คอมเซเว่นฯ โชว์แผนปี 58ทุ่มงบกว่า 400 ลบ.ทำตลาด ขยายสาขา
เชื่อรักษาแชมป์ยอด ขาย Apple อันดับ 1 ต่อ พร้อมเดินหน้าเข้าSET คอมเซเว่นฯ กางแผนงานปี 2558 โชว์กลยุทธ์ขยาย สาขา ปรับปรุงสาขา และการตลาด ทุ่มงบลงทุนกว่า400 ล้านบาท เพื่อรักษาแชมป์ยอดขายสินค้าแบรนด์ Apple อันดับ1 ในประเทศไทย และ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “สุระ คณิตทวีกุล” ประธานกรรมการบริหาร เผยมีแผนขยายสาขาปีหน้า 40 สาขาภายใต้แบรนด์ BaNANA IT, BaNANA Mobile , iStudio, iBeat, uStore by Comseven และปรับปรุงสาขาเพื่อสร้าง รูปโฉมใหม่อีก 10 สาขา รองรับสินค้าไฮเทคที่กำลังออกสู่ตลาด รวมลงทุน300 ล้านบาท และงบทางการตลาด อีก 150 ล้านบาท เชื่อผลักดันยอดขายโต 10% จากปี 57 ที่คาดจะมียอดขาย 1.4 หมื่นล้านบาท วางสินค้าประเภท Wearable Device & Accessories Gadget เป็นกลุ่ม ที่ช่วยผลักดันอัตรา กำไรขั้นต้นเพิ่มในปีหน้าด้วย ส่วนไอโฟน 6 เปิดตัว 31 ต.ค. 2557 ยอดขายทำสถิติสูง สุดเป็นประวัติการณ์ มากกว่า ไอโฟน 5s ถึง 3 เท่า ขณะที่แผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเดินหน้าหวังเข้าซื้อขายใน H2/2558
นายสุระ คณิตทวีกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจนำเข้าและ การค้าส่งสินค้าไอทีรวมทั้งธุรกิจการค้าปลีกสินค้าไอทีรายใหญ่ของ ประเทศไทยในนาม BaNANA IT, BaNANA Mobile , iStudio, iBeat, uStore By Comseven โดยกลุ่มสินค้าที่ บริษัทฯ ทำการจัดจำหน่าย ได้แก่ กลุ่มสินค้า Apple สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โน๊ตบุ้ค คอมโพเนนท์ (DIY) คอมพิวเตอร์ประกอบ แล็ปท็อป อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค และ แอสเซสซอรี่ เปิดเผยแผนการดำเนินธุรกิจปี 2558 ว่า บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนรวมประมาณ450 ล้านบาท โดยจะใช้สำหรับขยายสาขาใหม่จำนวน 40 สาขา ได้แก่ BaNANA IT 20 สาขา, BaNANA Mobile 5 สาขา, iStudio และiBeat By Comseven 10 สาขา และ Samsung Shop 5 สาขา ใช้งบลงทุนประมาณ200 ล้านบาท ซึ่งจะเป็น Flagship Store ขนาดใหญ่ ที่ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ จำนวน 2 สาขา คือ BaNANA IT และ iStudio By Comseven เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสกับประสบการณ์ ใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม คาดว่า 2 สาขาดังกล่าวจะเปิดให้ บริการในเดือนมีนาคม 2558 นี้
ขณะเดียวกันมีแผนปรับปรุงสาขา iStudio จำนวน 10 สาขา ใช้งบลงทุนประมาณ 100 ล้านบาทโดยเน้น ความมีเอกลักษณ์ รูปแบบโดดเด่น ให้ทันสมัยมากขึ้นเพื่อรองรับสินค้าเทคโนโลยีไฮเทคระดับสูงที่ Apple คาดว่ามีการจำหน่ายในปี 2558 อาทิ อุปกรณ์ไอทีประเภทสวมใส่ Wearable Device ที่ ใช้งานในชีวิตประจำวัน อย่างการเก็บข้อมูลออกกำลังกาย เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคสินค้าไอทีให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพด้วย
นอกจากนี้ กลยุทธ์ในการทำการตลาด โดยวางงบลงทุนไว้จำนวน 150 ล้านบาท สำหรับทำการตลาดแบบรอบด้าน ทั้งการทำการประชาสัมพันธ์ผู้บริโภคโดยตรงและการประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อโฆษณาต่างๆซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้า หมายคือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เนื่องจากพื้นที่ร้านค้าของ Com7 มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศมากที่สุดจำนวน 300 สาขา และหลายแห่งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จึงเป็นโอกาสให้ Com7 เจาะตลาดกลุ่ม ลูกค้า SME ที่ ต้องการความสะดวกสบาย พร้อมทั้ง รุกตลาด e-commerce เพิ่มเติม จากการเก็บข้อมูลลูกค้าที่ใช้บริการหน้าร้านของ Com 7 กว่า 1 ล้านคน พบว่ามีจำนวนมากที่ต้องการสั่งซื้อสินค้าผ่าน e-commerce และทิศทางตลาดมีความต้องการ ซื้อมายังช่องทางนี้จำนวนมาก ซึ่ง Com7 ได้เตรียมการเรื่องนี้มากว่า 1 ปี ที่ผ่านมา และคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนในการรุกตลาดดังกล่าวภายในไตรมาส 2/2558 พร้อมตั้งเป้าหมายจะเป็นส่วน หนึ่งที่สร้างรายได้ ให้กับบริษัทฯ และรายได้โดยรวมที่ดีในอนาคต
“ปี 2558 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโตร้อยละ 10 จากปี 2557 ที่คาดว่า จะ มีรายได้อยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท เติบโตเล็กน้อยจากปี 2556 เนื่องจาก ปี 2557 นี้ เป็นปีที่อุตสาหกรรมไอทีซบเซา แต่ถือว่า Com7 ยังสามารถเติบโตได้ดีมาก และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2558จากการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ทั้งกลุ่ม SME และ e-commerce ประกอบ กับสินค้ารุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงจะเข้าสู่ตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง อาทิ สินค้าประเภท Wearable Device & Accessories Gadget ผลักดันกำไรขั้นต้นในปีหน้าให้ เพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้ง กระแสไอโฟน 6 ที่เปิดตัวไปเมื่อ 31 ต.ค.ที่ ผ่านมา ก็ทำลายสถิติจากการได้รับการตอบรับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งมากกว่าไอโฟน 5s ถึง 3 เท่า และยังคงมีความต้องการสูงต่อเนื่องไปยังปีหน้า เพราะปริมาณสินค้ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการซื้อ ดังนั้น ในปี 2558 นับเป็นปีที่ดีของ อุตสาหกรรมไอที และคาดว่าจะเป็นปีที่ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ของ Com7 เช่นกัน ทำให้สามารถครองแชมป์ยอดขายอันดับ 1 ด้าน ยอดขายของตัวแทนการจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Apple ในประเทศไทยและในแถบภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างต่อเนื่อง” นายสุระ กล่าว
ปัจจุบัน คอมเซเว่นฯ จำหน่ายสินค้าไอทีภายใต้แบรนด์ BaNANA IT, BaNANA Mobile, iStudio , iBeat และ uStore by Comseven โดยสัด ส่วนรายได้ในปี 2557 อันดับ 1 คือ โน๊ตบุ้ค อันดับ 2 แท็บเล็ต และอันดับ 3 สมาร์ทโฟน ตามลำดับ ซึ่งมีสาขาครอบคลุม 57 จังหวัด จาก 77 จังหวัด ทั่วประเทศ และสามารถเปิดสาขาใหม่ทั้งสิ้น 67 สาขา ตามเป้าหมายที่วางไว้ สนับสนุนให้ในปี 2557 บริษัทฯ จะมีสาขารวมกันอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 300 สาขา และ ยังครองส่วนแบ่งในต่าง จังหวัดสูงสุดราว 90% ของยอดขายสินค้า Appleใน ต่างจังหวัดทั้งหมด นอกจากนี้บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์การเติบโตเพิ่มเติมโดยศึกษารูปแบบการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มเติม ประกอบด้วย พม่า ลาว กัมพูชา ซึ่งที่ผ่านมาได้เปิดสาขาในประเทศพม่าในรูปแบบแฟรนไชส์ภายใต้แบ รนด์บานาน่าไอทีแล้ว 1 สาขา แต่อย่างไรก็ตามปี 2558 บริษัทฯ เน้นการทำการตลาดภายในประเทศเป็นหลักส่วนการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนนั้นยังคงรอโอกาสที่เหมาะสมจึงจะลง ทุน เพิ่ม
ด้านความคืบหน้าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นายสุระ กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนเรียบร้อยแล้ว โดยมีแผนจะยื่นแบบคำขอในการเสนอขายหลักทรัพย์ฯ (ไฟ ลิ่ง) ภายในเดือนมกราคม และคาดว่าจะเข้าซื้อขายใน SET ได้ภาย ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2558 โดยเม็ด เงินที่ได้จากการระดมทุนเพื่อนำเงินไปใช้ในการ ขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีบริษัท หลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เป็น ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการ จำหน่าย
ข้อมูล บริษัทคอมเซเว่นอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
บริษัท คอมเซเว่นอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เริ่มก่อตั้งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2539 โดยเริ่มต้นการดำเนินธุรกิจด้วยการ เปิดร้านจำหน่ายสินค้าไอที ร้านแรกขึ้นที่ห้างพันธ์ทิพย์พลาซ่ากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในการจัดจำหน่าย สินค้าไอทีของบริษัทฯ ตั้งแต่นั้นมา ด้วยพนักงานเริ่มต้น 5 คน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของการดำเนินธุรกิจ บริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจสายไอที ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ภายใต้ร้านค้าปลีกในนาม BaNANA IT, BaNANA Mobile, iStudio iBeat U store By Comseven โดยดำเนิน ธุรกิจหลักในการนำเข้าสินค้าไอที ธุรกิจค้าส่งสินค้าไอที และธุรกิจการค้าปลีกสินค้าไอที โดยกลุ่มสินค้าที่บริษัทฯ ทำการจัดจำหน่าย ได้แก่กลุ่มสินค้าแอปเปิ้ล สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โน๊ตบุ้ค คอมโพเนนท์ (DIY) คอมพิวเตอร์ ประกอบ แล็ปท็อป อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค และ แอสเซสซอรี่ อาทิเช่น แบรนด์ Apple, Asus, Acer, AIS, DTAC, HP, Western Digital, LG, Lenovo, Nokia, Samsung, Seagate, Sony, Toshiba, True move และ อีกหลายแบรนด์ชั้นนำ