นานมาแล้วแม่มีเพื่อนชื่อไดอานา
มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอ
เหตุการณ์ทั้งหมดมีศูนย์กลางอยู่ที่โซฟี (มาเรีย เบลโล) เธอเป็นใจกลางของพายุซึ่งกำลังคุกคามชีวิตคนในครอบครัว แต่โซฟีต่างจากใจกลางพายุตรงที่ว่าเธอไม่อาจปกป้องตัวเองจากความบ้าคลั่งของมันได้
มาเรีย เบลโล รับบทเป็นหญิงผู้มีปัญหารายนี้ เธอกล่าวว่า "โซฟีมีอาการทางจิตอยู่แล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่เราได้เห็นเธอ และอาการก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จิตใจเธอแหลกสลาย และเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไม เราไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับไดอานาและความเกี่ยวข้องของเหตุการณ์ทั้งหมด"
แซนด์เบิร์กยอมรับว่า "โซฟีมีปัญหามากมาย เธอเป็นโรคซึมเศร้า และอาจมีอาการของโรคจิตเภทด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ผมอยากสำรวจในหนังเรื่องนี้เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่อาจเกิดกับคนเราได้ก็คือการสูญเสียความคิดจิตใจของตัวเอง เรามองโลกผ่านทางนั้น นั่นคือโลกของเรา ดังนั้นถ้าเส้นแบ่งระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องไม่จริงเกิดพังทลายขึ้นมา ทุกสิ่งก็จะผิดเพี้ยนอย่างหนัก"
คำถามคือ โซฟีเป็นพวกเดียวกันกับไดอานาผู้ลึกลับและอันตราย หรือว่าเป็นแค่ตัวประกัน โซฟีควบคุมไดอานาหรือไดอานาควบคุมโซฟีกันแน่
"มาเรียเป็นนักแสดงชั้นเยี่ยมเท่าที่เคยมีมาเลยครับ" เกรย์ยืนยัน "โซฟีเป็นตัวละครที่ซับซ้อนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่การแสดง เพราะเธอมีหลายมิติอยู่ในคนคนเดียว ดูเหมือนว่าเธอสร้างสิ่งเลวร้ายให้คนในครอบครัวทั้งที่เธอก็รักพวกเขา เธอต่อสู้กับปีศาจของเธอเอง แต่อาการของเธอก็มีเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงมีมิติมากมายให้ต้องถ่ายทอดออกมา"
"ผมติดตามผลงานของเธอมาตลอดครับ" แซนด์เบิร์กกล่าว "มาเรียเป็นนักแสดงที่มีความสามารถเหลือล้นและรับบทเป็นโซฟีได้อย่างวิเศษสุด ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเกเบรียลและเทเรซาซึ่งรับบทเป็นลูกๆ ของเธอก็สมบทบาทมาก"
แต่ความเป็นไปได้ที่โซฟีจะทำลายครอบครัวกลับช่วยให้แม่กับลูกสาวได้มาคุยกัน "โซฟีกับรีเบคกามีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียด" ไฮส์เซอเรอร์กล่าว "ทั้งคู่ผ่านความบอบช้ำมามากมายเมื่อรีเบคกาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและโทษแม่ในหลายๆ เรื่อง มาตอนนี้เมื่อเธอโตขึ้น เธอก็เข้าอกเข้าใจมากขึ้นและมองโลกด้วยมุมมองที่ต่างจากเดิม"
"รีเบคกาเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์มากค่ะ" เบลโลเสริม "ในตอนแรกเธอตลก พึ่งตนเองได้ และสงบเยือกเย็น เธอเป็นคนคอยดูแลน้องชายและแม่ ไม่ใช่ว่าเธออยากรับหน้าที่นั้น แต่เธอก้าวเข้ามาทำเพราะจำเป็นต้องทำ นั่นคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเธอ"
ขณะเดียวกัน ไดอานาที่รีเบคกาจำได้จากวัยเด็กก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ทั้งบ้าบิ่น โกรธเกรี้ยว และคาดเดาไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม ร่างเงาที่แคล่วคล่องว่องไวนี้คอยฉุดตัวคนในบ้านจากเงามืด ดูเหมือนว่าไดอานาไม่พอใจที่จะหลบอยู่ในความมืดอีกต่อไปแล้ว เธอต้องการให้ความมืดมาปกคลุมคนในบ้านด้วย
"เธอมีพลังในความมืดดังนั้นเธอจึงต้องล่อให้พวกเขาอยู่ในความมืดด้วยทุกวิถีทางที่เธอทำได้" แซนด์เบิร์กกล่าว "ให้พวกเขาลงไปที่ชั้นใต้ดิน ให้ไฟดับทั้งบ้าน เธอพยายามลากพวกเขาไปยังสถานที่ซึ่งเธอควบคุมได้เต็มที่"
"การเขียนบทไดอานาเป็นเรื่องซับซ้อน" ไฮส์เซอเรอร์กล่าว "เธออยู่นอกแสงสว่าง ดังนั้นเมื่อมีแสง ไม่ใช่แค่ว่าเรามองไม่เห็นเธอ แต่เธอจะไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ดังนั้นถ้าคุณคิดว่าจะคว้าตัวเธอไว้ได้ในแสงสว่าง คุณคิดผิดแล้ว เธอไม่ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง ดังนั้นจึงมีกฎเฉพาะตัวว่าเราจะเผยตัวเธอได้อย่างไรและเธอทำอะไรได้บ้าง แล้วเราก็ต้องทำตามกฎนั้น"
แทนที่จะใช้ซีจี ทีมงานเลือกใช้ของจริงโดยสร้าง ไดอานา ขึ้นมาผ่านการแต่งหน้า การติดชิ้นส่วนเทียม การให้แสง ตลอดจนทักษะของนักแสดง/สตันท์ อลิเชีย เวล่า-เบลีย์ ทีมงานพบว่าแนวทางนี้ช่วยสร้างวิญญาณที่น่าหวาดกลัวชวนสยองขวัญมากกว่าวิธีแบบดิจิตัล
"การปรากฏตัวของไดอานาประมาณ 95 เปอร์เซ็นต์เป็นแค่ร่างเงา ดังนั้นการเคลื่อนไหวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด" แซนด์เบิร์กเน้นย้ำ
"อลิเชียแข็งแรงมากจนน่าตกใจ" เกรย์กล่าวถึงอดีตนักยิมนาสติกผู้รับบทเป็นไดอานาโดยใช้การบิดร่างกายจนได้ท่าทางที่ทั้งดูเหมือนมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ "ความสามารถของเธอช่วยเราในการสร้างไดอานาให้รวดเร็วและแข็งแกร่ง รวมทั้งเคลื่อนไหวเร็วจนคุณตั้งตัวไม่ทัน เธออาจทิ้งตัวลงมาจากเพดานเหมือนแมงมุมหรือเลื้อยไปตามพื้น มีฉากหนึ่งเธอพุ่งเข้าหามาร์ตินแล้วเขาก็กระโดดกลับไปตรงที่สว่าง เรานึกว่าจะต้องใช้วิชวลเอฟเฟ็กต์เพื่อทำให้ตัวเธอหายไป แต่อลิเชียสามารถดึงตัวกลับได้เร็วมากจนกระทั่งดูเหมือนวิชวลเอฟเฟ็กต์ เหมือนตัวเธอสลายกลับไปสู่ความมืด"
"เวลาอลิเชียใส่ชุดแบบเต็มชุดและเราทำงานกันอยู่ในฉากที่มีแสงสลัวๆ คุณอาจเลี้ยวมาเจอเธอเข้าพอดี แล้วคุณก็ต้องร้อง 'ว้ากกกก!' ออกมา" ไฮสเซอเรอร์เล่าพลางหัวเราะ
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว นักแสดงและทีมงานหลายคนที่ได้เห็นเวล่า-เบลีย์ในชุดไดอานามักจะตกใจลนลาน แม้กระทั่งมาเรีย เบลโลก็ยอมรับว่า "บางทีฉันก็ยังตกใจระหว่างเล่นอยู่ในฉาก"
พาลเมอร์กล่าวว่า "ฉันรู้สึกว่าต้องสลัดความรู้สึกออกไปเมื่อทำงานเสร็จในแต่ละวันเพราะว่าเธอน่าสะพรึงกลัวมากจริงๆ"
นั่นใครน่ะ
คนที่คุ้นเคยกับงานของแซนด์เบิร์กจะสังเกตเห็นหน้าคุ้นๆ ในฉากเปิด นั่นคือหน้าของนักแสดงสาวชาวสวีเดน ล็อตตา ลอสเทน ภรรยาของแซนด์เบิร์ก ซึ่งไม่เพียงเป็นดารานำให้หนังสั้นหลายเรื่องของเขา แต่ยังเป็นมือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างให้หนังสั้นทุกเรื่องด้วย
ในหนังเรื่องนี้ลอสเทนมารับบทเป็นเอสเธอร์ผู้ช่วยของพอลที่โกดัง ช่วงหลังเลิกงาน เอสเธอร์เดินผ่านกองหุ่นโชว์เก่าซึ่งก็น่ากลัวอยู่แล้ว ตอนนั้นเองที่ผู้ชมได้เห็นภาพแวบแรกของไดอานา ร่างสูงผอมแข็งแกร่งที่มืดมิดยิ่งกว่าความมืดรอบตัวเธอ
"เอสเธอร์ปิดสวิตช์ไฟและคิดว่าเธอเห็นอะไรบางอย่างที่อีกฟากหนึ่งของห้อง" แซนด์เบิร์กกล่าว "จากนั้นเมื่อเธอเปิดไฟ มันก็หายไป แล้วพอเธอปิดไฟ มันก็กลับมาใหม่ แต่ละครั้งมันยิ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น"
เอสเธอร์ช่วยให้เราสัมผัสได้ว่าความสนุกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เธอทำให้เราเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติในโกดังนั้นและอาจมีบางอย่างที่ผิดพลาดเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้า ลอสเทนกล่าวว่า "เธอไม่แน่ใจว่าเห็นอะไรหรือว่าเห็นหรือเปล่าด้วยซ้ำ เพราะมันหายตัวไปเมื่อเธอเปิดไฟ ฉากนั้นเองที่กำหนดโทนเรื่องทั้งหมด"
สำหรับทีมผู้สร้างหนัง การเลือกลอสเทนมาแสดงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องถามเลย "เราต้องการให้เธอได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ เพราะความสำเร็จของหนังสั้นเรื่องนั้นเป็นชัยชนะของทั้งสองคน" เกรย์กล่าว "แฟนๆ ชอบเธอและเราก็อยากยกย่องตรงส่วนนั้นด้วย นอกจากนี้การจัดฉากของเหตุการณ์ตอนนั้นก็สะท้อนถึงองค์ประกอบในตัวงานดั้งเดิม ถึงแม้ว่าตัวละครที่ตกอยู่ในอันตรายไม่ใช่เธอ แต่เป็นพอล"
สร้างรูปลักษณ์และอารมณ์
เพื่อสนองความต้องการของคนทำหนังที่อยากได้อารมณ์สมจริงเป็นธรรมชาติมากที่สุด "Lights Out" จึงถ่ายทำแทบทั้งหมดในสถานที่จริงที่เขตไฮแลนด์พาร์คทางตะวันออกเฉียงเหนือของลอสแองเจลีส โดยถ่ายทำเพิ่มเติมในย่านใจกลางเมือง การถ่ายทำครั้งนี้เป็นการกลับมาร่วมงานกันของทีมงานหลายคนที่เคยทำงานกับผู้อำนวยการสร้าง เจมส์ วาน ซึ่งบางคนก็ร่วมงานกันมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับภาพ มาร์ค สไปเซอร์, ผู้ออกแบบงานสร้าง เจนนิเฟอร์ สเปนซ์, ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย คริสติน เอ็ม เบิร์ค และหัวหน้าฝ่ายเมคอัพ เอเลนอร์ ซาบาดูเคีย
ระหว่างการทำงาน ขณะที่สร้างฉากและวางแผนคิวสตันท์ แซนด์เบิร์กอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับการทำงานของเขาก่อนหน้านี้ "เหลือเชื่อมากครับที่มีทีมงานมากมายมาช่วยกันในโครงการที่เริ่มต้นจากหนังยาวแค่สองนาทีครึ่ง ทำกันแบบไม่มีงบโดยมีแค่ผมกับล็อตตาในอพาร์ตเมนต์ของเรา" เขากล่าว "หนึ่งปีต่อมา มีคนมาทาสีกำแพง มีทีมเมคอัพและวิชวลเอฟเฟ็กต์ มีคนมาเจาะรูที่เพดาน...สุดยอดไปเลยครับ เป็นความฝันของคนทำหนังหน้าใหม่ทุกคนเลย"
สำหรับฉากอพาร์ตเมนต์ของรีเบคกา ทีมงานใช้ตึกซึ่งเคยเป็นที่ตั้งธนาคารในย่านที่ได้รับการพัฒนาใหม่ของนอร์ธ ฟิเกอรัว ตรงถนนอะเวนิว 56 หรือที่คนท้องถิ่นรู้จักกันในชื่อ โลเวอร์ ฟิก ทีมงานใช้ชั้นสองทั้งชั้นทำเป็นพื้นที่ฉาก อันประกอบด้วยห้องสามห้องปูพื้นไม้กระดานส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด นั่นเป็นฉากโปรดฉากหนึ่งของสเปนซ์
"หญิงสาวรายนี้อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่หลังออกจากบ้านและทำตัวเหินห่างจากแม่ เธอเป็นขบถอยู่เหมือนกัน" นักออกแบบรายนี้กล่าว "เธอมีความเป็นศิลปินด้วยซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันเข้าถึงได้ ฉันก็เลยชอบทำฉากอพาร์ตเมนต์ของเธอ ฉันอยากสร้างสภาพแวดล้อมที่แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นสาวร็อคแอนด์โรลล์ที่พยายามกันทุกคนออกไป แต่ก็ยังมีมุมหนึ่งในห้องครัวที่เธอปลูกต้นไม้ เพราะฉะนั้นแม้ว่าส่วนอื่นๆ ในอพาร์ตเมนต์จะดูฮาร์ดคอร์อยู่บ้าง แต่ก็ยังมีส่วนที่อ่อนโยน ซึ่งตัวเธอเองก็เป็นอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน"
รายละเอียดสำคัญประการหนึ่งก็คือป้ายร้านรับสักลายที่เป็นไฟนีออนสีแดงและติดอยู่นอกหน้าต่างห้องของรีเบคกา ป้ายไฟที่ติดๆ ดับๆ นี้แสดงให้เห็นตอนไดอานากำลังเข้ามาด้วยภาพที่วาบขึ้นมาเป็นช่วงๆ "นั่นเป็นแนวคิดของเจมส์ครับ" แซนด์เบิร์กกล่าว "ไฟดับไปและเราก็เห็นไดอานาคืบคลานผ่านช่องประตูมา ไฟติดขึ้นแล้วเธอก็หายไป ไฟดับลงแล้วเธอก็มายืนอยู่ในห้องนอนของรีเบคกา ทุกครั้งเธอเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ"
ฉากจริงอีกฉากหนึ่งคือโกดังที่พอลเผชิญหน้ากับไดอานา ซึ่งเป็นโรงงานฟอกผ้าเดนิมในเขตอาร์ตส์ใจกลางเมืองลอสแองเจลีส ที่นี่ผู้กำกับภาพสไปเซอร์และหัวหน้าช่างจัดแสง ไมค์ แอมโบรส ได้วางแผนการจัดแสงเป็นหย่อมๆ ขณะที่พอล พยายามกระโดดข้ามเพื่อไปยังจุดที่ปลอดภัยก่อนไดอานาจะจับตัวเขาเอาไว้
เพื่อเป็นของขวัญให้แฟนๆ ฝ่ายศิลป์ได้หล่อหุ่นรูปปีศาจตัวเดิมจากหนังสั้นของแซนด์เบิร์กมาวางไว้บนชั้นหนังสือที่ห้องทำงานของพอล
แต่ฉากที่ต้องการความใส่ใจมากที่สุดคือบ้านของโซฟี ซึ่งเป็นงานฉากขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยฉากเล็กๆ หลายฉากอยู่ภายใน โดยส่วนที่โดดเด่นที่สุดคือห้องใต้ดิน ทีมงานได้เลือกใช้แมนชั่นเก่าหลังใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ฉากอพาร์ตเมนต์ของรีเบคกาในระยะเดินถึงกันได้ สถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นฉากภาพยนตร์มาแล้วโดยล่าสุดปรากฏในหนังเรื่อง "Ouija" สเปนซ์เลือกใช้โทนสีที่เน้นสีแดงเข้มเป็นหลัก เธอมองว่า "บ้านหลังนี้ให้ภาพที่น่ากลัวและเป็นตัวเลือกที่เหมาะมากสำหรับหนังเรื่องนี้ ภายนอกให้รูปทรงที่หนักแน่น เป็นเกราะหุ้มที่แข็งแกร่ง และสร้างจากซีเมนต์ แต่ภายในนั้นดูขุ่นมัว หมองหม่น และเปราะบาง ซึ่งในแง่หนึ่งก็เป็นการอธิบายถึงตัวโซฟี เธออยู่ในจุดที่มืดหม่นของชีวิต ดังนั้นสำหรับการออกแบบภายในบ้านของเธอ ฉันจึงได้เลือกของโบราณมาเป็นจำนวนมากที่ไม่เพียงแต่เข้ากับยุคสมัยของบ้าน แต่ยังแสดงให้เห็นว่าโซฟียึดติดอยู่กับสิ่งที่ฉุดรั้งตัวเธอ"
ในทางกลับกัน เธอชี้ให้เห็นว่า "ห้องของมาร์ตินเป็นสีเขียว เป็นห้องที่ไม่เศร้าหมองเพราะว่ามีพลังชีวิตอยู่ในนั้น ทั้งรถ หนังสือการ์ตูน และของเล่น แม่รักมาร์ตินมาก เธอจึงตกแต่งห้องของเขาอย่างดีเพราะนั่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ แม้ว่าเธอต้องต่อสู้กับอาการป่วย แต่ก็ยังใส่ใจในตัวเขาและสิ่งนี้ก็สะท้อนออกมาผ่านห้องของเขาด้วย"
โชคร้ายสำหรับมาร์ตินที่ห้องนอนสดใสเป็นร้อยห้องก็ไม่อาจหักลบความสยองขวัญในห้องใต้ดินได้ สเปนซ์บรรยายภาพว่า "พอลเป็นเจ้าของบริษัทเสื้อผ้า ดังนั้นคุณจึงเห็นหุ่นโชว์เก่าๆ ซึ่งทอเงามืดอยู่ในห้องใต้ดิน แล้วก็ยังมีข้อความลึกลับเขียนอยู่ด้วย เราเห็นอะไรแบบนี้ในหนังมาแล้วหลายเรื่อง ก็เลยอยากให้มันดูแตกต่างออกไป ฉันจึงวางซ้อนข้อความนั้นลงไปตามที่ต่างๆ อย่างบนบันไดและหน้าต่างแล้วจับมันผสมกันนิดหน่อย ให้คุณอ่านข้อความนั้นได้จากทิศทางเดียว"
เมื่อเราขอให้เลือกส่วนที่น่ากลัวที่สุดของหนัง ไฮส์เซอเรอร์มองว่าฉากใต้ดินน่าจะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ "ตอนไหนน่ากลัวที่สุดเหรอครับ มีเยอะแยะจนยากที่จะเลือกแค่ฉากเดียว แต่ผมคงต้องบอกว่าเป็นตอนที่รีเบคกากับมาร์ตินลงไปค้นพบสิ่งที่อยู่ในชั้นใต้ดิน" เขากล่าว
เพื่อสร้างบรรยากาศความน่าอึดอัดตลอดทั้งเรื่อง เกรย์กล่าวว่า "กล้องมักจะอยู่ในมุมต่ำจากมุมมองของมาร์ติน ซึ่งทำให้ทุกอย่างดูใหญ่ขึ้นและน่าสะพรึงกลัวมากขึ้น"
ทั้งเงื่อนไขการดำรงอยู่ของไดอานาและตัวชื่อหนังเองก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าความท้าทายสำคัญอยู่ที่การให้แสง "แสงเป็นส่วนสำคัญของเรื่องนี้ ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนอย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง" แซนด์เบิร์กกล่าว ที่สำคัญไม่แพ้กันคือจุดที่ไม่มีแสง เพราะผู้กำกับตั้งใจที่จะไม่ใช้โทนสีฟ้าตอนกลางคืนแบบที่ใช้กันในหนังทั่วไป ถ้าทำแบบนั้นเราก็จะเห็นวัตถุต่างๆ ได้อย่างชัดเจน แต่แซนด์เบิร์กต้องการสิ่งที่เขาเรียกว่า "ความมืดที่แท้จริง ความมืดแบบที่อาจมีอะไรซ่อนอยู่ก็ได้ ผมมักจะรู้สึกว่าถ้าในเฟรมมีบางส่วนที่มองไม่เห็น มันก็จะยิ่งน่ากลัว
"ในหนังผี คุณอาจให้วิญญาณเคลื่อนไปรอบๆ เป็นเฉดสีขาวและใช้การจัดแสงช่วย แต่ไดอานาเป็นร่างเงาแทบจะตลอดเวลา" เขากล่าว "เราไม่สามารถจัดแสงให้ส่องตรงไปยังตัวเธอได้ เพราะเมื่อแสงส่องเธอก็จะต้องหายไปแล้ว ในฉากกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้กระทั่งประกายจากปากกระบอกปืนก็ทำให้ห้องสว่างมากพอที่จะทำให้เธอหายตัวไปทุกครั้งที่ตำรวจยิงเธอ ปัญหาก็คือเราจะจัดแสงให้วิญญาณซึ่งไม่สามารถอยู่ในแสงสว่างได้อย่างไร"
แซนด์เบิร์กและทีมงานใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาวิธีการต่างๆ เพื่อปรับทิศทางของแสง ให้เราได้เห็นไดอานาแบบแวบๆ ในส่วนขอบและพื้นที่สีเทาเมื่อตัวละครในเรื่องเผชิญหน้ากับเธอ ทั้งหมดนี้ยิ่งช่วยเพิ่มความตึงเครียดให้มากขึ้น
เมคอัพซึ่งช่วยกำหนดรูปลักษณ์ของไดอานาแบ่งออกเป็นสามระดับเพื่อเผยร่างของเธอออกมาเป็นสามขั้น ตั้งแต่ช่วงแรกที่เป็นร่างเงาเคลื่อนไหวไปมา จนมาเป็นร่างที่มีรายละเอียดมากขึ้น และสุดท้ายคือการเผยร่างที่น่าเกลียดน่ากลัวออกมา ตลอดการถ่ายทำ อลิเชีย เวล่า-เบลีย์ใส่ชุดบอดีสูทเต็มตัวสีดำที่มีพื้นผิวพิเศษและผลิตโดยนักออกแบบชิ้นส่วนเทียม แมทธิว ดับบลิว มังเกิล นอกจากนี้เธอยังสวมวิกสีดำ ลงเมคอัพที่มือและใบหน้า รวมถึงใส่อุปกรณ์ปิดตาซึ่งดูเหมือนแว่นที่ใช้ในเตียงอบผิวแทน โดยมีเลนส์ขนาดเล็กจิ๋วให้เธอมองเห็นได้แต่บังดวงตาของเธอไว้ไม่ให้เห็นในกล้อง ส่วนในขั้นที่สองนั้นต้องติดชิ้นส่วนเทียมเพิ่มเติมพร้อมกับใส่ชุดที่เห็นรูปทรงมากยิ่งขึ้นโดยแสดงให้เห็นร่องรอยของร่างกายที่เสียหายและเสียโฉม ขั้นที่สามต้องใช้เวลาเตรียมการราวเจ็ดชั่วโมงและทีมงานเมคอัพด้านเอฟเฟ็กต์ถึงสี่คน
"เราได้ไอเดียมาว่าน่าจะทำให้ผิวหนังของเธอดูโปร่งแสงในบางส่วนจนทำให้เห็นกล้ามเนื้อและกระดูก ซึ่งทีมงานก็ทำออกมาได้อย่างสวยงาม" แซนด์เบิร์กกล่าวชื่นชม "เธอมีนิ้วงอกยาวออกมา ทีมงานยังได้เน้นช่วงกระดูกเชิงกรานและข้อศอกเพื่อให้เธอดูผอมลงด้วยเพราะเมื่อคุณทำให้ส่วนเหล่านั้นโดดเด่นออกมา ทุกอย่างก็จะดูผอมลีบลง เธอเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวมากๆ เลยครับ"
งานที่ละเอียดกว่าก็คือการถ่ายทอดความเปลี่ยนแปลงของโซฟีที่เกิดขึ้นคู่ขนานกันไป ดังที่เบิร์ค นักออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้ให้ความเห็นไว้ "เธอเริ่มต้นจากจุดที่ยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ แทบจะเรียกได้ว่ามีบุคลิกที่งดงาม แต่เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลง เราก็จะได้เห็นสภาพความเสื่อมถอยผ่านเครื่องแต่งกายของเธอด้วย"
รีเบคกาและเบรตใส่ชุดคล้ายเสื้อเกราะเหมือนประกาศให้โลกรู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่ง มันเป็นภาพลวงตา แต่ก็เป็นภาพลวงตาที่เบิร์คไม่อยากให้ชัดเจนเกินไป "หลักๆ แล้วเราต้องการให้พวกเขาดูหม่นหมองและท้าทายโดยใช้สีดำและเครื่องประดับที่โดดเด่น แต่ก็ไม่ถึงกับว่าเข้าถึงไม่ได้" เธอกล่าว "รีเบคกามีสร้อยคอแปลกๆ หลายเส้น รวมถึงสร้อยคอจากศิลปินชื่อ ไคอา คูปแมน เป็นรูประเบิดมือผสมกระต่ายคล้องอยู่กับสายโซ่"
ในแง่นี้ อเล็กซานเดอร์ ดิเพอร์เซีย ตั้งข้อสังเกตว่า "มันเป็นการสร้างขั้วตรงข้ามระหว่างรูปลักษณ์กับการกระทำของตัวละครสองตัวนี้ คุณตัดสินหนังสือจากหน้าปกอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ เบรตไม่ได้ดูเหมือนคนที่จะเป็นจะตายกับการได้อยู่กับแฟนหรือคนที่จะทำแซนด์วิชให้น้องชายแฟน แต่เขาก็เป็นอย่างนั้น เพียงเพราะว่าพวกเขาแต่งชุดดำและฟังเพลงเดธเมทัลไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะยอมรับเจ้าสิ่งนี้ได้ พวกเขาก็อยากหนีไปให้พ้นๆ เหมือนกับทุกคนนั่นล่ะครับ"
เอื้อมมือมาคว้าคุณ
"มีฉากสตันท์ในหนังเรื่องนี้มากกว่าที่เราคิดไว้ตอนแรก เพราะยิ่งเราคิดก็ยิ่งมีความเป็นไปได้มากมาย" แซนด์เบิร์ก กล่าว "มีหลายคนตัวลอยขึ้นไปและถูกจับทุ่มกับกำแพง เนื่องจากร่างของไดอานาอยู่ได้เฉพาะในความมืด อะไรก็ตามที่เธอยกขึ้นมาจะร่วงลงกับพื้นทันทีที่ไฟสว่าง และเราก็พบวิธีการมากมายที่จะเล่นกับเงื่อนไขนี้"
"หลักการหนึ่งที่เราใช้เป็นแนวทางก็คือลดการใช้วิชวลเอฟเฟ็กต์ให้น้อยที่สุด ดังนั้นแทบทุกอย่างจึงเป็นเอฟเฟ็กต์ที่ทำขึ้นจริงในกล้อง" เกรย์กล่าว ตัวอย่างเช่น ฉากที่ไดอานายื่นมือจากเพดานเพื่อคว้าสร้อยที่คองรีเบคกาและยกตัวเธอลอยขึ้นมาจนหายใจไม่ออกนั้นทำได้ด้วยการใช้สายรั้ง ลวดสลิง และรอก
ผู้ประสานงานฝ่ายสตันท์ มาร์ค นอร์บี ให้รายละเอียดว่า "เดวิดมีไอเดียที่จะใช้สร้อยคอ จากนั้นเมื่อถึงจุดที่สร้อยจะรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว ไดอานาก็ยื่นมืออีกข้างหนึ่งไปคว้าผมของรีเบคกาเอาไว้ เราทำได้โดยใช้ตัวเทเรซาจริงๆ เราดึงเธอขึ้นไปเล็กน้อยและปล่อยตัวเธอลงมา เธอร่วมมือเต็มที่และทำงานได้ดีมาก ขณะเดียวกัน อลิเชียก็เกาะอยู่ที่ขอยึดบนเพดาน จึงดูเหมือนว่าไดอานากำลังซ่อนตัวอยู่ตรงมุมมืด คร่อมตัวอยู่ระหว่างผนัง แนวคิดเบื้องหลังฉากนี้คือการให้ผู้ชมรู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องปรากฏตัวในระดับสายตา เธออยู่ที่ไหนก็ได้"
สำหรับฉากที่ไดอานาไล่ตามเบรตนั้นต้องอาศัยสตันท์เพราะมีความสูงเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมีการลงสู่พื้นซึ่งดูเหมือนคอนกรีตแต่ที่จริงเป็นโฟมความหนาแน่นสูง นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์พิเศษช่วยชะลอความเร็วของนักแสดงก่อนถึงจุดตกกระทบ
ฉากที่นักแสดงเด็ก เบตแมน ชอบเป็นพิเศษคือฉากสตันท์ที่เขาเล่นสองฉาก "มีฉากหนึ่งซึ่งผมถูกดึงที่ใต้เตียง และอีกครั้งที่ผมถูกลากไปข้างหลัง" เขากล่าว "สนุกดีครับ"
ทีมผู้สร้างหนังต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว งานส่วนใหญ่ใน "Lights Out" เป็นเรื่องสนุก เป็นการทำงานที่ตัวเองรักเพื่อแฟนๆ ที่ชื่นชอบหนังแนวนี้อย่างแท้จริง และพวกเขาก็หวังว่าผู้ชมจะรู้สึกเช่นเดียวกัน เมื่อนึกย้อนกลับไปยังแรงบันดาลใจดั้งเดิม ไฮส์เซอเรอร์ให้ความเห็นว่า "ผมนึกไม่ออกเลยว่าผู้ชมจะเป็นอย่างไร ถ้าเผื่อคุณกลั้นหายใจตลอดสองนาทีครึ่งที่ดูหนังสั้นเหมือนผมล่ะก็ คุณคงต้องเตรียมพกถุงกระดาษเข้าไปช่วยหายใจเลยเพราะคุณจะต้องเจอความตื่นเต้นแบบนี้ยาวตลอด 90 นาที"
เกรย์กล่าวว่า "มีฉากน่ากลัวที่เป็นเอกลักษณ์และน่าสนใจอยู่มากมายในหนังเรื่องนี้ ผมคิดว่าผู้ชมคาดหวังได้ว่าจะได้พบเรื่องราวเขย่าขวัญน่าตื่นเต้นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทีมงานบางคนบอกว่าต้องคอยมองเหลียวหลังและฝันร้ายเมื่อกลับไปที่บ้าน ซึ่งในกรณีของเราถือเป็นเรื่องดีครับ"
เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมงานซึ่งค้นพบ "Lights Out" ในรูปของเรื่องเล่าสั้นๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในโลกออนไลน์ เจมส์ วาน ตระหนักดีถึงศักยภาพของเรื่องนี้ในการเข้าถึงคนวงกว้างด้วยสเกลที่ใหญ่กว่าเดิมมาก แต่เขายกความดีให้วิสัยทัศน์ของเดวิด แซนด์เบิร์ก และแนวคิดอันทรงพลังของแก่นเรื่องซึ่งทำให้ผลงานนี้มีความพิเศษ "สิ่งที่เดวิดทำในหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมชอบเลยครับ นั่นคือการทำหนังแบบที่ผมชอบดูเมื่อตอนเป็นเด็ก หนังสยองขวัญสนุกๆ ที่น่าสะพรึงกลัวแต่ก็ให้ความบันเทิงไปพร้อมกัน และทำให้คุณอยากดูอีก"
รวมทั้งอาจทำให้คุณเข้าใจธรรมชาติมนุษย์มากขึ้นด้วย แซนด์เบิร์กกล่าวว่า "ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้มีศักยภาพที่จะทำให้คนกลัวได้เพราะการกลัวความมืดก็คือการกลัวสิ่งที่เราไม่รู้ และในแง่นั้นมันก็เป็นสิ่งที่เราทุกคนรู้สึกเหมือนกัน คุณไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นหรือว่ามันจะตามคุณมาหรือเปล่า เวลาเราปิดไฟที่บ้าน หลายคนคงเคยคิดว่า 'มีใครยืนอยู่ตรงมุมห้องรึเปล่านะ' แล้วเราก็เปิดไฟและเห็นว่า โอเค ก็แค่เสื้อโค้ตที่แขวนอยู่หรืออะไรแบบนั้น หลังจากได้ดู 'Lights Out' พร้อมผู้ชมในการฉายครั้งแรกๆ ผมดีใจมากที่ได้เห็นผู้ชมเข้าถึงเรื่องราว บางครั้งก็สะดุ้ง และบางครั้งก็หัวเราะด้วย"
เขากล่าวเสริมอย่างขำๆ ว่า "มันอาจเหมือน 'Jaws' ก็ได้นะ แต่แทนที่จะกลัวการลงทะเล คนอาจกลัวการปิดไฟกันมากขึ้นก็ได้"
Lights Out - มันออกมาขย้ำ
เปิดรอบพิเศษ วันนี้ - 20 ก.ค. สองทุ่มเป็นต้นไป ฉายจริง 21 ก.ค. นี้
https://www.facebook.com/LightsOutTheMovieThailand