JMT ลั่น แนวโน้มปี 57 กำไรโต สวย ลุยซื้อหนี้เข้าพอร์ ตสูงสุดเป็น ประวัติการณ์ JMT คาดผลงานปี 57 แนวโน้มกำไรเติบโตสวย จากการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งสามารถจัดเก็บหนี้และซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารได้ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยสามารถซื้อหนี้เสียเข้ามาบริหารได้กว่า 3.5 หมื่นลบ. จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้เพียง 1.3 หมื่นลบ. นับเป็นการซื้อหนี้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้ปัจจุบัน JMT มีพอร์ตบริหารหนี้อยู่ที่ราว 6.5 หมื่นลบ. เรียบร้อยแล้ว “ปิยะ พงษ์อัชฌา” แม่ทัพใหญ่ เผย แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไม่คึกคักมากนัก แต่บริษัทฯ สามารถทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม พร้อมตั้งเป้าปี 58 เดินหน้าซื้อหนี้เสีย เข้ามาบริหารเพิ่มอีก 3 หมื่นลบ. หรือมีพอร์ตบริหารหนี้อยู่ที่ 9.5 หมื่นลบ. จากความมั่นใจของสถาบันการเงินในการขายหนี้เสียออกมาให้ JMT และภาพรวมหนี้ NPL ในระบบมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจนายหน้าประกันภัยและ Micro Finance คาดจะสนับสนุนรายได้บริษัทฯ เติบโตแข็งแกร่งในอนาคต
นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ บริหารหนี้ด้อยคุณภาพระดับแนวหน้าของไทย เปิดเผยถึง แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 4/2557 คาดว่าจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดของ JMT ในปีที่ผ่านมา และภาพรวมธุรกิจทั้งปี 2557 มีทิศทางเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นในการตัดต้นทุนหนี้ก้อนใหญ่ก้อนแรกเสร็จสิ้นในช่วงต้นปี ส่งผลให้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2557 เป็นต้นไป บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ในหนี้ก้อนดังกล่าวเต็มจำนวน นอกจากนี้ บริษัทฯ สามารถจัดเก็บหนี้ได้สูงกว่าเป้าหมายราว 10% และสามารถซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารได้ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ค่อนข้างมาก โดยเมื่อสิ้นปี 2557 บริษัทฯ สามารถซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารได้ประมาณ 35,000 ล้านบาท สนับสนุนให้พอร์ตบริหารหนี้ในปี 2557 รวมอยู่ที่ประมาณ 65,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปริมาณการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารในอดีตที่ผ่านมา และสูงกว่าพอร์ตบริหารหนี้เมื่อสิ้นปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ปัจจัยดังกล่าวสนับสนุนให้ภาพรวมผลประกอบการในปี 2557 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโตอีกประมาณ 40 - 50% จาก ปี 2556 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 75.08 ล้านบาท นอกจากนี้ในปี 2557 บริษัทฯ ได้เปิดสาขานำร่องในต่างจังหวัด 6 สาขาแรก เพื่อเป็นศูนย์ชำระและให้บริการติดตามหนี้ ประนีประนอมหนี้ รวมถึงให้คำปรึกษาลูกค้า ทั้งนี้ ในปี 2558 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะขยายสาขาเพิ่มอีก 14 สาขา เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในเขตพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น
สำหรับภาพรวมธุรกิจบริหารหนี้ของบริษัทฯ ในปี 2558 คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องจากสถาบันการเงินให้ความสำคัญในการขายหนี้เสียออกมามากขึ้น และจะเป็นกระบวนการหนึ่งในการบริหารหนี้ของสถาบันการเงินเพื่อลด NPL จากปีก่อนๆ อยู่ในช่วงทดลอง ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของ JMT ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจบริหารหนี้รายใหญ่ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน มีมาตรฐาน
ตลอดจนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาโดยตลอด พร้อมตั้งเป้าหมายปีนี้ จะซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มอีก 30,000 ล้านบาท หรือมีพอร์ตบริหารหนี้ในปี 2558 อยู่ที่ประมาณ 95,000 ล้านบาท จากพอร์ตบริหารหนี้เมื่อสิ้นปี 2557 อยู่ที่ประมาณ 65,000 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนการซื้อหนี้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายกำไรสุทธิทั้งปีนี้คาดว่าจะเติบโตอีกประมาณ 30% จากกำไรสุทธิของปี 2557
“ในปี 2557 ภาพรวมหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2556 โดยยอดคงค้างของหนี้ NPL ต่อสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลในไตรมาส 3/2557 อยู่ที่ราว 2.6 % หรือ 9 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปี 2556 อยู่ที่ราว 2.2 % หรือ 7.1 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปี 2558 หนี้ NPL น่าจะสูงขึ้นอีก จากภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศที่ไม่คึกคักเท่าไหร่นัก รวมถึงการปล่อยสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่มีปัญหา NPL ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในหมวดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และมองว่าหลายสถาบันการเงินที่ไม่เคยขายหนี้ออกมา จะเริ่มขายหนี้ออกมาเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2558 เป็นต้นไป โดยหนี้ที่ขายออกมาในปี 2558 จะเป็นปีของตลาดสินเชื่อรถยนต์ คาดจะสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถซื้อหนี้สินเชื่อรถยนต์ได้สูงถึง 70% ของพอร์ต ส่วนหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ประมาณ 30% ของพอร์ต ซึ่งลักษณะใกล้เคียงกับการซื้อหนี้ในปี 2557 อีกทั้ง JMT ก็ได้มีการพูดคุยกับหลายหน่วยงานกันมาตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2557 แล้ว จึงมองว่าปี 2558 จะเป็นอีกปีที่สดใสอย่างต่อเนื่อง” นายปิยะ กล่าว
นายปิยะกล่าวต่อถึงธุรกิจนายหน้าประกันภัยว่า บริษัทฯ พร้อมรุกตลาดนี้มากขึ้นในปีนี้ โดยจะเน้นไปที่ประกันภัยรถยนต์ ขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ในเครือข่ายลูกค้าในระบบที่มีอยู่สูงถึงประมาณ 2 ล้านราย รวมทั้งช่องทางการขายแบบ face to faceโดยเข้าไปเปิดช้อปขายประกันในช่องทางที่บริษัทฯ มีอยู่ ได้แก่ ศูนย์ให้บริการเรื่องการบริหารและประนีประนอมหนี้ของ JMT ซึ่งคาดว่าสิ้นปี 2558 จะมีอยู่ทั้งสิ้น 20 สาขา และเปิดช้อปขนาดเล็กในร้านเจมาร์ท โดยวางเป้าหมายปี 2558 จะมีรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัยราว 20 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีธุรกิจปล่อยสินเชื่อ Micro Finance ให้แก่ลูกค้าร้านเจมาร์ทในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งแผนงานดังกล่าวเราใช้เวลาเตรียมการค่อนข้างรัดกุม ต้องใช้เวลาการศึกษากฎระเบียบต่างๆ จำนวนมาก และคาดว่าจะเห็นความชัดเจนธุรกิจนี้ในช่วงไตรมาส 2/2558 พร้อมวางงบลงทุนการปล่อยสินเชื่อ Micro Finance ในปีนี้อยู่ที่ราว 30 ล้านบาท “หลายหน่วยงานเข้าไปรุกในธุรกิจประกันภัยมากขึ้น เป็นการสนับสนุนให้คนเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องความเสี่ยง โดยในประเทศกำลังพัฒนาคนจะเริ่มให้ความสำคัญในเรื่องนี้ นับเป็นโอกาสการเข้าไปรุกธุรกิจนายหน้าประกันภัยของ JMT โดยเน้นไปที่ประกันภัยรถยนต์ซึ่งมีการแข่งขันค่อนข้างเยอะ เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า แต่ละหน่วยงานก็มีกลยุทธ์แตกต่างกัน บริษัทฯ ก็มีกลยุทธ์และช่องทางการขายที่ค่อนข้างหลากหลาย ซึ่งถือเป็นจุดเด่น นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจปล่อยสินเชื่อ Micro Finance ในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเราได้เตรียมการลงทุน และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างรอบคอบ จึงมั่นใจว่า จะสนับสนุนรายได้ของบริษัทฯ ได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต” นายปิยะ กล่าว