จัดจำหน่ายโดย HANDMADE DISTRIBUTION
ชื่อภาพยนตร์ The Green Inferno หวีดสุดนรก
ภาพยนตร์แนว ระทึกขวัญ
จากประเทศ ประเทศสหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย 24 กันยายน 2558
ผู้กำกับ Eli Roth (อีไล ร็อธ)
นักแสดงLorenza Izzo (โลเรนซ่า อิซโซ่) รับบท Justine (จัสติน)
ผลงานที่ผ่านมา AfterShock , Que pena tu boda , Hemlock Grove , I Am Victor , Que pena tu familia.
Ariel Levy (เอเรียล เอวี่) รับบท Alejandro (อเลซานโดร)
ผลงานที่ผ่านมา AfterShock , Teatro en CHU , Que pena tu Familia.
Kirby Bliss Blanton (เคอร์บี้ บลิส บลาตัน) รับบท Amy (เอมี่)
ผลงานปัจจุบัน Project X , The Inbetweeners , Scar , Hannah Montana.
Daryl Sabara (ดาริล ซาบาร่า) รับบท Nick (นิค)
ผลงานที่ผ่านมา Spy Kids , John Carter , Generator Rex.
อีไล ร็อธ ปรมาจารย์ภาพยนตร์สยองขวัญผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์น่าตื่นตะลึงอย่าง Cabin Fever และแฟรนไชส์บล็อกบัสเตอร์ Hostel ภูมิใจนำเสนอภาพยนตร์น่าสะพรึงกลัวเรื่องใหม่เกี่ยวกับกลุ่มนักศึกษาผู้ออกเดินทางไปทำการประท้วงเพื่อมนุษยธรรมถึงในป่าอเมซอน แต่แล้วพวกเขากลับถูกจับตัวเป็นนักโทษโดยชนเผ่าพื้นเมืองที่พวกเขาเดินทางมาช่วยเหลือ “.The Green Inferno หวีดสุดนรก ” ภาพยนตร์ที่นำเสนอมุมมองบิดเบี้ยวของปรากฏการณ์ยุคดิจิตอล บอกเล่าเรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อการตอบสนองต่อหายนะโลกของชาวโซเชียลมีเดียที่มีความตั้งใจดีได้กลายเป็นเรื่องสุดอันตรายในป่าร้อนชื้นของทวีปอเมริกาใต้ เมื่อกลุ่มนักศึกษาชาวอเมริกัน ได้เดินทางเข้าป่าเพื่อทำงานวิจัยเรียนรู้เกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ของชนเผ่าพื้นเมือง เชื้อสายต่างๆ แต่การเดินทางครั้งนี้พวกเขากลับประสบอุบัติเหตุ เครื่องบินตกลงกลางป่าอเมซอน สถานที่ที่เต็มไปด้วยความโหดหฤหรรษ เขย่าขวัญสั่นประสาท พวกเขาต้องตกเป็นเหยื่อของพิธีกรรมคร่าวิญญาณอันน่าขนลุก สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือการหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจากชนเผ่ากินคนที่จ้องจะจับพวกเขากินเป็นอาหาร…เตรียมนับถอยหลังต้อนรับความหลอนสุดขีด แล้วคุณจะร้องหวีดสุดเสียง 24 กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์ “.The Green Inferno หวีดสุดนรก ” ถ่ายทำในโลเกชั่นในชิลี ป่าอเมซอนของเปรูและนิวยอร์ก ซิตี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาคที่สามของ “ไตรภาคการเดินทาง” ที่แฟนๆ รอคอยของผู้กำกับสยองขวัญอีไล ร็อธเกี่ยวกับงานสร้าง
เมื่อต้นปี 2012 อีไล ร็อธกำลังอยู่ระหว่างการเขียนบทภาพยนตร์เกี่ยวกับกลุ่มนักศึกษาที่พยายามแก้ปัญหาของโลกด้วยการใช้วิดีโอออนไลน์สร้างความอับอายให้กับทุกคนที่พวกเขาเห็นว่ากระทำผิด ก่อนหน้าที่เขาจะเขียนบทเสร็จ องค์กรที่มีชื่อว่า อินวิซิเบิล ชิลเดรนได้จัดทำวิดีโอ “KONY 2012” ซึ่งเรียกร้องให้ผู้ชมโค่นล้ม โจเซฟ โคนี หัวหน้ากองทัพชาวอูกันดา กระแสโซเชียลมีเดียทั่วโลกที่โหมกระหน่ำทำให้วิดีโอนี้มีผู้ชมมากกว่า 100 ล้านครั้ง แคมเปญนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เหตุการณ์ในชีวิตจริงเหล่านี้ใกล้เคียงกับพล็อตเรื่องหลักของ The Green Inferno ความเห็นขัดแย้งที่ห้อมล้อมแคมเปญ KONY 2012 ได้ช่วยตอกย้ำประเด็นหลักของ The Green Inferno ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไอเดียที่ว่าการตอบสนองต่อหายนะของโลกของชาวโซเชียลมีเดียที่มีความตั้งใจดี มักเป็นหนทางให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาได้ทำอะไรซักอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์น่าสยดสยองที่อยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของพวกเขา “…มันเกิดจากเจตนาดี ที่อยากจะช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่อยู่อีกมุมโลกครับ แต่ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่คนเรารู้สึกดีขึ้นเกี่ยวกับตัวเองมากกว่าน่ะครับ…” ร็อธกล่าว. แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำเสนอคำวิจารณ์ที่เฉียบคมเกี่ยวกับเทรนด์ศตวรรษที่ 21 ที่โดดเด่น เป้าหมายหลักของร็อธกลับเป็นอะไรที่เกี่ยวกับความรู้สึกภายในมากกว่านั้น นั่นคือการแบ่งปันความรักที่เขามีต่อภาพยนตร์เลือดสาดกับผู้ชม “…หนังสยองขวัญเป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบตั้งแต่เล็กๆ แล้วครับ และสิ่งที่ผมชื่นชอบคือการได้รู้สึกกลัวและดูหนังน่ากลัว สยดสยองกับเพื่อนๆ ผมชอบทำให้คนอื่นกลัว และยิ่งสิ่งต่างๆ ในโลกนี้เลวร้ายลงแค่ไหน และคนก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองสูญเสียอำนาจควบคุมสิ่งต่างๆ พวกเขาก็ต้องการการปลดปล่อย ที่ที่พวกเขาจะแสดงความกลัวออกมาได้จริงๆ แล้วที่ไหนที่จะดีไปกว่าหนังสยองขวัญอีกล่ะครับ…”การคัดเลือกนักแสดงใน The Green Inferno
ร็อธกล่าวว่า “…สำหรับภาพยนตร์แนวสยองขวัญความกลัวเป็นดาราของเรื่องครับ ซึ่งต้องอาศัย นักแสดงที่เก่ง บทหนังที่ดีและผู้กำกับที่เข้าใจว่าจะถ่ายทำและลำดับภาพยังไงมากกว่าครับ…” ใน The Green Inferno นักเคลื่อนไหวหนุ่มเจ้าเสน่ห์ อเลฮันโดร ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนนักศึกษาด้วยเรื่องราวปลุกเร้าอารมณ์เกี่ยวกับป่าเปรูที่บริสุทธิ์ ที่กำลังจะถูกทำลายโดยบริษัทพลังงานโลภมากที่ต้องการจะฉกฉวยประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของมัน หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มผู้ประท้วงหนุ่มสาวแปดคน รวมถึงจัสติน ลูกสาวของเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ และรูมเมทของเธอ เคย์ซี ก็มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านอเมซอนที่ห่างไกลผู้คน เพื่อขับไล่พวกนายทุน แต่เมื่อเครื่องบินลำเล็กของพวกเขาตกลงไปในป่า พวกเขาก็ต้องสะพรึงกลัวเมื่อได้พบว่าเผ่าพันธุ์ที่พวกเขาต้องการจะช่วยเหลือนั้นยังคงประกอบพิธีกรรมโบราณของการกินเนื้อคนอยู่ สำหรับบท จัสติน ตัวเอกของเรื่อง ร็อธเลือกลอเรนซา อิซโซ นางแบบหญิงชาวชิลีผู้ผันตัวไปเป็นนักแสดง ผู้ซึ่งผลงานก่อนหน้านี้ของเธอรวมถึง Aftershock ซึ่งร็อธร่วมเขียนบท อำนวยการสร้างและนำแสดงด้วย นอกจากนี้ อิซโซยังได้แสดงในแอนโธโลจีคอเมดีสยองขวัญเรื่อง Holidays ในเซ็กเมนต์โดยผู้กำกับเควิน สมิธ, สก็อต สจวร์ตและ ฯลฯ อีกด้วย “…ลอเรนซามีส่วนผสมที่น่าทึ่งของความโดดเด่นบนหน้าจอ ความงามตามธรรมชาติที่เหลือเชื่อและความอ่อนหวานที่ทำให้เธอเป็นที่ชื่นชอบและน่าเห็นใจครับ เธอมีความไร้เดียงสาแบบที่ผมต้องการสำหรับบทจัสติน และหลังจากที่ผมพาเธอผ่านขวากหนามใน Aftershock และฆ่าเธออย่างเหี้ยมโหดในบทเชียร์ลีดเดอร์ บรู๊ค บลูเบลใน ‘Hemlock Grove’ ผมก็รู้ว่าเธอสามารถรับบทนี้ได้ แต่เธอทำได้เกินกว่าที่ผมคาดหวังอีกครับ การแสดงของเธอสุดยอดในทุกๆ ระดับจริงๆครับ…” ผู้ที่รับบท เคย์ซี รูมเมทของจัสติน คือ สกาย เฟอร์เรรา นักร้องและนักแต่งเพลง “…สกายและลอเรนซาเป็นเพื่อนสนิทกัน ดังนั้น ปฏิกิริยาเคมีบนหน้าจอของทั้งคู่ก็เลยเวิร์คจริงๆ ครับ พวกเธอแตกต่างกันมากๆ ลอเรนซาจะเงียบขรึมกว่าในขณะที่สกายเป็นร็อคสตาร์ของแท้ครับ เธอมีความจริงจัง และการเลือกเธอมารับบทที่แตกต่างจากตัวตนของเธอก็สนุกมาก แล้วเธอก็เป็นนักแสดงที่เก่งด้วยครับ…” แม้ว่างานดนตรีของเฟอร์เรราจะกำลังประสบความสำเร็จในตอนที่พวกเขาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอก็โฟกัสกับบทนี้อย่างเต็มที่ ตามคำบอกเล่าของผู้กำกับ วันหนึ่งระหว่างการถ่ายทำ เพลง “Everything is Embarrassing” ของเธอได้รับเลือกให้เป็นเพลงยอดเยี่ยมแห่งปีโดยพิทช์ฟอร์ค ซึ่งเป็นไกด์ดนตรีอิสระที่ได้รับการนับถือ “คุณจะไม่รู้เลยครับ” ร็อธเล่า “เธอไม่พูดอะไรเลย ผมมาอ่านเจอเอาในทวิตเตอร์ครับ” นักแสดงคนอื่นๆ ของเรื่องรวมถึงดาริล ซาบารา (Spy Kids), เคอร์บี้ บลิส แบลนตัน (Project X), แม็กดา อพาโนวิคซ์ (“Caprica”) และนักแสดงหน้าใหม่ แอรอน เบิร์นส์ ซาบารา ผู้รับบท ลาร์ส นักศึกษาอีกคน ประทับใจกับสไตล์การถ่ายทำที่กระชับฉับไวของร็อธ “…การทำงานกับอีไลยอดเยี่ยมไปเลยครับ มันเยี่ยมมากที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่เป็นนักแสดงด้วย เขาถนัดในเรื่องการทำให้กองถ่ายเป็นสถานที่ที่ผ่อนคลายจริงๆ ครับ…” นักแสดงที่เหลือรวมถึงแอเรียล เลวี, นิโคลัส มาร์ติเนซและอิกนาเซีย อัลลามานด์ เลวี ผู้เป็นนักแสดงจอแก้วและจอเงินในประเทศชิลี บ้านเกิดของเขา ได้เปิดตัวในภาพยนตร์ภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเขาด้วย The Green Inferno “…ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นหนังข้ามชาติที่ทำให้เขาเป็นดาราใหญ่ในอเมริกาได้นะครับ…” ร็อธกล่าว.ความระทึกที่ใจกลางป่า
ร็อธเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง The Green Inferno ในชิลีระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Aftershock ร่วมกับกุยเลอร์โม อโมโด มือเขียนบทร่วมของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว และเขาก็รู้ว่าเขาอยากจะกลับไปถ่ายทำส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่นั่น “….ผมชอบการถ่ายทำในชิลี คุณจะรู้สึกได้ว่ามันมีกระแสความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นใหม่ที่นั่น มันมีชีวิต พลังงาน ศิลปะ มีการเคลื่อนไหวทางดนตรีที่เหลือเชื่อ และมันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกเจือจางหรือมีความเป็นสากลเหมือนเมืองอื่นๆ นอกจากนั้น ที่นั่นยังเต็มไปด้วยคนมีพรสวรรค์ ทั้งหน้าและเบื้องหลังกล้องครับ…” การถ่ายทำเริ่มต้นขึ้นในนิวยอร์ก ซิตี้ ตามโลเกชั่นต่างๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ร้านกูร์เมต์ที่โด่งดัง ซาบาร์ส และร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง โคโรเน็ต พิซซา หลังจากนั้น กองถ่ายก็ถอนกองเพื่อมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านในเปรู ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวที่สุดของเรื่องเกิดขึ้น ระหว่างช่วงเตรียมงานสร้าง ร็อธได้เดินทางไปเปรูเพื่อหาโลเกชั่นในลุ่มน้ำอเมซอน ระหว่างที่สำรวจพื้นที่ รกร้างบริเวณแม่น้ำฮัวลากา ร็อธก็เห็นกระท่อมสร้างจากหญ้าบนชายฝั่งที่ดูเหมือนหมู่บ้านที่เขาจินตนาการเอาไว้ขณะเขียนบท The Green Inferno ในตอนที่พวกเขาลากเรือขึ้นฝั่ง มีคนสองสามคนค่อยๆ ออกจากบ้านเพื่อมาต้อนรับพวกเขา ร็อธ ได้มีโอกาสเจอกับ คัลลานายาคู ชุมชนเกษตรกรรมพึ่งพาตนเองที่ห่างไกลผู้คน ไม่มีทั้งไฟฟ้าและน้ำประปา แทบไม่ได้ติดต่อกับโลกภายนอกเลย เว้นแต่เรือที่ขนส่งเสบียงเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ดี ร็อธและทีมผู้อำนวยการสร้างก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและถูกเด็กๆ ในหมู่บ้านห้อมล้อมอย่างรวดเร็ว ร็อธใช้กล้องถ่ายภาพ โชว์วิธีการใช้ไอโฟนให้พวกเขาดูและเปิดวิดีโอให้พวกเขาดู ชาวบ้านไม่เคยดูภาพยนตร์มาก่อน และพวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภาพยนตร์คืออะไร “…นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักคัลลานายาคูครับ…” ร็อธกล่าว. ทีมผู้อำนวยการสร้างรู้ดีว่าการถ่ายทำ The Green Inferno ในคัลลานายาคูจะเป็นงานใหญ่ทางด้าน โลจิสติก นอกจากนั้น พวกเขายังตระหนักดีด้วยว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของชาวบ้านไปตลอดกาลด้วยการเปลี่ยนโลกของพวกเขาไปเป็นฉากภาพยนตร์ แม้ว่าจะเพียงชั่วคราว ดังนั้นพวกเขาก็เลยใช้เวลาค่อยๆ อธิบายให้พวกเขาฟังว่ามันจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ชาวบ้านโหวตให้กองถ่ายสามารถถ่ายทำในหมู่บ้านของพวกเขาได้ และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ทีมงานจะต้องร่วมมือกับพวกเขาในการพัฒนาสาธารณูปโภค รวมถึงการเพิ่มหลังคาดีบุกให้กับกระท่อมกว่า 100 หลังคาเรือนในหมู่บ้าน สร้างครัวให้กับโรงเรียนและพัฒนาอาคารอื่นๆ ด้วย เมื่อการถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น ชาวบ้านก็ปรับตัวให้เข้ากับกระบวนการถ่ายทำได้อย่างรวดเร็ว บางคนทำงานในแผนกศิลป์ ด้วยการช่วยสร้างอุปกรณ์ประกอบฉากและตกแต่งฉาก ในขณะที่คนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่เป็นนักแสดงแบ็คกราวน์ “…พวกเขาเป็นตัวประกอบที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยร่วมงานมาเลยครับ พวกเขาไม่เคยบ่นเลย พวกเขาก็แค่แสดงแล้วหลังจากนั้นก็ยิ้มและหัวเราะครับ…” ร็อธกล่าว. การไปให้ถึงโลเกชั่นถ่ายทำต้องอาศัยการเดินทางวันละห้าชั่วโมงสำหรับทีมงานและนักแสดง “…เราขึ้นรถตู้ตอนตีห้า ขึ้นเรือยนต์ตอนหกโมงไปถึงหมู่บ้านตอนประมาณเจ็ดโมงครึ่งเพื่อเริ่มขนอุปกรณ์ลงครับ และด้วยอันตรายของการอยู่บนแม่น้ำในยามค่ำคืน ทีมงานต้องขึ้นเรือเพื่อกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตก ซึ่งทำให้เวลาถ่ายทำมีค่อนข้างจำกัดมากครับ…” ร็อธเล่า. ทีมผู้สร้างทำอย่างดีที่สุดเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่คาดเดาไม่ได้ของป่าแห่งนี้ ซึ่งอาจเปลี่ยนจากท้องฟ้าสดใสไปเป็นฝนเทกระหน่ำได้ภายในไม่กี่นาที วันที่พายุพัดแรง ร็อธและผู้กำกับภาพตัดสินใจที่จะปล่อยเลยตามเลย แต่เมื่อพวกเขากลับไปที่หมู่บ้านในวันถัดไป ก็พบว่าชายหาดถูกพัดหายไปกับน้ำท่วม แล้วเหตุการณ์น้ำท่วมในแอนดิสทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้น ทีมงานวิตกกังวลกันมาก พวกเขาต้องรีบเร่งนั่งเรือกลับในตอนเย็น “…ผมกลัวแทนทีมงานมากๆ ครับ เรารู้ว่ามันอันตรายและมีความเสี่ยง เราอยู่บนเรือลำนั้นที่แล่นไปตามแม่น้ำที่เต็มไปด้วยต้นไม้ กิ่งไม้และซากปรักหักพัง เรือยนต์สามารถต้านกระแสน้ำได้ในระดับหนึ่ง และมันก็ต้องแทรกผ่านต้นไม้และบ้านที่ถูกพัดพาไปตามน้ำด้วยครับ เราทุกคนนั่งอยู่ในเรือ มือจับที่นั่งไว้แน่น สวดภาวนาเงียบๆ ว่าขอให้เรารอดกลับไป การเดินทางกลับบ้านที่ปกติจะเป็นอะไรที่ผ่อนคลายด้วยวิวของเส้นขอบฟ้าที่มีป่าสุดลูกหูลูกตา กลายเป็นเกมฟร็อกเกอร์ที่น่าสะพรึงกลัวในชีวิตจริงครับ…” ร็อธกล่าว. แม้ต้องเผชิญกับความท้าทาย ร็อธกล่าวว่าการตัดสินใจถ่ายทำในป่าเปรูเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก “…ฟุตเตจที่ได้ดูน่าตื่นตาตื่นใจมาก มันเป็นสิ่งที่คุณหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เราไปไกลเกินกว่ากองถ่ายหนังเรื่องไหนๆ ที่เคยไปมาก่อน พวกเขาเรียกช่องแคบในแม่น้ำว่า ‘พอนโก เดอ อากิเร’ เพราะหนังเรื่อง Aguirre, the Wrath of God ของเวอร์เนอร์ เฮอร์ซ็อก เป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่ถ่ายทำที่นั่น แต่เราเข้าไปลึกกว่านั้น ถึงจุดที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากแม่น้ำกับป่า มันเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อครับ…” ร็อธกล่าว. นอกจากความร้อน แมลง และสัตว์ร้ายอื่นๆ อันตรายจากแม่น้ำทำให้ The Green Inferno เป็นกระบวนการการเติบโตสำหรับทีมงานและนักแสดงหลายๆคน “…ไม่มีใครกลับออกมาโดยปราศจากรอยขีดข่วน นักแสดงทุกคนมีรอยบาด รอยฟกช้ำและรอยกัด พวกเขาตกลงร่วมงานหนังเรื่องนี้เพื่อการผจญภัย แต่พวกเขาก็ตื่นเต้นเมื่อเรากลับไปถึงในเมือง ผมจำได้ว่าตอนที่เราไปถึงสนามบินลีมา ทุกคนวิ่งไปหาสตาร์บัคส์และฟาสต์ฟู้ดครับ และวันสุดท้ายของการถ่ายทำนักแสดงและทีมงานกอดกันร้องไห้ พอผมสั่งคัทในช็อตสุดท้าย ก็เกิดพายุฝนฟ้าคะนองขึ้น และทุกคนก็ยืนหัวเราะท่ามกลางฝน เมคอัพถูกล้างออกไปกับฝนที่เทลงมา มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการที่พระเจ้าพูดว่า ‘ปิดกล้องแล้ว!’ ผมไม่เคยเจอกับการปิดกล้องแบบนั้นมาก่อนเลย…” ร็อธกล่าว.