โลกของอะพอคคาลิปส์
X-MEN: APOCALYPSE เริ่มการถ่ายทำหลักในวันที่ 20 เมษายน 2015 ที่มอนทรีออล รัฐควิเบก ประเทศแคนาดา กองถ่ายปักหลักกันอยู่ที่ Mel's Cite du Cinema (หรือที่มักเรียกกันว่าเมลส์) สตูดิโอพื้นที่กว่า 27 เอเคอร์บนเกาะอิล เดอ มอนทรีออล ใกล้แม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ ด้วยโรงถ่ายเจ็ดโรงซึ่งมีพื้นที่รวม 116,500 ตารางฟุต ทางกองถ่ายได้ดัดแปลงและแปรสภาพพื้นที่ทุกตารางฟุตให้ตรงตามความต้องการอันมหาศาล นอกจากนี้ ทีมงานยังใช้สถานที่จริงหลายแห่งทั่วเมือง อันได้แก่ โรงงานหลายแห่ง โรงละครร้าง ศูนย์การค้าเก่า และบ้านกลางป่า
นิวตัน โธมัส ซิเกล เปิดรับโอกาสที่จะได้สำรวจงานภาพในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เช่น อียิปต์ยุคโบราณ อียิปต์ยุคใหม่ โปแลนด์ เยอรมนีตะวันออก และสหรัฐอเมริกาในปี 1983 เขากำหนดสภาพแวดล้อมของสถานที่แต่ละแห่งให้มีรูปแบบที่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่โทนสี ตะวันออกกลางมีสีคล้ายสีทรายและบรรยากาศก็แวดล้อมไปด้วยประกายทอง ชวนให้รู้สึกถึงความร้อน เม็ดทราย และความแห้งแล้ง
การถ่ายทำในควิเบกช่วงปลายฤดูหนาวอันสาหัสของแคนาดานับเป็นความท้าทายอย่างเห็นได้ชัด สำหรับฉากภายในสิ่งก่อสร้างของอียิปต์ยุคโบราณ ซีเกลกล่าวว่า "เราให้แสงอาทิตย์ลอดผ่านเข้ามาในตัวปิรามิดและผสมผสานกับแสงจากเปลวไฟ กองไฟ และตะเกียงน้ำมันอย่างที่ใช้กันเมื่อ 4,000 ปีก่อน และในฉากอีกหลายพันปีต่อมา "ไคโรมีแสงสีละลานตาโดยมีแสงสังเคราะห์จากหลอดไฟนานาชนิดและดวงอาทิตย์สีทองสุกสว่างที่เราสร้างให้อียิปต์" ซีเกลกล่าว
นักออกแบบงานสร้างผู้ชนะรางวัลออสการ์ แกรนต์ เมเจอร์ (ไตรภาค THE LORD OF THE RINGS) ร่วมกับทีมงานฝ่ายศิลป์ผู้มีความสามารถ นำโดยหัวหน้าผู้กำกับศิลป์ มิแชลล์ ลาลิแบร์เต (X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST) และนักตกแต่งฉากผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ แอนน์ คูลเจียน (DIVERGENT) ได้เข้ามารับภาระหนักในการดูแลการออกแบบ การสร้างสรรค์ และการก่อสร้างฉากเกือบหกสิบฉากในหนังเรื่องนี้ รวมถึงการออกแบบและกำกับศิลป์ในสถานที่ถ่ายทำจริงซึ่งตั้งอยู่ภายในและโดยรอบเขตเมืองมอนทรีออล
สำหรับเมเจอร์ ความท้าทายสำคัญประการแรกคือการสร้างอียิปต์ยุคโบราณและยุคใหม่ ส่วนอันดับสองที่ตามมาติดๆ ก็คือการรักษาแนวทางการออกแบบที่มีรายละเอียดมากมายในงานคอมิกและหนังเอ็กซ์เมนภาคก่อนๆ เพื่อเป็นการ "ให้เกียรตินักออกแบบที่เคยทำงานมาก่อนหน้าผม" เมเจอร์กล่าว "รวมถึงงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของคฤหาสน์เอ็กซ์ และเครื่องเซเรโบรซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างละเอียด" สำหรับวิหารของชาวอียิปต์นั้น ทีมออกแบบได้รับคำปรึกษาด้านข้อมูลจากนักอียิปต์วิทยา โดยเมเจอร์มีรายการคำถามยาวเหยียด เช่นว่า เทพเจ้าองค์ไหนเกี่ยวข้องกับจตุรอาชาคนใด จะนำเสนอพวกเขาอย่างไร และสัตว์ประเภทไหนที่ตรงกับพลังที่พวกเขามี นักอียิปต์วิทยาได้เขียนอักษรอียิปต์โบราณให้เขา โดยเป็นข้อความที่สะท้อนเรื่องราวและใช้เป็นองค์ประกอบในการตกแต่งวิหาร ฉากวิหารแห่งนี้ยังมีรูปปั้นขนาดยักษ์สี่ตัวอีกด้วย อักษรโบราณทั้งหมดวาดด้วยมือในขนาดเล็กมาก่อนจากนั้นจึงทำการลอกลายแล้วตัดด้วยเครื่อง C & C "ตามเส้นที่วาดไว้บนแผ่นสไตโรโฟมเพื่อให้ช่างแกะสลักมีจุดอ้างอิง" เมเจอร์อธิบาย "เรามีทีมงานใหญ่ ทุกคนทำงานกับแผ่นโฟมพวกนี้อยู่นานหลายเดือน ทั้งงานแกะสลักและงานฉาบก่อนที่ช่างทาสีจะเข้ามาทำงานต่อ โชคดีครับที่เราเริ่มทำกันตั้งแต่เนิ่นๆ"
ลาลิแบร์เตกล่าวว่าฉากการทำลายล้างอันยิ่งใหญ่ทำให้หนังภาคนี้แตกต่างจากภาคก่อนๆ "ความท้าทายในการเล่าเรื่องราวการทำลายล้างโลกก็คือการทำทุกอย่างให้ดูงดงามแล้วทำลายมันซะ" เขาอธิบาย ในฉากใหญ่ฉากหนึ่งของหนัง อะพอคคาลิปส์สร้างปิรามิดขนาดใหญ่ขึ้นมาใหม่กลางกรุงไคโรยุคปี 1983 เมเจอร์พบโรงงานเก่าแห่งหนึ่งซึ่งกำลังจะถูกรื้อถอนในเขตเมืองมอนทรีออล "เราพังอาคารลงมาจริงๆ และรื้อถอนบริเวณโดยรอบ ค่อยๆ สร้างสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลายขึ้นมาทีละชั้นๆ" เมเจอร์กล่าว
สำหรับฉากคฤหาสน์เอ็กซ์ เมเจอร์ได้รับอาร์ตเวิร์คจากผู้ออกแบบงานสร้าง จอห์น ไมร์ ผู้สร้างฉากนี้ให้หนัง X-MEN ภาคดั้งเดิม รวมถึงใน X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST ซิงเกอร์ต้องการคฤหาสน์ขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นเมเจอร์จึงได้เพิ่มห้องสมุดสูงสองชั้น ห้องพักผ่อนของนักเรียน ห้องนอน ห้องน้ำ และทางเดินเชื่อมอีกหลายส่วน ตัวฉากถูกดัดแปลงเพื่อใช้แทนชั้นต่างๆ และกินพื้นที่โรงถ่ายสองโรงเต็มที่สตูดิโอเมลส์ โดยต้องรื้อผนังระหว่างโรงถ่ายสองโรงออกไปเพื่อรองรับคฤหาสน์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น นับเป็นฉากคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยสร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ไมร์ได้กำหนดไว้ นับเป็นครั้งแรกที่ผู้ชมจะได้เห็นคฤหาสน์ทั้งหลัง "ครบ 360 องศา ทั้งด้านบน ด้านล่าง ด้านข้าง และด้านหลัง" เมเจอร์กล่าว "จากนั้นเราก็จะถล่มฉากทั้งฉาก"
บริเวณโดยรอบคฤหาสน์เต็มไปด้วยต้นไม้ ไม้พุ่ม ไม้ดอก และพุ่มไม้ที่ตัดแต่งเป็นรูปต่างๆ นับร้อยๆ ต้น นอกเหนือจากฉากคฤหาสน์หลักแล้ว ยังมีฉากย่อยๆ อีกหลายฉากสำหรับช่วงของควิกซิลเวอร์ อันได้แก่ ฉากห้องน้ำ ห้องนอนสองสามห้อง ห้องสมุด และระเบียงด้านนอก ส่วนเครื่องเซเรโบรก็ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้เหมาะกับยุคแปดศูนย์เช่นเดียวกัน
ฉากสำคัญฉากหนึ่งซึ่งเป็นการเปิดตัวมนุษย์กลายพันธุ์อย่างไซคลอปส์, จีน เกรย์, ไนท์ครอว์เลอร์ และจูบิลี เกิดขึ้นในศูนย์การค้าที่มีรายละเอียดย้อนยุคมากมาย เมเจอร์และทีมงานพบสถานที่ถ่ายทำอันสมบูรณ์แบบ เป็นศูนย์การค้าเก่าแก่ขนานแท้ตั้งอยู่ชานเมืองมอนทรีออล ศูนย์การค้าแห่งนี้ไม่ได้รับการปรับปรุงใหม่เลยตั้งแต่ยุค 1980 โชคดีที่เจ้าของสถานที่และบรรดาร้านค้ายินยอมให้กองถ่ายปรับเปลี่ยนพื้นที่ร้านได้ ทีมงานของเมเจอร์นำของทั้งหมดออกจากร้านแล้วแทนที่ด้วยสินค้าและของประกอบฉากเพื่อปรับปรุงพื้นที่โดยรวมให้ดูเหมือนศูนย์การค้าสมัยที่ซิงเกอร์ยังเด็ก ทีมงานศึกษาข้อมูลสินค้ายี่ห้อดังๆ และร้านค้าในศูนย์การค้าอเมริกันยุคนั้น รวมทั้งขออนุญาตใช้ตราสินค้าและสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อสร้างร้านอย่างร้านเสื้อผ้า Contempo Casuals ทีมงานหาตู้เกมเก่ามาวางและทำให้เกมอาร์เคดกลับมามีชีวิตอีกครั้ง อาร์เคดนี้มีชื่อว่าสเปซ พอร์ต ตามชื่อเกมอาร์เคดที่ซิงเกอร์เคยไปเล่นเมื่อยังเป็นเด็ก
ฉากบ้านและโรงงานเหล็กในโปแลนด์ที่แม็กนีโต้อาศัยและทำงานอยู่ถ่ายทำในชนบทอันงดงามชานเมืองมอนทรีออล โรงหล่อนี้มีความกว้างพอเหมาะและผลิตชิ้นงานหล่อเหล็กหลอมเหมือนที่บรรยายไว้ในบท ส่วนฉากบ้านนั้นต้องการดอกไม้ตกแต่ง และโชคดีที่พรรณไม้ตามฤดูกาลได้ช่วยตกแต่งฉากได้อย่างลงตัว "บ้านหลังนั้นดูงดงามในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิด้วยสีสันที่กำลังดี ขณะที่โรงหล่อก็มีความดิบหยาบในตัวมันเอง" เมเจอร์กล่าว โทนสีหม่นในฉากยุโรปตะวันออกมีอยู่แล้วในโรงงานซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ
การออกแบบตัวละคร
ความท้าทายในการออกแบบเอฟเฟ็กต์แต่งหน้าให้อะพอคคาลิปส์คือการไม่ทำให้ออสการ์ ไอแซ็ค ถูกกลืนหายไป ในตอนแรกการแปลงโฉมเขาใช้เวลาสามชั่วโมงครึ่ง แต่เมื่อฝึกฝนไปเรื่อยๆ ทีมงานสองคนก็สามารถลดเวลาลงมาเหลือชั่วโมงครึ่ง
เอฟเฟ็กต์แต่งหน้าของตัวละครตัวนี้มีชิ้นส่วนบริเวณหน้าผาก จมูกและแก้ม กรามและคาง ศีรษะ คอ และแม้กระทั่งหมวกปิดศีรษะ "ส่วนเดียวที่ไม่ถูกปกคลุมก็คือลูกตาของไอแซ็ค" ผู้ออกแบบการแต่งหน้าเฉพาะทาง ไบรอัน ไซพ์ กล่าว "ด้วยการใช้ชิ้นส่วนคลุมศีรษะและลำคอ รวมถึงเครื่องแต่งกายอีกยี่สิบชิ้น กระบวนการทั้งหมดนี้ก็เลยเหมือนการต่อภาพจิ๊กซอว์ขนาดยักษ์" เขาเสริม ส่วนหนึ่งที่โดดเด่นในงานออกแบบอะพอคคาลิปส์คือ "เกลียวเดรดล็อค" ที่ดูคล้ายโลหะ ความท้าทายอยู่ที่การทำชุด "ให้ดูยิ่งใหญ่บนร่างกายคนธรรมดา ขณะเดียวกันก็ช่วยให้นักแสดงเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วและทรงตัวได้ดี" ไซพ์กล่าว ทีมงานยังต้องช่วยให้ไอแซ็คเย็นสบายในสภาพอากาศร้อนชื้นของมอนทรีออลในช่วงฤดูร้อน "เราใช้ระบบที่เรียกว่าคูลเชิ้ต" ไซพ์กล่าวต่อ "มันเป็นระบบทำความเย็นคล้ายกับที่นักแข่งรถใช้กัน ออสการ์ได้ต่อท่อเข้ากับน้ำเย็นตลอดเวลาที่ไม่ได้ถ่ายทำอยู่เพื่อรักษาอุณหภูมิไม่ให้ร้อนเกินไป"
ทีมงานใช้กระบวนการพิเศษในการสร้างเสียงของอะพอคคาลิปส์ ซิงเกอร์อธิบายว่า "เราใช้เสียงของออสการ์ตลอด แต่ในขั้นตอนการอัดเสียงเพิ่มเติม นอกเหนือจากการใช้ไมโครโฟน Sennheiser แบบมาตรฐานแล้ว ผมยังวางไมค์เบสใกล้แก้มด้านขวาและวางไมค์กระเดื่องไว้ใกล้แก้มด้านซ้ายเหมือนไมค์สำหรับนักดนตรี เพื่อที่ผมจะได้ดึงเอาโทนเสียงซึ่งปกติแล้วหูคนเราไม่ได้ยินออกมา พอมีไมโครโฟนสามตัวจ่ออยู่ที่หน้า ออสการ์ก็เลยต้องวางศีรษะให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องตลอดเวลา"
หัวหน้าฝ่ายแต่งหน้าสเปเชียลเอฟเฟ็กต์ เอเดรียน โมโรต์ (X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST) และทีมงาน ทำงานในส่วนของไนท์ครอว์เลอร์และจตุรอาชายุคโบราณของอะพอคคาลิปส์ สำหรับหนึ่งในจตุรอาชาอย่าง "เดธ" ทีมงานได้แรงบันดาลใจจากทะเลทรายและปิรามิดมาสร้างเป็นรูปลักษณ์ที่ดูแห้งแตกคล้ายมัมมี่ โดยมีผิวหนังดูเหมือนแผ่นหนังสัตว์เก่า "ครึ่งหนึ่งของใบหน้า มือ และลำตัวของเดธดูเหมือนก้นแม่น้ำที่แห้งเหือด" โมโรต์อธิบาย "[จตุรอาชา] เพสทิเลนซ์ดูคล้ายสัตว์น้ำเฉดสีน้ำเงินซึ่งมีแผลเป็นคีลอยด์อยู่บนใบหน้าและมีดวงตาสีเทาอันทรงอำนาจ ส่วนศีรษะทั้งหมดเป็นชิ้นส่วนเทียมทีมงานจึงทำรอยแผลเป็นไว้บนนั้นด้วย "เพสทิเลนซ์เป็นตัวละครที่น่ากลัวแต่ก็งดงาม คุณจะรู้สึกสงบเมื่อมองดูเขา แต่เขาก็จะฆ่าคุณทันทีหลังจากนั้น" โมโรต์กล่าวกลั้วหัวเราะ
ในงานคอมิก ไนท์ครอว์เลอร์มีรูปร่างเพรียวบางและองค์ประกอบต่างๆ ที่แทบจะเหมือนแมว หูของเขาตั้งเฉียงขึ้นคล้ายแมวป่า ดวงตาเหมือนเสือดำ เพื่อให้ได้รูปลักษณ์แบบยุค 1980 รวมถึงให้คล้ายกับไนท์ครอว์เลอร์ที่ อลัน คัมมิง แสดงไว้ใน X2 โมโรต์จึงหล่อโครงศีรษะของนักแสดง โคดี สมิท-แม็คฟี เอาไว้เพื่อทำชิ้นส่วนเทียม นอกจากนี้ยังต้องหล่อช่วงลำตัวเพื่อทำหางให้สมิท-แม็คฟีด้วย โมโรต์ทำงานร่วมกับ MAC Makeup เพื่อคิดค้นรองพื้นสูตรพิเศษที่มีเนื้อด้านและติดคงทนเป็นสีต่างๆ สำหรับสร้างรูปลักษณ์ของไนท์ครอว์เลอร์ขึ้นมา
ทีมงานของโมโรต์ยังได้ออกแบบหางซึ่งเคลื่อนไหวได้ของไนท์ครอว์เลอร์จากสิ่งที่เขาเรียกว่า "โครงภายในที่มีแรงดึง" เมื่อใดก็ตามที่นักแสดงขยับ หางก็จะเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเอง โมโรต์ประหลาดใจที่วิธีนี้สามารถสร้างการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติได้โดยไม่ต้องใช้กลไกใดๆ เลย ในช่วงท้ายของการถ่ายทำ สมิท-แม็คฟีต้องใช้เวลาในการแปลงโฉมราวหนึ่งชั่วโมงสี่สิบห้านาที ทั้งการติดชิ้นส่วนเทียม การแต่งหน้า ฟัน ดวงตา เกราะหุ้มลำตัวซึ่งช่วยพยุงหางที่ขยับได้ เท้า และมือ "ความท้าทายอยู่ที่การทำให้ภาพของไนท์ครอว์เลอร์ดูสมจริงและต้องทำซ้ำเดิมทุกๆ วันที่เขาต้องเข้าฉาก" โมโรต์กล่าว "และที่สำคัญคือต้องตรงใจแฟนๆ ที่วาดภาพเอาไว้ว่าตัวละครนี้ควรมีหน้าตาเป็นอย่างไรด้วย"
นักออกแบบเครื่องแต่งกาย ลุยส์ มินเกนบาค อาศัยข้อมูลและคลังเสื้อผ้าจากร้านให้เช่าเครื่องแต่งกายหลายแห่งในสหรัฐและมอนทรีออล รวมทั้งตระเวนตามร้านขายเสื้อผ้าวินเทจทั่วอเมริกาเหนือ เพื่อควานหาเครื่องแต่งกายนับพันๆ ชิ้นมาแต่งตัวให้นักแสดงที่ต้องใส่เสื้อผ้ายุค 1980 ทั้งในฉากไคโร เยอรมนีตะวันออก และสหรัฐ เธอประเมินว่า เมื่อการถ่ายทำสิ้นสุดลง ทางกองถ่ายมีเครื่องแต่งกายรวมทั้งหมดเกือบ 100,000 ชิ้น และแต่งตัวให้คนไปประมาณ 2,000 ถึง 3,000 คน
สำหรับมินเกนบาค ขั้นตอนที่ช่วยกระตุ้นความคิดมากที่สุดในกระบวนการนี้คือการระดมสมองกับซิงเกอร์ โดยเธอเคยร่วมงานกับผู้กำกับรายนี้มาแล้วเจ็ดครั้ง "ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ตรงจุดนั้นเองที่เราใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่" เธอกล่าว
มินเกนบาคยังได้กล่าวถึงฉากขบวนแห่ในอียิปต์โบราณเป็นพิเศษ "มีชาวนูเบียนถือพัด คนแบกเรือ จตุรอาชาทั้งสี่ และการปรากฏตัวสองครั้งของอะพอคคาลิปส์" เธออธิบาย ระหว่างการถ่ายทำฉากนี้ต้องมีคนช่วยแต่งตัว 30 คนอยู่ในกองถ่าย ทีมงานกลุ่มนี้ทำงานตั้งแต่ตีสี่เพื่อให้ทุกคนพร้อมเข้ากล้อง
เครื่องแต่งกายของอะพอคคาลิปส์เป็นส่วนหนึ่งที่ยากและมีรายละเอียดมากที่สุด เมื่อเลือกออสการ์ ไอแซ็คเข้ามารับบทแล้ว ภาพวาดตัวละครทั้งหมดจะถอดแบบจากร่างกายของเขา โดยลงลึกถึงรายละเอียด เช่น โหนกแก้มและความยาวช่วงลำคอ ช่วงก่อนการถ่ายทำ ทีมงานใช้เวลาหลายเดือนทดสอบเนื้อผ้า สีสัน และพื้นผิว "ผ้าทั้งหมดที่ใช้แต่งตัวให้ออสการ์ผลิตขึ้นเพื่อตัวละครตัวนี้เป็นพิเศษ" มินเกนบาคกล่าว "เรามีเวลาประมาณสี่เดือนในการออกแบบและผลิตเครื่องแต่งกาย ซึ่งเวลาเท่านี้ก็แทบจะไม่พอ" ต้องใช้คนช่วยสองหรือบางครั้งก็สามคนในการใส่และถอดเครื่องแต่งกายนี้ โดยกระบวนการแต่ละครั้งอาจใช้เวลากว่า 30 นาที
งานออกแบบเครื่องแต่งกายของอะพอคคาลิปส์กลายเป็นแนวทางให้เครื่องแต่งกายของกลุ่มตัวละครซูเปอร์ฮีโร่ยุคใหม่ มินเกนบาคต้องการให้ตัวละครดูเป็นทีมเดียวกัน "เป็นนักรบที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน" เธอกล่าว ทีมงานของเธอออกแบบปีกของแองเจิลซึ่งก็ได้รับการอนุมัติจากซิงเกอร์แล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพราะปีกเกะกะเกินไปสำหรับการแสดงในฉาก ภาระจึงไปตกอยู่ที่ฝ่ายวิชวลเอฟเฟ็กต์แทน เครื่องแต่งกายของเบน ฮาร์ดี ทำจากผ้าเนื้อละเอียดที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่าชุดอื่นๆ เพื่อให้เอื้อต่อการเคลื่อนไหวฉวัดเฉวียนในฉากบิน
ซิงเกอร์ยืนยันมาตลอดให้นำหนังสือคอมิกมาใช้อ้างอิงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับสตอร์มนั้น มินเกนบาคได้แรงบันดาลใจจากเครื่องแต่งกายในคอมิกบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวเส้น สีสัน และอิทธิพลจากอียิปต์โบราณ จตุรอาชายุคโบราณ และจตุรอาชายุคใหม่ เครื่องแต่งกายในยุคอียิปต์โบราณและยุคปี 1983 นั้นให้ภาพที่สัมพันธ์สอดคล้องกันอย่างชัดเจน
เครื่องแต่งกายของไซล็อกซึ่งรับบทโดยโอลิเวีย มันน์ ถอดแบบมาจากหนังสือคอมิกโดยตรง "ถ้าพูดถึงรูปลักษณ์ของเธอ ฉันมองว่าการทำให้แฟนๆ พอใจเป็นเรื่องสำคัญมาก" มันน์กล่าว "เพราะตัวฉันเองก็เป็นแฟนคนหนึ่งเหมือนกัน" ความยากอยู่ที่การทำให้เครื่องแต่งกายเหมาะกับฉากแอ็คชันหนักหน่วงที่เธอต้องเล่น "เธอแทบจะไม่ใส่อะไรเลย" มินเกนบาคกล่าว ทีมงานฝ่ายสตันท์ช่วยทำสายรัดให้น้อยที่สุดเพื่อให้นักแสดงเล่นฉากบู๊โดยไม่ต้องมีสายรัดเทอทะแบบเก่าอยู่ข้างใต้ ความท้าทายอีกข้อหนึ่งก็คือการใส่และถอดชุดของมันน์ไม่ใช่เรื่องง่าย "ทุกวันที่ถ่ายทำก็เหมือนเธอต้องเอาตัวใส่ลงไปในถุงยางยักษ์ มันเป็นชุดลาเท็กซ์ที่ทำจากร้านเซ็กส์ช็อปในลอสแองเจลีส" มินเกนบาคกล่าวพร้อมกับหัวเราะ
สำหรับฉากเบอร์ลินตะวันออกปี 1983 มินเกนบาคอธิบายว่า "ทุกอย่างดูหม่นลง ดูล้าหลังอยู่บ้าง เหมือนมาจากทศวรรษก่อน" ทีมงานแต่งตัวให้คนงานในโรงงาน หมอ เจ้าหน้าที่ตำรวจของหน่วยสตาซี หญิงบริการ และบรรดาคุณย่าคุณยาย ทีมงานทำงานร่วมกับแกรนต์ เมเจอร์ เพื่อวางภาพให้อยู่ในกรอบที่จำกัดและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ในเวสต์เชสเตอร์ นิวยอร์ก คฤหาสน์เอ็กซ์มีสีสันสดใสในแบบอเมริกายุค 1980 "เต็มไปด้วยแสงนีออน ลายทาง และลายจุด" มินเกนบาคกล่าว ทีมงานได้แรงบันดาลใจจากผู้นำด้านสไตล์ในยุคนั้น "เช่น บอย จอร์จ, ไมเคิล แจ็กสัน และบรูก ชีลด์ส" นักออกแบบเครื่องแต่งกายนำเสนอยุคแปดศูนย์โดยลดความจัดจ้านลงเล็กน้อย "การนำเสนอช่วงต้นยุคแปดศูนย์ไม่ใช่เรื่องง่าย สมัยนั้นเสื้อผ้าและเครื่องประดับมากันแบบจัดเต็ม เราก็เลยต้องลดระดับลงมาบ้างไม่ให้มันฉูดฉาดหรือรำคาญตามากเกินไป"
ในการแต่งตัวให้หนุ่มสาวมนุษย์กลายพันธุ์ที่โรงเรียนของเซเวียร์ มินเกนบาคยังคงยึดแนวทางตามแบบคอมิก เธอทำงานกับโซฟี เทอร์เนอร์ ผู้รับบทจีน เกรย์ โดยคำนึงถึงเรื่องที่ว่านักแสดงรายนี้มีผมสีแดงเช่นเดียวกับตัวละครในหนังสือคอมิก "โซฟีเป็นสาวสวย" มินเกนบาคกล่าว "แต่บางครั้งเราก็อยากเห็นเธอดูเก้งก้างหรืออึดอัดบ้าง" ในตอนเปิดเรื่อง จีนยังไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี ดังนั้นเสื้อผ้าที่เลือกมาจึงเน้นการปกปิดตัวเองเป็นพิเศษ ทำให้เธอรู้สึกว่าได้รับการปกป้อง "เหมือนห่อหุ้มตัวเธอเอาไว้" มินเกนบาคกล่าว ในฉากส่วนใหญ่ก่อนถึงฉากต่อสู้ในตอนสุดท้าย เธอใส่เบลเซอร์ผู้ชายตัวโคร่งไม่มีทรงประดับแผงไหล่
สำหรับไนท์ครอว์เลอร์ซึ่งรับบทโดยโคดี สมิท-แม็คฟีนั้น สิ่งแรกที่มินเกนบาคต้องจัดการคือชุดที่เขาใส่ในฉากสำคัญที่สังเวียนต่อสู้ เธอพบแจ็คเก็ตเก่าในกองเสื้อผ้าใช้แล้วจาก "ห้องหลังร้านสุดเพี้ยน" ของร้าน Western Costume ในลอสแองเจลีส "มันเป็นแจ็คเก็ตละครสัตว์เก่าๆ ที่มีรอยเปื้อนและมีหางแหลมที่มีเชือกโยงเข้าด้วยกัน" มินเกนบาคกล่าว "โคดีมีโครงร่างที่เหมาะกับเสื้อ เราจึงทำแจ็คเก็ตตัวนี้ขึ้นมาใหม่และจับคู่กับกางเกงยุคแปดศูนย์ที่สองข้างไม่เท่ากัน เราเพิ่มลุคแบบบอย จอร์จลงไปนิดหน่อย และในฉากที่คฤหาสน์ เราก็พยายามให้ไนท์ครอว์เลอร์ดูเหมือนในคอมิก โดยใช้ชุดที่เป็นรูปแนวทแยงสีแดงดำซึ่งแฟนๆ จะต้องจำได้"
ในการแต่งตัวให้จูบิลี มินเกนบาคมีเครื่องแต่งกายกว่า 20 ชุดที่ออกแบบให้นักแสดงลานา คอนดอร์ "ฉันน่าจะปาลูกดอกในความมืดแล้วเลือกมาซักชุดนะ" คอนดอร์กล่าว สุดท้ายแล้วเครื่องแต่งกายของเธอก็เป็นชุดกระโปรงยาว ถุงน่อง รองเท้าบู๊ต และเสื้อที่ไหล่ห้อยลงข้างหนึ่ง "เราจะเห็นอิทธิพลจาก FLASHDANCE อยู่เต็มไปหมดในชุดของจูบิลี" มินเกนบาคกล่าว
ในปี 1983 อาจารย์แฮงค์ แม็คคอย เริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้ว มินเกนบาคจัดชุดสูทที่ดูเนี้ยบแต่ก็ยังเป็นแบบลำลองให้ โดยเรียกว่า "ชุดบีสที" และซิงเกอร์ก็คิดว่าชุดนี้ดูคล้ายเสื้อผ้าที่พ่อของเขาใส่ในยุคแปดศูนย์ โฮลต์ตื่นเต้นกับรายละเอียดในเสื้อผ้าของเขามาก "ผมได้นาฬิกาเครื่องคิดเลข Casio จากยุคแปดศูนย์มาซึ่งใช้ประโยชน์ได้ดีมากเลยล่ะครับ" เขาพูดติดตลก
สำหรับเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์นั้น มินเกนบาคคำนึงถึงแนวทางการปฏิบัติงานของเรเวน "เธอต่อสู้เพื่ออุดมการณ์และไม่ได้สนใจมากนักว่าตัวเองดูเป็นอย่างไร" นักออกแบบกล่าว เธอจัด "ลุคแบบคริสซี ไฮนด์" ให้ลอว์เรนซ์ ด้วยเสื้อแจ็คเก็ตหนังตอกหมุดและเสื้อยืดร็อคแอนด์โรลล์รุ่นเก่า "ปี 1983 เป็นยุครุ่งเรืองของสาวร็อค" มินเกนบาคกล่าว "และรูปลักษณ์แบบนี้ก็สะท้อนถึงความเป็นกบฏของเรเวนด้วย"
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบชุดเอ็กซ์เม็นไม่ใช่แค่การใช้งานจริงและความฉูดฉาดของยุคแปดศูนย์ แต่มันยังต้องดูเหมือนสิ่งที่พัฒนาโดยกองทัพด้วย และชุดนี้ก็ต้องดูดีไม่ว่าคนใส่จะเป็นเอ็กซ์เม็นชายหรือหญิง ซึ่งตัวละครที่ใส่ก็ได้แก่ แฮงค์ มอยรา เรเวน ควิกซิลเวอร์ จีน สก็อตต์ และไนท์ครอว์เลอร์ "เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งเลยล่ะค่ะที่จะต้องออกแบบชุดที่จีน เกรย์ใส่แล้วดูดีพอๆ กับเวลาที่ให้บีสต์ใส่"
มายากลวิชวลเอฟเฟ็กต์
ผู้ควบคุมวิชวลเอฟเฟ็กต์ที่ชนะรางวัลออสการ์มาแล้วสองครั้ง จอห์น ดิกสตรา มีประวัติการทำงานยาวเหยียดจนสลักเต็มปิรามิดได้ ประสบการณ์ของเขาทำให้การสลับสับเปลี่ยนระหว่างโลกความเป็นจริงกับโลกในจินตนาการเกิดขึ้นได้อย่างไม่สะดุด ถ้าซิงเกอร์เป็นกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านของเอ็กซ์เม็นและความสามารถพิเศษของฮีโร่กลุ่มนี้ ดิกสตราก็ต้องเป็นนักมายากลผู้ทำให้คำพยากรณ์ของเขากลายเป็นจริง
"ซูเปอร์ฮีโร่ทำอะไรไม่ได้หรอกถ้าไม่มีวิชวลเอฟเฟ็กต์" ดิกสตรากล่าวขำๆ "พลังทั้งหมดของเอ็กซ์เม็นดูยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ก็เพราะวิชวลเอฟเฟ็กต์ เรามีคนที่ใช้พลังคลื่นเสียง เป็นเสียงคลื่นความถี่ต่ำที่ใช้ทำลายศัตรู เรามีอีกคนหนึ่งที่ควบคุมความร้อนและปล่อยพลังโจมตีเป็นคลื่นความร้อน ขณะที่อีกคนก็มีพลังจิตควบคุมการเคลื่อนที่ของวัตถุ การแสดงภาพของพลังต่างๆ เหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของเรื่อง เป็นการแสดงให้เห็นการใช้พลังเหล่านี้ในรูปแบบต่างๆ และสร้างความรู้สึกสมจริงในสถานการณ์ที่ดูไม่น่าจะเป็นจริงได้เลย"
การถ่ายทำในระบบสเตอริโอสามมิติตั้งแต่ต้นช่วยเพิ่มมิติให้การร่ายมายากลครั้งนี้ ดังนั้นฝ่ายวิชวลเอฟเฟ็กต์จึงต้องจัดการกับ "the wrap" ซึ่งก็คือความสามารถในการมองเห็นขอบโดยรอบของวัตถุ "มันเปลี่ยนแปลงการวางตำแหน่งสิ่งต่างๆ ในการจัดองค์ประกอบ ลักษณะของวัตถุที่ทะลุขอบเฟรมออกมา รวมถึงความสว่างของวัตถุเพื่อรักษารายละเอียดเอาไว้ แล้วสร้างภาพสำหรับสายตาแต่ละข้างทำให้เกิดเป็นรูปทรงขึ้นมา" ดิกสตราอธิบาย เขาบรรยายกระบวนการนี้ว่า "โดยคร่าวๆ ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างภาพสีกับภาพขาวดำ แต่ก็ไม่ได้ยากไปกว่าเรื่องอื่นๆ ผู้ชมต้องการเห็นภาพที่ละเอียดซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และการไปให้ถึงระดับนั้นก็เป็นความท้าทายสำคัญสำหรับเราเสมอ"
...ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
ขณะปรับแต่งงานขั้นตอนสุดท้ายใน X-MEN: APOCALYPSE ซิงเกอร์ระบุว่าแม้ผลงานการกำกับครั้งล่าสุดของเขาอย่าง X-MEN: DAYS OF FUTURE PAST ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่หนังภาคใหม่นี้ก็ยิ่งใหญ่กว่าในหลายๆ แง่ "ในแง่ขอบเขตและงานภาพ เรื่องนี้ยิ่งใหญ่กว่ามากครับ DAYS OF FUTURE PAST เกี่ยวข้องกับการย้อนเวลา หุ่นยนต์ แล้วก็เป็นการบุกปล้นซะเยอะเลย! แต่ภาคนี้เป็นการทำลายล้างโลก ตัวละครที่เหมือนเทพเจ้า...เป็นหนังที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก แต่เราไม่เคยละทิ้งเรื่องความคิดจิตใจและตัวละคร เรายังคงยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้เพราะว่ามันสำคัญมาก แต่ภาคนี้จะต้องยิ่งใหญ่ตระการตามากขึ้นกว่าเดิมแน่นอนครับ"
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/xmenmoviesth