

           นอกเหนือจากพาวเวลล์และวัตส์แล้ว ยังมีผู้คนจำนวนมากในลำดับสั่งการสังหาร ตั้งแต่คนภาคพื้นดินในเคนยาไปจนถึงคนที่เฝ้ามองหน้าจอจากทั่วโลก ส่วนหนึ่งของคนเหล่านี้ได้แก่รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ เจมส์ วิลเล็ตต์ (เอียน เกลน), พลโทชาวอังกฤษ แฟรงค์ เบนสัน (อลัน ริคแมน) และบุคคลสำคัญบนภาคพื้นดิน จามา ฟาราห์ (บาร์คัด แอ็บดี้)

           ผู้อำนวยการสร้างเก็ด โดเฮอร์ตี้ กล่าวว่า “…แอรอนยอดเยี่ยมในหลายๆ แง่มุม เขาเป็นหนึ่งในคนที่ดีที่สุดที่คุณจะได้พบ ในกองถ่ายเขาสร้างบรรยากาศที่วิเศษสุดกับทีมงานและนักแสดงคนอื่นๆ เขากับเฮเลนเก่งมากจนเราตัดเรื่องราวเบื้องหลังของพวกเขาทิ้งไปเยอะแยะเพราะเราตระหนักได้ว่า ระหว่างที่คุณดูหนังเรื่องนี้ ตัวละครจะเผยตัวตนของพวกเขาผ่านทางการกระทำของพวกเขา โดยที่เราไม่จำเป็นต้องปูพื้นเกี่ยวกับพวกเขาให้กับผู้ชมเลยครับ คุณเข้าใจดีว่าตัวละครของแอรอน พอลเป็นคนดีและนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเหนี่ยวไก และเขาเป็นคนมีศีลธรรม ในความคิดของผม เมื่อคุณได้เห็นสิ่งที่เขาต้องเผชิญในหนังเรื่องนี้ ในหลายๆ แง่มุม เรื่องราวของเขาคือหัวใจสำคัญของหนังเรื่องนี้ครับ…”

           ผู้ที่รับบทสำคัญอีกบทหนึ่งคือ อลัน ริคแมน ไอคอนแห่งวงการภาพยนตร์และละครเวทีชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งตัวละครของเขา นอกจากจะมีบทบาทสำคัญในลำดับสั่งการสังหารแล้ว ยังนำความขำขันเล็กๆ มาสู่เรื่องราวด้วย เราได้พบกับพลโทแฟรงค์ เบนสันในร้านขายของเล่น ที่ซึ่งเขากำลังลำบากใจกับการซื้อตุ๊กตาเด็กเล่น ในลักษณะเหมือนปลาพ้นน้ำ

           “…มันตลกดีที่ได้เห็นเขากังวลถึงเรื่องการซื้อตุ๊กตา แต่การใส่เรื่องแบบนั้นเข้าไปในเรื่องราวแสดงให้เห็นว่าทหารสับเปลี่ยนระหว่างโหมดการใช้ชีวิตที่แตกต่างกันสุดขั้วยังไงน่ะครับ…” โดเฮอร์ตี้กล่าว

           ผู้กำกับกล่าวเห็นพ้องด้วย ช่วงเวลาคลายเครียดสั้นๆ เป็นสิ่งสำคัญต่อเรื่องราว ฮู้ดกล่าวว่า “…เช่นเดียวกับในชีวิตจริง มีช่วงเวลาที่ความเครียดจะถูกผ่อนคลายด้วยอารมณ์ขันและเสียงหัวเราะ บางครั้ง เสียงหัวเราะก็เกิดจากความหงุดหงิดและความขำขันที่มีต่อสถานการณ์นั้นๆ ครับ คนพวกนี้ก็พบตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่น่าขบขันครับ หลายครั้งที่พอคุณหัวเราะ คุณก็จะตระหนักถึงปัญหาหนักอกที่คนพวกนี้เผชิญอยู่ หนังเรื่องนี้ล้อผู้ชมในแบบที่เหมือนกับในชีวิตจริงมากๆ วินาทีหนึ่งเรารู้สึกหงุดหงิดและขุ่นเคืองกับสถานการณ์นั้นๆ และวินาทีถัดมา เราก็ต้องหัวเราะกับมัน มันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในหนังแบบนี้ครับ…”

           ช่วงเวลาขำขันนั้นยังปรากฏบนภาคพื้นดินด้วยในตอนที่จามา ฟาราห์ผูกมิตรกับเด็กชายคนหนึ่ง ระหว่างที่เขาสอดแนมเป้าหมายให้กับกองทัพอังกฤษและอเมริกัน บาร์คัด แอ็บดี้ นักแสดงชาวโซมาเลีย  ผู้ได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลกจากบทโจรสลัดสมัยใหม่ใน Captain Phillips เนรมิตชีวิตให้กับฟาราห์บนหน้าจอ

           “…ผมคิดว่าการแสดงของบาร์คัดใน Captain Phillips เป็นหนึ่งในการแสดงที่ติดตรึงใจมากที่สุดเท่าที่ผมได้เห็นมาในรอบสี่หรือห้าปีหลังนี้จากนักแสดงหน้าใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก ผมจำได้ว่าเขาเป็นตัวร้ายใน Captain Phillips แต่เราก็ยังเห็นใจเขาเพราะสถานการณ์ที่เขาเจอ ในขณะเดียวกัน ผมก็กลัวเขาด้วย ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องเยี่ยมที่จะเลือกเขามารับบทพระเอก เป็นคนดีในครั้งนี้ สำหรับผม เขาได้ใส่ความเข้มข้นแบบเดียวกับใน Captain Phillips ไปในบทนี้ การร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องวิเศษสุดครับ…” โดเฮอร์ตี้กล่าว
           อีกหนึ่งตัวละครสำคัญคือเด็กชาวโซมาเลียที่ชื่อ อาเลีย ผู้ซึ่งระหว่างเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้ ปรากฏตัวในฐานะผู้ที่อาจจะเสียชีวิตในตอนที่ลำดับสั่งการสังหารประเมินผลเสียหายข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตีด้วยโดรน บทบาทของเธอในเรื่องราวนี้กลายเป็นสิ่งสำคัญ “…มันเป็นความท้าทายอย่างแท้จริง แต่ผมก็มองดูเรื่องของการทำสงครามและคิดว่าเหยื่อในโลกนี้มักจะไม่ได้รับที่ทางที่เหมาะสมในการเล่าเรื่อง อาเลียเป็นวิธีของผมในการทำให้เหยื่อกลายเป็นแรงขับเคลื่อนในเรื่องราวครับ…”



โลเกชั่น และ การกำกับภาพ

                 ตามความคิดของคริส ลินคอล์น-โจนส์ ที่ปรึกษาทางทหารชาวอังกฤษ โจนส์รับใช้กองทัพนาน 25 ปีในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทหารปืนใหญ่ ก่อนที่เขาจะอำลากองทัพในปี 2000  ฮิบเบิร์ททาบทามโจนส์เพราะความรอบรู้ของเขาในเรื่องพาหนะทางอากาศที่ไร้คนขับ ซึ่งหมายความว่าเขาจะสามารถให้มุมมองสำคัญสำหรับเทคโนโลยีการต่อสู้ใหม่นี้ได้ งานหลักของโจนส์คือการสร้างความสมจริงให้กับสำนักงานใหญ่เพอร์มาเนนท์ จอยท์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของอังกฤษในลอนดอน ซึ่งเป็นที่ที่ควบคุมและวางแผนปฏิบัติการทางทหารของอังกฤษในต่างประเทศทั้งหมด นี่เป็นที่ที่ผู้พันพาวเวลล์วางแผนปฏิบัติการทางทหารที่ซับซ้อนของเธอที่เกิดขึ้นในดินแดนห่างไกลภายใต้การยึดครองของพวกอัล-ชาบับในเมืองไนโรบี

           โจนส์เข้ามาพร้อมกับความเข้าใจในเรื่องกฎหมาย เครื่องแบบและภาษาของทหาร นอกจากนั้น เขายังให้ข้อมูลเกี่ยวกับแบ็คกราวน์ตัวละครที่จะช่วยนักแสดงในการเนรมิตชีวิตให้กับพวกเขาด้วย เขาคิดว่า ผู้พันพาวเวลล์อาจจะเข้าร่วมกองทัพระหว่างความขัดแย้งเกี่ยวกับหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ และด้วยความฉลาดเฉลียวของเธอ เธอน่าจะเลื่อนขั้นได้เรื่อยๆ แต่ Eye in the Sky นำเสนอช่วงเวลาที่เธอน่าจะ “…กำลังจะอำลางานของเธอและพบโอกาสสุดท้ายในการกำจัดผู้หญิงคนนั้น [ซูซาน แดนฟอร์ด] ที่เธอตามล่ามาตลอดหกปีที่ผ่านมาครับ…”

           ในขณะเดียวกัน คริส เฮอร์คิวลิส ที่ปรึกษาทางทหารชาวอเมริกันของเรื่อง มีประสบการณ์จริงในการบังคับโดรน “…หนึ่งวันในชีวิตของนักบินบังคับโดรนมักแตกต่างกันออกไปเสมอครับ คุณไม่รู้หรอกว่าเช้าวันนั้น คุณจะบินไปที่ส่วนไหนของโลก คุณอาจจะประจำอยู่ที่เนวาดาหรือเท็กซัส แต่คุณจะได้บินไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก เราสามารถสนับสนุนกลุ่มต่างๆ ทั่วโลก และเราก็จะทำแบบนี้วันละสองหรือสามครั้งครับ ผมตื่นเต้นมากที่ได้ทำงานในหนังเรื่องนี้ มันเป็นประเด็นสำคัญและการเล่าเรื่องราวนี้ก็ทำได้ดีมากๆ มันแสดงให้เห็นว่าการทำสงครามเป็นเรื่องเลวร้าย แต่เราก็พยายามอย่างดีที่สุด ตั้งแต่นักบิน เจ้าหน้าที่ ไปจนถึงพวกพลทหาร ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องครับ…” เขากล่าวเสริม

           สำหรับโลเกชั่น นอกเหนือจากฐานทัพอากาศทะเลทรายเนวาดา ภาพยนตร์ทั้งเรื่องได้ถ่ายทำในหรือรอบๆ เคปทาวน์ ประเทศเซาธ์แอฟริกา “…ฉากไนโรบีทั้งหมดถูกถ่ายทำที่โรงถ่ายของสตูดิโอ พวกมันเทียบเท่ากับไพน์วู้ดในอังกฤษ และฉากไนโรบีที่คุณเห็นเคยเป็นฉากของหนังเรื่อง The Long Walk To Freedom ที่เรานำมาดัดแปลงด้วยฝีมือของผู้ออกแบบงานสร้างของเรา จอห์นนี่ บรีดท์ ที่ทำงานในหนังเรื่องนั้นด้วย เรานำฉากโซเวโตของเขาจากหนังเรื่องนั้นมาแปลงให้เป็นไนโรบียุคปัจจุบันของเราครับ…”

           นักแสดงต้องแสดงปฏิกิริยาตอบโต้หน้าจอ มากกว่าจะตอบโต้กันและกัน ในความเป็นจริงแล้ว นักแสดงหลักของเรื่อง ทั้งเมอร์เรน, พอลและริคแมน ต่างก็ไม่ได้เข้าฉากด้วยกันระหว่างการถ่ายทำ “…ไม่เพียงแต่นักแสดงจะไม่ได้อยู่คุยกันเท่านั้น แต่ภาพวิชวลที่นักแสดงมองบนหน้าจอก็ไม่สมบูรณ์ด้วยเพราะพวกมันจะถูกสร้างขึ้นในขั้นตอนโพสต์โปรดักชั่นครับ ทีมนักแสดงจะต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่สมจริงกับภาพบนหน้าจอที่ไม่ได้มีอยู่ตรงนั้นครับ…” ฮู้ดกล่าว

           อย่างไรก็ดี เมื่อถึงเวลาถ่ายทำภาพยนตร์จริงๆ ผู้กำกับกลับเผชิญหน้ากับความท้าทายอีกอย่างหนึ่ง มันมีแอ็คชั่นตึงเครียดบนพื้นดินมากมาย แต่ช่วงเวลามากมายในเรื่องก็โฟกัสไปที่บุคคลสำคัญที่ถกประเด็นเกี่ยวกับทางเลือกของพวกเขาในห้อง

           “…สิ่งที่ผมกลัวในหนังเรื่องนี้คือมันอาจจะเต็มไปด้วยการพูดคุยกันในห้องต่างๆ มันอาจจะดูนิ่งมากๆ และเกือบจะเหมือนกับหนังที่ฉายทางโทรทัศน์เลยครับ ดังนั้น ความท้าทายจากมุมมองการกำกับคือการนำพลังงาน จังหวะและท่วงทำนองมาสู่หนังที่มีคนจำนวนมากอยู่ในห้องต่างๆ กันครับ…” ฮู้ดกล่าว

           “…คุณนำพลังงานมาสู่ฉากนั้นๆ ได้ในหลายรูปแบบและหนึ่งในนั้นคือวิธีที่คุณบล็อกฉาก ซึ่งเอื้อต่อการเคลื่อนไหวของนักแสดง ผมขอเวลาถ่ายทำหนังเรื่องนี้ 45 วัน แทนที่จะเป็น 30 วัน เพื่อที่จอห์นนี่ บรีดท์ ผู้ออกแบบงานสร้างของผม จะได้สามารถสร้างฉากที่ทำให้นักแสดงสามารถลุกขึ้นยืนและเคลื่อนไหวได้ เพื่อที่เราจะได้สัมผัสถึงความตึงเครียดของพวกเขา ตลอดทั้งเรื่อง การเซ็ทตำแหน่งฉากจะนำพลังงานบางอย่างมาสู่แต่ละฉาก ที่นักแสดงจะสามารถเคลื่อนไหวได้จริงๆ ในแบบที่คุณจะทำในชีวิตจริงครับ ห้องที่ตัวละครของอลัน ริคแมนและพวกนักการเมืองนั่งอยู่จะต้องมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ไม่อย่างนั้น โต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่ก็จะใหญ่คับห้องครับ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณดูห้องสถานการณ์จริงๆ ของบาร์รัค โอบามา มันจะคับแคบมากๆ” เขากล่าวต่อ “ถ้าคุณดูห้องที่เราสร้างขึ้นสำหรับหนังเรื่องนี้ มันจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทำให้นักแสดงสามารถเดินไปมาได้ โดยเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรี ผู้รู้สึกเครียดจริงๆ ฉากนี้ทำให้เขาสามารถลุกขึ้น เดินมา เทน้ำดื่ม เดินกลับมาที่โต๊ะได้ และในขณะเดียวกัน ตัวละครก็จะดูตัวค่อนข้างเล็กในพื้นที่กว้างใหญ่นี้ครับ…”

           ฉากที่นักบินบังคับโดรนก็เป็นฉากที่น่าสนใจเช่นกัน ฮู้ดกล่าวว่า “…ในชีวิตจริง เขาอยู่ประจำที่นั่งครับ เขาอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์ในทะเลทราย แต่ในหนังเรื่องนี้ ฉากทั้งหมดถูกออกแบบเพื่อให้ผนังทุกด้านสามารถถอดออกได้เพื่อให้กล้องถอยออกไปตั้งอยู่ด้านหลังไกลออกไปได้ ซึ่งจะทำให้เราใช้เลนส์ที่ยาวขึ้นได้และช่วยบีบอัดความตึงเครียดสำหรับช็อตใบหน้านักแสดงแทนที่จะต้องใช้เลนส์ไวด์ในพื้นที่ที่คับแคบมากๆ น่ะครับ เราได้สร้างฉากพวกนี้มากมายเพื่อยกระดับความน่าสนใจด้านวิชวล และเราก็ให้แสงอย่างระมัดระวังเพื่อยกระดับอารมณ์ในแต่ละฉาก ผมคิดและหวังว่า ทั้งหมดนั่นจะช่วยยกระดับหนังเรื่องนี้ได้ครับ…”


ประวัตินักแสดง

เฮเลน เมอร์เรน  รับบท ผู้พันแคทเธอรีน พาวเวลล์

เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำจากการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่อง The Last Station การแสดงในบทราชินีอลิซาเบธที่สองในภาพยนตร์เรื่อง The Queen (2006) ทำให้เธอได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, ลูกโลกทองคำ, แซ็ก อวอร์ดและบาฟต้า อวอร์ด นอกจากนี้ เธอยังได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากแทบทุกสมาคมนักวิจารณ์ตั้งแต่ลอสแองเจลิสไปจนถึงลอนดอน ในปี 2014 เธอได้รับบาฟต้า เฟลโลว์ชิพจากผลงานที่โดดเด่นของเธอในวงการภาพยนตร์

เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ครั้งแรกจากบทราชินีชาร์ล็อตต์ในภาพยนตร์โดยนิโคลัส ไฮท์เนอร์เรื่อง The Madness of King George ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 1994 ด้วยเช่นกัน เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเป็นครั้งที่สองจากผลงานของเธอในภาพยนตร์ปี 2001 โดยโรเบิร์ต อัลท์แมนเรื่อง Gosford Park การแสดงในบทแม่บ้านของเธอยังทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลบาฟต้า อวอร์ด, หลายรางวัลสมาคมนักวิจารณ์และสองรางวัลแซ็ก อวอร์ด (หนึ่งรางวัลจากสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมและอีกหนึ่งรางวัลจากการเป็นส่วนหนึ่งของทีมนักแสดงของเรื่อง)


แอรอน พอล  รับบท สตีฟ วัตส์

เจ้าของ 3 รางวัลเอ็มมี  ตลอด 5 ซีซัน เขารับบท เจสซี พิงค์แมน หนุ่มผู้มีปมในใจ ประกบไบรอัน แครนสตันในซีรีส์รางวัลเอ็มมีและลูกโลกทองคำ ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมทางเอเอ็มซีเรื่อง “Breaking Bad” นอกจากนี้เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำในปี 2014 อีกด้วย

หลังจากนี้ เขาจะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Triple 9 นอกจากนี้ เขายังจะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Fathers and Daughters  ที่กำกับโดยกาเบรียล มุชชิโน เป็นเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวที่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ และเธอก็มองย้อนกลับไปถึงตอนที่โตมากับพ่อของเธอผู้เป็นนักเขียนนิยายชื่อดัง อเล็กซานเดร อาจาได้กำกับพอลในภาพยนตร์เรื่อง The 9th Life of Louis Drax ที่เขาแสดงประกบเจมี ดอร์แนน ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายในเดือนมีนาคม ปี 2016


อลัน ริคแมน รับบท พลโทแฟรงค์ เบนสัน

เปิดตัวในโลกการแสดงด้วยภาพยนตร์เรื่อง Die Hard ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาคือแฟรนไชส์ Harry Potter, Lee Daniels’ The Butler, A Promise, Robin Hood: Prince of Thieves (ได้รับรางวัลบาฟต้า อวอร์ด), Mesmer (ได้รับรางวัลเทศกาลภาพยนตร์มอนทรีอัล), Close My Eyes (ได้รับรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด อวอร์ด), Quigley Down Under, Closet Land และ The January Man

ริคแมนได้เปิดตัวผลงานการกำกับเรื่องแรกด้วยภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากเรื่อง The Winter Guest ที่นำแสดงโดยเอ็มมา ธอมป์สันและฟิลลิดา ลอว์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลซีเนมา แอฟเวอเนียร์ อวอร์ดและรางวัลโอซีไอซี อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์เวนิส นอกจากนั้น มันยังได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์ชิคาโก้อีกด้วย

ริคแมนได้กำกับละครเวทีเรื่อง “Creditors” ที่ดอนมาร์ แวร์เฮาส์และบรู๊คลิน อคาเดมี ออฟ มิวสิค, “My Name Is Rachel Corrie” ที่รอยัล คอร์ท, เวสต์เอนด์และนิวยอร์ก (รางวัลเธียเตอร์โกเออร์ส อวอร์ด), “Wax Acts” ที่เวสต์เอนด์และ “The Winter Guest” ที่เวสต์ ยอร์คเชียร์ เพลย์เฮาส์และอัลเมดา เธียเตอร์


บาร์คัด แอ็บดี้ รับบท จามา ฟาราห์

จะได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Brothers Grimsby ที่นำแสดงโดยซาชา บารอน โคเฮนและกำกับโดยหลุยส์ เล็ทเทอร์เรียร์ และ Extortion ที่นำแสดงโดยแดนนี โกลเวอร์และไอออน เบลลีย์ ภายใต้การกำกับของฟิล โวลเคน

ในตอนที่ภาพยนตร์เรื่อง Captain Phillips กำลังคัดเลือกนักแสดงสำหรับบทโจรสลัดโซมาเลีย พวกเขาได้ประกาศรับสมัครนักแสดงในเมืองที่แอ็บดี้อาศัยอยู่ด้วย แอ็บดี้เป็นหนึ่งในเด็กหนุ่มเจ็ดร้อยคนที่เข้ารับการออดิชั่นและเขาก็ได้รับบท “มิวส์” หลังจากกระบวนการคัดเลือกที่ยาวนาน การแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้แอ็บดี้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์,  รางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลแซ็ก อวอร์ดและได้รับรางวัลบาฟต้าและรางวัลสมาคมนักวิจารณ์ลอนดอน และเขาก็ทำงานอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


ประวัติทีมผู้สร้าง

แกวิน ฮู้ด  - ผู้กำกับ

เขาเป็นที่รู้จักดีที่สุดในฐานะมือเขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์เซาธ์แอฟริกาที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Tsotsi (2005) ที่สร้างจากนิยายโดยนักเขียนบทละครชื่อดัง เอโธล ฟูการ์ด นอกจากนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและบาฟต้า อวอร์ด และได้รับรางวัลพีเพิลส์ ชอยส์ อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตอีกด้วย หลังจาก Tsotsi เขาก็มีผลงานเรื่อง Rendition ที่นำแสดงโดยรีส วิทเธอร์สปูน, เจค จิลเลนฮัลและเมอริล สตรีพและ X-Men Origins: Wolverine ที่นำแสดงโดยฮิวจ์ แจ็คแมน หลังจากนั้น เขาก็มีผลงานเรื่อง Ender’s Game ที่นำแสดงโดยอาซา บัตเตอร์ฟิลด์, แฮร์ริสัน ฟอร์ด, เบน คิงส์ลีย์, วิโอลา เดวิสและเฮลลีย์ สเตนเฟลด์

เขาได้รับงานเขียนบทและกำกับครั้งแรก ด้วยการสร้างดรามาการศึกษาสำหรับกระทรวงสาธารณสุข ผลงานของเขาในแวดวงจอแก้วเพื่อการศึกษาทำให้เขาได้รับรางวัลอาร์เตส อวอร์ด (เอ็มมีของเซาธ์ แอฟริกา) A Reasonable Man ผลงานภาพยนตร์ทุนต่ำเรื่องแรกของเขา ความโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้วาไรตี้ขนานนามฮู้ดว่าเป็นหนึ่งใน “สิบผู้กำกับน่าจับตามอง” ประจำปี 2000


กาย ฮิบเบิร์ท - มือเขียนบท /  ผู้ควบคุมงานสร้าง

ได้รับรางวัลบาฟต้าจากการเขียนบทภาพยนตร์ที่แพร่ภาพทางโทรทัศน์เรื่อง “No Child of Mine” (1997) ที่กำกับโดยปีเตอร์ คอสมินสกี้, “Omagh” (2005) สำหรับพีท ทราวิสและ “Complicit” (2014) รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Five Minutes of Heaven (2009) บทภาพยนตร์สำหรับโทรทัศน์สามเรื่องของเขา “The Russian Bride,” “Prime Suspect: The Scent of Darkness” และ “May 33rd” ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟต้า นอกจากนี้ ฮิบเบิร์ทยังได้รับรางวัลเวิลด์ ซีเนมา สกรีนไรท์ติ้ง อวอร์ดจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในปี 2009 และคริสโตเฟอร์ อีวาร์ท-บิ๊กส์ เมโมเรียล ไพรซ์ในปี 2010 (รางวัลนอร์ธเธิร์น ไอร์แลนด์ พีซ ไพรซ์) จาก Five Minutes of Heaven ภาพยนตร์เรื่องนั้นและภาพยนตร์ของฮิบเบิร์ทเรื่อง “Omagh” ได้รับรางวัลไอริช ฟิล์ม อคาเดมี อวอร์ดสาขาดราม่ายอดเยี่ยม