“ KTAM ตั้งเป้า AUM โต 7 แสนล้าน เน้นขยายฐานลูกค้ารายย่อย”
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2558 อยู่ที่ 617,621 ล้านบาท ซึ่งโตกว่าปี 2557 ประมาณ 4% โดยมาจากกองทุน Money Market ที่โตเพิ่มขึ้น 65% ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ประมาณ 98,200 ล้านบาท กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF ) โตเพิ่มขึ้น 10% และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ ( RMF )โตเพิ่มขึ้น 12.6 % นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการออกกองทุนใหม่ๆ เช่น กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้น Mid - Small Cap , กองทุนเปิดกรุงไทยหุ้น mai , กองทุนต่างประเทศ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 ( EGATIF) ขนาด 20,855 ล้านบาท และ บทบาทใหม่ในฐานะทรัสตี กองรีทส์กองแรก ได้แก่ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ บิสซิเนส คอมเพล็กซ์ (WHABT) ขนาดกองทุน 2,020 ล้านบาท
ส่วนในปี 2559 บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิสุทธิ (AUM) เป็น 714,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% จากปี 2558 มีนโยบายขยายฐานลูกค้ารายย่อย และมีแผนออกกองทุนใหม่ๆทั้งในและต่างประเทศ โดยคำนึงถึงความเหมาะสมเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้า
ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เริ่มบทบาทใหม่ ในเรื่อง PE Trust Manager และ PE Manager ซึ่งคาดว่าจะเป็นส่วนช่วยผลักดันให้ธุรกิจรายเล็กได้เติบโตในอุตสาหกรรมได้
นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในทิศทางฟื้นตัวในระดับต่ำ และจะเผชิญกับความผันผวนจากการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างกันในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ รวมถึงความเสี่ยงจากความตกต่ำของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์
แนวโน้มการลงทุนในตราสารทุน โอกาสการลงทุนจะอยู่ที่ตลาดหุ้นยุโรป และญีปุ่น ซึ่งเศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่อง นโยบายการเงินผ่อนคลาย อัตรากำไรเติบโตสูง และระดับราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ได้สะท้อนความความหวังต่อเศรษฐกิจไปพอสมควรแล้ว
ส่วนของตลาดเกิดใหม่ในครึ่งปีแรกจะเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลง ค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่า การปรับลดลงอย่างมากของราคาหุ้น ทำให้เริ่มน่าสนใจลงทุนแต่ต้องจับจังหวะตลาด ซึ่งบริษัทยังมองโอกาสการลงทุนในอินเดียที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตรากำไรอยู่ในระดับสูง
ขณะที่จีนรอให้ตลาดมีเสถียรภาพ และต้องจับตาดูผลของการปฏิรูปเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทย ยังคาดหวังต่อแผนการลงทุนของภาครัฐ การเติบโตจากภาคการท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของภาคการบริโภคโดยภาพรวมตลาดหุ้นคาดว่าจะแกว่งตัวในช่วง 1,150 – 1,480 จุด
ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากสภาพคล่องที่มีอยู่สูงมาก และคาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะคงในระดับต่ำไปถึงปลายปีเป็นอย่างน้อย ขณะที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารกลางสหรัฐ ( FED) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนหลักในปีนี้ บริษัทฯ คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 3% - 6% โดยเน้นการกระจายการลงทุนเพื่อลดความผันผวน และเน้นการลงทุนในตราสารทุน รวมถึงสินทรัพย์ที่สร้างกระแสรายได้อื่นๆ เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs/Infra fund