happy on November 13, 2016, 06:58:55 PM

ชื่อภาพยนตร์      Nocturnal Animals
ชื่อไทย      คืนทมิฬ
วันที่เข้าฉาย      1 ธันวาคม 2559
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


ผู้กำกับเปิดใจ เขียนบทและกำกับโดย ทอม ฟอร์ด

                  Nocturnal Animals คือเรื่องราวเตือนใจเกี่ยวกับสิ่งที่มาพร้อมกับการตัดสินใจเลือกของเราเมื่อเราดำเนินชีวิต และผลพวงที่อาจเกิดจากการตัดสินใจของเรา ในวัฒนธรรมที่นับวันจะยิ่งถูกทอดทิ้ง ที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงความสัมพันธ์ของคนเรา สามารถถูกโยนทิ้งได้อย่างง่ายดาย นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับความภักดี การอุทิศตน และเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก มันคือเรื่องราวเกี่ยวกับความโดดเดี่ยวที่พวกเราทุกคนรู้สึก และความสำคัญของการให้คุณค่าต่อความผูกพันส่วนตัวในชีวิตที่ช่วยค้ำจุนเราเอาไว้ 

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=zt9W55zPvFQ" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=zt9W55zPvFQ</a>

เกี่ยวกับภาพยนตร์

                   จากฝีมือของมือเขียนบท/ ผู้กำกับ ทอม ฟอร์ด กลายเป็นภาพยนตร์ทริลเลอร์โรแมนติคสุดหลอนที่พูดถึงความใกล้ชิดที่ชวนช็อค และความตึงเครียดที่พูดถึงเส้นบางๆ ระหว่างความรักและความโหดร้าย การแก้แค้นและการไถ่บาป เอมี่ อดัมส์ และเจค จิลเลนฮาล สองนักแสดงที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว รับบทเป็นคู่สามีภรรยาที่ผ่านการหย่าร้าง ที่มาค้นพบความจริงเกี่ยวกับกันและกันและเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ในภาพยนตร์เรื่อง Nocturnal Animals

                   ซูซาน มอร์โรว์ (รับบทโดย เอมี่ อดัมส์) ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแต่เหมือนไม่สุขสมหวังกับสามีของเธอ ฮัตตัน มอร์โรว์ (รับบทโดย อาร์มี่ แฮมเมอร์) สุดสัปดาห์หนึ่ง ขณะที่ ฮัตตัน เดินทางไปทำธุรกิจ ซึ่งเขามักจะเดินทางไปบ่อยๆ ซูซานได้รับห่อของที่ไม่พึงประสงค์ถูกทิ้งเอาไว้ในกล่องรับไปรษณีย์ของเธอ มันคือนิยายเรื่อง Nocturnal Animals ที่เขียนโดยอดีตสามีของเธอ เอ็ดเวิร์ด  เชฟฟิลด์ (เจค จิลเลนฮาล) ซึ่งเธอไม่ได้ติดต่อมานานหลายปี ข้อความที่เอ็ดเวิร์ด เขียนแนบมากับต้นฉบับนิยายของเขา บอกให้ซูซานอ่านผลงานชิ้นนี้ของเขา จากนั้นก็ให้ติดต่อเขาระหว่างที่เขาเดินทางมายังเมืองนี้ เมื่อนอนอยู่เพียงลำพังบนเตียงในยามค่ำคืน ซูซานเริ่มต้นอ่าน นิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นโดยอุทิศให้กับเธอ …

                   …แต่เนื้อหาของนิยายเต็มไปด้วยความรุนแรงและความเสียหาย เพราะ เอ็ดเวิร์ด เล่าเรื่องราวของ โทนี่ เฮสติ้งส์ (รับบทแสดงโดย เจค จิลเลนฮาล) ขณะกำลังขับรถอยู่ในเท็กซัสอย่างเดี่ยวดายในคืนหนึ่ง โทนี่และครอบครัวของเขาถูกชายสามคนตามรังควาน และถูกบังคับให้ต้องออกจากถนนและต้องเผชิญหน้ากับทั้งสามคนที่มีหัวหน้าแก๊งคือชายที่ชื่อ เรย์ มาร์คัส (แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน) โทนี่ไม่รู้จะทำเช่นไรเมื่อครอบครัวของเขาถูกลักพาตัวไป และเขาถูกทิ้งเอาไว้เพียงลำพัง เมื่อฟ้าสว่าง โทนี่ไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจ โดยได้ร้อยโทบ็อบบี้ แอนดีส (ไมเคิล แชนนอน ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว) เป็นผู้รับทำคดี แอนดีสเกิดมิตรภาพกับโทนี่ที่อยู่ในสภาพจิตใจเลื่อนลอย เขาทุ่มเทให้กับการตามล่าตัวผู้ต้องสงสัย จนสิ่งที่โทนี่หวาดกลัวที่สุดเผยตัวออกมา …

                   ซูซานที่รู้สึกประทับใจกับงานเขียนของเอ็ดเวิร์ด เรื่องนี้ อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงช่วงเวลาส่วนตัวสมัยที่เธอเคยรักกับเขา จากความพยายามที่จะมองเข้าไปในตัวเธอเอง มากกว่าชีวิตและหน้าที่การงานอันเลิศหรูที่เธอมี ซูซานเริ่มตีความหมายของหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นเรื่องราวของการล้างแค้น เรื่องราวที่เหมือนบีบให้เธอต้องหันมาประเมินค่าการตัดสินใจในหลายเรื่องที่เธอเคยกระทำไว้ และแล้ว มันเหมือนปลุกความรักที่เธอเคยหวาดกลัวว่าจะสูญหายไป เมื่อเรื่องราวนี้ทำให้เธอคิดใคร่ครวญ ซึ่งให้นิยามใหม่ทั้งกับตัวพระเอกของนิยายเรื่องนี้ และตัวเธอเองด้วย

                   ผลงานการนำเสนอของโฟกัส ฟีเจอร์ส จากผลงานการสร้างของ เฟด ทู แบล็ค ภาพยนตร์ของ ทอม ฟอร์ด จากฝีมือการนำแสดงของ เอมี่ อดัมส์ และเจค จิลเลนฮาล เรื่อง Nocturnal Animals ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังร่วมแสดงโดย ไมเคิล แชนนอน, แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน, อีสล่า ฟิสเชอร์, คาร์ล กลัสแมน, อาร์มี่ แฮมเมอร์, ลอร่า ลินนี่ย์, แอนเดรีย ไรส์โบโรห์, ไมเคิล ชีน ผู้ทำหน้าที่เลือกนักแสดงได้แก่ ฟรานซีน ไมสเลอร์, ซีเอสเอ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้แก่ เอเรี่ยนน์ ฟิลลิปส์ ดนตรีประกอบเป็นฝีมือการประพันธ์ของ เอเบล คอร์เซนิโอว์สกี้ ผู้ลำดับภาพ ได้แก่ โจน โซเบล, เอซีอี โปรดักชั่นดีไซเนอร์ ได้แก่ เชน วาเลนติโน่ ผู้กำกับภาพ ได้แก่ ซีมัส แม็คการ์วี่ย์, เอเอสซี, บีเอสซี ผู้อำนวยการสร้างร่วม ได้แก่ ไดแอน แอล ซาบาตินี่ ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากนิยายเรื่อง Tony and Susan ผลงานของ ออสติน ไรต์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย ทอม ฟอร์ด, p.g.a., โรเบิร์ต เซเลอร์โน่, p.g.a. บทภาพยนตร์เป็นฝีมือของ ทอม ฟอร์ด กำกับโดย ทอม ฟอร์ด ผลงานการจัดจำหน่ายของ โฟกัส ฟีเจอร์ส




เบื้องหลังงานสร้าง

การสำรวจอย่างกล้าหาญถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งทางอารมณ์และจิตวิทยาในการใช้ชีวิตของชายและหญิง หรือความพยายามที่จะใช้ชีวิตในความเป็นจริงของพวกเขาเอง Nocturnal Animals คือภาพยนตร์เรื่องที่สองของมือเขียนบท/ ผู้กำกับ ทอม ฟอร์ด หลังจากผลงานชิ้นแรกที่ทั้งได้รับคำชมและได้รับรางวัลอย่างเรื่อง A Single Man (2009)

Nocturnal Animals ติดตามเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ติดอยู่ระหว่างอดีตและปัจจุบัน ขณะที่เธอทุ่มความสนใจและหมกมุ่นกับเรื่องราวหนึ่ง สำหรับผู้กำกับ การดัดแปลงหนังสือปี 1993 ของออสติน ไรต์ เรื่อง Tony and Susan ให้กลายมาเป็นภาพยนตร์นั้น เขาพบว่าตัวเขาเองต้องทุ่มเทให้กับทั้งการเขียนบทออกมาเป็นถ้อยคำและการถ่ายทอดออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยความจริงจังเท่าๆ กัน

ฟอร์ดกล่าวว่า “การเขียนบทคือส่วนหนึ่งของงานสร้างหนังที่ผมชอบมากที่สุดครับ ในขั้นของการเขียนบทภาพยนตร์ ขั้นตอนนี้เหมือนเสร็จสมบูรณ์ในตัวมันเอง และเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ปรากฎอยู่ในความคิดของผม มันอยู่ในรูปแบบที่สมบูรณ์ที่สุด เมื่อผมลงมือเขียน ผมเริ่มด้วยการสะสมภาพที่เกี่ยวพันกับตัวละครเหล่านี้ และโลกของพวกเขา ผมมองหาภาพของฉากภายใน โลเกชั่น และคนจริงๆ ที่อาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างออกไปของตัวละครที่ผมกำลังสร้างขึ้น จากนั้น ผมเริ่มต้นลงมือเขียน และบ่อยครั้งที่ผมเขียนรายละเอียดที่ผมไปเจอขณะทำการค้นคว้าด้วยรูปถ่าย ใส่ลงไปในบทภาพยนตร์ด้วย โลกที่ตัวละครเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ในเรื่อง Nocturnal Animals เป็นสองโลกที่ผมคุ้นเคยดีอย่างมาก เพราะผมเติบโตมาในเท็กซัส และนิวเม็กซิโก ส่วนของเรื่องที่เกิดขึ้นในเวสต์เท็กซัส เป็นส่วนที่ผมเขียนได้ง่ายมาก ส่วนโลกที่ซูซานอาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส ก็เป็นที่ที่ผมคุ้นเคยดีเช่นกัน”

“ผมนึกถึงทุกเสียงและทุกภาพ และบ่อยครั้งที่ผมเขียนลงไปแบบชอตต่อชอตเลยครับ พอถึงเวลาที่เราจะต้องถ่ายทำจริงๆ ผมมักจะจัดการในเรื่องของรายละเอียดของสิ่งที่ผมอยากจะเก็บภาพ ความงดงามของการทำงานร่วมกับทีมงานเก่งๆ และนักแสดงเก่งๆ ก็คือมันมีสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติซึ่งมันบังเกิดขึ้นในระหว่างการถ่ายทำในแบบที่ผมเองก็ไม่สามารถจินตนาการได้ และสิ่งเหล่านี้ทำให้ผลงานที่เสร็จสมบูรณ์มีรายละเอียดและดูเนียนตามากขึ้น เป็นเรื่องสำคัญมากครับที่เราจะต้องเปิดใจให้กว้างขณะถ่ายทำ และพยายามมองดูสิ่งต่างๆ ด้วยสายตาสดใหม่ บ่อยครั้งที่มันแตกต่างไปจากสิ่งที่ผมเคยจินตนาการเอาไว้เมื่อตอนที่ผมนั่งเขียนบทอยู่ที่โต๊ะ บ่อยครั้งที่มันทำให้แปลกใจ และการแสดงก็ช่วยเพิ่มสิ่งดีๆ ให้กับความซับซ้อนและความหลากหลายของภาพยนตร์เรื่องนี้”

ในการค้นหาวิธีที่จะเล่าเรื่องราวนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เพียงเรื่องที่ซ้อนอยู่ในอีกเรื่องเท่านั้น แต่มันยังเป็นการสำรวจความปรารถนา ความทะเยอทะยาน และความดื้อดึงของคนเรา ฟอร์ดรู้ดีว่าเขาจะต้องใช้ทั้งทักษะในการกำกับและเขียนบทมากกว่าที่เคยใช้ในภาพยนตร์ภาคแรก ขณะที่ A Single Man เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 1962 และมาพร้อมภาพแฟลชแบ็คที่ย้อนไปดูเหตุการณ์หลายปีก่อนหน้านั้น มันเป็นเรื่องราวในโลกของผู้ชายคนเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งตรงกันข้ามกับ Nocturnal Animals ที่เชื่อมโยงเรื่องราวของตัวละครสามตัว ขณะที่ปิดช่องทางติดต่อระหว่างพวกเขา

ในการดัดแปลงนิยายเรื่อง Tony and Susan ให้กลายเป็นบทภาพยนตร์เรื่อง Nocturnal Animals ฉากการใช้ชีวิตร่วมสมัย ทำให้ฟอร์ดเกิดความสนใจที่จะจินตนาการภาพแบบสุดโต่งเพื่อแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว ซูซาน มอร์โรว์ ทั้งโดดเดี่ยวและเหมือนหลงทางแค่ไหน เขากล่าวว่า “สไตล์ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายสำหรับผมเวลาที่ผมทำหนังครับ สไตล์ที่ไม่มีแก่นสารมันว่างเปล่าและโบว๋กลวง อย่างไรก็ดี ผมใส่ใจกับสไตล์เมื่อมันเกี่ยวพันกับตัวละครและเรื่อง ฉากและเสื้อผ้าไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลกับคนดูเท่านั้น แต่ยังต้องช่วยให้นักแสดงสวมบทบาทนั้นได้เต็มตัวด้วย ความต่อเนื่องของโทนภาพก็สำคัญกับผมเช่นกัน รวมถึงวิธีที่ภาพนั้นจะต้องถูกถ่ายอย่างมีสไตล์ และต้องเข้ากันได้ดีกับงานดนตรี และการออกแบบซาวน์เพื่อสร้างโลกที่อยู่ติดกัน ผมระลึกอยู่ว่าภาพสามารถพูดได้เป็นพันๆ คำ และภาพยนตร์ก็คือสื่อที่ใช้ภาพจริงๆ ผมคิดว่าภาพยนตร์ควรจะเล่นแบบเงียบๆ ส่วนถ้อยคำและภาษาควรถูกใช้ก็ต่อเมื่อจำเป็นที่จะต้องทำให้การเล่าเรื่องเดินหน้าไป”

“มีคนบอกผมว่าผมเขียนฉากยาวมาก มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน แต่ผมคิดมาจากความปรารถนาที่จะสร้างความเชื่อมโยงระหว่างตัวละคร ในชีวิตจริง สิ่งที่ผมชอบที่สุดคือการสนทนาดีๆ ดังนั้น ผมสงสัยว่าถ้าปราศจากการคิด ผมคงจะสร้างฉากที่มีบทพูดดีๆ ที่สลับกับฉากที่คนดูแค่ได้เห็นใครสักคนทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการเล่าเรื่องโดยไม่ต้องพูดเลย”

กระบวนการดัดแปลงบทนั้นต้องใช้เวลา ในที่สุด บทภาพยนตร์เวอร์ชั่นสุดท้ายของเขาก็แตกต่างไปจากหนังสือ ฟอร์ดอธิบายว่า “หนังสือเรื่อง Tony and Susan ถูกเขียนขึ้นอย่างงดงามมาก มันเป็นเรื่องที่ดีครับ แนวคิดที่เป็นอุปมาอุปไมยถึงเรื่องศีลธรรมบอกเล่าผ่านเรื่องที่ถูกแต่งขึ้น หนังสืออยู่ในหนังสืออีกที ผมคิดว่ามันมีความสดและแปลกดี ผมชอบมันตั้งแต่วินาทีที่ได้อ่าน และรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ดีได้ อย่างไรก็ดี มันไม่ใช่หนังสือที่ดัดแปลงบทได้ง่ายเลย และทำให้ผมต้องใช้เวลาเพื่อตัดสินใจว่าจะเขียนออกมายังไง หนังสือและภาพยนตร์เป็นสื่อที่แตกต่างกันมากครับ บ่อยครั้งที่การตีความหนังสืออาจใช้ได้ไม่ดีนักเมื่ออยู่บนจอ สำหรับผมแล้ว เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องนำธีมของหนังสือที่มันโดนใจผม และขยายมันออกไป นำเสนอมันบนจอ ด้วยวิธีเช่นนั้น Nocturnal Animals ก็ถือว่ายึดมั่นกับหนังสือ ถึงแม้ว่าองค์ประกอบหลายอย่างของเรื่องจะไม่เหมือนหนังสือ และฉากก็แตกต่างไปจากในหนังสือจริงๆ”

“Tony and Susan เป็นการขยายบทพรรณนาภายในความคิดของซูซานออกมา ผมต้องสร้างฉากในชีวิตของเธอที่แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่เธอแสดงในหนังสือตามความคิดของเธอ แต่ทำมันออกมาให้เป็นภาพเพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่าเธอรู้สึกอย่างไร โดยไม่ต้องใช้เสียงเล่าเรื่องตลอดทั้งเรื่อง ธีมพื้นฐานของนิยายของเอ็ดเวิร์ด มันกว้างมากในหนังสือ ผมรู้สึกว่ามันต้องถูกขยายออกไปเพื่อให้มีความชัดเจนเมื่ออยู่บนจอ”





เขากล่าวเสริมว่า “ถ้าจะให้พูดให้ชัดเจนขึ้น ฉากในหนังสือถูกปรับเปลี่ยน ส่วนหนึ่งเพราะหนังสือถูกเขียนขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ ‘90s เพราะการใช้โทรศัพท์มือถือนั้นแพร่หลายมากแล้ว รูปแบบของอาชญากรรมที่หนังสือพูดถึง คงไม่มีทางเกิดขึ้นในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยมือถือและการสื่อสารออนไลน์ ผมเลือกที่จะวางเรื่องนี้เอาไว้ในย่านเวสต์เท็กซัส ซึ่งเรื่องต้นฉบับนั้นเกิดขึ้นในนอร์ธอีสต์ เพราะมันยังคงมีหลายที่ที่นั่นที่คนเรายังนึกภาพออกว่าอาจไม่มีสัญญาณมือถือให้บริการ มันยังเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งในโลกที่ผมรู้จักดีที่สุดด้วย ผมยังคงเชื่อในคำสอนเก่าแก่ที่บอกว่า จงเขียนในสิ่งที่เรารู้”

“ในหนังสือ Tony and Susan ตัวละคร เอ็ดเวิร์ด  เชฟฟิลด์ ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ‘ไม่มีใครเขียนถึงเรื่องอื่นหรอก นอกจากเรื่องตัวเอง’ ผมตัดสินใจเก็บมันเอาไว้ในหนัง เพราะผมเชื่อในคำกล่าวนี้จริงๆ เราทุกคนต่างเห็นสิ่งต่างๆ ผ่านตัวกรอง ซึ่งก็คือตัวตนของเรา เมื่อ เอ็ดเวิร์ด  เขียนนิยายเรื่อง Nocturnal Animals ของเขาขึ้นมา มันเกิดมาจากรายละเอียดและอารมณ์จากอดีตของเขากับซูซาน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เกิดมาจากความคิดของผมเอง แต่ผมอยากเน้นว่า เอ็ดเวิร์ด  กำลังเขียนเรื่องส่วนตัวที่เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเขากับซูซาน และเป็นการอธิบายให้เธอเข้าใจว่าเขารู้สึกยังไงกับสิ่งที่เธอทำกับเขา ตัวอย่างเช่น ในภาพแฟลชแบ็ค เราเห็นซูซานกำลังอ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเอ็ดเวิร์ด  เธอรู้สึกเบื่อ และเขาก็หงุดหงิดมาก ในฉากนั้น เธอนอนอยู่บนโซฟาสีแดง มันเป็นภาพที่ประทับอยู่ในความคิดของเอ็ดเวิร์ด  เมื่อเขาเลือกที่จะฆ่าตัวละครที่เป็นตัวแทนของซูซานในนิยายเรื่องนี้ เขาวางร่างเธอบนโซฟากำมะหยี่สีแดง ฆาตกรในนิยายเรื่องนี้ ขับรถปอนเตียค จีทีโอ จากยุค ‘70s และรถคันเดียวกันนี้ปรากฎให้เห็นในภาพแฟลชแบ็ค เมื่อซูซานทิ้งเอ็ดเวิร์ด ไป รายละเอียดจากชีวิตสมัยที่พวกเขาเคยอยู่ด้วยกัน มันกระจัดกระจายอยู่ทั่วเรื่องราวที่เอ็ดเวิร์ด แต่งขึ้น และฝังตัวอย่างชัดเจนอยู่ในจิตสำนึกของเอ็ดเวิร์ด  ในลักษณะเดียวกัน หลายสิ่งหลายอย่างจากชีวิตของผม ก็ถูกใส่ลงไปในบทภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน”

ฟอร์ดกล่าวว่า “หนึ่งในธีมของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่โดนใจผมเป็นการส่วนตัวก็คือ การนำเสนอถึงความเป็นชายในวัฒนธรรมของเรา พระเอกของเรา โทนี่และเอ็ดเวิร์ด  ไม่ได้มีลักษณะแบบชายชาตรีในแบบที่วัฒนธรรมของเรามักคาดหวังว่าพวกเขาจะต้องมีชัยชนะในตอนท้าย เมื่อเด็กชายคนหนึ่งเติบโตมาในเท็กซัส ผมสามารถเป็นได้ทุกอย่าง ยกเว้นคนที่ถูกมองว่าเป็นชายชาตรีสุดคลาสสิก และผมก็ทุกข์ทรมานเพราะมัน ผมใส่อารมณ์ร่วมไปในตัวละครอย่างโทนี่และเอ็ดเวิร์ด  และความมานะมุ่งมั่นของพวกเขาก็โดนใจผมมาก”

แรงกระทบที่เหมือนเดินไปข้างหน้าของเรื่องนี้ การที่มีเรื่องซ้อนเรื่องอยู่อีกที ถือเป็นคุณสมบัติที่ทำให้อ่านนิยายเรื่องนี้ได้อย่างเพลิดเพลินมาก เมื่อมองย้อนกลับไป ดูเหมือนมันถูกกำหนดมาเพื่อให้ถูกนำมาจำลองเป็นประสบการณ์ของการดูหนัง สิ่งที่ผลักดันภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ ความต้องการที่จะปิดกั้นของตัวละคร ตัวละครหลายตัวเดินหน้าไปก่อนเราจะได้พบพวกเขา อีกหลายคนก็ตกใจที่จู่ๆ มันก็ปรากฎขึ้นมา

การแสดงถึงผลกระทบของการเห็นหนทางสว่างและการลงมือกระทำจากการตัดสินใจของตัวละครหลักทั้งสาม คือสิ่งที่ฟอร์ดเคยทำมาแล้วใน A Single Man และกับ Nocturnal Animals นี่คือการเรียกร้องให้ต้องแสดงเป็นตัวละครหลักสามตัวจากนักแสดงนำเพียงสองคน ซึ่งกลายเป็นขวัญใจของคนดู รวมไปถึงยังได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการแสดงมาแล้วด้วย

ฟอร์ดรู้สึกสนใจในตัว เอมี่ อดัมส์ นักแสดงหญิงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว “เพราะความสามารถอันน่าตื่นตาของเธอที่จะแสดงอารมณ์ออกมาโดยไม่ต้องมีคำพูด “ใช้เพียงแค่ใบหน้าและดวงตาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของเธอ เอมี่คือนักแสดงหญิงที่เก่งมากจริงๆ ครับ มีบางสิ่งบางอย่างในดวงตาของเธอที่ให้ความรู้สึกดิบและจริงมาก ผมอยากให้ตัวละครซูซานดูน่าเห็นใจ มันง่ายมากที่จะเกลียดซูซาน เพราะก็อย่างที่เธอบอกเอาไว้ในหนัง เธอมี ‘ทุกอย่าง’ แต่เธอไม่มีความสุข เธอเลือกเส้นทางชีวิตที่ตรงกันข้ามกับนิสัยจริงของตัวเอง เธอเป็นเหยื่อของการถูกเลี้ยงดูมา และเป็นเหยื่อของสิ่งที่ถูกคาดหวังจากผู้หญิงในวัฒนธรรมของเรา”

“ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เรามักเห็นซูซานกำลังอ่านหนังสือ หรือมีปฏิกริยากับสิ่งที่เธออ่านอยู่อย่างเงียบๆ นี่คือจุดที่ความสามารถของเอมี่ในฐานะนักแสดงฉายแววชัดออกมาสำหรับผม เธอเป็นคนตรงไปตรงมามากในการแสดง และสามารถเข้าถึงความเจ็บปวดของซูซานในแบบที่ทำให้เราเข้าใจได้ มากกว่าจะเกลียดเธอ เธอแสดงเป็นซูซานได้อย่างมีนัยลึก ซึ่งในหลายๆ ทาง มันเป็นบทที่แสดงยากมากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยครับ เพราะเธอไม่สามารถจะเล่นท่าทางให้ดูใหญ่ได้ หรือไม่อาจหวังพึ่งการใช้ภาษาเพื่อแสดงความเจ็บปวดที่ตัวละครตัวนี้รู้สึกออกมาได้”

ความสามารถในการจัดการกับตัวละครให้กลายเป็นสีเทา คือสิ่งที่ อดัมส์ เคยแสดงให้เห็นเด่นชัดมาแล้วในภาพยนตร์อย่าง The Master และ American Hustle ในขณะที่ยังคงทำให้คนดูเข้าใจตัวละครได้ “ตัวละครซูซานอาจมีความรู้สึกที่ซับซ้อนหลายระดับ โดยที่การแสดงออกภายนอกนั้นอาจดูเหมือนใจเย็นและนิ่งมาก” ฟอร์ดบอก

ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยแสดงด้วยกันมาก่อน แต่ฟอร์ดรู้สึกว่า เจค จิลเลนฮาล ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วเช่นกัน สามารถเข้ากันได้ดีทีเดียวกับอดัมส์ เขาตั้งข้อสังเกตว่า “มันยากที่จะหานักแสดงเก่งๆ ชื่อดังสองคนที่สามารถเล่นเป็นตัวละครในวัย 20 กว่า และต้น 40 ได้อย่างน่าเชื่อแบบนี้ เจคและเอมี่มีความสามารถเช่นนั้น และการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาไม่ว่าจะเป็นท่วงท่ากิริยา และรูปแบบการพูดระหว่างตัวตนที่ยังเป็นหนุ่มสาว และตัวตนที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น มันต้องใช้ฝีมือสูงมาก พวกเขาทั้งคู่สามารถแสดงออกมาได้อย่างงดงามจริงๆ ครับ”

ฟอร์ดยังเชื่อมั่นพอๆ กันว่า จิลเลนฮาล สามารถวางตัวเองเอาไว้ในฉากในเรื่องที่ซ้อนเรื่องอีกที ฟอร์ดกล่าวว่า “ผมรู้สึกอยากให้ เจค มารับบท เอ็ดเวิร์ด และโทนี่ เพราะผมชื่นชมในความเสี่ยงที่เจคมักจะยอมรับในการแสดงของเขา นี่คือบทที่เรียกร้องทางอารมณ์และยากมากๆ ผมรู้สึกว่าเจคจะต้องสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาแน่นอน ผมไม่ยอมปล่อยไปแน่ๆ”

บทสมทบสำคัญๆ อย่างร้อยโทบ็อบบี้ แอนดีส และเรย์ มาร์คัส ที่ดูเหมือนเป็นตัวแทนคนละฝั่งฟากของกฎหมาย เติมเต็มด้วยนักแสดงระดับเคยเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง ไมเคิล แชนนอน และนักแสดงชาวอังกฤษ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน นักแสดงทั้งสองคนนี้เป็นที่หมายตาของฟอร์ดเพราะความสามารถที่หลากหลายของพวกเขา เป็นคุณสมบัติที่ทำให้พวกเขาแต่ละคนเหมือนกับหายเข้าไปในตัวละครจากยุคและชนชาติที่แตกต่างกันไป จนทำให้คนดูจำนวนไม่น้อยไม่สามารถจำได้ว่าพวกเขาเคยเห็นนักแสดงสองคนนี้ที่ไหนมาก่อน

ตามที่ฟอร์ดอธิบาย คุณสมบัติเช่นนั้นถือว่าสำคัญมาก “เพื่อจะเติมเต็มให้กับชายสองคนนี้ ซึ่งเป็นตัวละครที่อาจจะมีอยู่แค่ในต้นฉบับหนังสือที่ซูซานกำลังอ่านอยู่ แต่การแสดงต้องเข้าถึงจินตนาการของเธอ และต้องเอาความสนใจของคนดูให้อยู่หมัดด้วย”
« Last Edit: November 13, 2016, 07:03:55 PM by happy »

happy on November 13, 2016, 07:01:25 PM
ที่เข้ามาร่วมแสดงด้วยล้วนแต่เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จทั้งสิ้น แม้ว่านักแสดงเหล่านี้หลายคนอาจมาที่กองถ่ายแค่หนึ่งหรือสองวันเท่านั้น ฟอร์ดรู้สึกดีใจมากที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับนักแสดงเหล่านี้เมื่อพวกเขามารับบทรับเชิญได้อย่างเฉียบคม เขาอธิบายว่า “ผมโชคดีมากครับที่ได้ทีมนักแสดงสมทบที่มีฝีมือจริงๆ ครับ ผมคิดว่า อาร์มี่ แฮมเมอร์ ฝากผลงานที่ยอดเยี่ยม และเข้าถึงตัวละคร ฮัตตัน มอร์โรว์ ในแบบที่เป๊ะมากจริงๆ ทั้งแอนเดรีย ไรส์โบโรห์ และไมเคิล แชนนอน แสดงเป็นคู่สมัยใหม่อย่าง อเลสเซีย และคาร์ลอส ออกมาในแบบที่ผมจินตนาการเอาไว้เป๊ะเลยตอนที่ผมนั่งเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ในฉากสั้นๆ พวกเขาแสดงให้เราเห็นได้เลยว่าคนสองคนนี้เป็นใคร และยังสร้างความใกล้ชิดกับตัวละคร ซูซาน ของเอมี่ และมันเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงเนื้อหาในโลกของซูซาน และชีวิตส่วนตัวของเธอ

“การแสดงของ ลอร่า ลินนี่ย์ ในความเห็นของผม ต้องบอกว่าสุดยอดมาก การได้มาเห็นเอมี่และลอร่า แสดงฉากในร้านอาหารด้วยกันมันเหลือเชื่อมากครับ อีสล่า ฟิสเชอร์ ให้การแสดงบทดราม่าที่โดนใจมาก จนผมคิดว่าคงจะทำให้คนดูประหลาดใจแน่ เพราะเราไม่ค่อยได้เห็นเธอในบทอื่น นอกจากบทตลกมากนัก ที่จริงเธอเป็นนักแสดงบทดราม่าที่เก่งมาก คาร์ล กลัสแมน ในบท ลู ก็ให้การแสดงที่ชวนขนลุกทีเดียว ตัวละครของเขาและบุคลิกของเขา อาจไม่สามารถแสดงอะไรมากนัก ซึ่งสำหรับผม บ่อยครั้งมันกลับกลายเป็นจุดเด่นของสุดยอดนักแสดง เอลลี่ แบมเบอร์ ไม่ใช่แค่หน้าสวยเท่านั้น แต่ยังเป็นนักแสดงที่เก่งมาก เธอแสดงเป็น อินเดีย ด้วยความเหมือนจริงในแบบที่ผมพบว่ามันจับใจมาก ความไร้เดียงสาของเธอทำให้การทำความผิดยิ่งดูน่ารังเกียจมากขึ้น ร็อบ อารามาโย่ คือนักแสดงเด็กที่ผมคิดว่าให้การแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบท เติร์ก”

กับการที่บทภาพยนตร์ของเขาวางตัวละครเอาไว้ในสถานที่จำเพาะ ซึ่งเหมือนโดนกักอยู่ในการดิ้นรนต่อสู้ของพวกเขา การตระเวณหาโลเกชั่นยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น สภาพแวดล้อมต้องถูกปรับเปลี่ยน และบางครั้งมันคือการวิพากษ์การตัดสินใจในชีวิตของตัวละคร ฉากในเท็กซัสถ่ายทำกันในและรอบๆ โมจาวี, แคลิฟอร์เนีย ขณะสถานที่ถ่ายทำในลอสแองเจลิส ได้แก่ เบลแอร์, โฮล์มบี้ฮิลส์, มาลีบู, พาซาดีน่า และเบเวอร์ลี่ ฮิลส์ ฉากถนนของนิวยอร์กกลางฤดูหนาวที่ซูซานและเอ็ดเวิร์ด อยู่ด้วยกันในอดีต ถูกสร้างขึ้นในย่านวิลไชร์ บูเลอวาร์ดอย่างสมจริง และน่าประหลาดใจที่สุด

ส่วนฉากลอสแองเจลิสร่วมสมัย ซึ่งเป็นฉากภายในอาคารนั้น เป็นสิ่งที่ให้คำนิยามกับโลกของซูซาน ฟอร์ดทำงานกับโปรดักชั่น ดีไซเนอร์ เชน วาเลนติโน่ เพื่อพัฒนาฉากเหล่านี้ขึ้นมา วาเลนติโน่ ผู้เคยแสดงให้เห็นถึงชีวิตและการทำงานอันหลากหลายในภาพยนตร์เรื่อง Beginners และ Straight Outta Compton ได้รับการสนับสนุนกับฟอร์ดให้ตอบรับงานนี้และความท้าทายอื่นๆ เพราะทั้งสองคนมีความรู้สึกต่อวัฒนธรรมและจินตนาการในแบบที่คล้ายคลึงกัน ฟอร์ดอธิบายว่า “ความเข้าอกเข้าใจระหว่างผมกับเชนมันตลกมากเลยครับ ผมได้รายชื่อโปรดักชั่นดีไซเนอร์มาจากหลายเอเจนซี่ด้วยกัน และผมก็พิจารณาคนในรายชื่อเหล่านั้นโดยหาข้อมูลออนไลน์ตามเว็บเพจของพวกเขา แล้วผมก็มาเจอเพจที่มีภาพจากงานโฆษณาของผมหลายภาพ มีแม้กระทั่งรูปถ่ายที่ผมถ่ายตัวเอง ผมสังเกตเห็นว่าลักษณะเพจของเขาดูคล้ายกับเพจที่ผมเคยใช้ตอนทำโฆษณาให้กับแบรนด์ ทอม ฟอร์ด และผมก็คิดทันทีเลยว่า ‘หมอนี่เป็นใครกัน ฉันต้องเจอเขาให้ได้’”

“ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และโทรหาเชน แล้วก็นัดหมายเพื่อให้เขามาเจอผมที่สำนักงานในแอลเอ เราเชื่อมต่อกันติดทันที และแทบจะใช้ภาษาลัดคุยกัน เพราะอ้างอิงถึงเรื่องเดียวกัน ผมรู้สึกเหมือนเขาเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผม และไม่อยากเชื่อเลยว่าเราไม่ได้เจอกันเร็วกว่านี้ เขาสร้างผลงานที่เยี่ยมยอดมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ และผมก็ตั้งตารอที่จะได้ทำงานกับเขาอีกเร็วๆ นี้ครับ”

ผู้ที่เข้ามาจับภาพจุดหักเหทั้งทางร่างกายและจิตใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็คือ ผู้กำกับภาพที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์อย่าง ซีมัส แม็คการ์วี่ย์ ผู้กำกับภาพผู้นี้คุ้นเคยดีกับภาพยนตร์ทั้งแนวเอพิค และเรื่องราวที่เป็นส่วนตัว เขาวางแผนการถ่ายทำชอตภาพร่วมกับฟอร์ด ฟอร์ดรู้สึกว่าแม็คการ์วี่ย์รู้ดีเลยว่าเมื่อไหร่ที่จะต้องนำเสนอความยิ่งใหญ่ และเวลาไหนที่ควรจะนำเสนอชอตให้ออกมาดูเป็นเรื่องส่วนตัว ฟอร์ดให้ความเห็นไว้ว่า “ซีมัสเป็นคนที่มีความสามารถมากครับ เขาเป็นคนตาไว ผมชื่นชมผลงานเขามานานหลายปีแล้ว ผมคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพที่เก่งจริงๆ ที่ยังทำงานอยู่ในทุกวันนี้ เรามีเพื่อนร่วมกันหลายคน แต่เราไม่เคยได้เจอกันเลย และเราก็ได้นั่งลงในออฟฟิศของผมในลอนดอน และได้คุยกันนานหลายชั่วโมงในแบบง่ายๆ ซึ่งทำให้ผมรู้ว่าเราต้องได้ทำงานด้วยกันแน่”

“นอกจากจะมีความสามารถแล้ว ซีมัสยังเป็นคนใจเย็นและใจดีมากเมื่ออยู่ในกองถ่าย และเขาก็นับถือทุกคน เขาชนะใจทีมงานทุกคน และยังได้รับความไว้วางใจจากนักแสดงทุกคนด้วย ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้ตัวเขามาเป็นผู้กำกับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง Nocturnal Animals นี้”

ทีมงานหลักๆ ล้วนแต่เคยร่วมงานกับฟอร์ดมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง A Single Man ไม่ว่าจะเป็นผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอเรี่ยนน์ ฟิลลิปส์ ผู้แต่งดนตรีประกอบ เอเบล คอร์เซนนิโอว์สกี้ และผู้ลำดับภาพ โจน โซเบล ทุกคนที่พูดถึงนี้ต่างเคลียร์คิวงานเพื่อจะได้กลับมาร่วมงานกับ ทอม ฟอร์ด ในภาพยนตร์เรื่อง Nocturnal Animals นี้ ฟอร์ดกล่าวว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดูแลคนที่อยู่รอบๆ ตัวคุณ เป็นคนที่คุณไว้วางใจ ผมอยู่กับกฎข้อนั้นแหละครับ เมื่อคุณทำงานกับคนดีและเก่ง จนทำให้มันกลายเป็นงานสนุกจนอยากมาทำงานทุกวัน ทำไมคุณถึงจะไม่อยากทำงานกับพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกล่ะ ผมหวังว่าผมจะได้ร่วมกันสร้างหนังกับโจน, เอเรี่ยนน์ และเอเบลอีกหลายเรื่อง เพราะพวกเขาแต่ละคนต่างเก่งกาจในงานที่พวกเขาทำ แล้วพวกเขาก็เป็นคนที่น่ารักด้วยครับ”

ฟอร์ดยังพูดถึงฟิลลิปส์ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัฟต้าจากภาพยนตร์เรื่อง A Single Man มาแล้วว่า “ดวงตาของเธอไม่เคยมองผิด บ่อยครั้งที่ผมพบตัวเองยืนถามคำถามกับเอเรี่ยนน์ถึงเรื่องการแสดงอยู่ในกองถ่าย รวมถึงเรื่องมุมกล้อง และอีกหลายเรื่อง เพราะเธอไม่ได้เก่งแค่การออกแบบเสื้อผ้าเท่านั้น แต่เธอยังมีรสนิยมและมีการตัดสินใจที่ดีด้วย ความเห็นของเธอมีค่ามหาศาลมากสำหรับผม”

คอร์เซนนิโอว์สกี้ เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากภาพยนตร์เรื่อง A Single Man มาแล้ว และเขายังเป็นผู้แต่งดนตรีประกอบให้กับซีรีส์เรื่อง Penny Dreadful สามซีซั่น ฟอร์ดอธิบายว่า “เอเบลกับผมต่างมีความรักในงานดนตรีคลาสสิกในอารมณ์ประมาณ เบอร์นาร์ด เฮอร์แมน และเรายังชอบงานแบบมินิมัลลิสต์ของฟิลิป กลาสส์อีกด้วย รสนิยมในเรื่องดนตรีของเราอยู่ในแนวเดียวกันเป๊ะ เอเบลได้สร้างผลงานที่ทั้งกล้าและดราม่า ซึ่งเข้าถึงและแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ในแบบที่ไม่เหมือนผู้แต่งดนตรีประกอบคนอื่นที่ยังทำงานอยู่ในตอนนี้ ความสำคัญของดนตรีในภาพยนตร์นั้นมิอาจมองข้ามได้ เพราะมันสามารถสร้างความตึงเครียดหรืออารมณ์ของฉากในแบบที่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ สำหรับผม เอเบลคือผู้ประพันธ์เพลงที่เป็นอัจฉริยะจริงๆ ครับ”

ฟอร์ดยอมรับว่ากับ A Single Man สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดอยู่ในขั้นตอนการลำดับภาพ” ฟอร์ดมาทำงานในภาพยนตร์เรื่อง Nocturnal Animals พร้อมไอเดียว่าจะสร้างรูปทรงของภาพยนตร์เรื่องนี้กับโซเบลอย่างไร เขากล่าวว่า “โจนคือเพื่อนร่วมงานที่เก่งที่สุดของผม ผมยังคงยืนกรานในคำกล่าวเก่าๆ ที่ว่า ‘หนังถูกสร้างขึ้นในห้องตัดต่อ’ เป็นเวลานานหลายเดือนทีเดียวที่เรานั่งอยู่เคียงกันในห้องมืดๆ ในสำนักงานของผมที่ลอนดอน และตัดต่อภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าด้วยกัน โจนคือปรมาจารย์จริงๆ ครับ”

“เรามีความรักในภาพยนตร์และการอ้างอิงถึงภาพยนตร์เหมือนกัน บ่อยครั้งที่เราเดินออกมาจากห้องตัดต่อเพื่อจะคุยกันเกี่ยวกับหนังที่เราสองคนชอบและหลงใหล โจนคือคนสำคัญที่ช่วยผมสร้างชีวิตให้กับ Nocturnal Animals จนได้ขึ้นจอ ผมแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้กลับเข้าไปในห้องมืดๆ กับเธออีกสัก 7 เดือนเพื่อตัดต่อหนังเรื่องต่อไปครับ”

ฟอร์ดรู้สึกพอใจกับคุณสมบัติของ Nocturnal Animals ที่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องราวการเดินทางที่แสนจับใจและตื่นเต้น แต่ยังเป็นเรื่องราวที่มองไปข้างใน สิ่งที่เขาคาดหวังเอาไว้ก็คือ คนดูจะ “เปิดใจรับมากกว่าหนึ่งในตัวละครเหล่านี้”