happy on February 14, 2016, 08:09:21 PM

Zoolander 2

ชื่อไทย          ซูแลนเดอร์ 2
วันที่เข้าฉาย     18 กุมภาพันธ์ 2559
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัด


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=kmuJscthmSo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=kmuJscthmSo</a>

เรื่องย่อ

เก๊กหน้าปากจู๋ท่าบลูสตีล ท่าเลอทีกรา ท่าแม็กนั่ม มีพลังสูงส่งจนสามารถหยุดดาวกระจายจีนเอาไว้กลางอากาศ และสามารถขัดขวางแผนการยึดครองโลกของวายร้ายจอมบงการไว้ได้ มีเพียงนายแบบชายเพียงคนเดียว และนายแบบชายคนเดียวนี้เท่านั้นที่สามารถใช้ทั้งความหล่อเหลาและพลังของท่าปากจู๋นั่นได้ เขาคือ เดเร็ก ซูแลนเดอร์

ครั้งหลังสุดที่เราได้เห็นสองนายแบบหนุ่ม เดเร็ก (เบน สติลเลอร์) และแฮนเซล (โอเว่น วิลสัน) พวกเขากำลังสนุกกับความมหัศจรรย์ของ “ศูนย์เดเร็ก ซูแลนเดอร์ เพื่อเด็กที่อ่านหนังสือไม่เก่ง และอยากเรียนรู้ที่จะทำเรื่องอื่นๆ ให้เก่งด้วย” และมูกาตู (วิลล์ เฟอร์เรลล์) ต้องเข้าไปอยู่ในคุก หายนะที่คาดไม่ถึงจู่โจมศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ บีบให้สองหนุ่มต้องปลีกวิเวก หลีกหนีแสงสีความเจริญ 15 ปีต่อมาพร้อมตีนกาเริ่มมาเยือน เราพบว่าเดเร็กและแฮนเซลที่ยังละอายแก่ใจ ยังใช้ชีวิตสันโดษ ถอนตัวเองออกจากโลกภายนอก

แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างได้รับคำเชิญชวนพิเศษให้ไปเป็นดาวเด่นในอีเว้นต์ด้านแฟชั่นระดับโลกในนครโบราณที่แสนลึกลับอย่างโรม พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธความเย้ายวนของการได้หวนกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีต และหาทางกลับคืนสู่ความศิวิไลซ์ และเมื่อเดินทางมาถึงโรม เดเร็กและแฮนเซลได้พบบรรดาดีไซเนอร์สุดประหลาดสุดเพี้ยนที่อยู่เบื้องหลังอาณาจักรแฟชั่นแห่งใหม่ ทั้งสองรู้ตัวอย่างรวดเร็วเลยว่าโลกแฟชั่นที่พวกเขาเคยรู้จักได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทำให้การหวนกลับคืนสู่แสงสปอตไลต์ของพวกเขากลายเป็นความเงอะงะ

ขณะที่พวกเขาพยายามหาทางปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่ที่มีทั้งการทำบล็อกและแฟชั่นที่เป็นการแอนตี้แฟชั่น พวกเขาก็ถูกเรียกตัวให้ไปช่วยหยุดแผนการร้ายสุดอันตรายที่มีการวางแผนมาเป็นอย่างดี ซึ่งถ้าพวกเขาหยุดมันไม่ได้ มันจะทำลายความหวังของวงการแฟชั่นที่จะหวนกลับไปสู่ความรุ่งโรจน์อย่างเดิม มีเพียงเดเร็กและแฮนเซลเท่านั้นที่มีพลังที่จะช่วยกู้แฟชั่นไว้ได้

พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอผลงานการสร้างของ เร็ดอาวเวอร์/ สก็อตต์ รูดิน โปรดักชั่น เรื่อง ZOOLANDER 2 ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย เบน สติลเลอร์ จากบทภาพยนตร์ที่เขียนโดย จัสติน ธีโรซ และเบน สติลเลอร์ กับจอห์น แฮมเบิร์ก และนิโคลัส สโตลเลอร์ ขณะที่ สติลเลอร์, โอเว่น วิลสัน และวิลล์ เฟอร์เรลล์ กลับมารับบทบาทเดิมจากภาพยนตร์ภาคแรก เพเนโลปี้ ครูซ และคริสเตน วีก ร่วมประชันความฮาให้กับทีมนักแสดงที่ล้วนแต่เป็นดาราดัง ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย สติลเลอร์, สต๊วร์ต คอร์นเฟลด์, สก็อตต์ รูดิน, เคลย์ตัน ทาวน์เซ่น และเจฟฟ์ แมนน์

ผู้กำกับภาพได้แก่ แดน มินเดล โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ ได้แก่ เจฟฟ์ แมนน์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายได้แก่ ลีซ่า อีแวนส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ลำดับภาพโดย เกร็ก เฮย์เด้น







เบื้องหลังงานสร้าง: การกลับมาของท่าเก๊กหน้าหล่อปากจู๋

ภาพลักษณ์ที่มีเอกลักษณ์ของเขา เคยจับหัวใจคนในโลกแฟชั่นและคนดูมาแล้ว และกลายเป็นส่วนหนึ่งของพจนานุกรมวัฒนธรรม เขาคือแฮชแท็ก#ก่อนที่จะเกิดแฮชแท็กขึ้นมาเสียอีก

แนวคิดเริ่มแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดมาจากมันสมองของสองคู่หูที่สร้างสรรค์งานแนวตลกอย่าง เดรก ซาเธอร์ และเบน สติลเลอร์ โดยในทีแรกมันเป็นเพียงภาพสเก็ตช์สำหรับงานแจกรางวัล VH1 Fashion Awards ประจำปี 1996 เท่านั้น ไอเดียนี้ถูกคิดสร้างขึ้นมาให้เป็นเพียงภาพชอตเบื้องหลังของการถ่ายแฟชั่นเท่านั้น และตัวละครที่ยิ่งใหญ่ก็ถูกพบในโลกใบนั้น

“เดรกถามว่าผมอยากเป็นนายแบบไหม ตอนนั้นผมคิดว่ามันตลกดี ซึ่งก็คือเหตุผลที่เขาอยากจะทำมันขึ้นมา” สติลเลอร์เล่า

“เดรกชอบแฟชั่นมาก และเขาก็เป็นคนช่างคิดแนวตลกที่ทั้งฉลาดและไม่กลัวอะไร เราลงเอยด้วยการสร้างงานนี้สองปีติดกัน” ภาพสเก็ตช์ดังกล่าวเป็นที่ยอมรับ จนทำให้เกิดเป็นไอเดียที่จะสร้างเป็นภาพยนตร์ขึ้นมา 

ถนนที่ปูให้เดเร็กและแฮนเซลคืนกลับสู่จอเงินถือว่าทั้งยาวไกลและคดเคี้ยว จนต้องใช้เวลานานถึง 15 ปีและผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายหน

“ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เวลาในการสร้างนานมาก” เบน สติลเลอร์ ซึ่งเป็นทั้งมือเขียนบท/ ผู้กำกับและดารานำ อธิบาย “เราอาจจะสร้างภาพยนตร์ภาคต่อออกมาหนึ่งปีหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ ออกฉายแล้ว แต่ไม่มีใครออกมาดูภาพยนตร์ภาคแรกกันในโรงหนัง ก็เลยไม่มีใครต้องการมัน” สติลเลอร์เล่าพร้อมเสียงหัวเราะ

เมื่อตอนที่ภาพยนตร์ภาคแรกเปิดตัวฉายในเดือนกันยายน ปี 2001 มันคือช่วงเวลาที่แสนบาดใจ อันเนื่องมาจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 9/11 ทำให้รายได้ของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ดีนัก อย่างไรก็ดี ภาพยนตร์เรื่องนี้กลับได้พบฐานแฟนใหม่ๆ หลังจากที่มี DVD เริ่มวางจำหน่าย และกลายเป็นภาพยนตร์แนวคัลท์สุดคลาสสิกไป “ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นหนังที่ทุกคนส่งต่อ จนเหมือนเป็นหนังใต้ดิน จนแทบจะเหมือนการตามหาแผ่นเสียงไวนิลกันเลยทีเดียว คนดูมีความรู้สึกว่ามันคือการค้นพบที่แสนพิเศษ และพยายามหามันมาไว้ในครอบครอง” จัสติน ธีโรซ ซึ่งร่วมแสดงในภาพยนตร์ภาคแรก และทำหน้าที่เป็นมือเขียนบทในภาพยนตร์ภาคต่อนี้ บอก

ตัวละครและวลีฮาๆ จากภาพยนตร์ภาคแรก โดนใจคนดู และกลายมาเป็นสิ่งที่คนนำมาแบ่งปันกัน และด้วยจุดกำเนิดของโซเชียลมีเดีย วลีโดนใจเหล่านั้นกลายมาเป็นข้อความที่มีคนแฮชแท็กกัน มีการแชร์มุขตลกในหนังกันไปทั่วโลก ”ตลอดหลายปีผมต้องประหลาดใจเมื่อมีกลุ่มคนคอยติดตามไม่ว่าผมจะไปไหน ไม่ว่าจะเป็นยุโรป เม็กซิโกหรืออเมริกาใต้ จะมีคนเดินมาหาผม และขอให้ผมเก๊กหน้าบลูสตีล ซึ่งที่จริงไม่ใช่เอกลักษณ์ของตัวละครของผมด้วยซ้ำ” โอเว่น วิลสัน หัวเราะ”ปกติแล้วภาพยนตร์ตลกใช่ว่าจะสามารถเก็ตมุขจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่ตัวละคร เดเร็ก และแฮนเซล มีความฮาในระดับที่ผมว่าทุกคนต่างชื่นชอบ”

โอกาสในการสร้างภาพยนตร์ภาคต่อออกมานั้น ถูกขับเคลื่อนไปในหลายระดับตลอดระยะเวลา 15 ปีต่อมา โดยระหว่างนั้น สติลเลอร์ได้ทำงานร่วมกับมือเขียนบทตลกชื่อดังหลายคน รวมถึงผู้ร่วมงานเดิมอย่าง จอห์น แฮมเบิร์ก,มือเขียนบท/ ผู้กำกับ นิโคลัส สโตลเลอร์ และจัสติน ธีโรซ ซึ่งเคยร่วมงานกับสติลเลอร์ในภาพยนตร์เรื่อง Tropic Thunder “หลังจากพักใหญ่ๆ ที่ผมเชื่อว่าเราคงไม่มีวันได้สร้างมันออกมาแน่ แต่ถึงจุดหนึ่ง องค์ประกอบทั้งหมดก็เริ่มปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน และมันเหมือนกับว่า ‘เอาล่ะ เรากำลังจะสร้างหนังเรื่องนี้กันจริงๆ แล้วนะ’” สติลเลอร์เล่า

กระบวนการทำงานที่ใช้เวลานานเช่นนี้ ทำให้สติลเลอร์และทีมครีเอทีฟของเขา มีโอกาสได้พัฒนาเรื่องและตัวละครไปในแบบที่เป็นการยกย่องจิตวิญญาณของสิ่งที่คนดูเคยชื่นชอบในภาพยนตร์ภาคแรก สติลเลอร์เล่าว่า “เราอยากจะสร้างหนังที่จะต้องสนุกเท่าทันกับหนังภาคแรก และจะต้องเป็นไปตามความหวังของคนดูที่เคยชอบหนังเรื่องนี้มาก ผมรู้สึกโชคดีมากที่มีคนที่ชอบหนังเรื่องนี้เอามากๆ และผมก็ไม่อยากทำให้พวกเขาผิดหวัง”


เดเร็ก, แฮนเซล และมูกาตู ยังร้อนฉ่า
สามตัวละครดังกลับมาแล้ว

ในการเกิดใหม่แต่ละครั้งในกระบวนการพัฒนางานสร้าง การกลับมาของสามตัวละครดังอย่าง เดเร็ก, แฮนเซล และมูกาตู ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย และยังคงเป็นหัวใจของเรื่องเสมอมา ในการทำงานในโลกสุดโหด อย่างการเป็นนายแบบชายในวงการแฟชั่น จุดแข็งของตัวละครเหล่านี้ก็คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ สติลเลอร์รู้ดีกว่าการกลับมาของตัวละครหลักทั้งสามตัวนี้คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ”สุดท้ายแล้ว ผู้คนต่างอินกับตัวละคร เมื่อมีคนบอกผมว่าพวกเขาชอบ Zoolander มาก สำหรับผมมันหมายความว่าพวกเขารักตัวละครทุกตัว และเดเร็ก, แฮนเซล และมูกาตู เพราะพวกเขาคือสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ครับ” สติลเลอร์กล่าว

สำหรับสติลเลอร์ การกลับไปรับบท เดเร็ก ถือเป็นความท้าทายหลังจากหยุดพักไปนาน “เดเร็กมีบุคลิกที่โดดเด่น เขาคือตัวจริงและหลงตัวเอง ทั้งหมดเกิดมาจากความใสซื่อโดยแท้ ผมได้ดูหนังภาคแรกอีกรอบเพื่อให้แน่ใจว่าผมกำลังทำมันออกมาได้อย่างถูกต้อง และหลังจากผ่านไปสองอาทิตย์ มันก็เริ่มเป็นธรรมชาติมากขึ้น และกลายมาเป็นความสนุกครับ”

ในการจัดอันดับผู้มีชื่อเสียงโดยมีแค่ชื่ออย่างเดียวเท่านั้น ตัวละคร แฮนเซล ของโอเว่น วิลสัน คือตัวละครที่มีความลึกลับแบบร็อคสตาร์โบฮีเมี่ยนที่ทำให้คนดูวงกว้างรู้สึกติดอกติดใจ “ผมโชคดีมากที่ได้เล่นตัวละครดีๆ หลายตัวตลอดหลายปีมานี้ และความจริงที่ว่าแฮนเซลมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักด้วยชื่อเพียงอย่างเดียว เหมือนกับมาดอนน่า และสติง มันสะท้อนให้เห็นว่าเขาคือตัวละครที่อยู่ในความทรงจำแบบไหน” วิลสันกล่าว

“โอเว่นมีบุคลิกตลกที่โดดเด่นมาก ผมเป็นแฟนผลงานของเขานะ” สติลเลอร์ที่ร่วมงานกับวิลสันมานาน กล่าว “เขาเป็นคนมีอารมณ์อ่อนไหวที่แสนพิเศษ และเมื่อเขาได้ด้นมุขสดในบริบทที่เขารู้สึกสบายใจ คุณจะได้งานในแบบที่คุณจินตนาการไม่ได้ด้วยซ้ำ ก็เหมือนตัวละครของเขานั่นแหละ เขาเป็นคนหน้าตาดีมาก สำหรับผมจึงเป็นเรื่องสนุกที่ได้เห็นเขาต้องมานั่งจำว่าจะเล่นเป็นแฮนเซลยังไง อาทิตย์แรกที่เขากำลังแสดงฉากหนึ่ง ซึ่งเขากำลังมองออกไปที่ทะเลทราย และเขาก็พบท่าหรี่ตาปากจู๋แบบแฮนเซล เท่านั้นแหละก็ไม่มีการหันกลับอีกแล้ว”

จาโคบิม มูกาตู กลายเป็นตัวละครที่ทุกคนชื่นชมเช่นกัน เขากลายเป็นหนึ่งในวายร้ายที่ชวนให้นับถือมากที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ ด้วยชุดเปรี้ยวจี๊ดจนเข็ดฟัน หมาตัวเล็ก ลาเต้สาดกระจาย และความสามารถที่จะประเมินได้ว่าใครกำลังฮอตสุดๆ มูกาตูจึงเป็นตัวละครที่มีความโดดเด่นในแบบที่ไม่เหมือนใคร เมื่อคิดว่าเขายังเป็นนักแสดงหน้าใหม่อยู่เลยเมื่อตอนแสดงภาพยนตร์ภาคแรก วิลล์ เฟอร์เรลล์ นักแสดงตลกตอบรับโอกาสที่จะสร้างตัวละครน่าขันจากศูนย์จริงๆ “ตัวละครทุกตัวในโลกแฟชั่นนี้ล้วนแต่สนุกสุดๆ เพราะมันมีที่มามากมาย” เฟอร์เรลล์บอก “มูกาตูเป็นตัวละครที่สำคัญสำหรับผม เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้แสดงตัวละครที่โดนใจคนดูขนาดนี้”

สติลเลอร์กล่าวว่า “วิลล์อาจจะเป็นคนที่ตลกที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้เลย เขาตลกที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้แล้ว ถึงภาพยนตร์ตลกของเขาจะเพี้ยนแค่ไหน และตัวละครของเขาจะหลุดโลกเพียงใด แต่เขากลับเป็นคนที่ติดดินที่สุดเท่าที่คุณเคยพบมา มันถึงจุดที่ว่าบางครั้งคุณก็เกิดความรู้สึกว่าเขากำลังแสดงเป็นตัวละครเวลาที่เขาเป็นตัวเอง เหมือนเป็นตัวละคร วิลล์ เฟอร์เรลล์ ที่เป็นคนปกติธรรมดาอย่างงั้นแหละ”

สำหรับเฟอร์เรลล์ การได้กลับมาใส่วิกผมชื่อกระฉ่อนนี้อีกครั้งคือประสบการณ์ที่น่าสนใจหลังจากเวลาผ่านไปเกือบ 15 ปี “ในตอนแรก มันก็แปลกๆ นะครับที่ต้องกลับมาแสดงเป็นตัวละครตัวนี้ และต้องใส่ชุดพวกนั้น จากนั้นมันก็กลายมาเป็นความรู้สึกแปลกที่มันไม่รู้สึกแปลกอีกต่อไป” เฟอร์เรลล์หัวเราะ “ผมลืมไปแล้วว่ามูกาตูนั้นเครียดแค่ไหน เขาไม่เคยผ่อนคลายเลย และมักจะตวาดใส่คนอื่นเสมอ เพราะไม่มีอะไรใช้ได้เลย แต่นั่นก็เป็นบุคลิกที่เล่นได้สนุกมาก”

สติลเลอร์ที่ได้นั่งอยู่แถวหน้าจอมอนิเตอร์ ได้เห็นมูกาตูฟื้นคืนชีพมาอย่างสนุกสนาน “เราไม่ได้ทำงานด้วยกันอีกเลยนับแต่ภาพยนตร์ภาคแรก ดังนั้น ผมจึงสนุกมากครับที่ได้เห็นเขากลับมาเล่นเป็นตัวละครตัวนี้อีก ในวันแรก เขาได้แสดงกับท็อดด์ (รับบทโดย เนธาน ลี แกรห์ม) และรู้สึกราวกับเวลาไม่ได้ผ่านไปเลย ให้ผมนั่งดูเขาแสดงเป็นตัวละครตัวนี้เป็นชั่วโมงๆ ก็ยังได้ ผมหัวเราะท้องคัดท้องแข็งตั้งแต่เทกแรกเลยครับ”
« Last Edit: February 14, 2016, 08:16:49 PM by happy »

happy on February 14, 2016, 08:16:58 PM





ตัวละครสมทบ:
นักแสดงหน้าใหม่และหน้าเก่า (แต่ยังดูดี)

ครั้งหลังสุดเมื่อคนดูเดินออกจากโลกของ Zoolander เดเร็กและแฮนเซล กำลังเฉลิมฉลอง “ศูนย์เดเร็ก ซูแลนเดอร์ เพื่อเด็กที่อ่านหนังสือไม่เก่ง และอยากเรียนรู้ที่จะทำเรื่องอื่นๆ ให้เก่งด้วย” ที่เพิ่งเปิด และมูกาตูเข้าไปอยู่ในคุก เราพบอย่างรวดเร็วว่านับแต่นั้น หายนะที่ร้ายแรงได้เกิดขึ้น จนทำให้เดเร็กและแฮนเซลตัดสินใจทิ้งความเจริญและแสงสี หันหลังให้พรมแดง แสงแฟลชของปาปารัสซี่ และเวทีรันเวย์ หลังจากสูญเสียทุกอย่างไปแล้ว เดเร็กปฏิญาณว่าจะใช้ชีวิตอย่างสันโดษเหมือนปูจำศีล ส่วน แฮนเซล ซึ่งมีแผลเป็นถาวร และต้องสวมใส่หน้ากาก ใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมดินในทะเลทราย หลังจากใช้ชีวิตสันโดษอยู่นานหลายปี ทั้งคู่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานอีเว้นต์แฟชั่นงานใหญ่ที่จัดโดย อเล็กซานย่า อะทอซ (คริสเตน วีก) เจ้าแม่แฟชั่นที่ทรงอิทธิพลที่ครอบครองอาณาจักรแฟชั่นที่ใหญ่ที่สุด เมื่อไม่อาจปฏิเสธเสน่ห์ยั่วยวนของการกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตได้ สองคู่ดูโอต่างฝ่ายต่างฮุบเหยื่อ และเดินทางไปกรุงโรม

เมื่อถึงโรม เดเร็กและแฮนเซล รู้สึกได้ทันทีว่าโลกที่พวกเขาเคยรู้จักได้หายไปแล้ว รูปลักษณ์ที่เป็นเอกลักษณ์และการประชันบนรันเวย์กลายเป็นอดีต ตอนนี้วงการถูกปกครองโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่และเหล่าเน็ตไอดอลที่เกลียดแฟชั่น เดเร็กและแฮนเซล เข้าสู่แวดวงโซเชี่ยลมีเดียและเทคโนโลยีล่าช้าเกินไปในโลกยุคหลัง สตีฟ จ๊อบส์ “มุขตลกอย่างหนึ่งของเราจากหนังภาคแรกก็คือ โทรศัพท์อันเล็กจิ๋วของเดเร็ก ซึ่งแน่นอนว่าทุกวันนี้เทรนด์โทรศัพท์มันต่างออกไปแล้ว” สติลเลอร์หัวเราะ “โลกเปลี่ยนไปเพราะโซเชี่ยลมีเดีย และความจริงที่ว่าทุกคนติดหนึบกับจอ จนยากจะมองข้ามไปได้” สติลเลอร์ในฐานะผู้กำกับอธิบาย   

“มันมีลักษณะเหมือนมนุษย์ถ้ำที่หลุดมาในโลกแฟชั่น เมื่อพวกเขาพบว่าสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน  ลักษณะการแอนตี้แฟชั่นกลายเป็นแฟชั่นไปแล้ว และความพยายามเพียงน้อยนิดก็ได้รับรางวัลตอบแทน ดังนั้นหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยสำคัญกับพวกเขาจึงไม่เหลืออยู่อีกต่อไป” เจฟฟ์ แมนน์ ที่เป็นทั้งผู้อำนวยการสร้างและโปรดักชั่นดีไซเนอร์ บอก

เพียงไม่นานหลังจากพวกเขามาถึงโรม เดเร็กและแฮนเซล ได้รับการติดต่อจาก วาเลนติน่า วาเลนเซีย เจ้าหน้าที่พิเศษสาวสวยที่ทำงานให้กับแผนกแฟชั่นโลกของอินเตอร์โพล โดยเธอได้ติดต่อให้พวกเขามาช่วยสืบสวนเกี่ยวกับบรรดาเหล่าป็อปสตาร์ที่โดนฆ่าตายจนน่าตกใจ โดยในเหตุฆาตกรรมทุกรายนั้น จะมีลักษณะจำเพาะที่เหมือนกันซึ่งน่าจะใช้ในการไขคดีนี้ได้ นั่นก็คือการถ่ายรูปเซลฟี่ตัวเองในตอนที่ตายโดยทำหน้าแบบ...บลูสตีล ด้วยเชื่อว่ามีเพียงคนเดียวที่สามารถตีความการทำหน้าแบบนั้นได้ วาเลนติน่าและคู่หูของเธอ จึงไปขอให้ เดเร็ก เข้ามาช่วยแทรกซึมเข้าไปในโลกของแฟชั่นชั้นสูงและไขคดีนี้ให้ได้

“วาเลนติน่าเป็นคนสวยมาก เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแฟชั่นละตินที่เซ็กซี่ที่สุด เธอเป็นพวกเซ็กซี่แต่มองว่าความเซ็กซี่เป็นธุรกิจ เธอแค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนฆ่าคนดังเหล่านั้น” สติลเลอร์อธิบาย

ตลอดเวลาที่ลงมือเขียนบท สติลเลอร์มีนักแสดงหญิงเพียงคนเดียวที่เขาเล็งเอาไว้สำหรับบทเจ้าหน้าที่สุดเซ็กซี่และแสนฉลาดผู้นี้ เธอก็คือเพเนโลปี้ ครูซ ที่หาใครมาแทนที่ไม่ได้ “นับแต่เริ่มต้น บทนี้ก็คือเพเนโลปี้เสมอ ขณะที่เราลงมือเขียนบท ผมชอบนึกภาพเธอกำลังพูดประโยคเหล่านี้ด้วยสำเนียงของเธอ เธอเป็นหนึ่งในคนแรกๆ ที่ผมโทรหา และเธอตอบตกลงเร็วมาก ผมมีความสุขมากเพราะผมก็นึกภาพคนอื่นมาเล่นบทนี้ไม่ได้เหมือนกัน”

“ฉันได้รับโทรศัพท์จากเบน และพอเขาเอ่ยถึงซูแลนเดอร์  ฉันถามเขาว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า เพราะฉันชอบหนังภาคแรกมากเลยค่ะ” ครูซเล่า “ฉันตื่นเต้นมากที่เขาอยากให้ฉันเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้”

ครูซรู้สึกสนใจในความซับซ้อนจนน่าประหลาดใจของวาเลนติน่า “ฉันชอบตัวละครตัวนี้เพราะเธอมีหลายสีสันและหลายหน้าตามาก เธอเป็นคนฉลาดและมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีบางอย่างที่ดูหลุดโลกอยู่ในตัวเธอ นับแต่เริ่มต้น ฉันต้องค้นหาว่าจุดนั้นมันอยู่ตรงไหน และเธอต้องเป็นคนประหลาดในระดับเดียวกันกับเดเร็กด้วย” ครูซเล่า

ถึงแม้ฉากต่างๆ และสภาพแวดล้อมจะน่าขันแค่ไหน แต่เพเนโลปี้เล่นเป็นตัวละครตัวนี้ด้วยความตั้งใจและให้ความสำคัญ ซึ่งมันช่วยเติมเต็มให้กับธรรมชาติที่เป็นคนจิตใจดีและออกจะซื่อของเดเร็ก “เพเนโลปี้เล่นบทนี้อย่างจริงจังมาก และเธอใส่ใจในเรื่องราวความเป็นมาของวาเลนติน่า และเรื่องที่ว่าเธอมาจากไหน เธอเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าวาเลนติน่าจะคิดอะไรอยู่ในฉากนี้ และเธอรู้สึกยังไงกับเดเร็ก ผมชอบมากนะเพราะในหนังที่มีโทนตลกเสียดสีแบบนี้ ยิ่งนักแสดงเล่นบทอย่างจริงจังเท่าไหร่ คนดูก็จะยิ่งรู้สึกว่าเรื่องมันมีความเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น” สติลเลอร์ให้ความเห็น

โลกที่แสนดุดันของ Zoolander ได้สร้างตัวละครที่น่าชื่นชมเอาไว้มากมาย ซึ่งเป็นที่รักของคนดูที่ยอมรับได้ในความเพี้ยนของพวกเขา ยิ่งเว่อร์และยิ่งใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งดี สติลเลอร์และทีมของเขาตั้งใจที่จะให้เกียรติกับจิตวิญญาณและความกระตือรือร้นของตัวละครดั้งเดิมจากภาคแรก ขณะเดียวกันก็สร้างตัวละครใหม่ๆ ที่เพี้ยนพอๆ กับตัวละครจากภาคแรก “เราได้รับโอกาสมากมายในหนังภาคแรก และเราก็ทุ่มเทใส่ใจกับมุขตลกและความเป็นจริงนี้ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะใช้โอกาสที่มีมากมายในหนังภาคนี้ เราตั้งใจสร้างตัวละครใหม่ๆ ที่สามารถอยู่ในโลกนี้ได้ และยังคงพยายามที่จะหาสมดุลที่ลงตัวระหว่างตัวละครเก่าและใหม่ด้วยครับ” สติลเลอร์อธิบาย

เมื่อมูกาตูถูกส่งตัวเข้าคุก โลกแฟชั่นจึงไร้ซึ่งผู้นำ ประชาชนชาวแฟชั่นทั้งหลายถูกทิ้งให้ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าอะไรที่มีสไตล์ โชคดีที่สุดท้ายตำแหน่งที่ว่างลงนี้ถูกแทนที่ด้วยราชินีแฟชั่นคนใหม่ที่ยากจะหาใครทัดเทียม เธอก็คือ อเล็กซานย่า อะทอซ เจ้าแม่แฟชั่นที่เป็นที่ชื่นชมในยามที่เธอเคลื่อนไหวราวกับไหลไป แทนที่การเดิน (การเดินมันดูธรรมดาไป) อเล็กซานย่าบัญชาการในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแฟชั่น เทรนด์ไหนกำลังมา ควรแต่งตัวในรูปแบบไหน และเธอเป็นคนกำหนดมาตรฐานความงาม เมื่อ เดเร็กและแฮนเซล ได้รับเชิญจากอเล็กซานย่าเป็นการส่วนตัว เพื่อให้มาร่วมโชว์ใหม่ของ ดอน อาทาริ ลูกศิษย์ของเธอ พวกเขารู้ดีว่าการเชื้อเชิญครั้งนี้มันยิ่งใหญ่แค่ไหนและเตรียมตัวที่จะกลับคืนสู่รันเวย์อย่างยิ่งใหญ่

อเล็กซานย่า อะทอซ ที่ดูยิ่งใหญ่ด้วยงานดีไซน์ราวกับงานศิลปะเดินได้ ไม่ใช่แค่สวมใส่เสื้อผ้า เธอดูแลทุกส่วนของร่างกายอย่างพิถีพิถันและตอบรับทุกโอกาสที่จะได้แสดงตัวตน แม้กระทั่งในการตามหาความงดงามแบบชั่วนิรันดร์ เธอก็ยังพยายามทุกวิถีทางที่จะพลิกกลับความเหี่ยวแก่ด้วยการผ่าตัดและเครื่องสำอาง “อเล็กซานย่าคือหายนะของการทำศัลยกรรมพลาสติคเพื่อความอ่อนเยาว์และความสวยตลอดกาล การฉีดโบท็อกซ์มากเกินไปทำให้เธอแทบพูดไม่ได้” จัสติน ธีโรซเป็นคนออกมาอธิบาย

นักแสดงหญิงที่ฝีมือเป็นที่ยอมรับและยังเป็นนักแสดงขาประจำของรายการ Saturday Night Live คริสเตน วีก ได้รับเลือกให้มารับบทนี้ และเธอได้ใช้ความผิดเพี้ยนของร่างกายของอเล็กซานย่ามาช่วยสร้างตัวละครตัวนี้ “ฉันไม่เคยเล่นบทแบบนี้มาก่อนเลย เธอคือราชินีผู้ชั่วร้ายในทุกรูปแบบ บทภาพยนตร์ได้บรรยายถึงรูปลักษณ์ของเธอไว้ว่าเธอผ่านการทำศัลยกรรมพลาสติคมากเกินไปจนมันส่งผลต่อการพูดของเธอ บทพูดของเธอถูกเขียนออกมาโดยให้เน้นเรื่องการออกเสียง ซึ่งฉันอ่านโดยใส่ความรู้สึกแบบรัสเซียเข้าไป เราระดมความคิดกันจนเกิดไอเดียว่าเธอไม่สนใจที่จะออกเสียงแต่ละคำออกมาให้ถูกต้องอีกแล้ว”

เพื่อให้ได้ภาพลักษณ์สุดขั้วแบบอเล็กซานย่า ช่างแต่งหน้าอย่าง มาร์ก คูเลียร์ และทีมของเขาได้สร้างภาพลักษณ์อันโดดเด่นสุดขั้วด้วยการใช้อวัยวะปลอม และใช้กระบวนการตกแต่งที่กินเวลานาน ซึ่งรวมถึงการใส่วิกผม ติดชิ้นส่วนผม และเสื้อผ้าที่มีความซับซ้อน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลานานถึง 4 ชั่วโมง “คุณแค่ต้องทำสมาธิอยู่พักใหญ่ ฉันก็ไม่เคยติดอวัยวะปลอมมากเท่านี้มาก่อน มันน่าทึ่งมาก ตอนมองตัวเองในกระจกก็ออกจะแปลกๆ อยู่เหมือนกัน และเห็นตาของคุณ แต่มันไม่ใช่หน้าคุณอีกแล้ว” วีกบอก

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มันสุดมหัศจรรย์มาก “มันสนุกจริงๆ นะครับที่ได้มาเห็นเธอแต่งหน้าและมันสร้างแรงบันดาลใจให้เธอได้ยังไง หลังจากผ่านกระบวนการแปลงโฉม เธอกลายเป็นตัวละคร และเล่นกับเล็บมือ และเริ่มแสดงด้วยนิ้วมือของเธอ มันเป็นการทำงานกับนิ้วที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่ผมเคยเห็นมาเลย” สติลเลอร์เล่า

“ส่วนมากแล้วมันก็เป็นเรื่องของใบหน้ากับเล็บค่ะ ฉันชอบไว้เล็บยาว มันทำให้เกิดท่าแบบกางกรงเล็บ และทำให้รู้สึกว่าเธอชั่วร้ายมากขึ้น ลีซ่า อีแวนส์ ซึ่งเป็นคนออกแบบเครื่องแต่งกาย ลงเอยด้วยการออกแบบชุดที่บ้าที่สุด สวยที่สุด แปลกและเพี้ยนที่สุด เมื่อรวมกับหน้า วิกผม เล็บ และเสื้อผ้า ฉันสนุกมากจริงๆ ค่ะ” วีกบอก

เพื่อนร่วมจอกับวีกต่างประทับใจกับการแสดงของเธอ และการที่เธอตีความหมายของตัวละครตัวนี้ออกมาได้อย่างโดดเด่นมาก “คริสเตนตัดสินใจได้อย่างน่าทึ่งและประหลาดมาก จนผมอยากยกให้เธอเป็นหนึ่งในนักแสดงตลกขวัญใจของผมในทุกวันนี้เลย” วิลล์ เฟอร์เรลล์ บอก “เธอสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมา เธอเป็นเหมือนแค็ทวูแมนที่คุณฟังคำที่เธอพูดไม่เข้าใจ ซึ่งมันทั้งตลก สวย งดงาม และน่ากลัวไปในเวลาเดียวกัน”

วีกกับเฟอร์เรลล์ได้ร่วมจอในฉากที่พิเศษมากฉากหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องถูกจดจำในฐานะหนึ่งในฉากจูบที่อยู่ในความทรงจำมากที่สุดของปีนี้ ในวันที่ถ่ายทำ สติลเลอร์พยายามกำกับน้อยมาก เขาแทบไม่บอกเลยว่าควรพูดกันยังไง และเขาก็ต้องประหลาดใจที่นักแสดงตลกทั้งสองคนแสดงฉากนั้นออกมาได้ลึกซึ้งมาก “เราคุยกันน้อยมากในเรื่องที่ว่าเราพยายามจะทำอะไรกันอยู่ และฉันก็บอกเขาไปว่า ‘จะทำยังไงก็ได้ อยากจะเลียก็เชิญเพราะนั่นไม่ใช่ผิวจริงๆ ของฉันหรอกนะ’  ฉันว่าเบนไม่รู้ตัวหรอกว่าเราจะทำอะไรกัน เพราะหลังจากที่เราแสดงกันครั้งแรก ดูเหมือนเขาจะประหลาดใจเล็กน้อย เราเลยเล่นใหญ่เลย” วีกหัวเราะ

“ผมไม่ได้กำกับพวกเขาเลยนะ วิลล์กับคริสเตนไว้ใจกันและกันมาก และพวกเขาก็บังเอิญเป็นคนสองคนที่ตลกที่สุด และสิ่งที่พวกเขาทำ ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่บ้าที่สุดที่ผมเคยเห็นมา มันคือฉากหนึ่งที่ตลกที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้” สติลเลอร์บอก

เมื่อมาถึงโรม เดเร็กและแฮนเซล เริ่มรู้ตัวว่าแฟชั่นและโลกเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน พวกเขาเดินทางกลับมาเจอโลกที่พวกเขาไม่เข้าใจเลย เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการแฮชแท็ค ทวีต ไม่มีการประชันกันบนรันเวย์ ไม่มีการเก๊กหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวแต่ละคน และพวกดีไซเนอร์ก็ไม่ต้องใช้ความพยายามกันสักเท่าไหร่ ดีไซเนอร์ที่มาแรงที่สุดในวงการแฟชั่นก็คือ ดอน อาทาริ (ไคล มูนนี่ย์) ฮิปสเตอร์ผู้ได้รับการยอมรับนับถือ เป็นเด็กหนุ่มสุดเท่ที่เป็นแบ็ดบอยของวงการแฟชั่น อาทาริสร้างชื่อให้กับตัวเองด้วยการนำความซ้ำซากมาสู่แฟชั่นแถวหน้า เป็นเสมือนการวิพากษ์มาตรฐานแฟชั่นตามขนบ อาทาริประกาศว่าความสวยคือความน่าเกลียด ความเชยคือความเท่ และสิ่งที่ไม่ได้ฮอตเลยก็คือความเซ็กซี่ร้อนฉ่า “ดอน อาทาริคือการผสมรวมกันของสิ่งที่เดเร็กและแฮนเซลไม่เข้าใจในเรื่องที่ว่าโลกแฟชั่นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร” ผู้อำนวยการสร้าง เจฟฟ์ แมนน์ บอก “ดอน อาทาริอาจจะทั้งชื่นชอบหรือชิงชังในประโยคเดียวกัน สิ่งที่ดูห่วยกลับยอดเยี่ยม การฟัง ดอน อาทาริ พูดก็เหมือนดูการแข่งเทนนิสระหว่าง เดเร็ก กับแฮนเซล เพียงแต่พวกเขาไม่เห็นจะเข้าใจมันเลย”

นอกจากนักแสดงประจำจาก Saturday Night Live นักแสดงตลก ไคล มูนนี่ย์ ได้รับเลือกให้มาสร้างชีวิตให้กับตัวละครตัวนี้ มูนนี่ย์ที่ตื่นเต้นมากที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจ็กต์นี้ รู้สึกเพลิดเพลินไปกับลักษณะสุดขั้วที่เป็นธรรมชาติของตัวละครตัวนี้มาก “ดอน อาทาริ คือตัวแทนของวัฒนธรรมยอดนิยมร่วมสมัย และความเลวร้ายของความเป็นฮิปสเตอร์ เขามักจะขัดแย้งตัวเองด้วยคำกล่าวอ้างที่ขัดแย้งกันเอง การทำอะไรเว่อร์ๆ แบบนี้มันสนุกมากเลยครับ”

สติลเลอร์ปลาบปลื้มมากกับพลังที่มูนนี่ย์ใส่ลงไปในตัวละครตัวนี้ ซึ่งกลายเป็นส่วนเพิ่มเติมที่ยอดเยี่ยมมากให้กับโลกของซูแลนเดอร์ “ไคลเป็นนักแสดงหนุ่มที่มีพรสวรรค์ เขาแสดงหนังมาไม่เยอะ แต่กลับมีความโดดเด่นและมีพลังในแบบของเขาเอง สนุกมากเลยครับที่ได้จับเขาไปไว้ในสภาพแวดล้อมนั้น และได้มีหน้าใหม่ๆ และมุมมองใหม่ๆ เข้ามาบ้าง”

แรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้เดเร็กตัดสินใจออกมาจากที่หลบซ่อนตัว ก็คือ โอกาสที่จะได้กลับมาเจอกับ เดเร็ก จูเนียร์ ลูกชายที่หายไปนานของเขา ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเด็กกำพร้าอิตาเลี่ยน นับแต่เดเร็กตัดสินใจหนีไปใช้ชีวิตแบบปลีกวิเวก เดเร็กต้องประหลาดใจที่พบว่าลูกชายของเขาไม่ได้สืบทอดคุณลักษณะแบบพ่อที่เป็นหนึ่งในนายแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเลย ด้วยความหวังจะได้พบกับเด็กหน้าตาดีและไว้ทรงผมสไตล์ เดเร็ก ซูแลนเดอร์ เขากลับเจอเด็กที่ชอบอ่านหนังสือมากกว่าการเก๊กหน้าปากจู๋ สำหรับบท เดเร็ก จูเนียร์ สติลเลอร์พบนักแสดงหนุ่มน้อย ไซรัส อาร์โนลด์ ผู้รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เข้ามาอยู่ในโลกสุดเพี้ยนของ Zoolander

“ผมอยากได้เด็กที่เป็นนักแสดงที่แข็งแรงจริงๆ และจะต้องเป็นคนที่ตรงไปตรงมากับเดเร็กและแฮนเซล เพราะเขาเป็นคนฉลาด และเป็นคนปกติ ไซรัสเป็นเด็กฉลาดที่มีอารมณ์ขันที่เป็นธรรมชาติมาก ผมไว้ใจเขาได้เต็มร้อยเลยในการแสดงฉากนั้นๆ”

และเพื่อยืนยันสถานะว่านี่คือภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นเพื่อยกย่องโลกแฟชั่น รายชื่อของบรรดานักแสดงรับเชิญที่มาปรากฎตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงเต็มไปด้วยคนในโลกของแฟชั่น จากเดิมที่ต้องเจรจากันกว่าจะยอมมาแสดงหนังภาคแรก พอมาถึงหนังภาคสองนี้ แฟนๆ ที่อยู่ในโลกแฟชั่นจริงๆ ต่างกระตือรือร้นที่จะขอเข้ามามีส่วนร่วมด้วย “ตอนนี้หนังเรื่องนี้กลายเป็นที่รู้จักในโลกแฟชั่น และเราพบว่ามีคนมากมายที่กระตือรือร้นอยากจะเข้ามามีส่วนร่วมกับหนังภาคต่อนี้ ซึ่งเป็นเรื่องดีมากๆ เพราะพวกเขาคือส่วนหนึ่งของเรื่องนี้อยู่แล้ว ผมคิดว่ามันช่วยเพิ่มความสมจริงให้ แม้ว่ามันจะเป็นหนังตลกไร้สาระก็ตาม การมาบรรจบกันแบบนี้มันน่าตื่นเต้นมากเลยครับ” สติลเลอร์บอก