บทความนี้ไม่มีความเป็นกลาง เพราะเขียนโดยคนที่แขวนโปสเตอร์ ไมเคิล แจ๊คสัน ไว้หัวนอนกว่า15ปีประสบการณ์ 112 นาที เหมือนกับการได้ดูคอนเสิร์ตจริงๆ ที่ตัดสลับกับฉากเบื้องหลัง ทีละเพลงๆ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
สิบกว่าเพลง ไม่มีเพลงไหนเปิดต่อเนื่องจนจบ เป็นภาพและเสียงจากการซ้อมจริงๆ ที่ระหว่างเพลงจะต้องมีการสั่งให้
หยุดเล่น โดยผู้กำกับ kenny ortega หรือตัว ไมเคิล เอง เพื่อ เพิ่ม เปลี่ยน แก้ ทั้งเรื่องเสียงเพลงและคิวแดนเซอร์
ตรงนี้ขอเพิ่มเสียงเบสดังขึ้น ตรงนี้ขอช้าลง เร็วขึ้น อยู่ในทุกๆเพลง เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนรัก และชอบฟังเพลงไมเคิลเท่านั้น
this is it ทำให้ได้เห็นภาพการทำงานเบื้องหลังของ ไมเคิล ในภาพพจน์ที่เราไม่เคยสัมผัส
ไมเคิลในวัย50 ยังคงภาพลักษณ์เอวบางร่างน้อยเหมือนเดิม ผมรู้สึกว่า ไมเคิล น่าจะผอมลงด้วยซ้ำ
หน้าตาดูมีอายุสมกับวัย50 ถึงแม้จะผ่านศัลยกรรมมามากก็ตาม ในวัยนี้ใบหน้าไม่เปอร์เฟ็คท์เหมือนในยุค '95แล้ว
ลีลาการเต้นของไมเคิล ยังดูเปอร์เฟ็คท์เหมือนเดิม ท่าเต้นหุ่นยนต์ที่ในหนังฮอลลีวู้ดมักจะล้อกันว่าเชยนักเชยหนา
แต่พอไมเคิลเต้นกลับดูดี คลาสสิคไปซะงั้น หลายๆเพลงได้เห็นไมเคิล หายใจ หอบเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ไมเคิลดูเป็นคนสุภาพ อ่อนน้อม มองในด้านการบริหารการทำงาน เป็นตัวอย่างที่ดีครับ
เวลาไมเคิลจะติการทำงาน จะต้องพูดต่อว่า "ติเพื่อก่อนะ รักนะ" ปากหวานเหมือนพี่เบิร์ดเลย
พอทีมงานโห่ร้องยินดี ชื่นชม การร้องการเต้นของไมเคิล ไมเคิลก็จะตอบกลับเสมอว่า "god bless you"
การที่มีผู้นำแบบนี้ ทำให้บรรยากาศการทำงานดีครับ ไม่เครียด แต่พอถึงเรื่องดนตรี ไมเคิลจะเฮี้ยบ
ไม่มีผ่อนปรน เอาถูกต้อง100% เพราะนี่คือการทำงานกับคนที่เป็นเจ้าของเพลงจริงๆ ไมเคิลเป็นคนแต่งเพลงเองเกือบทุกเพลง
หลายๆคนในทีมงาน พูดเเหมือนๆกันว่า ไมเคิล รู้จักและจำเพลงของเขาเองได้ดี ละเอียดมาก
ไม่ต้องกางโน๊ตมาเทียบ แต่แค่ฟังก็รู้ว่าแบบไหนถูกต้อง "ผมต้องการให้เหมือนในcd เป๊ะๆ" ดูน่าเลื่อมใสดีครับ
หนังเปิดเรื่องด้วย ฟุตเตจจากงานแถลงข่าวเปิดคอนเสิร์ต 50 รอบในลอนดอนที่ไมเคิลกล่าวว่า
นี่จะเป็นคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของเขา ต่อด้วยภาพและบทสัมภาษณ์
บรรดาแดนเซอร์ ที่บินมาทั่วทุกสารทิศเพื่อมา ออดิชั่น ทุกคนให้สัมภาษณ์พร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า
ถึงความปลาบปลื้มที่ได้ร่วมงานคอนเสิร์ตนี้ เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้ร่วมงานกับคอนเสิร์ตระดับโลก ไม่แปลกหรอกครับ
ที่เราจะเห็นบรรดาแดนเซอร์ที่บินมาจากทุกมุมโลก แน่นอนว่าต้องลาออกจากงานมาใช้ชีวิตอยู่กับทีมงาน
ภาพการออดิชั่น น่าสนใจดีครับ คนเป็นร้อยมาเต้นบนเวทีพร้อมๆกัน
แล้วทีมงานก็นั่งดู ชี้ๆ เอาคนนี้ คนนั้น รวมทั้งตัวไมเคิลเองด้วย
แต่ละคนที่ผ่านการคัดเลือก ไม่ใช่แค่ระดับเทพ แต่ละคนนี่ฝีมือโคตรเทพ พลังงานล้นเหลือ บึกๆล่ำๆกันทั้งนั้น
แล้วแต่ละคนที่ผ่านการคัดเลือกมานี่ เรียกได้ว่าบูชาไมเคิล กันทั้งนั้น ทำให้กำลังใจดี ไม่มีความเครียดในการทำงาน
เริ่มเพลงแรกในการซ้อมด้วย wanna be startin' something ที่โชว์การเปิดตัวได้น่าสนใจสุดๆ หุ่นยนต์vtr ที่ทั้งตัวเป็นจอภาพ
โผล่ขึ้นมากลางเวที แล้วส่วนแขน ขา ตัว หัวค่อยๆเปิดออก เป็นไมเคิล ยืนอยู่ข้างในตัวหุ่น เท่มาก
ภาพการซ้อมเพลงฮิตแต่ละเพลงที่เป็นที่รู้จัก ไล่เรียงออกมาเรื่อยๆ billie jean,beat it,jam,the way you make me feel
เราได้เห็นภาพ การโชว์ในแต่ละเพลง แสง สี เครื่องแต่งกาย ทีมงานระดับโลกที่ต่างมาทำด้วยใจกันทั้งนั้น เพราะเครดิตการทำงานกับคอนเสิร์ตนี้
ถือได้ว่าเป็นผลงานอ้างอิงอย่างดีในประสบการณ์การทำงาน ทำให้แต่ละเพลงบนเวที ล้วนน่าสนใจและตื่นตาตื่นใจ
ภาพ mv ประกอบที่ฉายโชว์ในจอด้านหลังทุกภาพถ่ายทำขึ้นใหม่หมด เพลงsmooth criminal ก็เอาไมเคิล ไปตัดต่อรวมกับหนังโบราณ
ยุคขาว-ดำ ที่ดูกลมกลืนดีมาก
ภาพแดนเซอร์ใส่ชุดนักรบอวกาศ ที่ถ่ายทำบนบลูสกรีน ขยายจำนวนให้กลายเป็นกองพัน เต้นประกอบเพลงไปพร้อมเพรียงกัน
เพลงเด่นอย่าง thriller เพลงผีที่โด่งดังที่สุด ก็ถ่ายทำใหม่ในระบบ 3d แต่ยังคงท่าเต้นเดิมที่เป็นเอกลักษณ์
เป็นคอนเสิร์ตที่น่าดูมาก เรียกว่าถ้าเกิดขึ้นจริง คนที่ได้ชมนี่น่าอิจฉามาก ถ้ามีเงินต้องบินไปดูสถานเดียวครับ
เป็นคอนเสิร์ตที่โคตรยิ่งใหญ่ สมกับการกลับมาของ king of pop จริงๆไม่แปลกที่บัตรทั้ง 50 รอบหมดเกลี้ยง
ภาพประกอบดนตรีที่ถ่ายทำขึ้นมาใหม่ได้สวยมากคือเพลง the earth song ที่ถ่ายทำสวยมากจนไมเคิล ออกปากชม
เป็นภาพเด็กผู้หญิงวิ่งเล่นอยู่ในป่า แสงแดดสีส้มส่องผ่านต้นไม้เป็นลำ เด็กหญิงนอนหลับไปบนพื้นหญ้า
ตื่นขึ้นมา พบว่าป่ากำลังถูกทำลาย ลุกเป็นไฟ ต้นไม้หายเกลี้ยง เหลือเพียงแต่ฝุ่นสีน้ำตาล แล้วจึงตัดเข้าเพลง
the earth song นี่คืออีกจุดที่น่าชื่นชม ในด้านความรับผิดชอบต่อโลกและเพื่อนมนุษย์ ที่ไมเคิลตั้งใจสื่อออกมาในหลายๆบทเพลง
ของเขา ตั้งแต่ we are the world,earth song,black or white,they don't care about us,heal the world ล้วนแสดงให้เห็นว่า
ไมเคิลไม่ได้คิดแค่ตักตวงรายได้ผลประโยชน์จากชื่อเสียงอย่างเดียว แต่กลับใช้โอกาสที่เขามี เรียกร้อง รณรงค์ ปลุกสำนึกผ่านบทเพลงของเขา
ในหนังเราจะเห็นว่า ไมเคิลไม่ได้พูดถึงความรับผิดชอบนี้แต่เพียงฉากหน้า หลังเวที ไมเคิลก็ยังพูดถึงความวิตกกังวลต่อสภาพแวดล้อมของโลก
กับทีมงานเบื้องหลังของเขา และทิ้งท้ายเป็นปริศนา ว่า"เหลืออีกแค่4ปี" ทำให้สงสัยว่าไมเคิลรู้ว่า 4 ปีจะเกิดอะไรขึ้นหรือ
ในช่วงท้าย มีสัมภาษณ์นักดนตรี คนละสั้นๆ ที่แต่ละคน หน้าตาไม่คุ้นเลย ไมเคิลยังคงคอนเซ็ปท์เดิมมาตั้งแต่ชุด history ที่ มือกีตาร์นำ
จะต้องเป็นหญิงผมเงินในคอนเสิร์ตนี้ ได้สาวชื่อแปลก orianthi ลีลาการโซโล่ไปเคี้ยวหมากฝรั่งไป ดูเท่และเซ็กซี่ดีครับ
คอนเสิร์ต กำกับโดย kenny ortega เคนนี่ เป็นคนออกแบบท่าเต้นให้หนังดังๆหลายเรื่องมาตั้งแต่ยุค '80 อย่าง salsa,dirty dancing และเป็นผู้กำกับ
คอนเสิร์ตครั้ง dangerous world tour และ history world tour ให้กับ ไมเคิลด้วย เก่งครับ อายุ60แล้ว ยังแข็งแรงออกแบบท่าเต้นให้ได้อยู่เลย
เวลาทำงานกับไมเคิล ดูต่างคนต่างเกรงใจ และให้ความเคารพกันดี
ภาพคอนเสิร์ตปิดท้ายด้วยเพลง man in the mirror เพลงหนึ่งของไมเคิล ที่ผมชอบมากที่สุด เป็นเพลงสอดแทรกสาระ ที่ฟังกี่ทีก็ยังไพเราะ
แน่นอนว่า ภาพที่ตัดต่อมานำเสนอ จะต้องเฟ้นเฉพาะภาพที่ก่อให้เกิดภาพลักษณ์และความรู้สึกอันดีต่อตัวไมเคิล ก็ถือว่าได้ผลครับ
สำหรับผมคนที่รักไมเคิล คนหนึ่งก็ยินดีและพอใจที่จะรับรู้แต่แง่มุมนี้จาก this is it ดูแล้วก็รักไมเคิลมากขึ้น ยิ่งรับรู้ว่าจะไม่ได้เห็นภาพและ
ผลงานอะไรจากไมเคิลอีกแล้ว ยิ่งทำให้มีความสุขในการชมมากขึ้นไปอีก
สำหรับคนที่คิดว่าจะไปดูดีหรือไม่ บอกได้ว่าไม่จำเป็นครับที่จะต้องดูในโรงภาพยนตร์ ภาพคอนเสิร์ตกึ่งสารคดี ดูที่บ้านได้อรรถรสใกล้เคียงกัน
ถ้าต่อเครื่องเสียง ลำโพงรอบทิศทางก็กระหึ่มไม่แพ้กัน แต่ถ้าอยากดูภาพไมเคิล ใหญ่ๆ ดูโรงดิจิตอลเลยครับ ภาพคมชัด ดีจริงๆ
ผมว่าไมเคิล ยังไม่ตายหรอกครับ นี่คือการสมคบคิดสร้างภาพครั้งยิ่งใหญ่ของโลก คิดเหมือนผมไหม