KTAM ขยายเปิดขาย KT-INDIA ถึง 5 ก.พ. พร้อมจำหน่ายตราสารหนี้ 6 เดือนชู 1.85%
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ลูกค้าให้ความสนใจลงทุนในกองทุนเปิดเคแทม อินเดีย อิควิตี้ ฟันด์ ( KT-INDIA) ค่อนข้างมาก บริษัทจึงขยายระยะเวลาในการเปิดจำหน่ายออกไปถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559
กองทุนเปิดเคแทม อินเดีย อิควิตี้ ฟันด์เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Invesco India Equity Fund (กองทุนรวมหลัก )โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80 % ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม โดยกองทุนรวมหลักมีวัตถุประสงค์บริหารเงินเพื่อการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว เน้นลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของอินเดียเป็นหลัก
ทั้งนี้การลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย มีความน่าสนใจ เนื่องจากมีนโยบายการปฎิรูปภายในประเทศ
มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนและดึงดูดนักลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศอินเดียมีการปฎิรูปโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจที่ง่ายขึ้น และการลดขั้นตอนต่างๆ เพื่อที่จะเพิ่ม
กำลังการผลิต (Productivity) ส่งเสริม Digital Economy และความโปร่งใสของการบริหารงานในองค์กรต่างๆ ทั้งนี้การปฏิรูปจะส่งผลดีต่อภาคลักษณ์ของตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจโดยรวมทำให้ตลาดอินเดียมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก
ผลตอบแทนของกองทุนรวมหลัก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 ย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ 4.81% 2 ปี อยู่ที่ 19.26% และ 3 ปี อยู่ที่ 11.31 % ซึ่งสูงกว่าดัชนีอ้างอิง โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี อยู่ที่ -6.51 % 2 ปี อยู่ที่ 8.20% และ 3 ปี อยู่ที่ 3.92%
นอกจากนี้บริษัทยังเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 82 ( KTFF82 )อายุ 6 เดือน เสนอขายทั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2559 เน้นลงทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วย MTNที่ออกโดย Banco Latinoamericano de Comercio Exterior , S.A. , เงินฝากประจำ Agricultural Bank of CHINA , Agricultural Bank of CHINA , Bank of China (Macau ) , Abu Dhabi Commercial Bank PJSC และ Ahli Bank QSC ในสัดส่วน 90% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนส่วนที่เหลือลงทุนในตั๋วแลกเงิน บมจ.บัตรกรุงไทย ผลตอบแทนประมาณ 1.85 % ต่อปี บุคคลธรรมดาไม่เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ขณะที่แนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศมีการปรับตัวลดลงทุกช่วงอายุตามแรงซื้อต่อเนื่องของนักลงทุนในประเทศจากการที่ยังมีสภาพคล่องคงเหลืออยู่ในระบบค่อนข้างมากในขณะที่ตราสารออกใหม่ในประเทศมีไม่เพียงพอกับความต้องการลงทุน โดยตลาดตอบรับการประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุคงเหลือ 20 ปี (LB366A) ค่อนข้างดีโดยมี อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน (BCR) ประมาณ 1.51 เท่า ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มียอดขายสุทธิจำนวน 4,499 ล้านบาท
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกช่วงอายุ หลังการส่งสัญญาณของธนาคารกลางยุโรป ( ECB ) ว่าอาจมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมเดือนมีนาคม การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน และการปรับตัวขึ้นของดัชนีตลาดหุ้น ที่ทำให้เกิดแรงขายในตลาดตราสารหนี้ ตลาดยังคงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ ( Fed) น่าจะยังไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมเดือนมกราคม โดยสรุปอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุคงเหลือ 2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 bps มาอยู่ที่ 0.88% ต่อปี อายุคงเหลือ 5 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 3 bps. มาอยู่ที่ 1.49% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4 bps.มาอยู่ที่ 2.07% ต่อปี สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้จะเป็นผลการประชุม FOMC ในวันที่ 26-27 มกราคม เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน แนวโน้มราคาน้ำมันโลก และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ