happy on February 14, 2016, 08:28:22 PM

Hail, Caesar!

ชื่อไทย      กองถ่ายป่วน ฮากวนยกกอง
วันที่เข้าฉาย      3 มีนาคม 2559
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=FwvMt-NXT98" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=FwvMt-NXT98</a>

Hail, Caesar! กองถ่ายป่วน ฮากวนยกกอง ผลงานล่าสุดของพี่น้องโคเอนที่จัดเต็มนักแสดงชั้นนำจากฮอลลีวูด

เมื่อซุปตาร์ที่โด่งดังที่สุดของโลกเกิดหายตัวไป และคนที่จับตัวเขาไปเรียกเงินค่าไถ่ก้อนโตเพื่อให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย
งานนี้ต้องใช้พลังของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่คับฮอลลีวู้ดมาช่วยไขปริศนาการหายตัวไปในครั้งนี้ และคนที่จะนำพาคนดูฝ่ามุขฮา
พร้อมกระชากม่านเปิดโปงฮอลลีวู้ดด้วยอารมณ์ขันที่ยากจะคาดเดา และแฉเรื่องดราม่าเบื้องลึกในวงการก็คือ
โจเอล และ อีธาน โคเอน เจ้าของรางวัลออสการ์ 4 สมัย ที่เคยมีผลงานอย่าง No Country for Old Men, True Grit และ Fargo
กลับมารับหน้าที่กำกับ ที่ต้องบอกเลยว่าผลงานเรื่อง Hail, Caesar! คืองานที่สร้างสรรค์ที่สุดของพวกเขาแล้ว
 
 
ภาพยนตร์เรื่องนี้รวบรวมทีมนักแสดงระดับสุดยอดฝีมือโดย จอช โบรลิน (No Country for Old Men), ดาราหนุ่มใหญ่เจ้าของรางวัลออสการ์ จอร์จ คลูนีย์ (Gravity),
อัลเด้น อีห์เรนริค (Blue Jasmine), เรลฟ์ ไฟนน์ส (The Grand Budapest Hotel), โจนาห์ ฮิลล์ (The Wolf of Wall Street), สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน (Lucy),
เจ้าของรางวัลออสการ์ ฟรานเซส แม็คดอร์แมนด์ (ผลงานทาง HBO เรื่อง Olive Kitteridge),
เจ้าของรางวัลออสการ์ ทิลด้า สวินตัน (Michael Clayton) และแชนนิ่ง ทาทั่ม (Magic Mike)





เกี่ยวกับภาพยนตร์

   สองผู้กำกับเจ้าของสี่รางวัลออสการ์ โจล โคเอน และอีธาน โคเอน (No Country for Old Men, True Grit, Fargo) เขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่อง Hail, Caesar! ภาพยนตร์ตลกรวมดาราที่นำทีมนักแสดงระดับสุดยอดฝีมือโดย จอช โบรลิน (No Country for Old Men), ดาราหนุ่มใหญ่เจ้าของรางวัลออสการ์ จอร์จ คลูนีย์ (Gravity), อัลเด้น อีห์เรนริค (Blue Jasmine), เรลฟ์ ไฟนน์ส (The Grand Budapest Hotel), โจนาห์ ฮิลล์ (The Wolf of Wall Street), สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน (Lucy), เจ้าของรางวัลออสการ์ ฟรานเซส แม็คดอร์แมนด์ (ผลงานทาง HBO เรื่อง Olive Kitteridge), เจ้าของรางวัลออสการ์ ทิลด้า สวินตัน (Michael Clayton) และแชนนิ่ง ทาทั่ม (Magic Mike) 

   เมื่อซุปตาร์ที่โด่งดังที่สุดของโลกเกิดหายตัวไป และคนที่จับตัวเขาไปเรียกเงินค่าไถ่ก้อนโตเพื่อให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย งานนี้ต้องใช้พลังของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่คับฮอลลีวู้ดมาช่วยไขปริศนาการหายตัวไปในครั้งนี้ และคนที่จะนำพาคนดูฝ่ามุขฮา พร้อมกระชากม่านเปิดโปงฮอลลีวู้ดด้วยอารมณ์ขันที่ยากจะคาดเดา และแฉเรื่องดราม่าเบื้องลึกในวงการก็คือ พี่น้องโคเอน ที่ต้องบอกเลยว่าผลงานเรื่อง Hail, Caesar! คืองานที่สร้างสรรค์ที่สุดของพวกเขาแล้ว

   งานของ เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ (โบรลิน) ในตำแหน่งฝ่ายแก้ปัญหาประจำสตูดิโอ เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง เมื่อเขาต้องรุดไปยังที่เกิดเหตุ ล่วงหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อป้องกันไม่ให้หนึ่งในดาราชื่อดังค่าตัวแพงของค่ายแคปปิตอล พิคเจอร์ส ต้องโดนจับในข้อหาผิดจริยธรรม งานเขาไม่มีวันน่าเบื่อ ทุกอย่างต้องแข่งกับเวลา

   หนังแต่ละเรื่องที่สตูดิโอเจ้านี้สร้างออกมา ล้วนมาพร้อมปัญหาน่าปวดหัว และแมนนิกซ์มีหน้าที่หาทางออกให้กับหนังทุกเรื่อง เขาคือคนที่ใช่เมื่อถึงเวลาต้องล่าลายเซ็นของผู้นำศาสนาเมื่อคิดจะสร้างหนังเอพิคที่ว่าด้วยเรื่องศาสนา รวมถึงเวลาที่ผู้กำกับขาวีน ลอว์เรนซ์ ลอว์เรนต์ซ (ไฟนน์ส) เกิดป๊อดที่ต้องให้ดาราหนังคาวบอย โฮบี้ ดอยล์ มาแสดงในหนังดราม่าเรื่องใหม่ล่าสุดของแคปปิตอล 

   ขณะที่ต้องเร่งรีบจัดการปัญหามากมาย ตั้งแต่ปัญหาเร่งด่วนของดาราเรื่องมาก จนถึงปัญหาอื่นๆ แมนนิกซ์ไม่เพียงแต่ต้องคิดหาวิธีที่เป็นมิตรกับสื่อเพื่อทำให้ ดีแอนนา โมแรน (โจแฮนส์สัน) หาทางออกให้กับปัญหาส่วนตัวเท่านั้น เขายังต้องหาต้นสายปลายเหตุของพฤติกรรมน่าสงสัยล่าสุดของซุปตาร์นักร้องนักเต้น เบิร์ต เกอร์นี่ย์ (แชนนิ่ง ทาทั่ม) อีกต่างหาก 

   ราวกับปัญหาของพวกเซเล็บอีโก้จัดจะสร้างความปวดหัวให้ไม่พอ แมนนิกซ์ยังต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานของเขา นั่นคือ หนึ่งในผู้โกยเงินก้อนโตที่สุดให้กับทางสตูดิโอแห่งนี้ อย่าง แบรด วิทล็อค (จอร์จ คลูนี่ย์) ดันถูกลักพาตัวไประหว่างกำลังถ่ายทำหนังเอพิคฟันดาบเรื่องล่าสุดเรื่อง Hail, Caesar! โดยมีกลุ่มคนลึกลับที่เรียกตัวเองว่า “แก๊งอนาคต” อ้างว่าเป็นคนลักพาตัวแบรดไป ถ้าทางสตูดิโอไม่ยอมจ่ายเงินค่าไถ่  $100,000 ดอลล่าร์ ก็เซย์กู้ดบายบอกลาตัวทำเงินทำทองได้เลย

   นอกจากจะต้องเผชิญกับปัญหาแล้วปัญหาเล่า แมนนิกซ์ยังต้องคอยควบคุมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูลที่จะกันชื่อของบรรดาดาราในสังกัดให้พ้นจากคอลัมน์ซุบซิบของพี่น้องคู่ปรับอย่าง ธอร่าและเธสซาลี แธ็คเกอร์ (ทิลด้า สวินตัน) อย่างน้อยก็ขอให้ชื่อของพวกเขาไม่ต้องตกเป็นข่าวนั่งเทียนเขียน เพราะเขาไม่คิดจะไปโปรโมทดารากับคนอ่านคอลัมน์ของสองพี่น้องคู่นี้อยู่แล้ว

   สำหรับนักแก้ปัญหาผู้นี้ นี่คืองานในหนึ่งวันของเขา
 
   ภาพยนตร์ตลกเรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย โจลและอีธาน โคเอน ผ่านบริษัท ไมก์ ซอสส์ โปรดักชั่นส์ของพวกเขา โดยเป็นการทำงานร่วมกับ ทิม บีแวน และเอริค เฟลล์เนอร์ (The Theory of Everything, Les Misérables) จาก เวิร์กกิ้ง ไทเทิ้ล ฟิลม์ส ซึ่งร่วมงานกับสองพี่น้องมาตั้งแต่ผลงานคว้ารางวัลออสการ์อย่างเรื่อง Fargo

   ที่เข้ามาร่วมงานหลังกล้องร่วมกับพี่น้องโคเอน ก็คือ ทีมงานที่ร่วมงานกันมานาน รวมถึงทีมงานหน้าใหม่อีกมากมาย นำทีมโดยผู้กำกับภาพที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว 13 รางวัล โรเจอร์ ดีกิ้นส์ (No Country for Old Men, Skyfall), โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ เจสส์ กอนชอร์ (A Serious Man, True Grit), ผู้ลำดับภาพ โรเดอริค เจย์เนส (No Country for Old Men, True Grit), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แมรี่ โซเฟรส (No Country for Old Men, Interstellar) และผู้แต่งดนตรีประกอบ คาร์เตอร์ เบอร์เวลล์ (True Grit, Carol).  Hail, Caesar! อำนวยการสร้างบริหารโดย โรเบิร์ต กราฟ (No Country for Old Men, True Grit)





ขอต้อนรับสู่ฮอลลีวู้ด:
Hail, Caesar! เริ่มต้น

     Hail, Caesar! ถือเป็นงานยกย่องยุคทองของฮอลลีวู้ด เป็นการแสดงความรักต่อระบบสตูดิโอที่ประดับแต่งเติมไปด้วยธาตุแท้ที่เจือไปด้วยความรัก ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเฉลิมฉลองให้กับโรงงานผลิตความฝัน ขณะเดียวกันก็ดึงม่านเพื่อเผยให้เห็นถึงการทำงานในแวดวงในของวงการหนังในยุครุ่งเรืองที่ความจริงอาจไม่ได้สวยหรู

   ภาพยนตร์ตลกเรื่องนี้วางเหตุการณ์เอาไว้ในช่วงต้นทศวรรษ 1950s เป็นยุคสมัยที่โฉมหน้าที่ดูหรูหรางดงามของวงการภาพยนตร์ เริ่มฉายแววแตกแยก เมื่อสตูดิโอใหญ่ๆ ถูกบีบให้ต้องปลดตัวเองออกจากโรงหนัง และต้องเผชิญหน้ากับการเติบโตอย่างรวดเร็วของคู่แข่งชนิดใหม่ นั่นก็คือ ทีวี พวกเขายังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านการเมืองและสังคมในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงความบ้าคลั่งต่อแนวคิดผวาแดง และสงครามเย็น

   ฮอลลีวู้ดตอบโต้ภัยคุกคามเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือจินตนาการ ด้วยการจัดหาความบันเทิงที่ยิ่งใหญ่ จัดจ้าน และหลุดโลก นั่นคือภาพยนตร์เอพิคแบบจอกว้าง มีนักแสดงนับพัน รวมถึงภาพยนตร์เพลงเทคนิคคัลเลอร์ และภาพยนตร์ที่ให้ภาพใต้น้ำอันน่าตื่นตาสไตล์ บัสบี้ เบิร์กเล่ย์ รวมไปถึงภาพยนตร์คาวบอยและภาพยนตร์ดราม่าที่มีเนื้อหาน่าติดตาม

   เครื่องยนต์ที่มีน้ำมันหล่อลื่นอย่างดีก็ไม่ต่างจากองค์กรที่มีบรรดาเจ้านายใหญ่ของสตูดิโอเป็นผู้สั่งการควบคุมทุกแง่มุมในชีวิตของศิลปินในสังกัดทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว หน้าที่การงานมีคนวางแผนและจัดการดูแลอย่างดี พวกดาราซุปตาร์จะมีคนคอยบอกว่าพวกเขาจะต้องเล่นหนังเรื่องอะไร จะแต่งตัวยังไง และจะออกเดทกับใคร และถ้ามีนักแสดงเกิดอารมณ์เสียหรือหัวแข็งขึ้นมา ทางสตูดิโอจะว่าจ้างนักแก้ปัญหาเพื่อมาจัดการเรื่องปวดหัวเหล่านี้ หรือเก็บปัญหาให้พ้นจากสายตาประชาชน

   ไม่ว่าต้องเสียเงินสักเท่าไหร่ก็ยอม เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของความหรูหรางดงามที่เป็นเพียงภาพลวงตาเอาไว้

   “ทุกวันนี้ พวกเราคุ้นเคยดีกับการได้รู้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกนักแสดง และคนดัง และการขุดคุ้ยเจาะลึกลงไปในความจริงที่ถูกปกปิดไว้ในชีวิตของพวกเขา” สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน ผู้รับบทเป็น ดีแอนนา โมแรน ดาราดังที่มีรูปแบบคล้ายกับ เอสเธอร์ วิลเลี่ยมส์ ตั้งข้อสังเกต “ย้อนกลับไปในสมัยนั้น ประชาชนทั่วไปอยากจะเชื่อว่าอันที่จริงแล้ว ดาราก็ดูน่ายกย่องสวยหรูอย่างที่เห็นบนจอหนัง ทางสตูดิโอจึงทำทุกอย่างเพื่อปกป้อง "ถ้วยเกียรติยศ" ของพวกเขาเอาไว้ในระบบแบบนั้น พวกดาราก็เหมือนกับทรัพย์สิน ที่ต้องอยู่ภายใต้สัญญาตลอดไป และสามารถจะกู้ยืมกันได้ตลอดเวลา ระบบแบบนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในทางหนึ่ง พวกเขาได้รับการดูแล และในอีกทางหนึ่ง มันก็ทำให้รู้สึกอึดอัดมากเช่นกัน”

   ย้อนกลับไปสมัยนั้น พวกดาราดังๆ จะได้รับการปกป้องดูแลโดยคนอย่าง เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ ซึ่งเป็นมือแก้ปัญหาให้กับบริษัทแคปปิตอล พิคเจอร์ส บริษัทสร้างหนังตามท้องเรื่อง ตัวละครตัวนี้เป็นการผสมผสานลักษณะของ เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ ตัวจริง กับฮาวเวิร์ด สตริคลิ่ง ที่ทำหน้าที่เป็นนักแก้ปัญหาแบบเดียวกันให้กับค่ายเอ็มจีเอ็ม แมนนิกซ์ที่เคยเป็นนักเลงมาก่อน ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการแก้ปัญหา ตั้งแต่การกระทำความผิดเล็กน้อยทางเพศ จนถึงต้องเกลี้ยกล่อมผู้นำทางศาสนาให้เห็นดีเห็นงามยอมอนุมัติงานสร้างหนังเกี่ยวกับศาสนาเรื่องล่าสุด อีธาน โคเอนออกมาอธิบายเรื่องนี้ว่า “งานของเขาคือการตามหาตัวดาราดังที่ไปเมาแอ๋อยู่ที่ซานดีเอโก้ พาตัวเขากลับมา และจ่ายเงินค่าปิดปากให้ทุกคนที่เขามีเรื่องด้วย หรือหาคนที่จริงๆ แล้วเป็นเกย์ ให้มาแต่งงานด้วย”

   ไอเดียที่กลายมาเป็น Hail, Caesar! เกิดขึ้นเมื่อกว่าหนึ่งทศวรรษก่อน ตามที่ จอร์จ คลูนี่ย์ นักแสดงหนุ่มใหญ่เจ้าของรางวัลออสการ์ ผู้รับบทเป็น แบรด วิทล็อค ดาราที่เอาแต่ใจตัวเอง และเป็นดารานำของภาพยนตร์เอพิคเชิงศาสนาเรื่อง Hail, Caesar! ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย บอก

   คลูนี่ย์ยังแสดงนำอยู่ในภาพยนตร์อีกเรื่องของพี่น้องโคเอน ตอนที่ผู้กำกับสองพี่น้อง พูดจาทาบทามเขา “ในเวลานั้น” คลูนี่ย์เล่า “พวกเขาถามว่าผมอยากแสดงเป็นนักแสดงที่โดนลักพาตัวไหม พวกเขามีพลอตเขียนมาสามหน้ากระดาษ และมีประโยคพูดเด็ดๆ อยู่ไม่กี่ประโยค มีเท่านั้นแหละ แน่นอน ผมตอบ ‘ตกลง’”

   ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อมีนักข่าวถามคลูนี่ย์เกี่ยวกับผลงานใหม่ของเขา เขามักจะพูดถึงเรื่อง Hail, Caesar! “มันมีให้อ่านกันใน IMDB ด้วย” คลูนี่ย์เล่าพร้อมเสียงหัวเราะ “แต่เรื่องของเรื่องก็คือ เรายังไม่มีบทด้วยซ้ำไป”

   โจล โคเอน ยืนยันเรื่องที่คลูนี่ย์เล่า “เป็นเรื่องจริงครับ ในที่สุด เราก็รู้สึกผิด เราเลยตัดสินใจที่จะนั่งลงและลงมือเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมา อีกอย่าง มันก็ถึงเวลาแล้ว ถ้าเรารอนานกว่านี้ ทุกคนที่เราอยากให้มาเล่นหนังเรื่องนี้ก็คงจะแก่เกินไปสำหรับบทต่างๆ ที่เราหมายตาพวกเขาไว้”

   ในเวลาเดียวกัน เมื่อพวกเขาใส่แง่มุมเรื่องความหน้าไหว้หลังหลอกของระบบสตูดิโอเข้าไป พี่น้องโคเอนได้แสดงให้เห็นถึงความนับถืออันยิ่งใหญ่และความชื่นชมที่มีต่อความเป็นมืออาชีพและความมีฝีมือที่เป็นคุณลักษณะเด่นของยุคทองของฮอลลีวู้ด ด้วยการมองผ่านภาพยนตร์ที่หลากหลายที่ถ่ายทำกันที่โรงถ่ายของแคปปิตอล และที่ถ่ายทำกันตามโลเกชั่นทั้งในและรอบๆ ลอสแองเจลิส เราได้ติดตามชีวิตทั้งหน้าจอและนอกจอของบรรดาผู้คนที่แมนนิกซ์ต้องทำหน้าที่ปกป้อง

   สำหรับหน้าที่ของเขา เอริค เฟลล์เนอร์ จากเวิร์กกิ้ง ไทเทิ้ล รู้สึกพอใจที่ได้กลับมาร่วมงานกับพี่น้องโคเอนอีกครั้ง เขาบอกว่า “ทิมกับผมรู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้ทำงานกับโจลและอีธานมานานหลายปี ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นสุดยอดของผลงานของพวกเขาเท่านั้น แต่มันยังแสดงให้เห็นถึงความรักที่พวกเขามีต่อวงการนี้ ไม่น่าแปลกใจที่มีนักแสดงที่พวกเขาชื่นชอบมากมายกลับมาร่วมงานกับพวกเขา และเราก็รู้สึกยินดีกับความใส่ใจต่อเนื้อเรื่องอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงฝีไม้ฝีมือที่พวกเขากระทำอย่างที่หาใครเทียบไม่ได้”
« Last Edit: February 14, 2016, 08:32:31 PM by happy »

happy on February 14, 2016, 08:36:54 PM





เหล่าดาราดัง:
การคัดเลือกตัวนักแสดง

     จะสะท้อนให้เห็นถึงความงดงามหรูหราของเหล่าดาราในช่วงทศวรรษ 1950s ทางทีมผู้สร้างได้รวบรวมเหล่านักแสดงทรงพลังในยุคปัจจุบันที่ระดับความร้อนแรงของพวกเขานั้นเจิดจรัสไม่ต่างจากยุคเฟื่องฟูของฮอลลีวู้ดเลย เริ่มต้นด้วยตัวละครหลักอย่าง เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ นักแก้ปัญหาประจำสตูดิโอที่ต้องคอยระแวดระวังไปเสียหมดทุกอย่าง ซึ่งรับบทแสดงโดย จอช โบรลิน    

   “เอ็ดดี้ต้องพร้อมโดนเรียกตัววันละ 30 ชั่วโมงเลยทีเดียวครับ” โบรลินบอก “งานเขาไม่มีวันหยุด แต่นี่คือสิ่งสำคัญ ถึงแม้จะต้องเผชิญความเครียด แต่เขาอยากเป็นเหมือนตำรวจของสตูดิโอ การได้ไปอยู่ในที่ต่างๆ เป็นล้านที่ในเวลาเดียวกัน ปัญหาต่อไปคืออะไร และ       อะไรคือคำตอบ เขาอยากจะยุ่งอยู่ตลอดเวลา มันคือวงการบันเทิงนะ แต่มันก็เป็นธุรกิจเช่นกัน”   

   โบรลินพูดถึงเคล็ดลับความสำเร็จของเอ็ดดี้ว่า “เขาเป็นเหมือนพ่อที่แสนดี เขามีพลังของความเป็นพ่อเยอะจนแทบไม่น่าเชื่อ ผมชอบเขาในแบบนั้น โดยส่วนตัวแล้ว เขาเป็นชายที่อาจดูไม่ค่อยมั่นคงนัก แต่เมื่อคุณเห็นเขาในที่สาธารณะ เมื่ออยู่ในกองถ่ายหนัง เมื่อเขาจัดการกับพวกเด็กๆ ขี้เหล้าเมายาพวกนี้ แรงกระตุ้นของเขาคือความภักดีที่มีต่อสตูดิโอแห่งนี้ และเจ้านายของเขา ก็คือ นิค เชง ผู้มอบโอกาสให้กับเขา เขาไม่ยอมปล่อยอะไรให้หลุดรอดมือเขาไปได้”

   เช่นเดียวกับคนเป็นพ่อแม่ที่ดีทุกคน แมนนิกซ์ “รู้ดีว่าเมื่อไหร่ควรใช้ไม้แข็ง และเมื่อไหร่ควรใช้ไม้นวม” โบรลินเผย “พวกนักแสดงรู้ดีว่าเขาจะคอยช่วยเหลือเสมอ เขาจะให้ความปลอดภัยภายในฟองอากาศของสตูดิโอ แต่ถ้าคุณออกไปนอกฟองอากาศนั่นแล้ว คุณเหมือนไร้ความภักดี และคุณไม่ได้ทำงานภายในครอบครัวนี้อีกแล้ว มันคือแนวคิดแบบมาเฟีย ซึ่งสะท้อนอดีตของเอ็ดดี้ที่เคยเป็นนักเลงคุมไนต์คลับมาก่อน” 

   ในภาพยนตร์เรื่องนี้ มีบ่อยครั้งที่แมนนิกซ์ต้องเจอกับเรื่องอื้อฉาวที่เขาต้องจัดการอยู่ทุกวัน แต่ตามที่โบรลินบอก นักแก้ปัญหาผู้นี้ดูจะกระหายความเครียด “หลายคนชอบความเครียดนะครับ เหมือนพวกเขากินมันเป็นอาหาร พวกเขาชอบที่ได้แก้ปัญหา และคุณคงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ถ้าไม่มีปัญหา ดังนั้น คุณจึงมองหาปัญหาที่คุณจะแก้ได้ นั่นคือวงการหนัง คุณมีคนเป็นตันๆ ที่มองหาความเครียด ที่ตลกก็คือพวกเขาเอาแต่บ่นเรื่องนี้ แต่พวกเขาไม่รู้จะอยู่ยังไงถ้าปราศจากมัน นั่นแหละคือสิ่งที่แมนนิกซ์เป็น”

   หนึ่งในผู้ร่วมงานของแมนนิกซ์ ก็คือ ผู้ลำดับภาพของแคปปิตอล สตูดิโอส์อย่าง ซีซี คัลฮูน ซึ่งรับบทโดยนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ ฟรานเซล แม็คดอร์แมนด์ ผู้ยืนยันกับเรา จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้โมวิโอล่า ที่ทำงานของเธอยกเว้นแต่จะได้รับเชิญเท่านั้น “พวกนักแสดงจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ห้องตัดต่อเลย” แม็คดอร์แมนด์บอก “พวกเขาเข้าข้างตัวเองมากเกินไปในเรื่องของการทำงาน”

   ซีซี ซึ่งเป็นมือลำดับภาพที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในระบบของแคปปิตอล มักจะสวมใส่แว่นตาหนาเตอะ และนั่งอยู่หลังควันบุหรี่หนาทึบ เธอซึ่งเป็นที่รู้ดีว่าต้องทำงานแข่งกับเวลา พร้อมจะช่วยเอ็ดดี้เสมอกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยมีภาพยนตร์กำลังดำเนินงานสร้างอยู่

   แต่แมนนิกซ์มักเป็นที่ต้อนรับ เขากับซีซีมีความลับร่วมกันมากมาย ถึงแม้เธอจะไม่มีวันเปิดปากบอกก็ตาม “ฉันไม่เคยแพร่งพรายข้อมูลพวกนั้นเลย” แม็คดอร์แมนด์บอก “ไม่มีทางค่ะ ฉันได้ทำสัญญาไปแล้วเมื่อฉันเริ่มต้นทำงานที่นี่ อย่างที่พวกเราทุกคนรู้กัน เราต้องปิดปากเงียบ”

   นักแสดงคนสำคัญอีกคนหนึ่งก็คือ คลูนี่ย์ ซึ่งใน Hail, Caesar! ได้เพิ่มเครดิตผลงานของเขาด้วยการรับบทเป็นคนที่เขาเรียกว่าเป็น “เจ้าปัญญาอ่อน” ในภาพยนตร์ของพี่น้องโคเอน ซึ่งเขาเคยร่วมงานมาแล้วถึงสามครั้ง ได้แก่ในภาพยนตร์เรื่อง O Brother, Where Art Thou?, Intolerable Cruelty และ Burn After Reading แต่ตัวละคร แบรด วิทล็อค คลูนี่ย์บอกว่า “อาจเป็นตัวละครที่ทึ่มที่สุดที่ผมเคยเล่นให้พวกเขามา เขาเป็นดาราหนังที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง โดยเฉพาะตอนนี้จริงไหม” คลูนี่ย์ยิ้มกริ่ม

   แบรดผู้เป็นดารานำของภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ แคปปิตอล พิคเจอร์ส เรื่อง Hail, Caesar! ทำงานกับสตูดิโอแห่งนี้มาเป็นเวลานาน เขาไม่เหมือนกับดาราคนอื่นๆ ของแคปปิตอล วิทล็อคไม่รู้สึกรำคาญกฎข้อห้ามของการต้องอยู่ภายใต้สัญญา คลูนี่ย์อธิบายว่า “เขาคุ้นเคยดีกับการมีคนคอยดูแล และเขาก็รู้สึกสบายใจและรู้สึกเหมือนได้รับการปกป้องอยู่ในโลกใบนั้น”

   คลูนี่ย์สะท้อนความรู้สึกของโบรลินเกี่ยวกับแมนนิกซ์ที่เป็นเสมือนตัวแทนพ่อ “เขาเล่นบทพ่อให้กับตัวละครทุกตัวในหนังเรื่องนี้ครับ” คลูนี่ย์บอก “ภาระอันยิ่งใหญ่ของเอ็ดดี้คือการมีลูกๆ ที่ไร้ระเบียบ เป็นเด็กๆ ที่มีเงินเยอะ และมีอีโก้สูง แต่กลับเป็นพวกไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรเลย งานของเขาก็คือการเป็นเข็มทิศทางด้านศีลธรรมให้กับคนเหล่านี้”

   แมนนิกซ์ต้องทำงานเกินเวลากับเหล่าดารา เหมือนที่เขาต้องทำงานกับแบรด ซึ่งความเจ้าชู้และความชอบซดเหล้าของเขายากจะหาใครทัดเทียม เมื่อแบรดถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่โดยกลุ่มคนลึกลับที่รู้จักในชื่อ “แก๊งอนาคต” มันเหมือนนรกแตกทีเดียว

   ระหว่างที่แบรดหายตัวไป ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่แมนนิกซ์ต้องแก้ไขก็คือ ดีแอนนา โมแรน ซึ่งรับบทโดย โจแฮนส์สัน ผู้เคยแสดงนำในภาพยนตร์ดราม่าของสองพี่น้องโคเอน เรื่อง The Man Who Wasn’t There ตอนที่เธออายุเพียง 15 ปี “ดีแอนนามีความเป็นมืออาชีพอย่างมาก แต่เนื่องจากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นนอกกองถ่าย ทำให้เธอต้องการความช่วยเหลือ” โจแฮนส์สันอธิบาย “เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ได้รับมอบหมายให้คอยเป็นผู้แนะนำเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดูบริสุทธิ์และใสซื่อของเธอเอาไว้”

   ดีแอนนาที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ใต้น้ำเรื่องล่าสุดของเธอ คือตัวทำเงินให้กับแคปปิตอล ความงาม มันสมองและความสามารถของเธอ ช่างเข้ากันดีกับความสามารถในการว่ายน้ำของเธอ เธอจะทำทุกอย่างที่ต้องทำเพื่อรักษาสถานะความเป็นดาราแม่เหล็กหมายเลข 1 ของสตูดิโอแห่งนี้เอาไว้ อันที่จริง แมนนิกซ์คิดหาทางออกที่ใช้งานได้ดีเอาไว้แล้ว ซึ่งมันสะท้อนถึงสถานการณ์คล้ายคลึงกันที่นักแสดงหญิง ลอเร็ตต้า ยัง เคยต้องเผชิญในยุคสมัยนั้น

   ขณะที่ดีแอนนาเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจรักอิสระ เป็นคนที่เล่นสนุกเต็มที่ เมื่อทำงานก็ทุ่มเทเต็มกำลัง โจแฮนส์สันมุ่งมั่นที่จะไม่แสดงให้ดีแอนนาเป็นผู้หญิงเรื่องมาก สถานการณ์ที่เธอต้องเจอนั้นใกล้เคียงกับเรื่องจริง เป็นสถานการณ์ที่เธอต้องรับมือร่วมกับแมนนิกซ์ “ดีแอนนากับเอ็ดดี้รู้จักกันมานาน” โจแฮนส์สันอธิบาย “ดังนั้นเธอจึงไม่ต้องรักษาภาพลักษณ์กับเขา เขารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอสามารถเปิดเผยและพูดตรงๆ กับเขาได้ ระหว่างเขากับเธอมีความสบายๆและเธอรู้สึกปลอดภัย”

เมื่อใดก็ตามที่เอ็ดดี้ต้องการพยานหรือบุคคลที่สาม เขาจะหันไปหา โจ ซิลเวอร์แมน ซึ่งรับบทโดย โจนาห์ ฮิลล์ เขาคือคนที่เชื่อถือได้มากที่สุดในโลก โจถนัดมากในเรื่องปิดปากเงียบสนิท และเมื่อถึงเวลาต้องปกป้องหนึ่งในดาราที่ดังที่สุดของแคปปิตอล อาการสติแตกของโจช่วยได้เสมอ

   เช่นเดียวกับ แบรด วิทล็อค ตัวละคร เบิร์ต เกอร์นี่ย์ ที่รับบทโดย แชนนิ่ง ทาทั่ม คือซุปตาร์ชื่อดังทุกกระเบียดนิ้ว เบิร์ตสามารถใช้เสน่ห์มัดใจคนดูทั่วโลกได้ เขาคือหนึ่งในดาราทำเงินสูงสุดที่เริ่มคิดออกจากระบบ และไอเดียเรื่องที่เขาจะทรยศต่อผู้สร้างเขาขึ้นมานั้นแทบไม่น่าเชื่อ นั่นคือสิ่งที่เราเชื่อกันมานาน...

   “เบิร์ตเป็นนักร้องนักเต้น และเขาใช้ชีวิตแบบนักแสดงทั้งหน้าจอและนอกจอ” ทาทั่มบอก “เขามีผมสีทอง และจิตวิญญาณของเขาแฝงอยู่ในผมยาวของเขานี่แหละ เขาเป็นนักแสดงประเภทที่มีชุดสำหรับทุกงาน ชุดขับรถ ชุดดินเนอร์ เขาออกจะแสดงตลอดเวลา...ออกจะเว่อร์มากทีเดียว”

   เช่นเดียวกับดาราดังคนอื่นๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เบิร์ตเองก็มีความลับ ถึงแม้ทาทั่มจะไม่ยอมบอกความลับทั้งหมดก็ตาม “เอาเป็นว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นภายนอกละกันครับ”

   หนึ่งในตัวละครที่มีปัญหาที่น่าติดตาม ก็คือตัวละคร โฮบาร์ต (โฮบี้) ดอยล์ ดาราคาวบอยของแคปปิตอล พิคเจอร์ส และผู้กำกับหนังดราม่าจอมจู้จี้ ลอว์เรนซ์ ลอว์เรนต์ซ โฮบี้ที่เคยเป็นคาวบอยที่ทิ้งบังเหียนเพื่อกลายมาเป็นดารานำชายคนใหม่ล่าสุดของแคปปิตอล ต้องดิ้นรนกับความสามารถในการแสดงของตัวเอง มากพอๆ กับการร้องเพลง เมื่อเขาถูกดึงให้เข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องราวลึกลับเบื้องหลังการลักพาตัวแบรด เขาจึงต้องผันตัวเองจากฮีโร่ในจอ มาเป็นฮีโร่นอกจอ

   ชายหนุ่มที่อยู่กับม้าแล้วรู้สึกสบายใจกว่าเมื่ออยู่กับคน โฮบี้รับบทแสดงโดยดาราดาวรุ่งที่กำลังมาแรงอย่าง อัลเด้น อีห์เรนริช ตอนแรกเขาถูกบังคับให้พานักแสดงในสังกัดสตูดิโอ ชาร์ล็อตต้า วัลเดซ (รับบทโดย เวโรนิก้า โอโซริโอ) ไปรอบปฐมทัศน์ภาพยนตร์คาวบอยเรื่องใหม่ของเขาเรื่อง Lazy Ol’ Moon ตามที่อีห์เรนริชบอก “มันเป็นการประชาสัมพันธ์ และโปรโมทพวกเขาเป็นคู่จิ้นในความคิดของคนดู” อีห์เรนริชหัวเราะ “ถึงแม้โฮบี้จะอยากพา ไวท์ตี้ ม้าของเขาไปงานรอบปฐมทัศน์เสียมากกว่า”

   จากนั้น เพื่อฉีกภาพลักษณ์เดิม โฮบี้ถูกยัดเยียดไปอยู่ในมือของผู้กำกับชื่อดัง ลอว์เรนซ์ ลอว์เรนต์ซ ให้แสดงนำในหนังดราม่า ที่ไม่ได้เหมาะกับเขาเลย ซึ่งสร้างความโกรธเคืองให้กับตัวเขาเองและลอว์เรนต์ซ ลอว์เรนซ์ที่เป็นผู้กำกับผู้ทรงเกียรติที่เหมือนมาจากอีกฝากฝั่ง เป็นที่นับถือมากพอๆ กับผู้กำกับทุกคนที่ย่างเท้าเข้ามาในโรงถ่าย ขณะที่เขามีความอดทนต่อความน่าเบื่อของเหล่าดารา แต่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลอว์เรนซ์อาจจะเป็นการทำให้การแสดงของโฮบี้เป็นที่น่าพอใจ

“โฮบี้ไม่ได้เหมาะกับภาพยนตร์เรื่องที่ลอว์เรนต์ซกำลังทำเลย” เรล์ฟ ไฟนน์ส ดาราชายผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 2 ครั้ง และเขาคือคนที่มารับบทเป็นผู้กำกับลอว์เรนต์ซ อธิบาย นี่คือการผันตัวเองมารับบทตลก สำหรับนักแสดงชายผู้ฝึกฝนการแสดงแบบเช็คสเปียร์ และเคยได้รับคำชมมาแล้วจากภาพยนตร์ตลกสุดฮิตเรื่อง The Grand Budapest Hotel    

   “ลอว์เรนซ์ไม่มีทางเลือก” ไฟนน์สอธิบายต่อ “เขาได้รับคำสั่งให้ทำงานกับชายหนุ่มผู้นี้ ขณะที่โฮบี้กำลังประสบความสำเร็จกับการแสดงหนังแนวถนัด นั่นก็คือหนังคาวบอย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาสามารถหรือควรเล่นทุกบท  เขาเป็นนักแสดงบทคาวบอย ซึ่งถูกเรียกตัวมาแสดงหนังดราม่าที่มีแต่คนใส่ชุดทักซิโด้และชุดราตรี บทพูดก็ดูไม่ค่อยเข้าปากเขาสักเท่าไหร่ ลอว์เรนซ์กำลังมองหานักแสดงชายที่ดูสบายๆ และฉลาดมีไหวพริบ ซึ่งโฮบี้ไม่ได้เข้าเกณฑ์นั้นเลย ยิ่งลอว์เรนซ์พยายามสอนเขาเท่าไหร่ โฮบี้ก็ยิ่งดูเป็นกังวลและเหมือนโดนคุกคามมากขึ้น”

   มุขฮาอีกอย่างก็คือบทคู่ ธอร่าและเธสซาลี แธ็คเกอร์ คู่แฝดที่บังเอิญเป็นคอลัมนิสต์คอลัมน์ซุบซิบคู่ปรับกัน ถึงแม้พวกเธอจะไม่อยากถูกพูดถึงในลักษณะนั้นก็ตาม ธอร่าและเธสซาลีคือส่วนผสมของ เฮ็ดด้า ฮอปเปอร์ และลูเอลล่า พาร์สันส์ ที่เป็นคู่ปรับกันในชีวิตจริง รวมไปถึงคอลัมนิสต์ อบิเกล แวน บูเรน และแอนน์ แลนเดอร์ส ซึ่งเป็นคู่แฝดกันจริงๆ หนึ่งในความท้าทายมากที่สุดของแมนนิกซ์ก็คือเก็บข่าวซุบซิบที่ไม่เหมาะสมให้ห่างจากพี่น้องสองสาว และในเวลาเดียวกัน ก็เล่นสนุกไปกับพวกเธอ ติดสินบนพวกเธอแต่ละคนด้วย “ข่าวพิเศษ” 
   
   ธอร่าและเธสซาลีรับบทแสดงโดยนักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ ทิลด้า สวินตัน “พวกเธอเป็นคู่แฝดที่อยากจะคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่” สวินตันตั้งข้อสังเกต “ต่างฝ่ายต่างเป็นเหมือนหนามยอกอกกัน พวกเธอแข่งกันในทุกเรื่อง ตั้งแต่ขนาดของหมวก จนถึงเรื่องข่าว พวกเธออยากจะอยู่ตัวคนเดียวในโลก”

   ทุกอย่างยิ่งยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น เพราะคนอื่นๆ ไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขากำลังคุยกับคอลัมนิสต์คนไหน ไม่รู้ว่าเป็นธอร่าหรือเธสซาลี “เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ก็บอกไม่ได้” สวินตันอธิบาย “หนึ่งในพวกเธอสองคนมีคนอ่าน 19 ล้านคน ส่วนอีกคนมีคนอ่าน 20 ล้านคน คนหนึ่งมีสายอยู่ที่นี่ อีกคนมีสายอยู่ที่นั่น พวกเธอต่างไม่ชอบถูกเรียกว่าเป็นคอลัมนิสต์คอลัมน์ซุบซิบ และพวกเธอก็ไม่ใช่จริงๆ พวกเธอเป็นผู้ให้ความเห็นในเรื่องวัฒนธรรม”

   สวินตันอธิบายถึงสิ่งที่เธอพบว่าน่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับตัวละครสองตัวนี้ และคอลัมนิสต์ตัวจริงที่เป็นต้นแบบของพวกเธอ “ธอร่าและเธสซาลีคือส่วนหนึ่งของเครื่องจักรสร้างตำนาน ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าสำคัญมาก มันคือโลกแห่งความฝันที่สร้างจากมนุษย์ที่ไม่ได้ชวนฝันเสมอไป ในเวลาเดียวกัน เมื่อพวกเธอเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำลายเหล่าเทพบุตรเทพธิดาเหล่านี้ พวกเธอก็จำต้องสร้างพวกเขาขึ้นด้วย ไม่งั้นพวกเธอคงไม่มีข่าวอะไรให้เขียนถึง ดังนั้น มันจึงเป็นวัฏจักรในการสร้างและทำลาย ทำลายและสร้าง”


ปิดกล้อง!
Hail, Caesar! ปิดฉาก

       สำหรับนักแสดงส่วนใหญ่ของ Hail, Caesar! ภาพยนตร์เรื่องนี้คือสะพานเชื่อมระหว่างยุคทองของฮอลลีวู้ด และวิธีสร้างภาพยนตร์ในปัจจุบัน โดยเน้นย้ำไปที่ข้อดี ข้อเสีย และทุกอย่างที่อยู่ระหว่างนั้น

   คลูนี่ย์จินตนาการว่าการเป็นนักแสดงที่มีสัญญากับทางสตูดิโอในยุคทองของฮอลลีวู้ดจะเป็นเช่นไร เขาเปรียบเทียบการทำสัญญาระยะยาวกับสิ่งที่นักกีฬารุ่นใหม่ยังต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน “มันก็เหมือนข้อตกลงที่คุณทำกับปีศาจนั่นแหละ” คลูนี่ย์อธิบาย “คุณตื่นเต้นที่ได้เซ็นสัญญาและอยู่ภายใต้สัญญา ในตอนแรก คุณได้รับค่าจ้างมหาศาล แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณรู้สึกตัวว่าคุณได้รับค่าจ้างน้อยเกินไป มันคงต้องเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดใจอย่างมาก มันยังคงเป็นอยู่ในทุกวันนี้ โดยเฉพาะกับพวกนักกีฬารุ่นใหม่ๆ”

   ตัวคลูนี่ย์เองก็เคยสัมผัสความรู้สึกเช่นนั้นเมื่อตอนที่เขาเพิ่งเริ่มต้นเข้าวงการและอยู่ภายใต้สัญญา ถึงแม้ว่าข้อตกลงจะมีข้อจำกัดน้อยกว่า และเขาเองก็สามารถไปทำงานกับที่อื่นได้ “ผมได้ไอเดียว่ามันเป็นอย่างไรกับการทำงานในโรงถ่าย และรู้จักทีมงานทุกคน และโรงถ่ายทุกแห่ง ผมได้สัมผัสรสชาตินั้นมาแล้วครับ”

   “สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย” คลูนี่ย์กล่าวต่อ “ก็คือกระบวนการจริงๆ ของการสร้างหนัง ซึ่ง Hail, Caesar! ได้ยกย่องเอาไว้ อาจมีพัฒนาการในเรื่องของเทคนิคไปเยอะมาก แต่ยังคงมีการใช้เครนกับกล้อง การจัดแสงก็ยังเป็นการจัดแสง เสียงก็ยังเป็นเสียง และผู้กำกับก็ยังเป็นคนตะโกนสั่งงานอยู่”

   สวินตันเห็นด้วยกับเพื่อนร่วมจอของเธอ “หนังยังคงนำพาพวกเราทุกคนไป แม้กระทั่งคนที่โชคดีที่ได้ทำงานในภาพยนตร์ มันมีบางอย่างที่คงอยู่ตลอดกาล เหมือนที่ เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ ได้พูดเกี่ยวกับ แบรด วิทล็อค ตัวละครของฉันมิอาจเปิดโปงเขาได้อย่างที่ฉันขู่ว่าจะทำ เพราะยังไงเขาก็ยังเป็นความฝัน ผู้คนต้องการมันยังไง ตอนนี้พวกเขาก็ยังต้องการเช่นนั้น” 

   ในอดีต นักแก้ปัญหาของสตูดิโอคือตัวแทนหนึ่งในวิธีการหลักๆ ที่ใช้ปกป้องภาพลักษณ์ของดาราดังๆ “ผมคิดว่าในปัจจุบัน พวกเขาก็ยังต้องการคนเหล่านั้นอยู่นะครับ อาจจะมากกว่าในอดีตด้วยซ้ำ” ทาทั่มบอก “ทุกวันนี้ พวกดาราจะมีประชาสัมพันธ์ มีทนายเข้ามาทำหน้าที่แทนเพราะนักแก้ปัญหาคงจะเจองานยากแน่ ผู้คนต้องคอยเฝ้าระวังสิ่งที่พวกเขาทำ แต่ย้อนกลับไปในปี 1951 คุณสามารถที่จะหนีรอดจากการฆาตกรรม และไปหา เอ็ดดี้ แมนนิกซ์ และพูดว่า ‘เฮ้ ฉันก่อเรื่องแล้วเพื่อน’ แล้วเขาก็จะพูดว่า ‘ห้ามแตะต้องอะไรทั้งนั้น ฉันกำลังไป’ มันเป็นความคิดที่น่ากลัวมาก”

   ถึงแม้ว่าปัญหาหลายอย่างที่แมนนิกซ์ต้องรับมือ อาจจะไม่ใช่ข่าวอื้อฉาวอะไรมากมายในทุกวันนี้ ตามที่โบรลินได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ แต่มันก็ยังไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ “ปัญหาอาจแตกต่างกัน แต่ยังคงมีหนังสืออย่าง National Enquirer และอะไรทำนองนั้นอยู่ พวกนักข่าวก็ยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เพราะปรัชญาของพวกเขาก็คือ นักแสดงทุกคน ผู้กำกับ และคนทำหนังทุกคนกำลังโกหก พวกเขาคิดว่าคนพวกนั้นไม่มีวันพูดความจริง และถ้าพวกเขายังคงทำเช่นนั้นอยู่ คุณก็จะพบความชั่วร้ายนั้น ปัญหาก็คือ อย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ของเวลานั้น พวกเขาคิดถูก ถึงแม้พวกเขาจะคิดผิด และเมื่อคุณไปเผชิญหน้ากับพวกเขา พวกเขาก็จะไม่ยอมรับหรอกว่าพวกเขาผิด”

   ไฟนน์สบอกว่าภายใต้อารมณ์ขัน Hail, Caesar! ก็คือโลกใบเล็กๆ ของวงการบันเทิง “ลองดูลำดับชั้น ความไร้สาระ ความไม่มั่นคง และความโดดเดี่ยว มันเป็นการมองความฝันของความสำเร็จ และความเศร้าสลดของความล้มเหลว มันแสดงให้เห็นว่าความอ่อนแอของมนุษย์ถูกเปิดโปงได้อย่างไรในโลกของภาพยนตร์และละคร”

   ไฟนน์สเน้นย้ำว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ก็คือความตึงเครียดระหว่างธุรกิจและศิลปะของภาพยนตร์ “พวกผู้กำกับยังคงอยากสร้างภาพยนตร์ด้วยวิสัยทัศน์ของพวกเขา แต่วิสัยทัศน์อันงดงามของพวกเขาอาจไม่สามารถเรียกคนดูให้เข้ามานั่งดูในโรงภาพยนตร์ได้”
 
   สุดท้าย สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย และอาจไม่มีวันเปลี่ยน ตามที่ทาทั่มได้บอกเอาไว้ ก็คือ ภาพยนตร์ยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการช่วยพาคนดูให้หลบหนีไปจากโลกที่เป็นจริง เขาบอกว่า ส่วนที่ดีที่สุดของ Hail, Caesar! “ก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้ในความบันเทิงในทุกระดับ มันคือการย่องย่องรูปแบบของศิลปะ ถึงแม้ว่าความรุ่งโรจน์ของมันจะสูญหายไปตามเส้นทางบ้างก็ตามครับ” 

                                                                                                     ****
   ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอ ผลงานการสร้างของเวิร์กกิ้ง ไทเทิ้ล นำแสดงโดย จอช โบรลิน, จอร์จ คลูนี่ย์, อัลเด้น อีห์เรนริช, เรล์ฟ ไฟนน์ส, โจนาห์ ฮิลล์, สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน, ฟรานเซส แม็คดอร์แมนด์, ทิลด้า สวินตัน, แชนนิ่ง ทาทั่ม ใน Hail, Caesar! ทีมนักแสดงของภาพยนตร์ตลกเรื่องนี้คัดเลือกมาโดย เอลเลน ชีโนเว็ธ ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ คาร์เตอร์ เบอร์เวลล์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ได้แก่ แมรี่ โซเฟรสและผู้ทำหน้าที่ผู้ลำดับภาพ ได้แก่ โรเดอริค เจย์เนส โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ได้แก่ เจสส์ กอนชอร์ ผู้กำกับภาพ ได้แก่ โรเจอร์ ดีกิ้นส์ ASC, BSC ผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ โรเจอร์ กราฟ และอำนวยการสร้างโดย ทิม บีแวน, เอริค เฟลล์เนอร์ Hail, Caesar! เขียนบท อำนวยการสร้าง และกำกับโดยโจล โคเอน และอีธาน โคเอน © 2015 Universal Pictures.  www.hailcaesarmovie.com   
« Last Edit: February 14, 2016, 08:42:52 PM by happy »