งานภาพของ JOY:
การออกแบบหนัง
เป็นที่ทราบกันดีว่าเดวิด โอ รัสเซลล์ชื่นชอบงานออกแบบและฉากที่เน้นจินตนาการ แต่ใน JOY เดวิด โอ รัสเซลล์ ได้นำเสนองานภาพที่แตกต่างออกไป กลายเป็นการนำเสนอภาพชีวิตสมัยใหม่ด้วยรูปแบบที่ดูประดิษฐ์มากที่สุดเท่าที่เขาเคยทำมา โดยไม่เพียงครอบคลุมห้องรับแขกของครอบครัวและอู่รถที่ใช้งานมาอย่างหนัก แต่ยังรวมถึงโลกของละครน้ำเน่าที่ปรุงแต่งเกินจริง โรงงานแห่งความฝันทางโทรทัศน์ และจินตนาการสุดล้ำของผู้หญิงที่ชอบคิดหาทางออกอันชาญฉลาดให้ปัญหาในชีวิตประจำวัน
แนวทางตั้งแต่แรกคือการมองชีวิตร่วมสมัยผ่านเลนส์ของภาพยนตร์คลาสสิกโดยปล่อยให้โลกทั้งสองใบนี้ปะทะกันในรูปแบบที่น่าอัศจรรย์ใจ เพื่อทำงานนี้รัสเซลล์ร่วมทีมกับผู้กำกับภาพไลนัส แซนด์เกรนเป็นครั้งที่สอง หลังจากเขาเคยถ่ายทำเรื่อง American Hustle และทั้งสองก็ใช้เวลามากมายไปกับการสังเกตและการพูดคุยกันก่อนการถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น
"เรารับอิทธิพลมากมายทั้งจากภาพถ่ายของวิลเลียม เอกเกิลสตัน ช่างถ่ายภาพสีผู้ยิ่งใหญ่คนแรกของอเมริกา ไปจนถึงภาพวาดของเอ็ดเวิร์ด ฮอพเปอร์และแอนดรูว์ ไวเอธ รวมถึงหนังคลาสสิกของจอร์จ สตีเวนส์และแฟรงก์ คาปรา" รัสเซลล์กล่าว "ผมสนใจแนวทางการใช้ที่ว่าง ความลึก และเงา หนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่ถ่ายทำในเงาดำย้อนแสงซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่สำหรับเรา แสงเงาและภาพย้อนแสงให้ความรู้สึกปลุกเร้าอารมณ์ มันสามารถนำคุณไปสู่เบื้องลึกภายในจิตใจคนได้"
รัสเซลล์กล่าวต่อไปว่า "ไลนัสกับผมแลกเปลี่ยนกันในแง่ภาพหรือแม้กระทั่งบทกวี ผมชอบที่เขามาเต็มใจที่จะทำงานร่วมกันและทุ่มเทในการพยายามทำให้ทุกๆ ช็อตดูสวยงามและมีชีวิตชีวา"
แซนด์เกรนย้อนรำลึกถึงบทสนทนาครั้งแรกๆ ของทั้งสอง "เดวิดมีแรงบันดาลใจมากมายนอกเหนือไปจากชีวิตของจอย แมงกาโน เราคุยกันเยอะว่าอะไรมีส่วนที่ทำให้เกิดความงามแบบคลาสสิกและความประณีตอย่างแท้จริงในหนังฮอลลีวู้ด ในแง่หนึ่งเราคุยกันว่าทำอย่างไรจึงจะสร้างหนังขาวดำที่ไม่ได้มีแต่สีขาวดำ เราดูหนังมากมายหลายเรื่องตั้งแต่ It's A Wonderful Life ของคาปราไปจนถึง Alice Doesn't Live Here Anymore ของสกอร์เซซีและ Paper Moon ของบ็อกดาโนวิช"
เพื่อสะท้อนความเป็นหนังขาวดำในหนังยุคใหม่ รัสเซลล์และแซนด์เกรนพูดถึงการใช้โทนสีโมโนโครมซึ่งต่อมาขยายกว้างออกพร้อมความทะเยอทะยานของจอย "การใช้โทนสีโมโนโครมน่ามหัศจรรย์มากครับ" รัสเซลล์ให้ความเห็น "ผมชอบหนังที่นำคุณไปสู่โลกซึ่งดูค่อนข้างสมจริงแต่ก็มีมนต์เสน่ห์ในตัวเองด้วย ผมจึงอยากให้โทนสีในหนังเรื่องนี้ดูงดงามมีสไตล์ในแง่ที่คุณรู้สึกได้ ขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้คุณหลุดจากอารมณ์ในเรื่องราวของจอย"
การทำงานกับสีและแสงด้วยวิธีการเฉพาะตัวขนาดนี้ทำให้แซนด์เกรนต้องวางแผนล่วงหน้าอย่างหนักแม้ว่ารัสเซลล์ต้องการให้ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติในกองถ่าย การทำงานครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการแสดงไต่ลวด
"เราถ่ายทำกันแบบ 360 องศา ดังนั้นเราต้องวางแผนช็อตอย่างระมัดระวังเพื่อให้การจัดแสงออกมาถูกต้องเมื่อถ่ายทำจากทิศทางต่างๆ กัน" เขาอธิบาย "เราต้องใช้สวิตช์หรี่ไฟได้เพื่อจะได้เปลี่ยนการจัดแสงได้ทันที ดังนั้นการวางแผนจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่เมื่อนักแสดงและเดวิดอยู่ในฉากด้วยกัน คุณต้องปรับตัวให้ยืดหยุ่นมากๆ เพราะเดวิดจะมีแนวคิดใหม่ออกมาเรื่อยๆ และคุณก็ต้องเสนอแนวคิดใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน"
แม้ว่าสไตล์ที่ลื่นไหลของรัสเซลล์มีความร่วมสมัยอย่างชัดเจน แต่เขาก็เป็นผู้กำกับสมัยใหม่ที่ยังคงยึดมั่นกับภาพเกรนแบบดั้งเดิมจากฟิล์ม 35 มม. "เดวิดชอบพื้นผิวของฟิล์มและความเป็นธรรมชาติที่ปรากฏบนแผ่นฟิล์ม ฟิล์มให้ภาพผิวหนังที่ดีกว่าและเดวิดก็ชอบโทนสีของผิวหนังด้วย" แซนด์เกรนกล่าว
สำหรับแซนด์เกรน การทำงานร่วมกับรัสเซลล์นั้นน่าตื่นเต้นในแง่ความไม่อาจคาดเดาได้ "เขาเป็นศิลปินที่ทำงานหนังเหมือนเป็นประติมากรอยู่ตลอดเวลา เหมือนเขาสร้างผลงานศิลปะขึ้นมาจากก้อนดิน นำทักษะของตัวเองมาใช้แต่ก็ปล่อยให้ตัวงานได้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติด้วย" เขาบรรยาย "เป็นการทำงานอีกรูปแบบที่ต่างออกไป แต่เดวิดก็กล้าหาญมากและไม่กลัวที่จะทดสอบแนวคิดต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่านั่นคือใจความสำคัญของหนังเรื่องนี้ คือความกล้าที่จะออกไปเติมเต็มความฝัน"
เช่นเดียวกับการถ่ายทำ การออกแบบงานสร้างใน JOY ไม่เพียงแต่ครอบคลุมช่วงเวลาหลายทศวรรษแต่ยังมีทั้งโลกความเป็นจริง โลกของละคร และโลกความฝันสลับกันไป ผู้ดูแลทั้งหมดนี้คือทีมงานที่ร่วมงานกับรัสเซลล์มาแล้วหลายครั้งอย่างจูดี เบกเคอร์ ซึ่งได้เข้าชิงรางวัลออสการ์จากผลงานของเธอใน American Hustle
เธอกล่าวว่า JOY ค่อนข้างแตกต่างจากผลงานทุกเรื่องที่เธอเคยทำกับรัสเซลล์มา "มันเป็นเรื่องราวมหากาพย์ของคนหลายยุค แต่สำหรับฉัน มันมีความเป็นนิทานมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ของเดวิด" เธอตั้งข้อสังเกต "เป็นนิทานว่าด้วยพลังของผู้หญิงและครอบครัว เราพยายามแสดงออกทางภาพด้วยการทำให้งานออกแบบดูเป็นอมตะ มีตั้งแต่ยุค 60 ไปจนถึง 2000 แต่เราไม่ต้องการให้มันดูเหมือนหนังย้อนยุค เราเน้นให้ภาพดูเป็นธรรมชาติ แต่ก็มีการประดิษฐ์ประดอยมากกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อให้ความรู้สึกเป็นเทพนิยาย"
เบกเคอร์สำรวจการเปลี่ยนโทนสีด้วยการทำงานประสานกับแซนด์เกรน "สำหรับโลกวัยเด็กของจอยและในอู่ซ่อมรถของรูดี ทุกอย่างเป็นโทนสีโมโนโครม เราจึงแทบไม่ใช้สีสันหรือใช้สีที่ซีดมากๆ ในฉาก" เธออธิบาย "ในส่วนแรกของหนัง สีฉูดฉาดออกมาจากเครื่องรับโทรทัศน์และโลกแฟนตาซีสดใสของละครทีวีเท่านั้น แล้วในที่สุดเมื่อจอยมาถึง QVC มันก็เป็นคล้ายกับ Emerald City เราต้องการให้สีในฉากตรงจุดนั้นให้โดดเด่นในครั้งแรก ดังนั้นเมื่อเธอเดินผ่านล็อบบีมืดๆ เข้าไป ทันใดนั้นคุณก็จะได้เห็นสีสันและแสงเจิดจ้า เหมือนเป็นการบรรลุสำหรับจอย มันแตกต่างมากจากโลกสีซีดจางที่เธออยู่มาตลอด"
ฉากที่ละเอียดลออมากที่สุดฉากหนึ่งซึ่งเบกเกอร์ได้ออกแบบไว้ก็คือฉากภายในฉากสำหรับละครที่แม่ของจอยดูซึ่งบางครั้งก็ถ่ายให้เห็นเต็มจอและอยู่ในความฝันของจอยด้วย "ฉากในหนังเรื่องนี้ใหญ่กว่าที่เราเคยทำมากและฉากละครทีวีก็น่าจะเป็นงานสร้างที่ซับซ้อนและสนุกที่สุดเท่าที่เราเคยทำมา" เธอกล่าว "เราอ้างอิงจากละครไพรม์ไทม์ยุค 80 ตอนที่ฉันเริ่มทำงานในวงการภาพยนตร์ฉันได้ทำงานละครทีวีในนิวยอร์กด้วย ดังนั้นฉันจึงเคยสัมผัสมาแล้วว่าฉากเหล่านั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร เราทำให้ฉากนี้ดูประดิษฐ์มากๆ ด้วยพื้นหินอ่อมปลอมสีดำขาวและผนังลายไม้ปลอม ยิ่งรายละเอียดดูฉูดฉาดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!"
เบกเคอร์พบว่าเธอยังต้องสร้างบรรยากาศของช่อง QVC ทั้งหน้าฉากและหลังฉากในช่วงยุค 90 อีกด้วย ช่องเคเบิลใหม่ซึ่งก่อตั้งในปี 1986 ยังคงเป็นแนวคิดใหม่เมื่อจอย แมงกาโนมาเสนอแนวคิดเรื่องไม้ถูพื้นมหัศจรรย์ แต่ช่องนี้ก็เติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่มียอดขายกว่า 8 พันล้านเหรียญ แม้ว่าสตูดิโอของช่องนี้ในเพนน์ซิลวาเนียแทบไม่เป็นที่รู้จักเลยในลอสแองเจลีส แต่ก็เป็นการผสมผสานระหว่างการช็อปปิงและความบันเทิง พร้อมด้วยฉากห้องครัวและห้องรับแขกที่สวยงามเหมือนอยู่ในภาพ ห้องแล็บทดสอบและทีมงานที่ตะเกียกตะกายทำงานเบื้องหลังเพื่อให้กิจการดำเนินไปทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง (โบนัสพิเศษที่น่าประทับใจคือหนังเรื่องนี้ได้เมลิสซา ริเวอร์สมารับบทเป็นโจน คุณแม่ของเธอซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีกรที่มีคนชื่นชอบและเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จของ QVC โดยทำยอดขายกว่า 1 พันล้านเหรียญ)
"เราสร้างโลกทั้งหมดของ QVC ที่ต่อเนื่องเป็นเนื้อเดียวกันขึ้นมาตั้งแต่ต้น รวมถึงสำนักงาน ห้องประชุม ห้องครัวเพื่อการทดสอบ และเวทีคล้ายเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่หมุนได้" จูดี เบกเคอร์อธิบาย "เป็นงานที่หนักเอาการเลย"
ในขณะเดียวกันบ้านของจอยซึ่งเป็นส่วนสำคัญของความเป็นมาและตัวตนของเธอก็ได้เผยโฉมออกมาในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส "บ้านที่เราพบนั้นเหมาะมากแต่สุดท้ายเราก็ต้องสร้างชั้นใต้ดินซึ่งเอ็ดการ์ รามิเรซและโรเบิร์ต เดอ นีโรอาศัยอยู่ด้วยกันให้เข้ากับบ้านหลังนี้" เบกเคอร์อธิบาย
ไม่ว่าจะเป็นฉากไหน เบกเคอร์ก็ยืนยันเช่นเดียวกับแซนด์เกรนว่าเมื่อทำงานกับรัสเซลล์มีคติประจำใจสองข้อที่ขัดแย้งกันอยู่ก็คือ 1) จงเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเสมอ และ 2) คิดสิ่งใหม่ๆ ไปด้วยระหว่างทำงาน
"เดวิดสร้างสรรค์มากและคิดอะไรได้อย่างฉับพลันทันด่วนมากๆ มีบางครั้งที่เราถ่ายทำกันในฉากห้องรับแขก แต่เขาเกิดมีความคิดดีๆ ซึ่งจะต้องออกไปถ่ายทำที่ห้องอื่น เพราะฉะนั้นคุณต้องเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องแบบนี้เอาไว้ด้วย" เธอสรุป "มันน่าตื่นเต้นมากเพราะคุณรู้ว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามกับเดวิด มันต้องเป็นหนังที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน หนังของเขามีเอกลักษณ์แตกต่างในทางที่ดี มันไม่ติดอยู่ในกรอบของหนังแนวใดแนวหนึ่งและถึงแม้ว่าคุณเคยอ่านคำบรรยายสั้นๆ เกี่ยวกับตัวหนังมาแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ออกมาเหมือนอย่างที่คุณจินตนาการไว้ เดวิดเหมือนจอยในแง่ที่เขาเป็นคนช่างฝันและมุ่งมั่นทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง"
นักออกแบบเครื่องแต่งกาย ไมเคิล วิลคินสัน ซึ่งเข้าชิงรางวัลออสการ์จากผลงานเครื่องแต่งกายยุค 70 ใน American Hustle รอคอยด้วยความคาดหวังที่จะได้กลับมาทำงานกับรัสเซลล์ "ใน American Hustle ผมได้ค้นพบว่าเดวิดเป็นคนที่มีความคิดอ่านคล้ายๆ กันและหลงใหลบุคลิกของผู้คนเช่นเดียวกับผม เราทั้งคู่หลงใหลวิธีการต่างๆ นานาที่ผู้คนใช้ในการแสดงตัวตนให้โลกเห็น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า พฤติกรรม และความแปลกประหลาดต่างๆ เดวิดได้สร้างตัวละครที่มีสีสัน ซับซ้อน และแตกต่าง และเขาก็ชอบทำงานกับนักแสดงที่มีพรสวรรค์สูง ดังนั้นผมจึงมีแรงบันดาลใจในการจับคู่นักแสดงที่มีความสามารถเหล่านี้กับเครื่องแต่งกายที่สะท้อนตัวตนและทรงพลัง" วิลคินสันอธิบาย
เช่นเดียวกับแซนด์เกรนและบัตเลอร์ วิลคินสันทั้งท้าทายและตื่นเต้นกับการที่หนังเรื่องนี้ไม่ขึ้นกับยุคสมัยแม้ว่าตัวหนังจะครอบคลุมช่วงเวลา 40 ปีก็ตาม "ผมคิดว่าเราทุกคนมอง JOY ว่าเป็นนิทานที่เป็นอมตะ" เขาอธิบาย "เป็นคตินิยายเกี่ยวกับการเดินทางของผู้หญิงสู่การค้นพบตนเอง ดังนั้นถึงแม้ว่าเรื่องราวจะครอบคลุมช่วงเวลาสี่ทศวรรษ แต่เราก็อยากให้ยุคสมัยดูกำกวม เรื่องสามารถเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดก็ได้ในศตวรรษที่ 20"
วิลคินสันซึมซับละครยุคทศวรรษ 40 และ 50 ซึ่งมีเครื่องแต่งกายตามแบบแผน และเขาก็ศึกษาผู้หญิงที่เป็นคนต้นแบบจากหลายยุคหลายสมัย "เราได้แรงบันดาลใจจากผู้หญิงที่กล้าหาญมากมาย" วิลคินสันกล่าว "ตัวละครของเดวิดใช้ชีวิตอย่างเต็มเปี่ยมและมีชีวิตชีวา ตัวละครเหล่านี้มีจินตนาการสูงและมีความเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง ดังนั้นเสื้อผ้าของพวกเขาจึงต้องบ่งบอกถึงจินตนาการและเอกลักษณ์ไม่แพ้กัน"
ในทางปฏิบัติ การทำเครื่องแต่งกายทั้งหมดที่ใช้ในหนังเป็นงานช้าง ไม่เพียงแต่มีรายชื่อตัวละครที่หลากหลายยาวเป็นหางว่าว แต่วิลคินสันยังกล่าวด้วยว่า "เราเห็นรูปลักษณ์ของตัวละครแต่ละตัวเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลา 40 ปี ดังนั้นจึงมีหลายสิ่งที่ต้องกำหนดและติดตามรายละเอียด แล้วก็ยังมีลักษณะภาพที่แตกต่างหลากหลายในหนังเรื่องนี้ด้วย"
หนึ่งในนั้นก็คือภาพในอู่ซ่อมรถที่เกรอะกรังและเอะอะตึงตังของรูดี "ที่นั่นเป็นหัวใจอันอบอุ่นในครอบครัวชนชั้นแรงงานของจอย" วิลคินสันตั้งข้อสังเกต "ผมมองว่ารูดีมีสไตล์ส่วนตัวที่ชัดเจนซึ่งพัฒนาไประหว่างเหตุการณ์ในหนัง ขณะที่เขาเปลี่ยนจากชุดแจ็กเก็ตหนังที่ดูเรียบร้อยมาเป็นเสื้อผ้าที่หรูหรามากขึ้นจนมาจบที่ความหลงใหลในเสื้อโปโลของ Ralph Lauren"
อีกส่วนหนึ่งที่วิลคินสันชื่นชอบก็คือโลกของ QVC ทั้งหมด นำโดยตัวละครสุดเนี้ยบ นีล วอล์กเกอร์ที่รับบทโดยแบรดลีย์ คูเปอร์ "เขาเป็นโปรดิวเซอร์รายการที่แทบจะเหมือนกับเซซิล บี เดอ มิลล์" วิลคินสันกล่าว "นีลดำเนินงานช่องเคเบิลทีวีด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจเต็มร้อยราวกับว่าเขากำลังทำค่ายหนัง MGM ในยุคทอง และเขาก็แปลงโฉมดาวเด่นของช่องขนานใหญ่ให้กลายเป็นบุคคลที่ทรงพลังและมีเสน่ห์น่าหลงใหลเช่นเดียวกับที่เขาพยายามทำกับจอย สีสันของเสื้อผ้าเปลี่ยนจากสีโทนกลางเป็นหลากสีเมื่อเราได้พบตัวละครในโลกอันน่ามหัศจรรย์คล้ายใน The Wizard of Oz"
วิลคินสันยังได้เพลิดเพลินไปกับการมีอิสระที่จะสร้างสรรค์เสื้อผ้าให้ไปไกลเกินกรอบจำกัดในโลกของละครน้ำเน่าที่อยู่ทั้งภายในความฝันของจอยและเครื่องรับโทรทัศน์ของแม่เธอที่เปิดเอาไว้ตลอดเวลา "เป็นเรื่องน่าทึ่งที่ได้สำรวจความหวือหวาของเครื่องแต่งกายในงานละครแนวนี้ด้วยความชื่นชมโดยไม่ได้มีการเสียดสีหรือดูแคลน" เขาให้ความเห็น "ผมชอบที่พล็อตเรื่องและตัวละครในละครทีวีได้มาปรากฏในเนื้อเรื่องหลักของหนังเหมือนเป็นเรื่องราวเชิงเปรียบเทียบ ทำให้โลกสองใบต่างสะท้อนซึ่งกันและกันอย่างแยบยลและชวนให้คิด"
ศูนย์กลางของทั้งหมดนี้ก็คือตัวจอยเองซึ่งมีเสื้อผ้าครอบคลุมแง่มุมต่างๆ ในชีวิตของเธอ "ผมคิดว่าจอยเป็นตัวละครที่มีบุคลิกน่าหลงใหลและซับซ้อนที่สุดเท่าที่เดวิดเคยสร้างมา" วิลคินสันกล่าว "ในแง่รูปลักษณ์นั้น ผู้ชมจะได้เห็นเธอเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงจากเด็กสาวนักศึกษาใจกว้างมาเป็นนักธุรกิจและผู้นำครอบครัวที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยว พัฒนาการนั้นปรากฏผ่านการเปลี่ยนเสื้อผ้า 45 ชุด เธอพบวิธีการที่แตกต่างในการใช้เสื้อผ้าเพื่อแสดงความมุ่งมั่นของเธอ เสื้อผ้าของเธอมีทั้งเสื้อยืดกางเกงยีนส์ที่ดูเป็นกบฏ ชุดแต่งงานที่แม่เธอเลือก ชุดสูทสั่งตัดราคาแพงหลายตัว และแจ็กเก็ตหนังกับแว่นตาดำที่ดูน่าเกรงขาม เราได้เห็น 'ตัวตน' มากมายที่จอยเป็นรวมถึงโลกภายในของเธอที่มีทั้งความวิตกกังวล ความฝัน และความปรารถนา"
รัสเซลล์ชอบวิธีการที่วิลคินสันเปลี่ยนการเล่าเรื่องของเขาให้กลายเป็นผืนผ้า พื้นผิว และสีสัน "งานออกแบบของไมเคิลไม่มีที่ติ สวยงาม และถ่ายทอดความพิเศษในตัวละครแต่ละตัว" ผู้กำกับรายนี้กล่าว
สำหรับศิลปินและช่างฝีมือชั้นเยี่ยมทุกคนที่ทำงานในหนังเรื่องนี้ รัสเซลล์ระบุว่ากุญแจสำคัญคือการพยายามยึดการเล่าเรื่องไว้เป็นหลักเสมอ แต่บางครั้งเรื่องราวก็สามารถสรุปลงมาได้ในภาพภาพเดียว เหมือนกับที่ภาพจอยและเกล็ดหิมะคล้ายจะบ่งบอกบางสิ่งที่ไม่อาจพรรณนาได้ในการเดินทางของเธอ
"หิมะเป็นสิ่งมหัศจรรย์" รัสเซลล์สรุป "หิมะเป็นสิ่งที่คุณตกหลุมรักเมื่อยังเป็นเด็ก แต่อีก 20 ปีต่อมาหิมะนั้นอาจเป็นฝันร้ายเพราะมันทำให้คุณไปทำงานไม่ได้แล้วคุณก็ไม่มีเงินผ่อนบ้านซึ่งนั่นคือความเป็นจริงส่วนหนึ่งของชีวิตผู้ใหญ่ แต่ก็ยังคงมีเวทมนตร์อยู่ในนั้น และมันจะเผยออกมาในช่วงเวลาที่คุณกลับมามองชีวิตว่าเป็นการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น"
https://www.facebook.com/JoytheMovieThailand