happy on December 18, 2015, 01:11:42 PM
ชื่อภาพยนตร์ The Big Short
ชื่อไทย เกมฉวยโอกาสรวย
วันที่เข้าฉาย 7 มกราคม 2559
จัดจำหน่าย บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์) จำกัดภาพยนตร์ The Big short ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ ดังนี้:
· ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม สาขาภาพยตร์ตลก/เพลงยอดเยี่ยม
· ดารานำชายยอดเยี่ยม สาขาภาพยตร์ตลก/เพลงยอดเยี่ยม
รางวัลนี้ คริสเตียน เบล และ สตีฟ คาเรลล์ ได้รับการเสนอชื่อทั้งคู่
· บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เมื่อคนนอกสี่คนมองเห็นในสิ่งที่ธนาคารใหญ่ สื่อและหน่วยงานภาครัฐ ปฏิเสธที่จะเห็น นั่นคือหายนะของเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะมาเยือน พวกเขาก็เกิดไอเดียบางอย่างขึ้นมา นั่นคือการวัดดวงกับหุ้นที่จะร่วง การลงทุนที่ท้าทายของพวกเขานำพวกเขาไปสู่ด้านมืดของวงการธนาคารสมัยใหม่ ที่ซึ่งพวกเขาต้องตั้งคำถามทุกคนและทุกอย่าง The Big Short สร้างจากเรื่องจริงและหนังสือเบสต์เซลเลอร์โดยไมเคิล ลูอิส (The Blind Side, Moneyball) และกำกับโดยอดัม แม็คเคย์ (Anchorman, Step Brothers) นำแสดงโดยคริสเตียน เบล, สตีฟ คาเรล, ไรอัน กอสลิงและแบรด พิตต์เรื่องย่อขนาดยาว ในปี 2005 ไมเคิล เบอร์รี (คริสเตียน เบล) ผู้ชื่นชอบดนตรีเฮฟวีเมทัลและผู้จัดการด้านการเงินนิสัยพิลึกในซาน โฮเซ ได้ศึกษาสินเชื่อส่วนบุคคลนับพันๆ รายที่ถูกรวมกลายเป็นตราสารหนี้ที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นประกันเครดิตสูงและได้ค้นพบบทสรุปที่น่าตื่นตะลึง นั่นคือผลิตภัณฑ์ด้านการเงินตัวนี้เต็มไปด้วยการกู้เงินเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีการผิดนัด ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาในอีกสองสามปีให้หลัง ในขณะที่นักการธนาคารของวอลล์สตรีทและหน่วยงานภาครัฐเพิกเฉยต่อระเบิดเวลาที่นับเวลาถอยหลังอยู่เรื่อยๆ ลูกนี้ เบอร์รีก็ได้คิดเครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่า สัญญาเครดิตอนุพันธ์ ขึ้นมาเพื่อ “วัดดวง” กับตลาดบ้านที่กำลังเฟื่องฟู ท่ามกลางความไม่พอใจของนักลงทุนและเจ้าของเฮดจ์ฟันด์ของเขา
ในตอนที่นักการธนาคารวอลล์สตรีทหนุ่มผู้มีไหวพริบ จาเร็ด เวนเน็ตต์ (ไรอัน กอสลิง) ได้รับรู้ถึงกลยุทธของเบอร์รี เขาก็ใช้ของเล่นหอคอยถล่มบล็อกเจนก้าในการเกลี้ยกล่อมมาร์ค บอม (สตีฟ คาเรล) ผู้จัดการเฮดจ์ฟันด์ อารมณ์ร้อนของเขาว่าเขาเองก็ควรจะลงทุนเงินหลายล้านในสัญญาเครดิตอนุพันธ์ด้วยเช่นกัน บอมและทีมงานนักวิเคราะห์หนุ่มผู้ชาญฉลาดของเขา (เจเรมี สตรอง, ฮามิช ลิงค์เลเตอร์และเรฟ สปอล) ผู้ตอนแรกก็รู้สึกเคลือบแคลงใจ ได้ลงมือทำการสืบสวนด้วยตัวเอง ในการค้นคว้าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในฟลอริดา พวกเขาได้สัมภาษณ์นายหน้าการจำนองอสังหาริมทรัพย์จอมกะล่อน ผู้มักจะสรรหาเงินกู้ยืมให้กับบรรดาผู้ซื้อบ้านที่ขาดคุณสมบัติในการกู้ยืมและนักเต้นระบำเปลื้องผ้าผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์มากมายโดยไม่จ่ายเงินดาวน์
ในขณะเดียวกัน ผู้จัดการด้านการเงินวัยยี่สิบกว่าๆ เจมี ชิปลีย์ (ฟินน์ วิททร็อค) และชาร์ลีย์ เกลเลอร์ (จอห์น มากาโร) ก็บังเอิญรู้เรื่องฟองสบู่ตลาดบ้านเข้าพอดี ด้วยความหวังที่จะก้าวเข้าสู่แวดวงการลงทุนด้านการเงินสำหรับขาใหญ่ พวกเขาก็ผิดหวังเมื่อได้พบว่าเงินทุน 30 ล้านเหรียญของพวกเขายังขาดอีกเกือบ 1.5 พันล้านเหรียญตามเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการลงทุน พวกเขาก็เลยขอความช่วยเหลือจากนักธนาคารผู้ผันตัวไปเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติ เบน ริคเกิร์ต (แบรด พิตต์) ผู้ใช้เครือข่ายความสัมพันธ์ของเขาในการช่วยเหลือพวกเขาในการวัดดวงกับวอลล์สตรีท
ในตอนที่ตลาดล่มในปี 2008 นักลงทุนเหล่านี้จะกอบโกยเงินได้หลายพันล้านเหรียญและชีวิตพวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลจากประสบการณ์ของพวกเขา แต่ในขณะที่สถาบันทางการเงิน ผู้ซึ่งพฤติกรรมประมาทของพวกเขาก่อให้เกิดปัญหา รอดพ้นจากวิกฤติด้วยผู้จ่ายภาษีชาวอเมริกัน ชาวอเมริกันหลายล้านคนต้องสูญเสียบ้าน งานและเงินเก็บวัยเกษียณของพวกเขาไปกับหายนะทางเศรษฐกิจ ที่ผลลัพธ์ของมันยังคงบาดลึกมาถึงปัจจุบัน
พาราเมาท์ พิคเจอร์สและรีเจนซี เอนเตอร์ไพรส์ซิส ภูมิใจเสนอ ผลงานสร้างโดยแพลน บี เอนเตอร์เทนเมนต์ The Big Short กำกับโดยอดัม แม็คเคย์ (Step Brothers, Anchorman) ที่นำแสดงโดยนักแสดงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด คริสเตียน เบลและนักแสดงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ สตีฟ คาเรล, ไรอัน กอสลิงและแบรด พิตต์ ผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่หลุยส์ รอสเนอร์-ไมเออร์ (The Hunger Games, The Hunger Games: Catching Fire) และเควิน เมสซิค (Anchorman 2: The Legend Continues) อำนวยการสร้างโดยทีมเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด แบรด พิตต์, ดีดี้ การ์ดเนอร์ (Selma, 12 Years a Slave), เจเรมี ไคลเนอร์ (Selma, 12 Years a Slave) และอาร์นอน มิลแชน ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ (Birdman: Or (The Unexpected Virtue of Ignorance), Fight Club) บทภาพยนตร์โดยชาร์ลส์ แรนดอล์ฟ Randolph (Love & Other Drugs, The Interpreter) และอดัม แม็คเคย์ จากหนังสือเรื่อง The Big Short: Inside the Doomsday Machine โดยไมเคิล ลูอิส (Moneyball: The Art of Winning an Unfair Game, The Blind Side: Evolution of a Game) ผู้กำกับภาพคือแบร์รี แอ็ครอยด์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ (Captain Phillips, The Hurt Locker) ผู้ออกแบบงานสร้างคือเคลย์ตัน ฮาร์ทลีย์ (Horrible Bosses 2, We’re the Millers) ลำดับภาพโดยแฮงค์ คอร์วิน (The Tree of Life, Natural Born Killers) ออกแบบเครื่องแต่งกายโดยซูซาน แมธีสัน (Anchorman 2: The Legend Continues, Step Brothers) และดนตรีโดยนิโคลัส บริทเทล (A Tale of Love and Darkness, The Seventh Fire)เกี่ยวกับงานสร้าง มือเขียนบทและผู้กำกับแม็คเคย์เป็นที่รู้จักดีที่สุดในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังความตลกของภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์โดยวิล เฟอร์เรล ซึ่งรวมถึง Step Brothers และ Anchorman: The Legend of Ron Burgundy ตลอดจนละครบรอดเวย์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี อวอร์ดเรื่อง “You’re Welcome America” แต่เมื่อห้าปีก่อน ตอนที่เขาได้อ่านหนังสือเรื่อง The Big Short: Inside the Doomsday Machine เขาก็หลงใหลในเรื่องน่าขบขันอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยความสนใจการผสมผสานคอเมดี ดรามา และโศกนาฏกรรมในมุมมองชาญฉลาดที่ไมเคิล ลูอิสมีต่อสถานการณ์ที่นำไปสู่หายนะเศรษฐกิจโลก แม็คเคย์ก็ต้องการจะพักจากงานคอเมดีไร้สาระและนำ The Big Short สู่จอเงิน
“ผมเริ่มอ่านหนังสือเรื่องนี้ตอนประมาณสี่ทุ่มครึ่งแล้วก็คิดว่า ‘ฉันจะอ่านซัก 40 หน้าล่ะกัน’ น่ะครับ” แม็คเคย์เล่า “ผมวางมันไม่ลงเลย สุดท้าย ผมก็อ่านมันทั้งคืนและไปจบเอาตอนหกโมงเช้า วันถัดมา ผมเล่าให้ภรรยาผมฟังเกี่ยวกับตัวละครต่างๆ การที่หนังสือเรื่องนี้ร้อยเรียงเนื้อเรื่องต่างๆ เข้าด้วยกัน การที่มันเป็นเหมือนเรื่องราวการ ‘กอบโกยเงิน’ ที่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องของการล่มสลายของระบบการธนาคาร การคอร์รัปชันและการย่ามใจ และการที่มันทั้งน่าขบขันและชวนให้หัวใจสลายในขณะเดียวกัน และเธอก็พูดทำนองว่า ‘คุณน่าจะกำกับมันนะ’ และผมก็บอกว่า ‘ผมเป็นคนที่กำกับ Step Brothers’ นะ ผมไม่ได้ดูต่อด้วยซ้ำเพราะผมคิดเอาเองว่าสก็อต รูดินหรือแพลน บีซื้อสิทธิหนังสือเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว”
ในความเป็นจริงแล้ว แพลน บี เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทโปรดักชันของแบรด พิตต์ ได้จับมือกับพาราเมาท์ พิคเจอร์ส ในการพัฒนา The Big Short เป็นภาพยนตร์แล้ว ผู้อำนวยการสร้างเจเรมี ไคลเนอร์ พบความคล้ายคลึงกันอย่างชัดเจนระหว่างแนวทางที่ผู้เขียนมองวงการเบสบอลและวอลล์สตรีทภายในหนังสือของไมเคิล ลูอิสเรื่อง Money Ball: The Art of Winning an Unfair Game “ทั้ง Moneyball และ The Big Short ต่างก็นำเสนอประเด็นคุ้นเคยที่ผู้คนคิดว่าพวกเขาเข้าใจแล้วและตั้งคำถามสำคัญครับ” ไคลเนอร์กล่าว “นอกจากนี้ The Big Short ยังมีองค์ประกอบที่โดดเด่นมากๆ ตรงที่ตัวเอกของเรื่องไม่ใช่พวกพ่อพระ เราคิดว่าทั้งหมดนั่นเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากๆ ดังนั้น พาราเมาท์ พันธมิตรของเราก็ได้ซื้อสิทธิหนังสือเรื่องนี้ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางสำหรับเราครับ”
หลังจากที่แม็คเคย์เสร็จจากงานกำกับซีเควลยอดนิยม Anchorman 2: The Legend Continues เอเจนท์ของเขาก็ท้าให้เขาพูดชื่อภาพยนตร์ที่เขาอยากจะสร้างที่สุด “ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมพูดอะไรออกไป ผมก็บอกเขาว่า ‘ถ้าผมจะสร้างหนังเรื่องไหนก็ได้ ผมอยากจะสร้าง The Big Short’ น่ะครับ” แพลน บีได้ส่งบทภาพยนตร์เวอร์ชันเริ่มแรกที่เขียนโดยชาร์ลส์ แรนดอล์ฟให้กับแม็คเคย์ “ผมได้เห็นอะไรบางอย่างดีๆ ในบทและผมก็รู้ดีว่าจะทำให้มันดีกว่าเดิมได้ยังไง” แม็คเคย์กล่าว “ผมได้พบกับเจเรมีและดีดี้ การ์ดเนอร์ ประธานแพลน บีและเสนอไอเดียของผมให้กับพวกเขา”
บทภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นตามมาได้รวมเอาความเฉียบคมตามแบบฉบับของแม็คเคย์เข้าไปในเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกัน “คนรู้จักผมจากหนังอย่าง Talladega Nights และ Anchorman หรือวิดีโอ Funny or Die แต่ผมเกี่ยวข้องกับประเด็นอื่นๆ ด้วยมาโดยตลอดครับ” แม็คเคย์ ผู้ชำนาญด้านการเสียดสีการเมืองในฐานะหัวหน้ามือเขียนบทจาก “Saturday Night Live” ก่อนจะเข้าสู่วงการภาพยนตร์ กล่าว “ผมรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นหน้าที่ของคุณในฐานะพลเมืองที่จะต้องใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้านการเมืองและสังคม คุณอาจจะเป็นตัวตลกที่โดนน้ำจากขวดโซดาพุ่งใส่ก็ได้แต่คุณก็จะต้องลงคะแนนเสียงและรู้ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่น่ะครับ”
« Last Edit: December 19, 2015, 06:20:13 PM by happy »
Logged