happy on June 04, 2016, 06:26:13 PM

ชื่อไทย:   คู่สืบคู่แสบ
วันที่เข้าฉาย:   16 มิถุนายน 2559
จัดจำหน่าย:   บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=vqGgBrzKA5U" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=vqGgBrzKA5U</a>

                ดเวย์น จอห์นสัน และเควิน ฮาร์ท แสดงนำในภาพยนตร์แอ็กชั่นสุดฮา “Central Intelligence” ผลงานจากนิวไลน์ ซีนีม่า และยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส 

         นี่คือเรื่องราวของอดีตเด็กเฉิ่มที่โดนรังแก บ็อบ (จอห์นสัน) ที่เติบโตมาเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ที่กลับมาบ้านเพื่อร่วมงานเลี้ยงรุ่นเพื่อนเรียนไฮสกูล บ็อบที่อ้างว่าอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจลับสุดยอด ขอความช่วยเหลือจากคาลวิน (ฮาร์ท) อดีตขาใหญ่ประจำโรงเรียน ซึ่งปัจจุบันเขากลายเป็นสมุหบัญชีที่ยังคงคิดถึงสมัยวัยรุ่นที่รุ่งเรืองสุดๆ แต่ก่อนที่หนุ่มนักบัญชีจะทันรู้ตัวว่าเขาเดินเข้าไปเจอกับอะไร มันก็สายเกินกว่าจะถอนตัวเสียแล้ว เมื่อเพื่อนใหม่ที่นับวันก็ยิ่งเดาใจไม่ถูก ได้ลากเขาไปเผชิญกับโลกที่จู่ๆ ก็ยิงถล่มกัน โกหกหักหลังสารพัด และงานจารกรรมที่อาจทำให้พวกเขาถูกฆ่าตายได้หลากหลายแบบเกินกว่าคาลวินจะนับได้ทัน

         “Central Intelligence” ยังร่วมแสดงโดย เอมี่ ไรอัน (“Bridge of Spies,” ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ จากภาพยนตร์เรื่อง “Gone Baby Gone”), แอรอน พอล (ผลงานทางทีวีเรื่อง “Breaking Bad”) และแดนีลล์ นิโคเล็ต (ผลงานทางทีวีเรื่อง “The Game”)

         ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย รอว์สัน มาร์แชลล์ เธอร์เบอร์ (“We’re the Millers,” “Dodgeball”) จากบทภาพยนตร์ที่เขียนโดย ไอก์ บารินโฮลทซ์ และเดวิด สแตสเซ่น และรอว์สัน มาร์แชลล์ เธอร์เบอร์ จากเรื่องที่คิดสร้างโดย ไอก์ บารินโฮลท์ซ และเดวิด สแตสเซ่น ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย สก็อตต์ สตูเบอร์, ปีเตอร์ พรินซิพาโต้, พอล ยัง และไมเคิล ฟ็อตเทรลล์ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ โทบี้ เอ็มเมอริช, ริชาร์ด เบรนเนอร์, ซามวล เจ บราวน์, ไมเคิล ดิสโก้ และเอ๊ด เฮล์มส์

         ทีมงานหลังกล้อง ได้แก่ ผู้กำกับภาพ แบร์รี่ ปีเตอร์สัน, โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ สตีเฟ่น ไลน์วีเวอร์, มือลำดับภาพ ไมก์ เซล และไบรอัน โอล์ดส์ และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้แก่ แครอล แรมซี่ย์ ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ ธีโอดอร์ ชาปิโร่ และลุดวิก โกรานส์สัน

         นิวไลน์ซีนีม่า และยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานการสร้างของ บลูแกลส ฟิล์มส์/ พรินซิพาโต้ ยัง เอนเตอร์เทนเมนต์ ภาพยนตร์ของ รอว์สัน มาร์แชลล์ เธอร์เบอร์ เรื่อง “Central Intelligence” ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดจำหน่ายโดย วอร์เนอร์ บราเธอร์ส พิคเจอร์ส บริษัทในเครือ Warner Bros. Entertainment Company





เบื้องหลังงานสร้าง

บ็อบ
ฉันมีแผนแล้ว เราอาจดับทั้งคู่
แต่ถ้ารอด มันจะเป็นตำนานเลย เจ๋งป่ะ?

คาลวิน
ไม่! ไม่ ไม่เจ๋งเลย

บ็อบ
เจ๋งดิ

การจับคู่ระหว่าง ดเวย์น จอห์นสัน กับเควิน ฮาร์ท ในบทอดีตเพื่อนร่วมโรงเรียนไฮสกูลที่ไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ และสุดท้ายกลายเป็นคู่หูที่ยิ่งไม่น่าจะเข้าคู่กันได้และต้องมาช่วยกันกู้โลกโดยไม่ได้ตั้งใจและต้องหนีการตามล่า ภาพยนตร์ของผู้กำกับ รอว์สัน มาร์แชลล์ เธอร์เบอร์ เรื่อง “Central Intelligence” นำเสนอเรื่องราวสุดป่วนที่เดินเรื่องได้ทั้งฉับไวและฮากระจายที่ผสมผสานทั้งงานตลกและฉากแอ็กชั่นระเบิดระเบ้อเข้าไว้ด้วยกัน

ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเล่นกับความผกผันของความคาดหวัง ทั้งกับตัวละครหลักๆ และนักแสดงที่รับบทเป็นตัวละครเหล่านั้น

“สิ่งที่สะดุดความสนใจของผม และทำให้ผมเกิดความสนใจที่จะรับเล่นหนังเรื่องนี้” จอห์นสันบอก “ก็คือมันจับผมไปอยู่ในส่วนของงานตลกเยอะขึ้น และให้เควิน ซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงตลกที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก มาเล่นบทที่เป็นคนตรงๆ มากกว่า ดังนั้นเราทั้งสองคนจึงเหมือนถูกจับโยนเข้าไปในสถานการณ์ที่เราต้องใช้งานกล้ามเนื้อที่ต่างไปจากเดิม และทุกอย่างก็มาประสานกัน และเราก็มาเจอกันตรงกลางครับ”

“ในหนังเรื่องนี้ ผมจะเป็นคนตรงๆ ขณะที่ ดเวย์น จะเป็นคนรับบทตลกไป ซึ่งเราว่ามันคงจะดูสดใหม่และสนุกดีเลยแหละ และคงจะเป็นงานที่แตกต่างออกไปด้วย” ฮาร์ทกล่าวเสริม “อีกอย่าง คุณจะยังคงได้เจอ ดเวย์น อย่างที่ทุกคนอยากจะเห็น เป็นผู้ชายที่สามารถเล่นงานคนจนน่วม แต่การผสมผสานระหว่างดีเจ (ดเวย์น จอห์นสัน) กับผม นั่นแหละคือจุดที่เราชนะใส พลังมีเหลือล้นจนน่าทึ่งจริงๆ ครับ”

การแสดงที่เข้าขากันของทั้งคู่คือสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่อง “Central Intelligence” กลายเป็นการผจญภัยที่สุดตื่นเต้น สนุกสนาน

เธอร์เบอร์ ผู้กำกับภาพยนตร์แนวตลกที่ประสบความสำเร็จ เพิ่งก้าวเข้ามาจับงานแอ็กชั่นเป็นครั้งแรก เขาบอกว่า “คำแนะนำที่ผมมีใครทุกคนที่คิดจะมาทำหนังตลกแอ็กชั่นเป็นครั้งแรกก็คือ ให้จับ ดเวย์น จอห์นสัน และเควิน ฮาร์ท มาแสดงเถอะ เพราะมันจะช่วยทำให้งานของคุณง่ายขึ้นเยอะเลยครับ เพราะคุณจะได้คนที่ตลกที่สุด และดาราแอ็กชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และจับพวกเขามาอยู่ด้วยกัน”

แค่ส่วนสูงที่ต่างกันถึง 12 นิ้วของสองดารานำของหนัง ก็ถือเป็นภาพที่ฮาแล้ว เธอร์เบอร์เล่าถึงตอนที่พวกเขาได้พบกันครั้งแรกก่อนจะเริ่มการถ่ายทำว่า “พวกเขาอาจมีรูปร่างและขนาดตัวที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาเหมือนถูกตัดออกมาจากผ้าผืนเดียวกัน การได้เห็นพวกเขามานั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะ หรือมายืนอยู่ข้างๆ กัน มันคือการทำแต้มได้อย่างง่ายดาย พวกเขาสองคนเยี่ยมยอดเมื่ออยู่ด้วยกัน และมีความสามารถทั้งในฐานะปัจเจกชน และในฐานะทีม แล้วพวกเขาก็เป็นคนมีน้ำใจเหมือนกัน และวิธีการทำงานที่พวกเขาจริงจังกับงาน แต่ไม่เคยทำตัวเครียด และระดับการแสดงที่เข้าขากันนั้น ก็ไม่ใช่เพราะการกำกับ หรือการเขียนบท แม้กระทั่งในสถานการณ์ที่เยี่ยมที่สุด มันเป็นเหมือนผงวิเศษ มันคือสิ่งที่คุณได้แต่ทำนิ้วไขว้กัน แล้วหวังว่าจะได้งานดีๆ แบบนั้นออกมา”

เธอร์เบอร์ยังเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ร่วมกับไอก์ บารินโฮลท์ซ และเดวิด สแตสเซ่น

ตอนต้นเรื่อง ตัวละครของจอห์นสันถูกแนะนำให้คนดูได้รู้จักผ่านภาพแฟลชแบ็คในฐานะร็อบบี้ เวียดดิชต์ เด็กนักเรียนไฮสกูลที่ไม่เท่ไม่เจ๋ง เขาเป็นเด็กร่างยักษ์ที่จิตใจดี จนทำให้เขากลายเป็นเหยื่อของเหล่าเด็กอันธพาลในโรงเรียน และถูกสถานการณ์บีบให้ต้องลาออกจากโรงเรียนหลังจากต้องอับอายเมื่อเขาที่อยู่ในสภาพแก้ผ้าถูกจับโยนเข้ามาในสนามกลางโรงเรียน

ในเวลาเดียวกัน คาลวิน ตัวละครของฮาร์ท หรือโกลเด้นเจ็ท คือนักกีฬาขวัญใจของโรงเรียนเซ็นเตอร์ไฮห์ เรียกว่าเขาคือซุปตาร์ เป็นชายที่ชีวิตเต็มไปด้วยโอกาส และทุกคนเชื่อว่าเขาคือคนที่น่าจะประสบความสำเร็จมากที่สุด

20 ปีต่อมา โชคดีที่ไม่มีใครยอมลงพนันข้างคาลวิน เพราะเขากลายเป็นสมุหบัญชีที่ไม่กล้าเสี่ยง ผู้พยายามไต่เต้าแต่ไม่ไปไหนอยู่ในบริษัท และไม่เคยได้รับความเคารพจากเพื่อนร่วมงานเลย จนทำให้คาลวินรู้สึกลำบากใจกับการต้องกลับไปงานเลี้ยงรุ่นของโรงเรียนในสภาพที่เขาทำงานที่ไม่มีโอกาสรุ่ง ชีวิตแต่งงานที่มีรายได้เดือนชนเดือน และความเป็นอยู่ที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ทุกคนคาดหวัง ขณะเดียวกัน อดีตเด็กยักษ์ที่ไม่เอาไหนที่ทุกคนเรียกเขาว่า ร็อบบี้ตัวประหลาด กลับประสบความสำเร็จกับการสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ในชื่อบ็อบ หนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้มีความเชื่อมั่น มีร่างกายแข็งแกร่งกำยำ มีทักษะฝีมือ และสัญชาตญาณแบบเจ้าหน้าที่ซีไอเอ และมีชีวิตที่น่าตื่นเต้นอย่างที่คาลวินได้แค่นั่งฝันถึง

อันที่จริง ทั้งคู่ไม่เคยเป็นเพื่อนกันจริงๆ แต่สิ่งที่บ็อบจำได้คือการกระทำที่มีน้ำใจของคาลวินเพียงแค่ครั้งเดียวขณะที่เขาโดนรังแก เมื่อคาลวินนำเสื้อแจ็คเก็ตมาคลุมตัวให้บ็อบ และเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ บ็อบจึงชวนคาลวินไปดื่มเบียร์ด้วยกันก่อนหน้าจะถึงวันเลี้ยงรุ่นสองวัน จะมีอะไรเสียหายนักกับการไปนั่งดื่มเบียร์รำลึกความหลังกันแค่คืนเดียว    

ภายในไม่กี่ชั่วโมง คำชวนที่แสนธรรมดาของบ็อบที่ขอให้คาลวินมาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน กลับพลิกผันไปอย่างน่าสงสัย ทำให้อดีตเพื่อนร่วมโรงเรียนของเขาต้องก้าวเข้าสู่เขาวงกตแห่งการทำธุรกรรมผิดกฎหมาย และแผนการร้ายที่มีคนขโมยรหัสระบบดาวเทียมสอดแนมของสหรัฐฯ ไป ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของโลก

ขณะที่เหล่าผู้มีอำนาจเชื่อว่าบ็อบเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการร้ายนี้ และพยายามจะจับตัวเขากลับมาให้ได้ บ็อบอ้างว่าเขากำลังติดตามหาผู้ร้ายตัวจริง ซึ่งใช้รหัสชื่อว่า แบล็คแบ็ดเจอร์ และถึงแม้คาลวินจะปฏิเสธว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย แต่ทั้งบ้านและที่ทำงานของเขาถูกเจ้าหน้าที่ที่พกปืนบุกเข้าตรวจค้น ตัวเขาเองทั้งโดนขู่ โดนไล่ล่า และถูกยิง ทันใดนั้น ชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับว่าเขาจะลงมือได้เร็วแค่ไหน และเขาสามารถเกาะติดชายที่ในเวลานี้ เขาอยากให้ตัวเองไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยได้ติดหนึบแค่ไหน

ถึงจุดนี้ ฮาร์ทบอกว่า “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักฆ่าสุดโหด มาร่วมทีมกับหนุ่มออฟฟิศที่แสนธรรมด๊าธรรมดา เพื่อจะคลี่คลายแผนการร้ายและเคลียร์ชื่อเสียงของตัวเองให้ขาวสะอาด คาลวินเองก็ได้ทำเรื่องที่เขาไม่เคยพบเห็นหรือไม่เคยทำมาก่อน แต่เขาแทบไม่มีเวลาได้คิด เขาอยู่ผิดที่ผิดเวลาจริงๆ

“รอว์สันเข้าใจทั้งโทนและจังหวะจริงๆ ครับ” ฮาร์ทบอก “มันไม่ใช่แค่จังหวะของงานแอ็กชั่นเท่านั้น แต่มันคือวิธีที่ทุกอย่างประสานเข้าด้วยกัน การลำดับเหตุการณ์นั้นไร้รอยต่อ งานเขียนบทก็แสนฉลาด และมีฉากเล็กๆ หลายฉากด้วยกันที่เราได้รับอนุญาตให้ทำให้เป็นฉากใหญ่เพราะเรามีทีมนักแสดงระดับสุดยอด และรอว์สันก็ให้โอกาสเราได้เล่นครับ”

ที่ทำให้คาลวินรู้สึกหงุดหงิดมากก็คือ บ็อบไม่เคยหลุดเท่ หรือไม่เคยหยุดมองโลกในแง่ดีเลย ขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นภัยต่อชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่เคยหยุดชื่นชมเพื่อนที่กลายมาเป็นคู่หูผจญภัยของเขา “คุณเจอคนที่ชอบความตื่นเต้นของการได้ลุย เขากระหายมันด้วยซ้ำ นั่นแหละคือบ็อบ” จอห์นสันบอก “ขณะที่ชายอีกคนก็เกลียดมันมาก เขาพยายามต่อต้าน เขาไม่อยากไป และบ่อยครั้งที่มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับหนังตลกแอ็กชั่นคู่หู แต่ก็มีความแตกต่างนะครับ องค์ประกอบที่เจ๋งที่สุดก็คือ บ็อบยังคงมีความชื่นชมบูชาในตัวคาลวิน เหมือนที่เขาเคยรู้สึกสมัยเรียน และมันไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ถึงแม้ว่าชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปสักแค่ไหนก็ตาม ผมชอบไอเดียที่ชายสองคนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว และบ็อบก็กลายเป็นหนุ่มทรงพลังและแข็งแกร่งมาก แต่เขายังคงมองคาลวินราวกับเขาคือฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ “นายเจ๋งที่สุด นายคือโกลเด้นเจ็ท ฉันรักนายว่ะเพื่อน’” 

ในทางกลับกัน ฮาร์ทบอกว่า “ความสัมพันธ์ของพวกเขาพัฒนาไป เพราะคาลวินเริ่มมองเห็นแล้วว่ายังมีความใสซื่ออยู่ในตัวบ็อบ เมื่อพวกเขาเกิดความไว้วางใจ คาลวินรู้ดีว่างานนี้ ถ้าไม่ลุย ก็ต้องถอยสถานเดียว เขาต้องตัดสินใจว่าจะทุ่มเททุกอย่างที่มี และกลายเป็นคู่หูของบ็อบจริงๆ หรือไม่” 

กับการได้เห็นภาพของชายทั้งสองคนนี้สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ก่อนที่จะมาเจอพวกเขาในวัยผู้ใหญ่ในปัจจุบัน เรื่องราวนี้ยังอัดแน่นไปด้วยความเป็นจริงที่ทุกคนที่เคยผ่านช่วงเวลาเดียวกันนี้สามารถเข้าใจได้ สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าประสบการณ์เหล่านั้นจะเป็นประสบการณ์ที่ดีหรือแย่แค่ไหนก็ตาม จงเผชิญหน้ากับมัน ยังไงมันก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่แล้ว 

“สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ การรับรู้ว่าคนเราทุกคนเหมือนถูกกำหนดมาระดับหนึ่งโดยโรงเรียนไฮสกูล” สก็อตต์ สตูเบอร์ ผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้ บอก “ข้อเสียในวัยผู้ใหญ่คือสิ่งที่คุณนำมาจากวัยเด็กของคุณครับ คุณอาจแก้ไข้มัน และพัฒนาต่อไป หรือคุณอาจยังคงหาทางชดเชยมันด้วยพฤติกรรมสุดขั้ว ผมคิดว่านั่นเป็นไอเดียที่น่าสนใจที่จะนำเสนอในหนังตลกฟอร์มใหญ่ สำหรับบ็อบ เขาทำทุกอย่างเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาได้เอาชนะสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขาแล้ว แต่เขาได้แก้ปัญหานั้นทั้งหมดแล้วจริงหรือ”
 
มันคือคำถามที่เรื่องนี้นำเสนอในฉากที่บ็อบต้องเผชิญหน้ากับศัตรูเก่าจากโรงยิมของโรงเรียน และหลายอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดคิด “มุขตลกก็คือ ถึงแม้ร็อบบี้จะเปลี่ยนตัวเองจนกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแล้วก็ตาม แต่ข้างในตัวเขายังไงก็ยังเป็นเด็กคนเดิมที่รู้สึกไม่มั่นใจและรู้สึกงุ่มง่ามไปหมด” เธอร์เบอร์อธิบาย “ถ้าคุณไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากภายใน คุณก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปหรอก”

สำหรับความเปลี่ยนแปลงมากมายของพวกเขา บ็อบและคาลวินต้องผสานแรงผลักดันของพวกเขาเพื่อพิสูจน์สิ่งที่เคยกัดกินใจพวกเขามานานกว่าสองทศวรรษ ถึงแม้จะมีเหตุผลที่แตกต่างกัน และมันอาจสำคัญที่จะต้องช่วยให้อีกฝ่ายคิดหาทางออกจนได้ ดังนั้น “มันคือสิ่งที่คาลวินอาจต้องการในจุดนี้ของชีวิต” ผู้อำนวยการสร้าง ปีเตอร์ พรินซิพาโต้บอก “เขาสูญเสียความเท่ไป เขาคิดว่าทุกอย่างจบไปแล้ว แต่บ็อบไม่เคยมองเขาแบบนั้น เพื่อนๆ ทำให้คุณได้ค้นพบสิ่งต่างๆ ในตัวเองในแบบที่ปกติคุณอาจมองไม่เห็น จนกระทั่งคุณมองมันผ่านสายตาของพวกเขา และมันเตือนคุณให้รู้ว่าคุณเป็นใคร” 

“Central Intelligence” ยังนำเสนอปัญญาที่ใหญ่กว่านั้นที่ซุ่มซ่อนอยู่ภายใต้โฉมหน้าของฮีโร่ทุกราย อย่างเช่น การลุกขึ้นสู้กับพวกอันธพาล การกลายเป็นคนที่คุณอยากจะเป็น การไม่ยอมให้อดีตมาจำกัดขีดความสามารถของคุณ “มันมีธีมแฝงที่ดีมากครับ” เธอร์เบอร์บอก “นอกจากนี้ ดเวย์น จอห์นสันยังได้แอ็กชั่นไม่ขาด และเควิน ฮาร์ทก็ทำให้คุณได้หัวเราะตลอด ผมว่าเราได้สิ่งที่ดีที่สุดในทุกโลกมาครบเลยครับ”
« Last Edit: June 04, 2016, 06:35:22 PM by happy »

happy on June 04, 2016, 06:48:24 PM
คาลวิน
ดูนายสิ - นายลดน้ำหนักลงสัก 200 ปอนด์ นายไปทำอะไรมา

บ็อบ
ทำอย่างเดียว ฉันออกกำลังกายทุกวัน
วันละ 6 ชั่วโมง มานาน 20 ปี

ขณะที่เรื่องราวนี้ดำเนินไป เป็นที่ชัดเจนว่าความอับอายสมัยเรียนไฮสกูลทำให้บ็อบกลายเป็นบุรุษเหล็กอย่างที่เขาเป็นในปัจจุบัน แต่ประสบการณ์จากวัยเรียนยังส่งผลอย่างอื่นอีกด้วยถึงแม้จะเป็นผลที่เห็นได้ชัดเจนน้อยกว่า 

“บ็อบคือหนึ่งในผู้คนที่มีอันตรายที่สุดในโลก เขาเป็นจอมโหดที่สามารถฆ่าคุณได้ 19 วิธีแตกต่างกัน” จอห์นสันบอก พร้อมเสียงหัวเราะ “เขาเตรียมตัวมาพร้อมและมีการวางแผนมาเป็นอย่างดี ความสามารถของเขาไม่เป็นสองรองใคร นั่นคือด้านหนึ่งในตัวเขา ขณะที่อีกด้าน ก็คือชายคนนี้ไม่เคยพัฒนาไปจากวันที่เขาลงเอยด้วยการไปนอนโชว์ก้นอยู่ที่พื้นโรงยิมเลย เขาไม่เคยเติบโตขึ้น ดังนั้น เขาจึงมองทุกอย่างด้วยดวงตาใสซื่อเบิกกว้างเหมือนกับเด็ก เขาอาจกระชากอาวุธออกมาและยิงใส่ใครสักคน ตูม เข้าแสกหน้า แล้วก็พูดว่า ‘นายไปซื้อเสื้อตัวนี้จากที่ไหน เสื้อเท่เป็นบ้าเลย’”

สิ่งหนึ่งที่ทำให้บ็อบยังคงติดอยู่กับอดีต นั่นก็คือการที่เขายังคงชื่นชมคาลวินและรู้สึกซาบซึ้งต่อมิตรภาพซึ่งเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญมานานกว่าสองทศวรรษ และมันช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้หลายครั้ง อันที่จริง เขายังคงเก็บเสื้อแจ็คเก็ตตัวนั้นเอาไว้

พรินซิพาโต้กล่าวว่า “บ็อบสร้างกล้ามอก และผลักดันขีดจำกัดของเขาออกไป แต่เขาเก็บกดความทรงจำแย่ๆ เอาไว้ และมันฝังลึกในจิตวิญญาณของเขา และคาลวินรู้ดีว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย แน่นอนว่าปุ่มพวกนั้นจะต้องมีคนไปกดโดนแน่"
   
ในตอนแรก ตอนที่พวกเขาได้กลับมาเจอกันอีก “การได้เห็นว่าบ็อบในปัจจุบัน ทำให้คาลวินรู้สึกว่าตัวเองล้าหลัง” ฮาร์ทให้ความเห็น “นี่คือผู้ชายที่ประสบความสำเร็จมากมาย ทำให้คาลวินเหมือนได้เห็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้ทำกับตัวเอง แต่ชีวิตของคาลวินเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในคืนที่เขาได้ออกไปเจอบ็อบเพื่อดื่มเบียร์ด้วยกัน ค่ำคืนที่ใสซื่อกลับกลายมาเป็นความวายป่วง ใช่ แต่มันก็ดีเช่นกันที่เหมือนมีคนมาเตือนว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง และเหมือนกับเมฆที่เคยปกคลุมชีวิตเขา เริ่มเคลื่อนตัวหายไป”

ไม่ว่าคาลวินจะช่วยเขาได้หรือไม่ แต่บ็อบได้เลือกคาลวินแล้ว เพราะคาลวินคือคนที่เขาไว้ใจได้ คำถามก็คือ คาลวินสามารถไว้ใจบ็อบได้ไหม

ถ้าคุณไปถามเจ้าหน้าที่แฮร์ริส (รับบทโดยเอมี่ ไรอัน) อดีตหัวหน้าของบ็อบ คำตอบคือ ไม่ นับแต่วินาทีที่บ็อบก้าวกลับเข้ามาสู่ชีวิตของคาลวิน เจ้าหน้าที่รัฐเริ่มไล่ตามเขามา นำโดยแฮร์ริสที่ไม่ยอมย่อท้อ เธอพยายามบีบให้คาลวินช่วยจับตัวชายคนที่เธออธิบายว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่เป็นตัวอันตราย สติไม่สมดุล และกำลังหลอกใช้เขา ถ้าดูสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นแล้ว งานนี้ไม่ต้องใช้โฆษณาชวนเชื่อ ในทางตรงกันข้าม..

บ็อบคือชายสุดเพี้ยนที่คาดเดาใจไม่ได้ เป็นคนที่ไม่ได้เจอคาลวินมานานเป็นชาติ แต่ดันมาอ้างว่าเขาเป็นเพื่อนซี้ปึ้กกัน เป็นชายที่มีทฤษฏีสมคบคิดที่สุดเพ้อฝัน และเป็นคนที่อาจจะ...แค่อาจจะ...พยายามช่วยโลกอยู่ แต่แฮร์ริสเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่คอยสอดส่องคาลวิน ดูถูกเขาและยังข่มขู่เมียของเขา และคอยแต่เอาปืนจี้ใส่เขา และเป็นคนที่มาอ้างว่าเธอคือโอกาสเดียวที่จะทำให้เขายังรอดชีวิตอยู่ได้

“เราต้องการจะเก็บปริศนาที่ว่า ‘บ็อบคือใคร’ เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพราะมันจะยิ่งสร้างความเครียดและกดดันให้กับคาลวิน” บารินโฮลท์ซ ซึ่งจับมือกับเดวิด สแตสเซ่น ร่วมเขียนเรื่องนี้ และยังร่วมเขียนบทกับเธอร์เบอร์ กล่าว “เควินแสดงความกลัวและความไม่สบายใจของคาลวินออกมาได้ดีมาก ยิ่งเขากระวนกระวายเท่าไหร่ เราก็ยิ่งสนุกมากเท่านั้น”

สำหรับเธอร์เบอร์ การเล่าเรื่องราวนี้จากมุมมองของคาลวินเป็นสิ่งสำคัญทั้งในเรื่องของความไหลลื่นของการเล่าเรื่องและความตลกของหนัง “มีคนพูดว่ามีการเล่าเรื่องสองแบบ” เธอร์เบอร์บอก “มีคนสติดีอยู่ในโลกเพี้ยนๆ กับคนสติเพี้ยนอยู่ในโลกปกติดี เควินรับบทเป็นคนปกติดีในโลกเพี้ยนๆ และในความรู้สึกนั้น เขาก็คือคนที่คนดูมอบอำนาจให้ และเราได้มองทุกอย่างผ่านสายตาของเขา ถ้าเขาไม่แน่ใจว่าบ็อบเล่าความจริงหรือไม่ หรือแฮร์ริสพูดความจริงหรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจเช่นกัน”
   
“ฉันชอบที่ได้เป็นผู้นำหญิงนะคะ” ไรอันพูดถึงบทเจ้าหน้าที่หัวแข็งของเธอ “แฮร์ริสรักงานของเธอ เธอมีเจ้าหน้าที่สองคนคอยยืนคุมหลังอยู่ตลอดเวลา และเธอก็สั่งให้พวกเขาทำงานสกปรกให้ รอว์สันกับฉันได้พูดคุยกันถึงตัวละครตัวนี้ และเราเห็นพ้องตรงกันว่าเธอเป็นผู้หญิงแข็งแกร่งแต่ไม่เหมือนผู้ชาย ดังนั้นเราจึงเน้นหนักกันที่ตรงนั้น และปล่อยให้เธอได้สัมผัสกับความซาดิสต์ในตัว” 

“เธอมีความชำนาญมากในเรื่องของการยิงปืนและเตะก้นคนร้าย” จอห์นสันยืนยัน

ไรอันสร้างอารมณ์ขันตามธรรมชาติของตัวละครของเธอด้วยการเล่นบทนี้ให้ดูจริงจังแบบทื่อๆ เธอเล่าว่า “เธอมีช่วงเวลาดีๆ เยอะนะ ตลกดีออกที่คิดว่าคนอย่างฉันจะสามารถทำร้ายดเวย์นได้”

ผู้เข้ามารับบท ฟิล อดีตคู่หูของบ็อบ ก็คือ แอรอน พอล ฟิลถูกฆ่าตายเมื่อเขากับบ็อบใกล้จะสาวถึงตัวแบล็คแบ็ดเจอร์ ตอนนี้ ฟิลกลับเข้ามาในความทรงจำของบ็อบอีกครั้ง เมื่อบ็อบนึกถึงคดีสุดท้ายที่พวกเขาทำด้วยกัน เขาโทษตัวเองที่ไปช่วยฟิลได้ไม่ทันเวลา และยังคงหวังจะหาเงื่อนงำที่เขาเคยพลาดไป

“ฟิลคือตัวกระตุ้น” พอลบอก “การต้องมาเห็นการตายของฟิลทำให้บ็อบเริ่มสืบสวนโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อจะหาตัวคนที่รับผิดชอบการตายของฟิลและล้างแค้นให้คู่หูของเขา นอกจากคาลวินแล้ว ฟิลเป็นเพียงคนเดียวที่บ็อบรู้สึกไว้ใจและสนิทสนมด้วย  คุณจะเห็นว่าพวกเขามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน เป็นยิ่งกว่าเพื่อน แล้วจู่ๆ ฟิลก็ตายไป”

มันคือความเสียหายที่ทำให้คู่หูใหม่ที่ไม่ค่อยเต็มใจของบ็อบ นั่นก็คือ คาลวิน หวาดกลัว คาลวินไม่ใช่แค่กลัวตัวเองจะไม่ปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความปลอดภัยของ แม็กกี้ เมียของเขา ซึ่งรับบทโดย แดนีลล์ นิโคเล็ต เพราะไม่มีทางที่เขาจะพาตัวเองออกจากปัญหาวุ่นวายนี้ได้ คาลวินจึงพยายามที่จะปกปิดแม็กกี้ไม่ให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะต้องการรักษาความปลอดภัยให้กับภรรยาของเขา ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะไม่ทำลายชีวิตแต่งงานของเขา

นิโคเล็ตอธิบายว่า  “แม็กกี้กับคาลวินเป็นแฟนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสกูล และอยู่ด้วยกันมาตลอด”  ถึงแม้ว่าเขาจะมีความกลัวว่าเขาทำให้แม็กกี้ผิดหวัง นิโคเล็ตบอกว่า “ตอนนี้ แม็กกี้เป็นอัยการที่มีอำนาจ เธอยังรักสามีเธออยู่ และชีวิตก็ยังโอเค ถ้าเขาจะสามารถมองทุกอย่างอย่างที่เธอมองเห็น”

ทางทีมผู้สร้างเลือกนิโคเล็ตให้มารับบทนี้เพราะต้องการนักแสดงที่สามารถดูดซับพลังอันน่าเกรงขามของเหล่านักแสดงร่วมจอของเธอ และส่งพลังนั้นกลับไปได้ เธอเปรียบเทียบประสบการณ์ครั้งนี้เหมือนกับ “การถูกจับโยนลงไปในพื้นที่ส่วนลึกของสระว่ายน้ำ”  นิโคเล็ตบอก “สิ่งเดียวที่น่ากลัวกว่าการต้องเล่นตลกอยู่ข้างๆ เควิน ฮาร์ท ก็คือ การต้องเล่นกับ ดเวย์น จอห์นสัน นี่แหละ มันไม่ง่ายเลยที่จะไล่ตามเขาได้ทัน แต่พวกเขาทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ใจดีมากเลยค่ะ” 

ที่รายล้อมทีมนักแสดงหลัก ก็คือ ทิม กริฟฟิน และทิมี่ จอห์น สมิธ ในบท เจ้าหน้าที่สแตนและนิค ลูกน้องของเจ้าหน้าที่แฮร์ริส และไรอัน แฮนเซ่น ในบท สตีฟ เพื่อนร่วมงานของคาลวินที่บริษัทบัญชี

ด้วยเทคโนโลยีเปลี่ยนใบหน้า ทำให้แดนเซอร์หนุ่ม ซิโอเน่ เคเลพี (หรือซีโอเน่ มาราสชิโน่) เข้ามารับบทเป็นร็อบบี้สมัยเป็นเด็กไฮสกูลได้ ใบหน้าของเคเลพีถูกนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อแทนที่ด้วยหน้าของจอห์นสัน แต่การเคลื่อนไหวทั้งหมดยังคงเป็นการแสดงของเขา





บ็อบ

คาลวิน ฉันต้องพึ่งทักษะนายเพื่อกอบกู้โลกเสรีชน นายพร้อมไหม

เธอร์เบอร์ ที่มีเครดิตเป็นหนังตลกสุดฮิตอย่าง  “Dodgeball” และ “We’re the Millers” กำลังมองหาโอกาสที่จะขยายผลงานในการกำกับภาพยนตร์ของเขาออกไป ด้วยการใส่งานแอ็กชั่นลงไปในผลงานเรื่องต่อไป สตูเบอร์ยืนยันว่า “นี่คือภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับเขาที่สุดที่จะได้หันมาจับงานด้านอื่นๆ บ้าง และเขาก็สร้างผลงานที่ดีด้วยการให้ทั้งความตื่นเต้นและเสียงหัวเราะกับเราครับ”

“ผมชอบหนังแอ็กชั่นมาตลอดนะครับ และผมก็อยากจะสร้างมันออกมาสักเรื่องตั้งแต่ผมอายุสัก...แปดขวบได้” เธอร์เบอร์เล่า “หนังเรื่องนี้สนุกมากจริงๆ ครับ”

ทีมนักแสดงของเขาก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน ซึ่งโปรเจ็กต์นี้เหมือนช่วยดึงเอาด้านที่ชอบแข่งขันของพวกเขาออกมา  “ผมกับดีเจสนุกกันตลอด แต่คุณรู้ไหม เขาออกจะขี้อิจฉาอยู่นะ และผมก็เข้าใจแหละ” ฮาร์ทออกมาคุยโม้ในแบบที่ชวนฮา “เพราะหุ่นผมก็ดีกว่า แล้วบนตัวก็มีไขมันน้อยกว่าเขา แล้วผมก็ฟิตมามากกว่า ขณะที่เขานับวันก็แย่ลงเรื่อยๆ นั่นแหละเขาถึงได้อิจฉาผม”

จอห์นสันก็พอกัน “นี่คือข้อดีเกี่ยวกับผมและเควิน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราสนุกด้วยกันมาก เราทั้งคู่ต่างเป็นคนที่มีแรงจูงใจสูง กับเราสองคนมันคือการแข่งขันกันทุกวัน ใครจะตื่นก่อน ใครจะฝึกได้นานกว่า ใครจะแข็งแรงกว่ากัน ใครจะเก่งกว่ากัน และใครจะเร็วกว่ากัน ผมจะบอกให้นะ ตั้งแต่วินาทีที่ตื่นตอนเช้า จนถึงตอนเข้านอน ผมชนะเขาได้หมดทุกด้าน ทุกด้านจริงๆ”

ดีแล้วที่ทั้งคู่พยายามแข่งขันกัน แต่เป็นการแข่งขันในแบบที่ฮาร์ทสาบานว่า “มันช่วยให้เราทำให้อีกฝ่ายดีขึ้น เราทั้งคู่ต่างเป็นพวกบ้างาน และเราก็เข้าใจดีว่าพวกเราโชคดีแค่ไหนที่ได้มาถึงจุดนี้ สุดท้ายในแต่ละวัน เราก็อยากจะสร้างหนังที่ดีและสนุกเพราะถ้ามันเปล่งประกาย เราก็เปล่งประกายเหมือนกัน” 
 
หนึ่งในฉากสตั๊นต์ที่อยู่ในความทรงจำของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือฉากการยิงกันที่สำนักงานของคาลวิน ที่ซึ่งบ็อบ ต้องวิ่งนำคาลวินผ่านกองความเสียหาย และต้องสู้กับกลุ่มเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่วิ่งเข้ามาเต็มพื้นที่เพื่อจับตัวเขา ฉากที่ว่านี้เป็นฉากต่อเนื่องที่ยาวที่สุดในหนัง ใช้เวลาในการจัดฉากและถ่ายทำนานถึง 6 วันเต็มๆ และต้องใช้วิธีการหนีด้วยการกระโจนออกไปกลางอากาศจากชั้นที่ 20 โดยมีเสียงร้องอย่างมีชัยของบ็อบและอาการร้องเสียงหลงของคาลวิน   

“ความยิ่งใหญ่ของฉากดังกล่าว กับมุขต่างๆ ที่เกี่ยวข้องคือไอเดียของรอว์สัน” อัลลัน ป็อปเปิ้ลตัน ผู้ประสานงานสตั๊นต์ยอมรับ “คุณเริ่มต้นด้วยมีชายคนหนึ่งที่หลบอยู่ในรถเข็นส่งจดหมายอย่างหวาดกลัว และมันถูกผลักไปรอบๆ สำนักงานท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้น แค่นี้ก็ดูตลกแล้ว จากนั้นเราก็ใช้ข้าวของในครัวที่ตัวละครของดเวย์นหยิบมาใช้เป็นอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นมีด หม้อต้มกาแฟ หรือแม้แต่กล้วย มันคือการผสมผสานขององค์ประกอบทั้งหมดนี้ที่ทำให้ฉากนี้มีความพิเศษจริงๆ”

“มันต้องเป็นกล้วยด้วยนะครับ” เธอร์เบอร์บอก “กล้วยเป็นของคลาสสิก เราพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดที่จะทำให้ฉากแอ็กชั่นฉากนี้ออกมาตลกที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราไม่ได้จะสู้กับหนังเจมส์ บอนด์ แต่เราพยายามที่จะสร้างมันออกมาให้ดูฉลาดที่สุด ขณะเดียวกับที่ต้องสร้างความตื่นเต้นให้เกิดขึ้นไปด้วยพร้อมกัน”

“เวลาที่เราทำฉากตลก สมองผมจะมีเสียงอื้ออึงไปหมด เพราะผมพยายามคิดหาประโยคฮาๆ ที่แตกต่างไป หรือพยายามให้ลองนี่ลองนั่น” เธอร์เบอร์บอก “กับเรื่องของแอ็กชั่น จะมีการวางแผนและการเตรียมการมาแล้ว พอถึงเวลาที่ลงมือถ่ายทำ คุณต้องรู้แล้วว่าคุณจะทำอะไร เมื่อคุณระเบิดรถ คุณคงไม่ได้กำลังคิดว่า ‘มันจะตลกกว่าไหมถ้าจะระเบิดไอ้นี่’”

สำหรับฉากภายในสำนักงาน และชอตกลางแจ้งที่ต่อเนื่องกัน จอห์นสันและฮาร์ทต้องใช้เวลานานทีเดียวกับการห้อยโหนตัวจากเครนขนาด 100 ตัน
 
ฉากสตั๊นต์อื่นๆ ยังมีทั้งฉากระเบิด ฉากต่อสู้กับเหล่ามือสังหารติดอาวุธ ฉากขับรถไล่ล่ากัน ฉากเครื่องบินดิ่งโลก ฉากต่อสู้ระหว่างบ็อบกับมอเตอร์ไซค์ด้วยท่าการต่อสู้ที่ป็อปเปิลตันเรียกว่า “ไบก์ฟู” ฉากการเผชิญหน้าที่ลานจอดรถใต้ดินที่ต้องใช้นักแสดงสต๊นต์กว่าหนึ่งโหล นอกเหนือไปจากทีมงานหลักของป็อปเปิลตันหกคน

ป็อปเปิลตัน ผู้ประสานงานสตั๊นต์ที่เคยร่วมงานกับจอห์นสันมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง “San Andreas” และ “Hercules” ตั้งข้อสังเกตว่า “ดเวย์นน่าทึ่งมากเลยครับในฉากต่อสู้ และการเคลื่อนไหวในฉากแอ็กชั่นของเขา มันเหมือนเป็นธรรมชาติที่สองสำหรับเขา เควินเป็นคนที่ใส่ส่วนของความตลกเข้าไป แต่เขาก็ต้องเล่นฉากแอ็กชั่นด้วย ตรงจุดนี้ เขาเริ่มใส่ความรู้สึกแบบ โกลเด้นเจ็ท ลงไป ทำให้มันดูสนุกขึ้น พวกเขาทั้งคู่เดินเข้ามาพร้อมผ่านการฝึกมาแล้วระดับหนึ่ง และเพราะประสบการณ์ของพวกเขาเอง และเพราะพวกเขาต่างมีรูปร่างที่ดีอยู่แล้ว เราจึงแค่ทำการดัดแปลงทักษะที่พวกเขามีใส่เข้าไปในสิ่งที่เราต้องการเท่านั้น”


คาลวิน

นายเหมือนเจสัน บอร์นนุ่งยีนส์สั้น

การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นในและรอบๆ บอสตัน สตีเฟ่น ไลน์วีเวอร์ ซึ่งเป็นโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ เป็นผู้ตกแต่งโลเกชั่นตามความต้องการของเธอร์เบอร์ที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่เหมือนจริง  “ผมต้องการงานแอ็กชั่นที่ติดดินไม่ใช่งานแอ็กชั่นที่เน้นสไตล์” ผู้กำกับเธอร์เบอร์บอก “สถานการณ์อาจดูไร้สาระได้ ดังนั้นมันต้องออกมาดูเหมือนจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผมไม่ได้ต้องการงานแอ็กชั่นสวยหรู ภาพสโลโมชั่น ทุกอย่างถ่ายทำด้วยกล้องที่ใช้มือถือหรือแบกขึ้นบ่า ราวกับมันเกิดขึ้นตรงหน้าคุณจริงๆ เพราะผมอยากให้มันได้อารมณ์ที่ถูกต้องตามหลักเหตุและผล”

นอกจากฉากที่ลานจอดรถที่ถ่ายทำกันที่เคมบริดจ์ไซด์ แกลเลอเรียแล้ว ทางทีมงานยังใช้หลายส่วนของบอสตัน คอมม่อนพาร์ค และเชิงสะพานที่บอสตัน พับลิค การ์เด้นส์ นอกจากนี้ยังมีการใช้สนามบินเบเวอร์ลี่ มิวนิคซิพัลเป็นโลเกชั่นถ่ายทำฉากที่คาลวินพยายามจะดึงความสนใจของพนักงานให้บ็อบ และทางเข้าศูนย์ค้นคว้าเบ็ทส์ ที่เอ็มไอที ได้กลายมาเป็นฉากกลางแจ้งของสำนักงานซีไอเอ

บ้านที่แสนสบายของคาลวินและแม็กกี้ ทีมงานไปพบเจอที่ย่านอันเงียบสงบแถววินเชสเตอร์, แมสซาชูเซ็ตส์ ขณะที่พื้นที่ของโรงเรียนไฮสกูลสามแห่งในย่านนั้นกลายมาเป็นเซ็นทรัลไฮห์ โรงเรียนของบ็อบ ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำกันในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ทางโรงเรียนลินน์ อิงลิช ไฮสกูลจึงเอื้ออำนวยสถานที่ถ่ายทำอย่างห้องประชุม ขณะที่อดีตโรงเรียนเอฟเวอเร็ตต์ ไฮสกูลให้ใช้ห้องล็อคเกอร์ ลินน์ คลาสสิคัลให้ใช้หอโชว์ถ้วยรางวัลที่บ็อบและคาลวินในยุคปัจจุบัน ที่เพิ่งจะกลับมาเจอกันใหม่ แอบบุกเข้าไปเพื่อรำลึกความหลัง

ไลน์วีเวอร์ ต้องทำงานประสานอย่างใกล้ชิดกับผู้ประสานงานสตั๊นต์ ป็อปเปิลตน เพื่อสร้างฉากในโกดังเพื่อใช้ถ่ายทำฉากสำนักงานและฉากภายในอาคารต่างๆ ซึ่งรวมถึงห้องและทางเดินที่เป็นห้องสืบสวนลับของซีไอเอ และลิฟต์แก้วที่ฟิล อดีตคู่หูของบ็อบต้องพบกับจุดจบอันชวนช็อค 

ข้อเรียกร้องพิเศษอย่างหนึ่งก็คือทางเดินที่ไลน์วีเวอร์ต้องเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นเพื่อปรับให้เข้ากับตัวของจอห์นสัน “ผมต้องทำให้แน่ใจว่าหัวเขาจะไม่ไปกระแทกโดนอะไรเข้าเลย และต้องมีพื้นที่ว่าให้เขาแสดงได้ด้วย” ไลน์วีเวอร์พูดถึงรูปร่างขนาด 6 ฟุต 5 นิ้วของจอห์นสัน “แน่นอน ส่วนสูงที่เราต้องเพิ่มเข้าไปในฉากสำหรับดเวย์น ก็ทำให้เควินดูเตี้ยลง ซึ่งก็มีส่วนที่ช่วยเพิ่มความตลกตรงความแตกต่างระหว่างส่วนสูงของพวกเขา”

รูปร่างสูงใหญ่ของจอห์นสันยังช่วยเพิ่มความตลกให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านการเลือกเสื้อผ้าของผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แครอล แรมซี่ย์ แรมซี่ย์ได้สร้างภาพลักษณ์ที่หลากหลายให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ ตั้งแต่ชุดสูทซีไอเอสีดำสนิทของ เอมี่ ไรอัน จนถึงชุดแบบอัยการของแดนีลล์ นิโคเล็ต และชุดที่ดูเหมือนเด็กเนิร์ดของ เควิน ฮาร์ท และชุดสำหรับตัวประกอบจำนวน 450 คนในฉากโรงเรียนไฮสกูลในปี 1996 แต่บ็อบ ตัวละครของจอห์นสัน ถือว่ามีชุดที่โดดเด่นที่สุด

ด้วยความรู้สึกที่เหมือนติดอยู่ในยุค ’90 บ็อบเดินทางกลับไปยังเมืองนี้เพื่อร่วมงานเลี้ยงรุ่นไฮสกูลของเขาในชุดเสื้อยืดพับลิคเอนนีมี่สีเหลือง ซึ่งเป็นที่นิยมในยุคนั้น แต่สำหรับเขา มันไม่ใช่เสื้อผ้าวินเทจ นี่คือเสื้อผ้าที่เขาแต่งเป็นปกติ จากนั้น ยังมีตอนที่บ็อบใส่เสื้อยืดที่เป็นลายยูนิคอร์นกับสายรุ้ง เข้าคู่กับรองเท้าอาดิดาสสีเหลืองซึ่งเป็นรุ่นที่อาดิดาสไม่ผลิตออกมาแล้ว กับกางเกงเดนิมยาวแค่เข่า ซึ่งทาง Urban Dictionary ให้คำนิยามว่าเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่โดย “พวกเด็กๆ และพวกไม่เอาอ่าว” 

แรมซี่ย์ ซึ่งเคยร่วมงานกับเธอร์เบอร์ครั้งแรกตอนสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Dodgeball” พูดถึงฉากที่บ็อบและคาลวินได้กลับมาเจอกันครั้งแรกว่ามันคือภาพที่มีความขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด “คาลวินคาดว่าจะได้พบร็อบบี้ในแบบที่เขาเห็นตอนเรียนไฮสกูล แต่กลับไม่ใช่แบบนั้น บ็อบเดินเข้ามาด้วยมาดแมนสุดๆ และเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ จากนั้นก็เห็นเสื้อที่เขาใส่ รอว์สันได้ไอเดียนี้มาจากการลองชุดครั้งหนึ่งของเรา และเขาก็ยึดไอเดียเรื่องยูนิคอร์นเอาไว้ มันดูหวานแหววและขัดแย้งกันมากสำหรับดเวย์น และขัดแย้งกับสิ่งที่เควินใส่อยู่ด้วย ซึ่งเป็นเสื้อเชิ้ตผูกไทแบบนักบัญชี ที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก”

ต่อมา เมื่อกลับไปที่บ้านของคาลวิน บ็อบพยายามจะยัดตัวเองลงไปในชุดนอนของเจ้าของบ้าน “นั่นถือเป็นความท้าทายทางด้านเทคนิคเลยนะคะ” แรมซี่ย์ปล่อยมุข “เราต้องเอาชุดนอนสไตล์คลาสสิกมา แล้วก็ตัดแขนออก ทำขาให้สั้นลง แล้วก็ร้อยอีลาสติคเข้าไป เพื่อให้ดูเหมือนว่ามันสามารถที่จะดึงกางออกได้อีก”

แต่การเลือกเสื้อผ้าของบ็อบไม่ได้มีไว้แค่เรียกเสียงหัวเราะเท่านั้น ความจริงที่ว่าเขาสวมใส่สิ่งที่เขาชอบโดยไม่สนเทรนด์แฟชั่น หรือไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไง มันคือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงบุคลิกของเขา และความเชื่อมั่นที่เขามีหลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้ว

“ถึงหนังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายสองคนนี้ที่หลบหนีจากซีไอเอ และพยายามจะค้นหารหัสดาวเทียม และมาพร้อมฉากตลกและฉากแอ็กชั่น แต่ภายใต้นั้น มันก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับตัวละคร เกี่ยวกับตัวเราเมื่อกลายเป็นผู้ใหญ่ และนั่นก็คือสิ่งที่ผมชอบมากครับ” สตูเบอร์บอก “องค์ประกอบอย่างหนึ่งที่น่าพอใจที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือ เด็กคนนี้เริ่มต้นด้วยการโดนรังแกและถูกทำให้อับอาย และเขาได้พลิกผันทุกอย่าง และจบเรื่องราวนี้ด้วยความรู้สึกภาคภูมิและรู้สึกดีกับตัวเอง”

และความไม่พอใจของคาลวินที่มีต่อสิ่งที่เขารู้สึกว่าเป็นชีวิตธรรมดา มันบ่งบอกว่าบ่อยครั้งที่คนเราก็แค่ต้องรู้สึกพอใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา และให้ตัวเองได้พักบ้าง มันคือมุมมองที่คาลวินได้มาจากความช่วยเหลือของบ็อบ ฮาร์ทบอกว่า “ผมรู้ว่าหลายคนกลัวที่จะแสดงด้านที่ไม่เจ๋งของตัวเองออกมา แต่ถึงยังไงเราก็ยังมีมันอยู่ในตัว คาลวินและบ็อบคือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าจะทึ่มแค่ไหนก็ยังเจ๋งได้ จึงไม่เป็นไรที่คุณจะชื่นชมด้านทึ่มๆ ของตัวเอง ผมเองก็ชื่นชมคุณนะที่กล้าที่จะชื่นชมด้านทึ่มๆ ของตัวเอง” 

“คุณต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น” จอห์นสันบอก “ตอนคุณอายุ 14, 15, 16 มันอาจลำบากหน่อย คุณเหมือนแบกโลกเอาไว้บนบ่า มีปัญหาเรื่องตัวตน ความไม่มั่นใจ พวกเราทุกคนล้วนแต่ต้องผ่านมันมาทั้งนั้น ผมมาเพื่อจะบอกคุณว่าสิ่งที่ทรงพลังที่สุดที่คุณเป็นได้ก็คือตัวคุณเอง และถ้าคุณบังเอิญเป็นคนเฉิ่ม ก็คงเป็นคนเฉิ่มอย่างภาคภูมิเถอะ!”
   
การนำองค์ประกอบทั้งหมดมาประกอบเข้าด้วยกัน และมอบให้กับคนดู เธอร์เบอร์สรุปว่า  “ผมหวังว่ามันคงทำให้คุณมีความสุขเมื่อมาดูหนังเรื่องนี้ มีเสียงหัวเราะ มีเรื่องชวนให้คิด และเป็นหนังตลกที่กินอร่อยคำโต และสุดท้าย ผมหวังว่าคนดูจะได้ความรู้สึกบางอย่างกลับไป เพราะนี่คือเรื่องที่มาพร้อมหัวใจจริงๆ ครับ”