MSN on September 22, 2015, 02:44:00 PM
KTAM ขายตราสารหนี้ 6 เดือนชู 1.70% ต่อปี

นางชวินดา  หาญรัตนกูล  กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน  กรุงไทย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า  สัปดาห์นี้ (22 -25 กันยายน)บริษัทเปิดจำหน่าย 2 กองทุนตราสารหนี้   ได้แก่  กองทุนเปิดกรุงไทย ธนทรัพย์ เอ็นแฮนซท์  26 ( KTSUPE26 )   เสนอขายวันที่ 23 - 29 กันยายน 2558  อายุ 6 เดือน  เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ประเภท  MTN ที่ออกโดย Banco Latinoamericano de Comercio Exterior ,S.A , ออกโดย Standard Bank of South Africa , เงินฝากประจำ Bank of China ( Macau ), Turkiye Garanti  Bankasi  A.S. , และ Yapi  Kradi  Bankasi ในสัดส่วน 78% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ประเภทตั๋วแลกเงิน และตราสารภาครัฐ ผลตอบแทนประมาณ 1.70% ต่อปี
 
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายรอบใหม่ ( Roll Over ) ของกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 3 เดือนคุ้มครองเงินต้น 1 ( KTFIX3M1 )  เสนอขายในวันที่ 21-25 กันยายน 2558  เน้นลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ประเภทพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ในสัดส่วน 81% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากธนาคารไอซีบีซี (ไทย) จำกัด (มหาชน)  ผลตอบแทนประมาณ 1.10% ต่อปี
 
แนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศ มีการปรับตัวลดลงเกือบทุกช่วงอายุตามแรงซื้อกลับของนักลงทุนต่างชาติ หลังค่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FOMC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม  เช่นเดียวกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้เริ่มมีเม็ดเงินกลับเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรในประเทศ โดยในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิจำนวน 3,047 ล้านบาท
 
ส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงทุกช่วงอายุ หลัง Fed มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินที่ไร้เสถียรภาพขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ โดยสรุปอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุคงเหลือ 2 ปี ปรับตัวลดลง -2 bps.มาอยู่ที่ 0.69% ต่อปี อายุคงเหลือ 5 ปี ปรับตัวลดลง -7 bps. มาอยู่ที่ 1.45% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวลดลง -7 bps.มาอยู่ที่ 2.13% ต่อปี สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้จะเป็นทิศทางเศรษฐกิจโลก และทิศทางการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนระหว่างประเทศ
« Last Edit: September 22, 2015, 02:47:30 PM by MSN »