MSN on December 01, 2014, 03:55:32 PM
SUBARU DEBUTS ALL-NEW OUTBACK IN THAILAND









Subaru all set to impress with exciting activities

          TC Subaru (Thailand) Co. Ltd., the authorized distributor of Subaru vehicles in Thailand, today launched the highly anticipated Subaru Outback at the 31st Thailand Motor Expo 2014 at Impact, Muang Thong Thani.
          Showcased for the first time in Thailand and around the region, the all-new Subaru Outback is a unique crossover concept that combines passenger-car comfort with the long-distance capabilities and load space of an SUV. While developing the latest generation Outback, Subaru has consistently sought to deliver a crossover with class leading performance, AWD handling capabilities and all round driver and passenger safety.
          The all-new Outback features:
          Revamped chassis, steering, suspension and brakes
          New crossover look with a bold body shape, bigger tires and muscular fenders
          Enhanced off-road performance with Symmetrical AWD system and X-MODE
          Improved Active and Passive safety systems

          The all-new Outback features a new distinct crossover look with a bold, rugged body shape, bigger tires and muscular fenders. Meticulously crafted, the expressive body panels accentuate the sense of quality and class to be expected from any Subaru.
          “The all-new Outback provides customers with second to none performance, safety and luxury,” said Mr Glenn Tan, Executive Director, Tan Chong International Ltd. “The new model combines luxury with innovative Subaru technologies that enhance the driving experience, efficiency and safety. We hope this will make the Outback an excellent value statement for customers in Thailand.”
          Alongside the all-new Outback, Subaru will also be showcasing the recently launched Subaru XV – STI Performance edition, which comes fitted with an STI kit that enhances the aesthetics of the urban SUV. These improvements help achieve better handling, aerodynamics and weight distribution of the car, enhancing the driving experience. Subaru will also be showcasing their current model line-up - Subaru BRZ, WRX STI, Forester 2.0 XT, Forester 2.0i-L, Subaru XV 2.0i and Subaru XV SPORTS during this Motor Expo.
          Subaru will also be displaying two special models to showcase the development of Subaru’s technology - the Forester Cutaway model and Subaru VIZIV Concept. The Forester Cutaway model shows the thought process behind Subaru’s engineering, technology & design that has gone into the popular model for the enjoyment of the driver. Subaru VIZIV Concept is a future-generation crossover concept that represents the new design direction and technologies that will take the Subaru brand into the future.
          Subaru customers can get to enjoy special deals when they purchase a Subaru during the Thailand Motor Expo 2014 period. From 29 November till 10 December, promotions may include low interest rate schemes, buyback guarantee programme and complimentary First Class motor insurance for the various Subaru models in the line-up.
          Back by popular demand, Russ Swift, world renowned stunt driver, will return to Thailand to perform his signature precision driving stunts. Russ has electrified crowds with his repertoire of trademark gravity-defying car stunts, which include Reverse Spinning, Handbrake Parking, Drifting and Doughnuts. For the first time in Thailand, the new Subaru XV – STI Performance, Subaru WRX and WRX STI will be introduced as the stunt cars. The Subaru Russ Swift Stunt Show will be conducted three times a day (3.00pm, 5.00pm and 7.00pm) from 5 – 7 December for the public.
          The Subaru booth is located at A07, Challenger Hall at the 31st Thailand Motor Expo 2014. TC Subaru (Thailand) currently has showrooms located across the country – Bangkok and suburban; Serithai, Pinklao, Vibhavadi, Bangna, Petchaburi Rd., Rama 2, Rama 3, Nonthaburi ,Pathumthani and Chonburi, Northern; Chiangmai, Chiangmai (Saraphi) Chiangrai, North-Eastern; Nakhonratchasima, Nakhonratchasima (Pakthongchai), Khonkaen, Southern; Suratthani, Suratthani (Chaiya), Phuket. For more information, visit www.motorimage.net/TH.

MSN on December 01, 2014, 03:56:39 PM
โฟตอน-คัมมินส์ เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ครั้งแรกในไทยกับ “โคลัมบัส” รถตู้ 16 ที่นั่ง ชูจุดเด่นเครื่องยนต์คัมมินส์ จากอเมริกา เคาะราคาเปิดตัวเพียง 859,000 บาท!!







           จากการที่บริษัทตงฟง มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ได้มีการผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์ ตงฟงในตลาดประเทศไทยมากว่า 5 ปี ทางบริษัทเล็งเห็นถึงการตอบรับรถยนต์แบรนด์จีนที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ของผู้บริโภคในไทย โดยเฉพาะตลาดรถยนต์พาณิชย์ ซึ่งปัจจัยเรื่องราคา และ ความประหยัด มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้รถของผู้ประกอบการ โดยที่ผ่านมา รถยนต์ตงฟง ได้มีการขยายเครือข่ายศูนย์บริการไปมากกว่า 45 แห่งทั่วประเทศ ครอบคลุมกว่า 37 จังหวัด อีกทั้งการประกอบในประเทศ และใช้ชิ้นส่วนของไทย มีผลบวกอย่างยิ่งต่อการตอบรับของผู้ซื้อ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตของรถยนต์แบรนด์จีน ที่สามารถโตได้ ถ้ามุ่งเน้นในคุณภาพและบริการหลังการขาย ทั้งนี้ ทางบริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสของรถยนต์แบรนด์จีน ในเซกเมนท์รถยนต์พาณิชย์อื่นๆ นอกเหนือจากรถเชิงพาณิชย์เล็กที่แบรนด์ตงฟงทำตลาดอยู่ อาทิเช่น เซกเมนท์รถตู้เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งมีมูลค่าตลาดที่ใหญ่ แต่มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกใช้อยู่น้อยรุ่น
          นายพิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตงฟง มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ตงฟง เปิดเผยว่า “ทางบริษัทได้รับสิทธิ์การเป็น ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย รถตู้เพื่อการพาณิชย์ ยี่ห้อ โฟตอน-คัมมินส์ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะมุ่งเน้นการทำตลาดรถตู้เชิงพาณิชย์ ที่มีคุณภาพสูง ใช้เทคโนโลยีต่างชาติ ในราคาที่คุ้มค้า ผ่านทางผู้แทนจำหน่ายมาตรฐาน กว่า 21 สาขาทั่วประเทศ โดยตั้งเป้า 1,000 คันในปี 2558”
          โฟตอน-คัมมินส์ เป็นแบรนด์รถยนต์ในเครือ ปักกิ่ง ออโตโมทีพ หรือ BAIC หนึ่งในสี่ ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน ผู้ผลิตรถยนต์ฮุนไดและเมอร์ซีดีสเบนซ์ในจีน และเป็นผู้ผลิตที่มียอดผลิตและยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์เป็นอันดับหนึ่งในจีนอีกด้วย ค่ายรถยนต์โฟตอน-คัมมินส์ นั้นโดยชูจุดเด่นที่การใช้เทคโนโลยีระดับโลกจากนานาประเทศ มาวางในผลิตภัณฑ์ของตนเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ เครื่องยนต์ดีเซลระดับโลกอันลือชื่อ ยี่ห้อคัมมินส์ จาก สหรัฐอเมริกา
          ในการทำตลาดรถตู้เพื่อการพาณิชย์ครั้งนี้ ทางบริษัทได้เปิดตัวรถตู้เพื่อการพาณิชย์ แบรนด์ โฟตอน-คัมมินส์ รุ่น โคลัมบัส อย่างเป็นางการครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยเครื่องยนต์คัมมินส์รุ่น ISF2.8 ขนาดความจุ 2800 ซีซี 16 ที่นั่ง พร้อมชิ้นส่วนชั้นนำของโลกอีกมากมาย อาทิ เช่น เพลาท้ายยี่ห้อ DANA จากสหรัฐเอมริกา ชุดเกียร์ของ GETRAG จากเยอรมนี ระบบเบรก ABS ของ BOSCH และ ชุดคลัชของ AISIN จากญี่ปุ่น เป็นต้น เป็นการผสมผสานที่ลงตัวของเทคโนโลยีตะวันออกและตะวันตก ให้ได้มาซึ่งรถยนต์คุณภาพสูง ในราคาที่คุ้มค่า
          ตลาดรถตู้เพื่อการพาณิชย์ มียอดจำหน่ายรวมประมาณ 25,000 คันต่อปี และถือเป็นพาหนะหลักของการโดยสารของประชากรไทย ทั้งในภาคขนส่งปละในภาคครัวเรือน สำหรับรถตู้เพื่อการพาณิชย์ โฟตอน-คัมมินส์รุ่น โคลัมบัส นี้ ทางบริษัทเปิดตัวด้วยราคาช่วงเปิดตัวพิเศษเพียง 859,000 บาท ชูสโลแกน "กล้าที่จะเปลี่ยน กล้าที่จะต่าง กับเทคโนโลยีระดับโลก" และตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 คันในปี 2558 หรือ 4% ของเซกเมนท์ตลาด
          รถตู้ของโฟตอน-คัมมินส์ รุ่นโคลัมบัส เป็นรถตู้ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้สอยแบบเต็มรูปแบบ รูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม ภายในโอ่โถง หลังคาสูง หรูหราด้วยวัสดุหุ้มพื้นและผนังอย่างดี เบาะนั่งที่ปรับเอนได้ 16ที่นั่ง รองรับการโดยสารได้ทุกระดับ มีถาดรองอาหารและที่วางแก้วสำหรับทุกที่นั่ง เบาะแถวหลังพับขึ้นได้เพื่อการบรรทุกสัมภาระ เพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน เครื่องปรับอากาศทั้งหน้าและหลังส่งความเย็นได้อย่างทั่วถึง ช่วงล่างที่แข็งแรงและนุ่มนวล เพิ่มความสบายในการโดยสาร และที่สำคัญที่สุดคือเครื่องยนต์ดีเซลระดับโลก ขนาด 2800 ซีซี ยี่ห้อ คัมมินส์ ที่มีอัตราเร่งที่ดี สมรรถนะสูง ประหยัดน้ำมัน และรับประกันคุณภาพถึง 5 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร
          จากการทำตลาดที่มุ่งเน้นคุณภาพและบริการหลังการขายตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รถยนต์ตงฟงได้มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในตลาดในฐานะรถกระบะเชิงพาณิชย์เล็กที่คุ้มค่า วันนี้ ทางบริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มรถตู้ ในคำมั่นสัญญาเดียวกัน คือ คุณภาพที่ดี และบริการหลังการขายที่เป็นมืออาชีพ ด้วยรถตู้ของโฟตอน-คัมมินส์ รุ่น โคลัมบัส รุ่นนี้
          สำหรับปี2558 บริษัทมีการแต่งตั้งผู้แทนจำหน่าย 21 สาขา ครอบคลุม 16 จังหวัดทั่วทุกภาคประเทศไทย อาทิเช่น กรุงเทพและปริมณฑล สมุทรสาคร เพชรบุรี เชียงใหม่ พิษณุโลก นครราชสีมา อุบลราชธานี สงขลา และ ภูเก็ต

MSN on December 01, 2014, 03:56:51 PM
บริษัท แครี่ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด นำทัพ “รีลาย” ลุยตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็กเมืองไทย

          บริษัท แครี่ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับ Chery International และ Chery Automobile Co., Ltd. นำเข้าและจัดจำหน่ายยานยนต์แบรนด์ "รีลาย" (Rely) อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยมีผู้แทนจำหน่ายทั่วทุกภูมิภาค และไม่พลาดนำ "รีลาย" อวดโฉมในงาน 2014 Motor Expo รวมแล้ว 5 รุ่น ประกาศศักดาพร้อมลุยตลาดรถเพื่อการพาณิชย์และรถอเนกประสงค์อย่างเต็มตัว ความเป็นมาของบริษัทฯ / ผู้บริหาร / ผู้แทนจำหน่าย
          บริษัท แครี่ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2555 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 60/4 หมู่ที่ 2 ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120 ภายใต้การบริหารงานโดย คุณทวีศักดิ์ ควรประดิษฐ์ กรรมการผู้จัดการด้วยการร่วมมือระหว่าง บริษัทฯ และ Chery Automobile Co.,Ltd. โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถภายใต้แบรนด์ "รีลาย" (Rely) อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวภายในประเทศไทย ปัจจุบันได้ขยายเครือข่ายของผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศไปแล้วถึง 18 สาขา ครอบคลุมทุกภูมิภาค ทั้งกรุงเทพฯและปริมลฑล ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้
          รีลาย เป็นแบรนด์รถจาก ประเทศจีน โดยเป็น 1 ใน 4 แบรนด์หลักของกลุ่ม เฌอรี่(Chery) ซึ่งประกอบไปด้วย เฌอรี่ (Chery) ริช (Riich) รีลาย (Rely) และ แครี่ (Karry) ปัจจุบันมีโรงงานผลิตอยู่ที่ เมืองไคฟง หรืออย่างที่ทราบกันดีคือ เมืองเปาบุ้นจิ้น โดยจะเป็นโรงงานประกอบเฉพาะรถเพื่อการพาณิชย์ประเภทต่างๆ ทั้งรถกระบะและรถตู้ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ด้วยเงินลงทุนกว่าหมื่นล้านบาท ใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรในไลน์ประกอบทั้งหมด อาทิ ฝ่ายขึ้นรูปโลหะ (Stamping) ฝ่ายเชื่อม (Welding) ฝ่ายทำสี (Painting) ฝ่ายประกอบ (Assembly Flame) และฝ่ายตรวจสอบคุณภาพ (Vehicle Quality) เป็นอุปกรณ์จากประเทศเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น อีกทั้งยังนำลักษณะของการออกแบบตัวรถและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆที่อยู่ในรถยนต์นั่งมาไว้ในรถเพื่อการพาณิชย์อีกด้วย
โดยโรงงานประกอบที่เมืองไคฟงแห่งนี้จะประกอบรถโดยใช้แบรนด์อยู่ 2 แบรนด์ คือ รีลาย และ แครี่แต่รถที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยจะเป็น รีลาย ทั้งหมด เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการรีแบรนด์ของบริษัทแม่ โดยเริ่มผลิตมาตั้งแต่ปี 2008 มีความสามารถในการผลิตได้ปีละหลายแสนคัน ส่งออกไปแล้วมากกว่า 15 ประเทศทั่วโลก และปัจจุบัน รีลาย ยังไปตั้งโรงงานผลิตในหลายๆ แห่งในโลก อาทิ บราซิล อิหร่าน ฯลฯ และในอนาคตก็มีแผนที่จะเปิดโรงงานประกอบในประเทศไทยด้วย

          ผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน
          สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ทำตลาดในขณะนี้นั้นจะมีทั้งหมด 5 รุ่น คือ
          โยกิ (Yo-Ki) รถมินิทรัค เครื่อง 1100 cc.ความยาวกระบะ 2.5 เมตร ราคา 329,000 บาท โยกิ (Yo-Ki) รถมินิทรัค เครื่อง 1200 cc.ความยาวกระบะ 3.0 เมตร ราคา 369,000 บาท โยโย (Yo-Yo) รถมินิแวน ตู้เอนกประสงค์ ราคา 429,000 บาท โยโย 11 (Yo-Yo 11) รถอเนกประสงค์ 11 ที่นั่ง โดยจำหน่ายในราคา 559,000 บาท โยกิ คีออส (Yo-Ki Kiosk) รถมินิทรัคต่อตู้สำเร็จรูป ฝีมือระดับโรงงาน ใช้วัสดุอลูฯ คอมโพสิทเพื่อความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา ไม่เป็นสนิม ไม่เป็นภาระต่อช่วงล่าง เพื่อการค้าขายในรูปแบบใหม่ จำหน่ายในราคา 449,000 บาท

          เป้าหมาย / วิสัยทัศน์ / จุดแข็ง
          บริษัท แครี่ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด มุ่งหวังให้ลูกค้าชาวไทยได้ใช้รถจากประเทศจีนที่มีคุณภาพเกินราคา ทั้งสมรรถนะ ความประหยัด ประโยชน์ใช้สอย และความสะดวกสบาย ซึ่งตอบสนองความต้องการได้อย่างรอบด้าน ทั้งนี้เพราะ รถรีลาย มีจุดแข็งในหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็น รถเพื่อการพาณิชย์ที่มีรูปลักษณ์ดีไซน์ด้วยการออกแบบอันทันสมัย สวยงาม พร้อมทั้งมีออฟชั่นเหมือนกับรถยนต์ ทั้ง ไฟหน้าโปรเจคเตอร์เลนส์ พวงมาลัยพาวเวอร์ผ่อนแรง กระจกไฟฟ้ารอบคัน เซ็นทรัลล็อค กุญแจรีโมท ล้ออัลลอยด์พร้อมดิสค์เบรค 4 ล้อ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีความชำนาญในการเลือกและติดตั้ง แก๊สติดรถยนต์อีกด้วย เพราะที่ผ่านมาบริษัทฯ ในเครือเคยเป็นผู้ติดตั้งแก๊สติดรถยนต์ให้แก่บริษัทรถหลายๆ ยี่ห้อ โดยเราจะเลือกแก๊สที่เป็นของอิตาลีทั้งชุด ทั้งระบบ และยังมีขนาดของถังแก๊สที่ใหญ่ถึง 42 ลิตร สำหรับในส่วนที่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในรถ ส่วนมากจะควบคุมหรือทำงานด้วยอะไหล่ของ Bosch เพื่อให้เกิดความเสถียร ทนทาน และเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพสูงสุด
          นอกจากนี้ รีลาย ยังมี ระบบการบริการหลังการขาย ทั้งในส่วนการดูแลหลังการขายและอะไหล่ที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ทันต่อความต้องการลูกค้า เนื่องจากเราตระหนักถึงความต้องการใช้รถประเภทนี้ของลูกค้าที่จะต้องใช้เพื่อทำมาหากินทุกวัน เราจึงให้ความสำคัญในเรื่องบริการหลังการขายมาเป็นลำดับต้นๆ โดยคิดค่าอะไหล่ในราคาที่ย่อมเยา และมีคุณภาพอีกด้วย
          สำหรับลูกค้าที่สนใจเป็นเจ้าของรถรีลาย สามารถชมและทดลองขับได้ในงาน Motor Expo ระหว่างวันที่ 29 พย. - 10 ธค. 2557 ที่อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมรับขอเสนอสุดพิเศษในงาน ประกันภัยชั้น 1 และแคมเปญใช้รถฟรี
          ท่านสามารถพิสูจน์สมรรถนะของเครื่องยนต์ การบรรทุก รวมทั้งการขับขี่ พร้อมสอบถาม รายละเอียดของ รีลาย ทุกรุ่น ได้ที่ บริษัท แครี่ ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัดโทร. 0-2901-2708, 08-1705-9946, www.relythai.com หรือที่ผู้แทนจำหน่าย รีลาย ทั่วประเทศ แล้วท่านจะได้พบกับสุดยอดยนตกรรมที่มีแต่ความคุ้มค่า คุ้มราคา สมดังสโลแกน รีลาย..นี่สิคุ้ม

MSN on December 01, 2014, 03:58:31 PM
ตงฟง มอเตอร์ส ย้ำตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งเรื่องรถอาชีพ เอาใจทุก SME เปิดตัวหลังคามาตรฐานอเนกประสงค์จากโรงงาน พร้อมตัวรถ สนนราคาเริ่มต้นเบ็ดเสร็จเพียง 38x,xxx บาท








 
           ตงฟง มอเตอร์ส เสริมทัพแบรนด์รถจีนเพื่อการพาณิชย์อันดับหนึ่ง ชูความเป็นผู้นำรถอาชีพ สนองเทรนด์ตลาดรถอาหารเคลื่อนที่ (Food Truck) เปิดตัวหลังคาอาชีพจากโรงงาน ราคาเริ่มต้นเพียง 50,000 บาท หวังครองใจเหล่าลูกค้าพร้อมเริ่มธุรกิจติดล้อ
          ด้วยกระแสรถอาชีพ หรือ “ร้านค้าติดล้อ” ที่กำลังมาแรงทั่วประเทศ ตงฟง มอเตอร์สผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ตงฟง ถือเป็นค่ายรถยนต์เจ้าแรกที่นำไอเดียร้านค้าติดล้อเข้ามาสู่เมืองไทย ซึ่งในปัจจุบันธุรกิจ “รถอาชีพตงฟง” กำลังเป็นที่สนใจในหมู่เจ้าของร้าน ทั้งกลุ่มผู้ที่มีร้านค้าอยู่แล้วและกลุ่มผู้ที่กำลังตัดสินใจอยากเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง เนื่องจากมีข้อดี คือ ความสะดวกคล่องตัวในการเคลื่อนย้ายทำเล ไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ทุนที่ใช้ในการเปิดรถร้านค้าไม่สูงมาก รวมทั้งความน่ารักแปลกตา เนื่องจากรถอาชีพตงฟงนั้นเป็นที่โดดเด่น เรียกได้ว่าขับไปตรงไหนก็เรียกลูกค้าได้อย่างง่ายดาย
          นายพิทยา ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตงฟง มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ตงฟง ได้เปิดเผยว่า “ในปี 2557 นี้ ทางตงฟงเห็นยอดจำหน่ายของรถยนต์ตงฟง ที่ถูกนำไปดัดแปลงเป็นรถอาชีพ ถึงกว่า 40% หรือ กว่า 800 คัน จากสัดส่วนเพีงแค่ ไม่ถึง 10% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงเทรนด์ตลาดที่นิยมรถอาชีพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
          เพื่อตอบสนองกับเทรนด์ตลาดใหม่ของรถอาชีพ นี้ ทางบริษัทได้มีการลงทุนในการจัดตั้งไลน์ผลิตและประกอบหลังคาดังกล่าว โดยจะมีการผลิตหลังคาทั้งแบบเพื่อการขนส่ง (แบบ Cargo) และ แบบเพื่อการอาชีพ (Food-Truck) ทั้งนี้เพื่อการเพิ่มประโยชน์ใช้สอยของรถยนต์ ตงฟง ให้หลากหลายมากขึ้น และตอบโจทย์ในเรื่องของความเป็นมาตรฐาน และที่สำคัญที่สุดคือเพิ่มความสะดวกสำหรับลูกค้าไม่ต้องไปเร่หาโรงงานทำหลังคาเอง ทางบริษัทจะทำการติดตั้งให้จากโรงงาน และ รับประกันให้ 1 ปี พร้อมใช้งานทันที โดย เพิ่มราคาจากรถยนต์รุ่นมาตรฐานของบริษัท เริ่มต้นเพียง 50,000 บาท เท่านั้น
          รถอาชีพมีมานานแล้ว แต่ที่ผ่านมายังไม่มีใครลงมาจับการจำหน่ายรถยนต์ประเภทนี้อย่างจริงจัง มีเพียงแต่การดัดแปลงรถของเหล่าพ่อค้าแม่ค้ากันเอง ซึ่งรถกระบะเล็กของตงฟง มอเตอร์ส ทุกรุ่นได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ตอบโจทย์เหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ให้สามารถดัดแปลงได้ง่าย กะทัดรัด มีความคล่องตัว และมีความเป็นมาตรฐาน จึงทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่นิยมซื้อรถตงฟงเพื่อไปดัดแปลงเป็นรถอาชีพ เพื่อค้าขายอาหารและเครื่องดื่มเคลื่อนที่ โดยทางตงฟงจะช่วยเหลือแนะนำและร่วมออกแบบให้กับลูกค้าซึ่งจะรวมถึงหลังคา ระบบไฟฟ้า เคาน์เตอร์ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมด ข้อดีของรถตงฟง คือ ลูกค้าสามารถผ่อนเช่าซื้อหลังคารูปแบบต่างๆรวมกับตัวรถได้เลย ทำให้ใช้เงินเริ่มต้นธุรกิจเพียง 50,000 – 60,000 บาท และเนื่องจากรถอาชีพนั้นสามารถลดต้นทุนการขายได้หลายอย่าง อาทิ ไม่ต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ร้าน สามารถปรับเปลี่ยนหรือย้ายทำเลการขายได้ตามต้องการ จึงทำให้ตอบโจทย์ของการค้าขายอาหารและเครื่องดื่มได้อย่างครบถ้วน นายพิทยากล่าว
          ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาของปี 2557 ทางบริษัทมีการจำหน่ายรถยนต์ตงฟงไปแล้วกว่า 2,000 คัน โดยตั้งเป้าปีนี้ไว้ที่ 2,300 คัน บริษัทคาดว่าด้วยการเพิ่มฟังชั่นการใช้งานของหลังคาแบบ Cargo และ Food-Truck จะเป็นการขยายฐานลูกค้าของตงฟงให้กว้างยิ่งขึ้น และจะทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายของปีนี้ และ 2,500 คันของปี 2558 ได้อย่างแน่นอน

          ตงฟง มอเตอร์ส มีรถกระบะอเนกประสงค์ให้เลือก 3 รุ่น ตอบโจทย์ได้หลากหลายความต้องการ
          “ตงฟง พลัส” รถกระบะขนาดเล็กเชิงพาณิชย์มีแค๊บรุ่นใหม่จากตงฟง ที่เพิ่มพื้นที่ความสุขและความสบายให้มากยิ่งขึ้นด้วยการเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสารให้กว้างขึ้นด้วยแค๊บขนาด 31.2 เซนติเมตร สามารถเก็บของหรือปรับเอนพนักพิงได้มากถึง 130 องศา หรูหรา ทันสมัย กับคอนโซลดีไซน์ใหม่ที่มาพร้อมหน้าปัดเรือนไมค์ดิจิตอล เพลิดเพลินด้วยเครื่องเสียง พร้อมช่องยูเอสบี และ SD CARD สมรรถนะแข็งแกร่ง แรง แต่ประหยัดพลังงานด้วยระบบเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 1,100 ซีซี ที่ให้พลังสูงถึง 63 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 91 นิวตันเมตร ที่ 2,800 – 3,600 รอบต่อนาที ระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด พิเศษขึ้นกว่ารุ่นเดิมด้วยพวงมาลัยพาวเวอร์ และกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ที่มาพร้อมไฟหน้าดวงใหญ่แบบคริสตอลโปรเจคเตอร์และไฟเดย์ไลท์สไตล์สปอร์ตบ่งบอกถึงบุคลิกความเป็นตัวตนของคุณ กระบะท้ายอเนกประสงค์เปิดท้ายได้ 3 ด้าน ไม่มีซุ้มล้อ สะดวกในการใช้ได้อย่างคุ้มค่า และเต็มประสิทธิภาพ วงเลี้ยวแคบเพียง 4.9 เมตร เพื่อความคล่องตัวในการขับรถในเมือง อีกทั้งยังใช้พลังงานสองระบบทั้งแก๊สโซฮอล์และก๊าซแอลพีจี มาตรฐานจากโรงงานยี่ห้อโลวาโต้จากประเทศอิตาลีช่วยประหยัดต้นทุนค่าขนส่ง พร้อมรับประกันตัวรถยนต์พร้อมระบบแก๊สนานถึง 3 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร ทั้งหมดนี้ในราคาเพียง 328,000 บาท
          “ตงฟง เซฟเว่อร์” รถกระบะขนาดเล็กเชิงพาณิชย์ที่ไมเนอร์เช้นจ์มาจากรุ่น ตงฟง มินิทรั๊ค โดยมีจุดเด่นที่ ความประหยัด เซฟสุดๆ ด้วยพลังงานทางเลือก 2 ระบบ ได้แก่ ระบบเบนซิน แก๊สโซฮออล์ และ ก๊าซแอลพีจีระบบหัวฉีด ติดตั้งมาตรฐานพร้อมจากโรงงาน ยี่ห้อโลวาโต้ ประเทศอิตาลี คุ้มเว่อร์ๆ กับระบบเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 1,100 ซีซี ให้ขุมพลังสูงถึง 63 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิด 91 นิวตันเมตร ที่ 2,800 – 3,600 รอบต่อนาที ระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด พิเศษขึ้นกว่ารุ่นเดิมด้วยพวงมาลัยพาวเวอร์ คอนโซลหน้าดีไซน์ใหม่ เครื่องเสียงพร้อมช่องยูเอสบี และ SD CARD ตอบรับความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยไฟหน้าสไตล์สปอร์ต โดดเด่นด้วยกระบะท้ายอเนกประสงค์เปิดท้ายได้ 3 ด้าน ไม่มีติดซุ้มล้อ เพิ่มในการใช้งานได้มากขึ้น รับน้ำหนักได้มากกว่าเดิม วงเลี้ยวแคบเพียง 4.9 เมตร เพื่อความคล่องตัวในการขับรถในเมือง รวยเร็วกว่าเห็นๆ เนื่องจากลงทุนต่ำ คืนทุนเร็ว แถมผ่อนน้อยเพียงวันละร้อยกว่าบาท ส่งผลให้กำไรมาไวกว่าที่คิด ทั้งหมดนี้ให้คุณเป็นเจ้าของได้ในราคาเพียง 308,000 บาท
          “ตงฟง V 21 แชมเปี้ยน” รถกระบะบรรทุกขนาดเล็ก ดีไซน์ใหม่ ที่จะทำให้คุณบรรทุกได้อย่างจุใจมากขึ้น มาพร้อมความปลอดภัย และความสะดวกในการขับขี่ที่มากกว่า พร้อมพรั่งไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1300 ซีซี ให้กำลังเครื่องยนต์สูงถึง 82 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 102 นิวตันเมตร ที่ 3,000 – 3,500 รอบต่อนาที ระบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด พวงมาลัยแบบแร๊คแอนด์พิเนียนพร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า ให้ความคล่องตัวในการบังคับควบคุมทุกการขับขี่ แอร์คอนดิชั่น ระบบวิทยุ เครื่องเสียงพร้อมช่อง USB และ SD CARD ที่จะช่วยให้คุณเพลิดเพลินในทุกเส้นทาง
          และจุดเด่น ของV21 แชมเปี้ยนของเรา คือความกว้างขวางของกระบะท้าย ที่ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม 25% และยังสามารถเปิดได้อย่างอิสระทั้ง 3 ด้าน พื้นกระบะบรรทุกเรียบไม่มีซุ้มล้อ ทำให้สะดวกและสุดคุ้มค่าสำหรับการบรรทุกขนส่ง หรือทุกกิจกรรม โดยได้ดัดแปลงติดตั้งจอแอลอีดีขนาดใหญ่ความละเอียดขนาด P10 กว้าง 2.56 เมตร และสูงถึง 1.92 เมตร เข้าไป เป็นสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่ ที่ตอบโจทย์ธุรกิจในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังใช้พลังงานสองระบบทั้งแก๊สโซฮอล์และก๊าซแอลพีจี มาตรฐานจากโรงงานยี่ห้อ LOVATO จากประเทศอิตาลีช่วยประหยัดต้นทุนค่าขนส่ง พร้อมความปลอดภัยที่เรารับประกันตัวรถยนต์พร้อมระบบแก๊สนานถึง 3 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

MSN on December 01, 2014, 03:59:55 PM
“อีซูซุ” ยนตรกรรมแห่งไลฟ์สไตล์ นำ “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” และ “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์เดย์ไลท์” ร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31








 
           อีซูซุร่วมเปิดบูธในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 ชูแนวคิดยนตรกรรมแห่งไลฟ์สไตล์ นำทัพ “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” (Isuzu MU-X) รถอเนกประสงค์สุดหรู ที่เพิ่งฉลองความสำเร็จกวาดยอดขาย 20,000 คันในเวลาเพียง 1 ปีไปหมาดๆ และรถปิกอัพ “ใหม่! อีซูซุ ดีแมคซ์ ซูเปอร์เดย์ไลท์” หลากรุ่นหลายสไตล์มาร่วมสร้างสีสันด้วยการตกแต่งสุดแนวเสริมรูปลักษณ์ให้โดดเด่นมีเอกลักษณ์ และสอดรับกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่เข้าถึงการใช้ชีวิตทุกรูปแบบ พร้อมกันนี้ยังตอกย้ำสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้น ด้วยการนำรถ “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” สุดแกร่งที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ในในรุ่น Diesel Production Car พร้อมรางวัลเกียรติยศอีก 5 รางวัล จากการแข่งขันสุดหฤโหด “ออสเตรเลเชียน ซาฟารี 2014” มาโชว์ในงานนี้อีกด้วย
          มร. ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “ความสำเร็จของรถปิกอัพ “อีซูซุดีแมคซ์” และรถอเนกประสงค์สุดหรู “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ได้รับการพิสูจน์ในตลาดรถยนต์เมืองไทยแล้วถึงความเชื่อมั่นในสมรรถนะ ความประหยัดน้ำมัน และที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การออกแบบที่ไม่เพียงโฉบเฉี่ยวทันสมัย แต่ยังสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้ใช้รถในเมืองไทยได้เป็นอย่างดีในด้านอรรถประโยชน์ที่ครบครันในเชิงไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะผู้ใช้รถรุ่นใหม่ๆ ที่มีกิจกรรมสุดโปรดหลากรูปแบบนอกเหนือจากการทำงาน ไม่ว่าจะแคมป์ปิ้ง ขี่จักรยาน หรือเรซซิ่ง ซึ่งทำให้ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับรถอีซูซุมาก่อน หันมาให้ความสนใจมากขึ้น ดังนั้นในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31” อีซูซุจึงได้นำ “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” ที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับอีซูซุด้วยยอดขายสูงถึง 20,000 คัน ในเวลาเพียง 1 ปี และยังพิสูจน์สมรรถนะแกร่งในฐานะรถแข่งในการแข่งขันสุดทรหดบนเส้นทางป่าซาฟารี และทะเลทรายสุดโหดถึง 3,513 กม. ที่ประเทศออสเตรเลียในแรลลี่ระดับโลก “ออสเตรเลเชียน ซาฟารี 2014” ด้วยการคว้าแชมป์ในรุ่น Diesel Production Car พร้อมรางวัลเกียรติยศอีก 5 รางวัล ตั้งแต่ปีแรกที่ลงแข่งขัน ซึ่งอีซูซุได้นำรถ “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” คันประวัติศาสตร์นี้มาโชว์โฉมในงานนี้ด้วย พร้อมกันนี้อีซูซุยังได้นำรถปิกอัพ “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์เดย์ไลท์” หลากรุ่นมาตกแต่งพิเศษในสไตล์ต่างๆ สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ใช้รถที่ชื่นชอบในกิจกรรมสไตล์ X-treme ได้นำไปปรับใช้ในสไตล์ของตัวเอง”
          บูธอีซูซุในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 ออกแบบในสไตล์โมเดิร์น เพิ่มความมีสีสันด้วยการเล่นแสงสี สะท้อนการใช้ชีวิตที่มีหลากหลายมิติ โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ “X” ที่สื่อถึงยนตรกรรมแห่งไลฟ์สไตล์ที่พร้อมจะตอบสนองกับทุกกิจกรรมในชีวิตของผู้ใช้รถ โดยรถอีซูซุที่นำมาโชว์ในครั้งนี้ นอกจากรุ่นมาตรฐานแล้วยังมีการตกแต่งรถพิเศษเฉพาะงานนี้เพื่อสร้างสีสันให้กับผู้ใช้รถที่มีใจรักการแต่งรถและกิจกรรมสไตล์ X-treme ได้แก่
          “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” (ISUZU MU-X) สีขาวมุกเอเวอเรสต์ (Everest Pearl White) สุดยอดยนตรกรรมที่รวมความโดดเด่นด้านรูปลักษณ์จากดีไซน์อันน่าหลงใหล สมรรถนะขับเคลื่อนอันยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบประทับใจ พร้อมความอเนกประสงค์ที่สามารถตอบทุกโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถรุ่นใหม่ได้อย่างครบถ้วนลงตัว มอบความภาคภูมิใจแก่ผู้ครอบครอง โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ 3-DIMENSION มิติเฉียบคมอารมณ์สปอร์ต หรูหราปลอดภัยสไตล์ยุโรปด้วย SUPER DAYLIGHT ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ไฟท้ายดีไซน์พิเศษแบบ ARC-DIMENSION เพิ่มมิติทุกมุมมอง ROOF RAIL ดีไซน์รับกับตัวรถ เสาอากาศโฉบเฉี่ยวแบบ SHARK-FIN ภายในโอ่โถงสไตล์ PREMIUM & EXCLUSIVE ให้ความรื่นรมย์ทุกการขับขี่กับระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบ ISUZU MEDIA SOLUTIONS พร้อมปฏิวัติช่วงล่างใหม่ แบบคอยล์สปริงทั้ง 4 ล้อ ช่วงล่างด้านหลังแบบ “5-LINK SUSPENSION” ให้เสถียรภาพในการทรงตัว เกาะถนนดีเยี่ยม พร้อมความนุ่มนวลดุจรถยนต์นั่งระดับหรู ล่าสุด “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ 3.0 Ddi VGS Turbo และ 2.5 Ddi VGS Turbo พร้อมเสนอทางเลือกใหม่ “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” รุ่น 2.5 Ddi VGS Turbo DVD Navi ทั้งแบบเกียร์ออโตเมติก และเกียร์ธรรมดา รวมทั้งได้เพิ่ม PUSH START ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์อัจฉริยะเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเฉพาะรุ่น เติมเสน่ห์เร้าใจด้วยการตกแต่งพิเศษในแนว URBAN LIFE ตอบโจทย์สไตล์ชีวิตคนเมืองด้วยชุดโหลดเตี้ยแนวเรซซิ่งจาก Hot Bits เติมเต็มความเท่ด้วยล้อแม็ก TAM ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง TOYO 265/50R20 ชุดแต่งสติ๊กเกอร์และชุด Kit พร้อมกล่องอเนกประสงค์บนหลังคาจาก THULE
          ในส่วนของรถปิกอัพ “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์เดย์ไลท์” ที่นำมาแต่งโชว์ในครั้งนี้ ประกอบด้วย “อีซูซุดีแมคซ์ วี-ครอส 4x4” สีแดงเวเนเชียน (Venetian Red) สปอร์ตออฟโรดที่ก้าวข้าม...ทุกความท้าทาย ผสานความแข็งแกร่งดุดันให้เข้ากับดีไซน์เท่มีระดับแบบไลฟ์สไตล์เมือง ตอบรับการใช้ชีวิตออฟโรดและชีวิตเมืองไปพร้อมกัน ด้วยความสะดวกสบายอันสมบูรณ์แบบกับมิติการดีไซน์ที่เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์ด้วย UNIVERSAL DESIGN ศาสตร์แห่งการออกแบบโดยให้ผู้ใช้รถเป็นศูนย์กลาง ด้วยการจัดวางตำแหน่งที่นั่ง และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถให้เข้ากับทุกสรีระเพื่อการใช้งานง่ายและหลากหลายรูปแบบ ขับสนุกสะใจด้วยช่วงล่างสมรรถนะสูง รองรับได้ทุกสภาวะ ทั้งเส้นทางออฟโรดสุดโหด หรือเส้นทางที่ต้องการความนุ่มนวล พร้อม TERRAIN COMMAND สวิตช์ปรับเปลี่ยนระบบการขับเคลื่อนจาก 2H เป็น 4H ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ปรับได้ตามใจสั่งเรียกพลังออฟโรดเพื่อการลุยโดยเฉพาะ แต่งพิเศษด้วยการเติมเต็มความเท่ ร้อนแรงในแนว RED THEME สุดขั้วตลอดทั้งคัน ด้วยชุดกันชนหน้า ARB พร้อมระบบไฟ LED กันกระแทกด้านข้าง กันชนท้ายและกันกระแทกใต้ท้องรถจาก ARB ล้อแม็ก Procomp ยาง BF Goodrich 285/70R17 เสริมความดุดันด้วยชุด WRAP สีดำ
“อีซูซุดีแมคซ์ เอ็กซ์-ซีรี่ส์” รุ่น Speed ฉีกความร้อนแรง...แซงทุกความโดดเด่น ปฏิวัติความแรงเรซซิ่งพันธุ์แท้กับดีไซน์ใหม่ สปอร์ตเข้มข้นทั้งภายนอกและภายใน สะท้อนความแรงกับรายละเอียดใหม่ด้วยชุดแต่งสเกิร์ตรอบคัน ดีไซน์ด้านหน้าและหลัง เสริมความดุดันด้วยสีทูโทน สายคาดคู่หน้า-หลังใหม่ ดีไซน์โฉบเฉี่ยวสไตล์ X กระจังหน้ารถสี Dark Grey สะท้อนความร้อนแรงด้วยสัญลักษณ์ ISUZU สีแดง เสริมความสปอร์ตด้วยกระจกมองข้างและมือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ ใหม่! เบาะหนังดีไซน์ เท่หรูหรา พร้อมสัญลักษณ์ X-SERIES สปอร์ตพรีเมี่ยม เกาะทุกความแรงกับช่วงล่างสไตล์เรซซิ่งสปอร์ต ที่สุดแห่งการทรงตัว ขับสนุกมันส์ได้เต็มสปีด สุดแนวกับการจัดเต็มทั้งในเรื่อง แสง สี เสียง จากการ WRAP STICKER สีพิเศษตลอดทั้งคันสไตล์รถ SUPER CAR เข้มด้วยยาง TOYO รุ่น Proxes ST2 ขนาด 255/40R20 พร้อมล้อแม็ก TAM ชุดสตรัทปรับเกลียวพร้อมโช๊คอัพที่ช่วงล่างหน้า และชุดปรับช่วงล่างแหนบหลังพร้อมโช๊คอัพหลัง พิเศษชุดเครื่องเสียงสุดหรูมูลค่ากว่า 500,000 บาท และเล่นสีสันด้วยไฟ LED รอบคัน
          “ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์เดย์ไลท์” นอกจากจะให้ความสมบูรณ์แบบด้านดีไซน์ สะกดทุกสายตาด้วย 3-DIMENSION STRUCTURE เผยมัดกล้ามที่แฝงซึ่งพลัง และเส้นสายต่อเนื่องรอบคันที่ล้ำสมัย รวมถึงความสะดวกสบายครบครันกับมิติการออกแบบที่เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์แล้ว ยังพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการขับขี่ด้วยมาตรฐานปิกอัพระดับโลก ทั้ง SUPER DAYLIGHT ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน เพิ่มทัศนวิสัยที่ชัดเจนให้กับผู้ร่วมทาง ระบบ Push Start ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ สตาร์ทเครื่องยนต์เพียงปลายนิ้ว พร้อม ISUZU GENIUS ENTRY และ ISUZU INSIGHT VERSION 1.1 เทคโนโลยีวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่ หนึ่งเดียวแห่งวงการรถปิกอัพ ที่ช่วยให้ผู้ขับสามารถพัฒนาการขับขี่ของตัวเองทั้งด้านความประหยัดน้ำมัน และความปลอดภัยได้เต็มศักยภาพยิ่งขึ้น โดยมาโชว์ครบทั้งรุ่น 4 ประตู 2 ประตู และไฮแลนเดอร์
          พร้อมกันนี้อีซูซุได้สร้างชื่อเสียงในวงการมอเตอร์สปอร์ตในการแข่งขันแรลลี่ระดับโลก ด้วยการชนะเลิศรายการ “ออสเตรเลเชียน ซาฟารี” แรลลี่สุดหฤโหดติดต่อกันมา 3 ปีซ้อน และในปีนี้อีซูซุได้นำอีซูซุมิว-เอ็กซ์คว้าแชมป์ในรุ่น Diesel Production Car พร้อมรางวัลเกียรติยศอีก 5 รางวัล เป็นการพิสูจน์สมรรถนะแกร่งในการแข่งขันสุดทรหดบนเส้นทางป่าซาฟารี และทะเลทรายสุดโหดถึง 3,513 กม. ที่ประเทศออสเตรเลีย และเป็นการตอกย้ำความทนทานในสุดยอดเครื่องยนต์ “อีซูซุ ดีดีไอ ซูเปอร์คอมมอนแรล” ที่นำร่วมโชว์ในงานด้วย
งานนี้เตรียมพบกับ “ก้อง-สหรัถ สังคปรีชา” พรีเซ็นเตอร์สุดหล่อของ “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” เจ้าของเสียงนุ่มๆ ของเพลงประกอบโฆษณาใหม่ “The way you make me feel” “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” พรีเซ็นเตอร์สุดเท่ของ “อีซูซุดีแมคซ์ วี-ครอส” ร่วมเฮฮากับ “โก๊ะตี๋” และยลโฉมนางสาวไทยประจำปี 2557 พร้อมรองอันดับ 1-4 ซึ่งจะหมุนเวียนมาสร้างความสนุกสนานร่วมกับพิธีกรคนดัง เอ๊าะ-กีรติ เทพธัญญ์ มิค-บรมวุฒิ หิรัณยัษฐิติ เป๊ก-เปรมณัช สุวรรณานนท์ และจอย – ชลธิชา นวมสุคนธ์ เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังมีกิจกรรมความบันเทิงต่างๆ และลุ้นรับรางวัลมากมายได้ที่บูธอีซูซุตลอด 12 วันของงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31”
          - Isuzu Motor Expo Photo Contest 2014 : การประกวดภาพถ่ายกิจกรรม หรือมุมต่างๆ ภายในบูธอีซูซุ แล้วส่งภาพจากกล้อง Digital หรืออัพโหลดผ่าน Instagram เพียงใส่ Hashtag #isuzuinstagram ลุ้นรับรางวัลบาดใจรวมกว่า 200,000 บาท
          - Isuzu Social Corner : ไม่พลาดกับการอัพเดทความเคลื่อนไหวต่างๆ ผ่าน Facebook Register
          - Lifestyle Fashion Show : ตื่นตากับไลฟ์สไตล์แฟชั่นโชว์จากนางแบบสาวสวยที่ตอกย้ำภาพลักษณ์การใช้งานได้หลากแนวของรถอีซูซุทั้งในแนว OFFICE, SPORTY, OUTDOOR และ RACING
          - Battle Juggling Show การแสดงมายากลที่จะสร้างรอยยิ้มและความสนุกสนานแก่ผู้ชมทุกวัย
          - สอบถามข้อมูลรถอีซูซุหรือกิจกรรมต่างๆ ภายในงานได้จากสาวๆ I-Girl
          เชิญสัมผัส “อีซูซุมิว-เอ็กซ์” และ “อีซูซุดีแมคซ์ ใหม่! ซูเปอร์เดย์ไลท์” หลากรุ่น หลากเครื่องยนต์ ณ บูธอีซูซุ ร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2557 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมรับโปรโมชั่นสุดพิเศษทั้งในงาน มหกรรมรถยนต์ และโชว์รูมอีซูซุทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ - 30 ธันวาคม ศกนี้
          - จองรถอีซูซุในงานมหกรรมรถยนต์ ครั้งที่ 31 ลุ้นรับทองคำทุกวัน รวม 62 รางวัล รางวัลละ 20,000 บาท มูลค่ารวม 1,240,000 บาท
          - ทดลองขับรถ "อีซูซุมิว-เอ็กซ์" วันนี้ - 30 ธันวาคม ศกนี้ รับเอกสิทธิ์พิเศษ ลุ้นโชคใหญ่กว่า 3 ล้านบาท จับรางวัล 2 ครั้ง ได้แก่ ส่วนลดสำหรับซื้อ "อีซูซุมิว-เอ็กซ์" 100,000 บาท รวม 2 ครั้ง 18 รางวัล และรางวัลใหญ่ส่วนลด 50% รวม 2 ครั้ง 2 รางวัล รวมมูลค่า 3.2 ล้านบาท)
          - ซื้อง่าย ตี๊ด...เดียว อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์เดย์ไลท์" ด้วยข้อเสนอโดนใจ 4 แบบ รับทันทีบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 15,000 บาท หรือเลือกรับดาวน์ต่ำสุดๆ เริ่มต้น 29,100 บาท หรือเลือกผ่อนสบาย 4,900 บาท/เดือน พร้อมบัตรกำนัลอีซูซุ 15,000 บาท หรือเลือกรับไฟแนนซ์พิเศษ พร้อมประกันภัยชั้น 1

MSN on December 01, 2014, 04:01:21 PM
มาเซอร์ราติ ในงานไทยแลนด์ อินเตอร์ เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ๊กซ์โป 2014








 
           มาเซอร์ราติ ในงานไทยแลนด์ อินเตอร์ เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ๊กซ์โป 2014 แนวคิดการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี ของมาเซอร์ราติ รถยนต์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรูปแบบซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจนถึงปัจจุบันและการสะท้อนถึงแนวทางที่จะก้าวต่อไปในอนาคตของรถยนต์มาเซอร์ราติ

          จุดหมายของงานแสดงสำหรับมาเซอร์ราติในประเทศไทยโดย บริษัท เอ็มไพร์ มอเตอร์ สปอร์ต จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มาเซอร์ราติอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มีความภาคภูมิใจที่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 (Thailand International Motor Expo 2014) ในงานนี้ทางมาเซอร์ราติได้นำรถรุ่นที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันมาร่วมแสดง คือ Maserati Quattroporte (ควอตโตรปอร์เต้) รวมไปถึงรุ่นล่าสุดที่จะนำมาจำหน่ายในปีนี้ คือ Maserati Ghibli (กิบลี) ที่ใช้เครื่องยนต์ Diesel (ดีเซล) โดยเป็นรถใหม่ในวาระเฉลิมฉลอง มาเซอร์ราติ ครบรอบ 100 ปีที่เมือง Modena (โมเดนา) ประเทศอิตาลี รวมไปถึงรถยนต์รุ่นพิเศษอีกหนึ่งรุ่น คือ Maserati GranTurismo MC Stradale รถสปอร์ต 4 ที่นั่ง ได้นำมาเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยและจัดแสดงในงานนี้ด้วย
          ในวาระครบรอบ 100 ปี ทางบริษัทมาเซอร์ราติ ได้วางแผนงานใหญ่ซึ่งได้เริ่มต้นในปี 2013 โดยรถยนต์รุ่น Ghibli และ Quattroporte มีการปรับแนวทางการผลิตของโรงงานในอิตาลีไปสู่ผลิตภัณฑ์รถสปอร์ตในระดับพรีเมียม แค่ในระยะเวลาสั้นๆ เพียง 1 ปี จากปี 2013 - 2014 มาเซอร์ราติ มียอดจำหน่ายที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 150% จาก 6,200 คัน เป็น 15,400 คัน ปัจจุบันมาเซอร์ราติ คือผู้ผลิตรถยนต์ในระดับโลกที่มีผลิตภัณฑ์ในรุ่นต่างๆ อย่างสมบูรณ์แบบ เช่น การผลิตรถซีดานมีด้วยกันถึง 2 รุ่น และ สปอร์ต 2 ประตู 1 รุ่น โดยผลิตเครื่องยนต์ออกมาถึง 4 รุ่น Twin-Turbo 3.8 ลิตร V8 สูบและ 3.0 ลิตร V6 สูบ เครื่องยนต์ 4.7 ลิตร V8 สูบ และ 3.0 ลิตร V6 สูบ Turbo-Diesel นอกจากนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิตรถ SUV (เอสยูวี) ที่จะออกมาให้ชมกันในเร็วๆ นี้

          Maserati Quattroporte Diesel
          Quattroporte รุ่นดั้งเดิมได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1963 ตามแนวความคิดของมาเซอร์ราติ ที่ต้องการสร้างสปอร์ตซีดานที่มีความหรูหรา และ Quattroporte รุ่นใหม่ก็ยังคงมีความต่อเนื่องในการเป็นผู้นำในด้านวิศวกรรมชั้นสูงถือได้ว่าเป็นรถซูเปอร์คาร์ที่ทรงพลัง รวมไปถึงการเป็นรถลีมูซีนที่มีความสะดวกสบาย รวมอยู่ในรถคันเดียวกัน
          มาเซอร์ราติเปิดตัว Quattroporte รุ่นใหม่ในปี 2013 รถสายพันธุ์ที่ 6 นี้จะมีความก้าวหน้าทั้งในเรื่องเทคโนโลยีขั้นสูงและยังคงเอกลักษณ์ของมาเซอร์ราติ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน รถธงรุ่นใหม่จะมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นแต่มีน้ำหนักตัวเบาลง มีความหรูหราและใช้งานง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับรถคู่แข่งทั่วโลก เครื่องยนต์ที่ทรงพลัง ห้องโดยสารขนาดใหญ่ หน้ารถที่ยาว มีสัญลักษณ์ตรีศูลอยู่ที่ตรงกลางกระจังด้านหน้าที่มีส่วนคล้ายกันระหว่างรุ่น Quattroporte และ Granturismo
          เครื่องยนต์ดีเซลตัวใหม่ของมาเซอร์ราติ มีขนาด 3.0 ลิตร V6 สูบ Turbo ได้รับการพัฒนามาเป็นพิเศษโดย VM Motori ตามแนวทางที่มาเซอร์ราติ เป็นผู้กำหนดซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องของ สมรรถนะ ประสิทธิภาพ และความพึงพอใจในการขับขี่
          เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างพละกำลัง คือ เทอร์โบแบบแปรผัน พร้อมลูกปืนที่จะช่วยลดแรงเสียดทานภายในและลดอาการรอรอบการทำงานของเทอร์โบ หัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงมีประสิทธิภาพสูงให้แรงดันถึง 2,000 บาร์ ฉีดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ ในขณะที่ท่อไอดีจะปรับค่าแปรผันตามความเร็วของเครื่องยนต์ ส่วนท่อไอเสียจะเป็นแบบ Air Gap Technology ที่จะรักษาอุณหภูมิความร้อนของไอเสีย เพื่อให้สามารถผลิตพละกำลังออกมาให้มากที่สุด
          ส่วนประกอบต่างๆ มีส่วนทำให้มาเซอร์ราติ รุ่นใหม่ล่าสุดเต็มเปี่ยมด้วยพละกำลัง ในรุ่น Quattroporte Diesel จะให้แรงบิดสูงถึง 600 นิวตัน-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ 2,000-2,600 รอบ/นาที กำลังสูงสุด 275 แรงม้าที่ 4,000 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 6.4 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ค่าปริมาณไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ 163 กรัม/กม. ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 6.2 ลิตร/100กม. หรือ 16.1 กม./ลิตร แต่ Maserati Quattroporte ยังคงเป็นรถที่มีสมรรถนะสูง
          บุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ของมาเซอร์ราติ อีกอย่างหนึ่ง คือ เสียงจากท่อไอเสียที่ไพเราะและดุดัน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญในการผลิตรถของมาเซอร์ราติ จากการใช้ Maserati Active Sound Technology ของระบบไอเสียของ Maserati Quattroporte Diesel ทำให้เกิดเสียงที่ให้ความสปอร์ต อย่างเป็นธรรมชาติ โดยสามารถปรับระดับด้วยการกดปุ่ม จะมีเสียง 2 ระดับ มีกลไกติดตั้งอยู่ใกล้กับปลายท่อไอเสียเพื่อให้เกิดโทนเสียงที่มีความพิเศษ ปรับคลื่นเสียงตามความเร็วรถที่ใช้อยู่ ขณะที่ผู้ขับขี่กดปุ่มสปอร์ตที่คอนโซลกลาง จะเกิดเสียงที่มีการสั่นสะเทือนที่สูงและเพิ่มความเร้าใจต่อการขับขี่

Quattroporte Diesel
เครื่องยนต์ : 3.0 ลิตร V6 สูบ
กำลังสูงสุด : 275 แรงม้า
ระบบเกียร์ : ZF 8 จังหวะ อัตโนมัติ
แรงบิดสูงสุด : 600 นิวตัน-เมตร
ความเร็วสูงสุด : 250 กม./ชม.
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. : 6.4 วินาที
อัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยเฉลี่ย / นอกเมือง / ในเมือง
6.2 / 5.2 / 7.8 ลิตร/100 กม.
ปริมาณไอเสีย โดยเฉลี่ย / นอกเมือง / ในเมือง
163 / 137 / 206 กรัม/กม.

          Maserati Ghibli Diesel
          Ghibli รุ่นใหม่ล่าสุด ทางมาเซอร์ราติ ออกแบบมาเพื่อให้เข้าอยู่ใน E-segment เป็นการผสมผสานระหว่างงานออกแบบเข้ากับคุณภาพในการขับขี่และสมรรถนะที่ดีเยี่ยม เป็นรถที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น เป็นรถสปอร์ตซีดานหรูที่น่าเย้ายวนใจเป็นอย่างยิ่ง
          Ghibli ถูกวางแผนว่าในปี 2015 ให้มีการผลิตเป็นจำนวน 50,000 คันต่อปี และจะเป็นรถธงรุ่นที่ 2 ของค่ายมาเซอร์ราติ ในขณะที่ Quattroporte จะสร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องของคุณภาพที่เต็มเปี่ยมไปด้วยผลงานด้านศิลปะ โดยจะทำการผลิตที่ Grugliasco ใกล้กับเมือง Turin
          Ghibli Diesel เป็นรถรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของมาเซอร์ราติที่ใช้เครื่องยนต์แบบดีเซล เครื่องยนต์ขนาด 3.0 ลิตร V6 สูบ ได้รับการพัฒนามาสำหรับมาเซอร์ราติโดยฝีมือของ VM Motori เฉพาะภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดโดย Paolo Martinelli ซึ่งดำรงตำแหน่ง Powertrain Director ในอดีตเขาเคยเป็นผู้ออกแบบเครื่องยนต์สำหรับรถแข่งฟอร์มูล่า วัน มาเป็นเวลายาวนาน
          เครื่องยนต์ดีเซลตัวนี้ถือว่าแรงที่สุดในคลาส ให้กำลังสูงถึง 275 แรงม้า ในขณะที่มีปริมาณ ไอเสียเพียงแค่ 158 กรัม/กม. เท่านั้น อัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่า 6.0 ลิตร/100 กม. ถังน้ำมันที่มีความจุขนาด 70 ลิตร เพียงพอต่อการเดินทางไกลเป็นระยะทางกว่า 1,000 กม. มีผลทำให้ Ghibli Diesel ได้ครองตำแหน่งแชมป์ในบรรดารถประเภท แกรนด์ ทัวริงค์ ที่ใช้น้ำมัน 1 ถังจะวิ่งได้เป็นระยะทางไกลที่สุด Ghibli Diesel ให้แรงบิดสูงสุดถึง 600 นิวตัน-ม. ที่รอบเครื่องยนต์ 2,000-2,600 รอบ/นาที (จากการโอเวอร์บูสต์ของเทอร์โบชาร์จ) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาเพียงแค่ 6.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
          เครื่องยนต์ออกแบบมาได้อย่างสวยงามราวกับงานศิลปะรวมไปถึง ระบบหัวฉีดแบบคอมมอนเรล ไดเรค อินเจคชัน ซึ่งในระบบจะมีแรงดันถึง 2,000 บาร์ หัวฉีดแบบมัลทิเพิลจะช่วยลดอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและระดับเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ลง ในขณะเดียวกันจะช่วยให้มีการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น และจากการใช้เทคโนโลยีเทอร์โบแบบแปรผัน จะทำให้เครื่องยนต์มีพละกำลังและแรงบิดที่สูงในรอบต่ำ ระบบ Start-Stop จะช่วยลดอัตราความสิ้นเปลืองและปริมาณไอเสียลงถึง 6% (ระบบนี้จะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติในขณะใช้โหมดสปอร์ต และเมื่อ ESC OFF ผู้ขับสามารถสั่งให้ระบบนี้หยุดทำงานโดยกดปุ่มเมนูที่ด้านขวาของวงพวงมาลัย)
Ghibli Diesel ยังคงมีเสียงเครื่องยนต์ที่ไพเราะอันเป็นเอกลักษณ์ของ Maserati จากการใช้ Maserati Active Sound technology มีตัวควบคุมเสียง 2 ตัวติดตั้งอยู่ที่บริเวณปลายหม้อพักท่อไอเสีย เพื่อให้เกิดโทนเสียงที่มีความพิเศษ ปรับคลื่นเสียงตามความเร็วรถที่ใช้อยู่ ผู้ขับสามารถปรับโทนเสียงได้ตามต้องการที่จะเกิดเสียงที่มีการสั่นสะเทือนสูงที่เป็นเอกลักษณ์ ผู้ขับสามารถเลือกให้มีความสปอร์ตและสุ้มเสียงที่ดุดันมากขึ้นเพียงแค่กดปุ่มปรับโทนเสียงเท่านั้นเอง

Ghibli Diesel
เครื่องยนต์ : 3.0 ลิตร V6 สูบ 60 องศา
กำลังสูงสุด : 275 แรงม้า
ระบบเกียร์ : ZF 8 จังหวะ อัตโนมัติ
แรงบิดสูงสุด : 600 นิวตัน-เมตร
ความเร็วสูงสุด : 250 กม./ชม.
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. : 6.3 วินาที
อัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง โดยเฉลี่ย / นอกเมือง / ในเมือง
5.9 / 4.9 / 7.8 ลิตร/100 กม.
ปริมาณไอเสีย โดยเฉลี่ย / นอกเมือง / ในเมือง
158 / 129 / 206 กรัม/กม.

          Maserati Granturismo MC Stradale
          มาเซอร์ราติได้ปรับแต่งทั้งทางด้านความงดงามและพละกำลังของ Granturismo MC Stradale ไปสู่เครื่องจักรกลที่มีความเร็วสูง แต่สามารถควบคุมบังคับได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยผสมผสานเข้ากับรูปทรงที่มีความงดงาม
การเปิดตัวครั้งแรกมีขึ้นในปี 2010 Granturismo MC Stradale รถสปอร์ต 2 ที่นั่งซึ่งได้รับการพัฒนาแนวความคิดมาจากรถแข่ง Trofeo จนกลายมาเป็น Granturismo คูเป้ และในปีนี้มาเซอร์ราติ ได้มีความคิดที่จะปรับให้รถรุ่นนี้ซึ่งเป็นสปอร์ต 2 ที่นั่ง น้ำหนักเบา ให้กลายมาเป็น รถสปอร์ต 4 ที่นั่ง ในนามของ Granturismo MC Stradale 2013
          ฝากระโปรงหน้าใหม่ทำจากวัสดุคาร์บอน-ไฟเบอร์ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยสร้างแรงกดในขณะใช้ความเร็วสูงและยังช่วยในเรื่องการระบายความร้อนอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีผลทำให้ Granturismo MC Stradale 4 ที่นั่ง มีน้ำหนักตัวที่ใกล้เคียงกับเวอร์ชัน 2 ที่นั่งด้วย (1,700 กก.) ซึ่งหมายความว่า Granturismo MC Stradale จะยังคงเป็นรถที่มีน้ำหนักเบาที่สุดและเร็วที่สุดในคลาสนี้ แม้ว่าจะให้ความสะดวกสบายสำหรับผู้ใหญ่ถึง 4 ที่นั่ง แทนที่รถยนต์แบบ 2 ที่นั่ง ซึ่งเคยผลิตออกมา การพัฒนาของ Granturismo MC Stradale ได้พิสูจน์แล้วว่า ทางมาเซอร์ราติไม่เคยละเลยในการให้ความสำคัญกับรถประเภท 2 ประตู คูเป้ แม้ว่าในระดับโลกจะหันไปมองเป้าหมายไว้ที่ Quattroporte รุ่นใหม่ล่าสุด
          Granturismo MC Stradale ติดตั้งเครื่องยนต์ที่ให้พละกำลังสูงสุดจากค่ายมาเซอร์ราติ แบบ V8 สูบ 4.7 ลิตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 303 กม./ชม. Granturismo MC Stradale เป็นรถที่มีกำลังสูงสุดถึง 460 แรงม้า (338 กิโลวัตต์) ในเวอร์ชั่นเครื่องยนต์ 4.7 ลิตร V8 สูบ จะทำงานร่วมกับเกียร์ที่มีน้ำหนักเบาและเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว แบบ 6 สปีด ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า ที่เรียกว่า “MC Race Shift” พื้นฐานจากรุ่น Granturismo Sport
          ในเวอร์ชันนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ที่ออกแบบมาอย่างคลาสสิค ขนาด 4.7 ลิตร V8 สูบ ชิ้นส่วนในเครื่องยนต์ได้รับการเคลือบมาเป็นอย่างดีเพื่อลดแรงเสียดทานซึ่งจะมีผลต่อการเพิ่มพละกำลังและประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง การวางตำแหน่งระบบเกียร์นอกจากจะมีผลให้ Granturismo MC Stradale มีการกระจายน้ำหนัก หน้า : หลัง ที่ใกล้เคียงกันในอัตรา 48:52 แล้ว ยังมีผลทำให้ต่อการเปลี่ยนตำแหน่งไปสู่เกียร์ที่สูงขึ้นในเวลาเพียง 60/1000 วินาที เทียบได้ว่าเร็วกว่าการกระพริบตา 1 ครั้งถึง 5 เท่าตัว
          ภายในห้องเกียร์จะติดตั้งเฟืองท้ายแบบ ลิมิเต็ด-สลิพ มาให้อย่างสมดุลด้วย ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดถ่ายทอดกำลังตามการใช้งานในขณะนั้น แบ่งออกเป็น Automatic, Sport และ Race modes ในแต่ละระดับจะมีการตอบสนองอัตราเร่งที่แตกต่างกัน รวมไปถึงเสียงจากท่อไอเสียและระบบป้องกันล้อหมุนฟรี เป็นประสบการณ์ที่ได้รับจากสนามแข่งรถ การทำงานของเกียร์จะอนุญาตให้ลดตำแหน่งเกียร์ลงต่ำได้ทีละตำแหน่งโดยผู้ขับขี่สามารถควบคุมไม่ให้เกียร์ลดตำแหน่งลงได้โดยใช้นิ้วดึงไว้ที่แป้น แพดเดิล ชิฟท์ ขณะเบรก และระบบจะยอมเปลี่ยนให้เกียร์ลงในสู่ตำแหน่งที่ต่ำลงไปได้ตามปกติก็ต่อเมื่อแป้นแพดเดิลถูกปลดปล่อยออก
          จากการที่ Granturismo MC Stradale เป็นรถที่มีสมรรถนะสูง ระบบเบรกจึงต้องมีพละกำลังตามไปด้วย ทางผู้ผลิตได้เลือกใช้จานเบรกแบบเซรามิคทั้ง 4 ล้อ ลูกสูบเบรกตัวหลักจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 27 มม. ให้พละกำลังในการหยุดรถที่สูง มีระยะการทำงานที่สั้นกว่ารถธรรมดาทั่วไป จานเบรกด้านหน้ามีขนาด 380 x 34 มม. แคลิเปอร์เบรกมี 6 สูบ ในขณะที่จานเบรกด้านหลังมีขนาด 360 x 32 มม. แคลิเปอร์เบรกมี 4 สูบ วงล้อฟอร์จน้ำหนักเบาขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางที่ได้รับการพัฒนามาจาก Pirelli รุ่น PZero Corsa ยางหน้าขนาด 255/35 ZR20 ด้านหลังขนาด 295/35 ZR 20 ให้การยึดเกาะถนนขณะเข้าโค้งได้อย่างยอดเยี่ยม ระบบรองรับและแชสซีส์ ได้รับการออกแบบมาเพื่อการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพบนแทรค โดยที่มิได้ละเลยการนำรถมาใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย แชสซีส์ได้รับการพัฒนาให้รถรุ่นนี้ขับง่าย รวมไปถึงความสะดวกสบายเท่าที่สามารถจะทำได้ ตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติ จากการที่ฐานล้อยาวจะช่วยเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่ได้เป็นอย่างดีฐานล้อขนาด 2,938 มม. มีส่วนสำคัญอย่างมาก แต่ประสิทธิภาพในการควบคุมบังคับรถในสภาพต่างๆ สามารถเปลี่ยนความรู้สึกในการขับขี่จากความดุดัน ก้าวร้าว ของรถสำหรับวิ่งในสนามแข่งมาสู่รถถนนใช้งานประจำวัน หรือ การขับด้วยความเร็วสูงบนออโทบาร์น รถจะสามารถรองรับอารมณ์ที่หลากหลายของนักขับได้เป็นอย่างดี จากการปรับสภาพรถแข่งให้สามารถนำมาใช้งานบนท้องถนนอย่างถูกกฎหมาย ความสูงของตัวรถด้านหน้าถูกปรับให้ลดต่ำลง 10 มม. ที่ด้านหน้า และ 12 มม. ที่ด้านหลัง เมื่อเทียบกับมาตรฐานของรุ่น Granturismo sport เพื่อให้การควบคุมบังคับทำได้อย่างดีเยี่ยมในบุคลิกของ super-sports car ที่สามารถรองรับการใช้งานในระดับสูงสุด ตัวรถได้รับการพัฒนาให้มีความสะดวกสบาย, ล้ำสมัย, สมดุล และให้ความสุนทรีภาพแก่ผู้ขับขี่ทุกท่าน
          ในขณะที่ Race modes ได้ถูกออกแบบมาในการทำความเร็วต่อรอบได้อย่างรวดเร็วที่สุด แต่ยังคงไว้ซึ่งความปลอดภัยในระดับสูงอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รถรุ่นนี้มีผลดีในด้านอากาศพลศาสตร์ คือ การเลือกใช้ฝากระโปรงหน้าทำจากวัสดุ คาร์บอน-ไฟเบอร์ ซึ่งได้รับบทเรียนมาจากรถแข่ง Trofeo และ GT4 ฝากระโปรงมีส่วนช่วย 2 ประการ คือ ช่วยลดน้ำหนักด้านหน้าลงและทำให้มีแรงกดที่ด้านหน้ารถเพิ่มขึ้นถึง 25% ในขณะรถวิ่งด้วยความเร็ว 140 กม./ชม. การพัฒนาที่อาศัยประสบการณ์จากข้อมูลที่ได้รับจากสนามแข่งและการทดสอบด้วยคอมพิวเตอร์ในเรื่องของการค้นคว้าด้านอากาศพลศาสตร์ ฝากระโปรงหน้าแบบใหม่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงในขณะใช้ความเร็วสูง โดยไม่เพิ่มการต้านลมที่จะมีแรงดันเกิดขึ้นบริเวณใต้ฝากระโปรง
          นอกจากฝากระโปรงหน้าทำจาก คาร์บอน-ไฟเบอร์ ซึ่งจะมีผลดีด้านอากาศพลศาสตร์แล้ว สปอยเลอร์ใต้กันชนด้านหน้า รวมไปถึงแผ่นสเกิร์ตด้านข้างตัวรถ กันชนด้านท้ายรถ และสปอยเลอร์หลังที่ติดตั้งอยู่บนฝากระโปรงท้าย ล้วนแต่มีผลต่อความมั่นคงของตัวรถขณะใช้ความเร็วสูงทั้งสิ้น การออกแบบในส่วนต่างๆ ของตัวรถเพื่อเพิ่มแรงกด และเป็นการนำอากาศเข้าไประบายความร้อนให้กับเครื่องยนต์และระบบเบรก และพยายามทำให้กระแสลมที่หมุนเวียนอยู่บริเวณใต้ท้องรถให้มีปริมาณน้อยที่สุด
          กระจังหน้าสีดำตัดกับเครื่องหมายตรีศูลสีแดง เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาของ Maserati ในสายพันธุ์ MC แต่ภายในตัวรถ Maserati Granturismo MC Stradale กลับมีการพัฒนาอย่างมากมาย เช่น เบาะนั่งน้ำหนักเบาทั้ง 4 ตัว ถูกทดแทนด้วยเบาะ 2 ตัว ในเวอร์ชัน 2 ที่นั่ง ของรถในปี 2010 เบาะคู่หน้าทำจาก คาร์บอน-ไฟเบอร์ น้ำหนักเบา แต่ยังคงความหรูหราที่เป็นเอกลักษณ์ของมาเซอร์ราติด้วยการนำมาบุด้วยหนังแท้สลับกับ Alcantara พนักพิงศีรษะของเบาะนั่ง 4 ตำแหน่งออกแบบมาเพื่อรองรับการกระแทกของศีรษะได้อย่างปลอดภัยในยามเกิดอุบัติเหตุตามปกติของการตกแต่ง เบาะนั่งจะถูกคาดด้วยสีเทาเข้ม แต่เบาะนั่งสามารถเปลี่ยนวัสดุมาเป็น Alcantara ที่เดินเส้นตามขอบด้วยด้ายสีแดงคู่เพื่อให้เข้ากับสีแดงที่สัญลักษณ์ตรีศูลที่กระจังด้านหน้า
          Maserati Granturismo MC Stradale มีพวงมาลัยที่เป็นอุปกรณ์พิเศษให้เลือกติดตั้งเพิ่มถึง 3 รูปแบบ ทุกแบบจะมีปุ่มควบคุมแบบ มัลติฟังก์ชัน และด้านใต้วงพวงมาลัยจะมีลักษณะเรียบตรงไม่โค้งไปตามแนวของวงพวงมาลัย คุณสามารถเลือกวัสดุหุ้มพวงมาลัยว่าจะเป็นหนังแท้ทั้งหมดหรือเป็นหนังแท้สลับกับ Alcantara หรือจะเป็นหนังแท้สลับคาร์บอน-ไฟเบอร์ ก็ย่อมทำได้ตามที่คุณปรารถนา เพื่อเพิ่มบุคลิกที่ดุดันมากขึ้นในการตกแต่งภายในรถ ใน Maserati Granturismo MC Stradale จะมีแป้นแพดเดิล ชิฟท์ สำหรับเปลี่ยนเกียร์ ทำจากวัสดุอัลลอยซึ่งมีความยาวมากกว่า Granturismo รุ่นอื่นๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนเกียร์ในสถานการณ์ต่างๆ

          Maserati Centenry
          ในปี 2014 มาเซอร์ราติเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี นับตั้งแต่ Alfieri, Ettore และ Ernesto Maserati ได้ทำการเปิด workshop เป็นครั้งแรกที่เมือง Bologna ในวันที่ 1 ธันวาคม 1914 มาเซอร์ราติได้จัดงานเฉลิมฉลอง 100 ปี ด้วยความยิ่งใหญ่ทั่วทั้งโลก งานฉลองเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม 2013 ซึ่งเป็นวันที่บริษัทฯ เริ่มต้นเข้าสู่วาระ 100 ปี และจะทำการฉลองไปอีกเป็นเวลา 12 เดือนเต็มจนถึงเดือน ธันวาคม 2014 การเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกจัดขึ้นที่เมือง Modena ซึ่งเป็นเมืองที่ทางมาเซอร์ราติ ได้ย้ายมาทำการอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 1933 และในปัจจุบันสำนักงานใหญ่ของ มาเซอร์ราติตั้งอยู่ที่เมืองนี้ จากเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม Museo Casa Enzo Ferrari จะเป็นเจ้าภาพในการจัดนิทรรศการในวาระครบรอบ 100 ปี ของมาเซอร์ราติในเดือนกันยายน มาเซอร์ราติ ทั่วโลกมีการรวมตัวกันที่เมือง Modena อย่างเป็นทางการ โดยมีมาเซอร์ราติรุ่นเก่าจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันกว่า 300 คัน

          บริษัท เอ็มไพร์ มอเตอร์ สปอร์ต จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มาเซอร์ราติอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย สำนักงานใหญ่ โทร. 0-2900-5353 และสาขาสยามพารากอน โทร. 0-2610-9441
          ฝ่ายการตลาด: โทรศัพท์ 0-2900-5353 ต่อ 41 หรือ 080-077-7881
          อี​เมล์ waew@ferma.co.th

MSN on December 01, 2014, 04:02:18 PM
The Maserati at the Thailand International Motor Expo 2014









   This centenary concept explores Maserati’s stylistic heritage and hints at the brand’s future design language
          As a landmark event for Maserati in Thailand, Empire Motor Sport, the sole authorized dealer and service provider in Thailand, is proud to be a part of the Thailand International Motor Expo 2014. At this event, the current line-up of Maserati models will be on display including the newly launched Ghibli and Quattroporte Diesel models, new for the 2015 season as well as the iconic Maserati GranTurismo MC Stradale.
          In this, its 100th year, the Maserati company is racing forward. An ambitious plan that took off in 2013 with the presentation of the Quattroporte and Ghibli models is transforming the Italian manufacturer into a serious player in the premium sports car segment. In just one year, from 2012 to 2013, global sales increased by 150%, from 6,200 to 15,400 cars.
          Today, Maserati, a global automotive player with a complete model range, will be displaying a sample of three four-door saloons and one two-door GranTurismo MC Stradale exhibiting four engine types (twin turbos 3.8L V8 and 3.0L V6, a 4.7L V8 and 3.0L V6 turbo Diesel).

          Maserati Quattroporte Diesel
          With the original Quattroporte in 1963, Maserati invented the concept of the luxury sports sedan and the new Quattroporte continues to be the benchmark for high quality engineering, supercar performance and limousine comfort.
          Maserati launched the all-new Maserati Quattroporte in 2013. The sixth-generation model delivers a leap forward that not only sets the high-technology tone for Maserati’s upcoming new-model onslaught, but also remains faithful to Maserati’s long history. The flagship of the Maserati product range is larger, lighter, more luxurious and more practical than the globally acclaimed car it replaces.
          The powerful engine and the large cabin are at the core of the Quattroporte’s design, dominated by a long, powerful nose and a concave Trident grille and providing a clear link to both the outgoing Quattroporte and the GranTurismo.
          Maserati’s new diesel engine, a 3.0 litre V6 Turbo, has been specifically developed by VM Motori according to Maserati’s requirements in terms of performance, efficiency and driving satisfaction.
The excellent technological characteristics of this power unit are based on a variable geometry turbocharger (VGT) with ball bearing to reduce internal friction and consequently turbo lag. Specific, high-efficiency injectors coupled with a 2000 bar fuel injection system optimise combustion, while variable geometry intake manifolds optimise output at all engine speeds. Specific steel double thin wall exhaust manifolds with Air Gap technology maintain a higher exhaust gas temperature, energise the flow of exhaust gas and contribute to the high specific power delivered.
          These features lend this new Maserati the dynamic characteristics that have always distinguished all Maserati power units. The Quattroporte Diesel delivers 600 Nm of torque between 2000–2600 rpm and a maximum power of 275 hp at 4000 rpm. The engine accelerates the Quattroporte from 0-100 km/h acceleration in 6.4 seconds up to a maximum speed of 250 km/h. With a CO2 figure of 163 g/km and fuel consumption of less than 6.2 l /100 km (combined) the Maserati Quattroporte is also highly efficient.
          The characteristic Maserati exhaust sound is one of the most desirable features of any Maserati product. Thanks to the Maserati Active Sound technology the Quattroporte Diesel exhaust system produces a characteristic Maserati sound that underlines the sporting nature of the car and can be varied at the touch of a button. Two sound actuators, fitted near the exhaust tailpipes, accentuate the engine’s most distinctive tones and modulate them according to the way the car is being driven. When the driver presses the Sport button on the central tunnel, the sound becomes even more resonant and utterly inspiring.

Quattroporte Diesel
Engine: 3.0L V6
Power: 275 hp
Transmission: ZF Eight Speed Automatic Gearbox
Torque: 600 Nm
Top Speed: 250 km/h
Acceleration 6.4s 0-100km/h
Consumption combined / extra-urban / urban: 6.2 / 5.2 / 7.8 (l/100 km)
CO2 emissions combined / extra-urban / urban: 163 / 137 / 206 (g/km)

          Maserati Ghibli Diesel
          With the all-new Ghibli Maserati enters the E-segment by combining breath-taking design with exceptional handling qualities and outstanding performance. Making inspirational motoring more accessible, Maserati’s new 4-door sports executive sedan appeals to the heart, the head and the soul.
The Ghibli provides a cornerstone in Maserati’s plan to build 50,000 cars a year by 2015. It is the second model after the flagship, the Quattroporte, to be manufactured to new benchmark quality standards in Maserati’s new state-of-the-art production facilities in Grugliasco close to Turin.
          The Ghibli Diesel is the first ever diesel-powered car in Maserati’s history. The 3.0 litre V6 has been exclusively developed for Maserati under the watchful eye of Powertrain Director Paolo Martinelli, a legendary ex-Ferrari F1 engine designer. This new engine produces a best-in-its-class power output of 275 hp, while still achieving a CO2 figure of 158 g/km. A fuel consumption of less than 6.0 l /100 km and a 70-litre tank ensure a long range of over 1,000 kilometres, making the Ghibli Diesel a real grand touring long-distance champion.
          The Ghibli Diesel boasts a maximum torque of 600 Nm between 2000-2600 rpm (with overboost turbocharging). It accelerates from 0 to 100 km/h in 6.3 seconds before going on to a top speed of 250 km/h.
          The state-of-the-art engine includes a Common-Rail direct injection with a system pressure up to 2,000 bar. Multiple injections reduce fuel consumption and noise levels while also improving responsiveness and agility. In addition, the variable geometry turbocharger with variable nozzle turbine allows the engine to deliver both a high output and high torque from low revolutions.
          The Start&Stop-System allows to further reduce consumption and CO2 emissions up to 6% (automatically disabled in Sport Mode and ESC OFF mode). It can be deactivated from the cluster display controls available on the right menu button of the steering wheel.
          The Ghibli Diesel sounds like a Maserati should, thanks to the Maserati Active Sound technology. Active Sound gives an emotional sound signature to the exhaust note. Two sound actuators, fitted near the exhaust tailpipes, accentuate the engine’s most distinctive tones and modulate them according to the way the car is being driven. Depending on the requirement, the actuator is stimulated to produce the desired sound signature. The driver can select a more sporty and aggressive sound with the touch of a button.

Ghibli Diesel
Engine: 3.0L 60°V6
Power: 275 hp
Transmission: ZF Eight Speed Automatic Gearbox
Torque: 600 Nm
Top Speed: 250 km/h
Acceleration 6.3s 0-100km/h
Consumption combined / extra-urban / urban: 5.9 / 4.9 / 7.8 (l/100 km)
CO2 emissions combined / extra-urban / urban: 158 / 129 / 206 (g/km)

          Maserati Granturismo MC Stradale
          Maserati has turned its beautiful and potent GranTurismo MC Stradale into a machine that is just as fast but even more practical, technically advanced and even more beautiful.
          First launched in 2010, the two-seat GranTurismo MC Stradale took development ideas from its Trofeo racing cars seamlessly blending them into its GranTurismo coupe. This year Maserati took those ideas and evolved its light-weight two-seat super coupe into the four-seat 2013 GranTurismo MC Stradale.
          Its all-new carbon-fibre bonnet not only creates high-speed downforce and improves cooling, but also means the four-seat GranTurismo MC Stradale retains almost the same dry weight as the discontinued two-seat version (1700 kg.). This means it continues to be the lightest and fastest car in the Maserati GranTurismo range, even though it now offers comfort to four adults instead of two.
          The ongoing development of the GranTurismo MC Stradale also proves that Maserati has not neglected the importance of its two-door coupe range even with the world’s focus on its all-new Quattroporte model.
          Powered by the most potent version of Maserati’s 4.7-litre V8 engine, the GranTurismo MC Stradale hits 100km/h in just 4.5 seconds on its way to a top speed of 303km/h.
          GranTurismo MC Stradale utilizes the most powerful 460CV (338kW) version of the 4.7-litre V8 and mates this to the lightning-fast gear shifts from its six-speed electro-actuated “MC Race Shift” transaxle gearbox.
          Drawn from the GranTurismo Sport, this version of the classic 4.7-litre V8 benefits from diamond-like coating of its tappets and camshaft lobes as part of Maserati’s Low Friction Program to be both powerful and fuel efficient.
          The transaxle gearbox layout not only helps the GranTurismo MC Stradale to retain an ideal 48:52 front-to-rear weight distribution, but also incorporates the brilliant MC Race gear shifting strategy that allows it to change to higher gears in just 60 ms, 5 times faster than a blink of an eye. The transaxle layout means that it sits in the same housing as the asymmetrical limited slip differential.
          The powertrain package also delivers its drivers the choice of Automatic, Sport and Race modes, with each level delivering additional rewards in the throttle response, the exhaust note and the skid-control systems.
          In another lesson drawn from its racing experiences, the gearbox also offers Sequential Downshifting, where the driver can simply hold the downshift paddle in while braking and allow the car to change to sequentially lower gears until the paddle is released.
          All of the dynamic performance the GranTurismo MC Stradale generates is backed up by some of the most powerful brakes in production, with enormous carbon-ceramic brake discs at all four corners.
The brake master cylinder has a diameter of 27mm to add consistent power and to deliver a shorter pedal stroke than the standard car. The front brake package has 380mm x 34mm brake discs and six-piston calipers, while the rear has 360mm x 32mm discs and four-piston calipers.
          It also rides four 20-inch forged alloy wheels that are lighter than the standard wheels, while Pirelli has developed its PZero Corsa tyres (255/35 ZR20 at the front and 295/35 ZR20 at the rear) specifically to deliver more mid-corner grip and progression for this layout.
          The suspension and chassis layout enhance the already-impressive track performance of the GranTurismo MC Stradale without losing any of its abilities as a day-to-day car.
          Its chassis poise was developed to be easy to drive and as comfortable as possible to retain all of the inherent handling, ride and stability benefits of the GranTurismo’s long wheelbase.
          This long (2938mm) wheelbase is the key which unlocks the GranTurismo MC Stradale’s broad range of handling abilities across different conditions, allowing it to switch from a super-aggressive track car to a city commuter or autobahn express in the time it takes for the driver’s mood to change.
It has the speed to be a road-legal racing car, with its ride height lowered by 10mm at the front and 12mm at the rear compared to the standard GranTurismo Sport, yet it has the progressive handling to be considered an extremely usable super-sports car.
          The car has been developed specifically to be comfortable, progressive, balanced and entertaining for all drivers, while its Race mode is designed to deliver fast lap times in complete security.
          Another key to the delivery of this potential has been the retention of the 2012 GranTurismo MC Stradale’s aerodynamic benefits with the addition of the sculpted carbon-fibre bonnet. With lessons take directly from the Trofeo and GT4 racing programs, the bonnet contains an air inlet vent and two hot air extraction vents and delivers the twin benefits of reducing weight and adding 25 percent more frontal downforce at 140 km/h.
          Developed from both track feedback and complex computational fluid dynamics (CFD) research, the new bonnet adds high-speed stability without increasing drag, largely by relieving under-bonnet pressure.
          The new carbon-fibre engine cover joins a host of other Trofeo-derived aerodynamic updates that add high-speed stability and efficiency through the air. These include a deep front splitter integrated into the front bumper, deep functional side skirts, a re-profiled rear bumper and a pronounced rear lip spoiler on the boot.
          All of these units combine as one integrated aerodynamic device to use the entire length of the car to generate downforce and to refocus the air from the engine and brake cooling systems into areas of maximum downforce and minimum turbulence.
          Its black grille and the red accents on the Trident mark it as one of Maserati’s MC range even to casual observers, but some of the biggest developments have been inside the Maserati GranTurismo MC Stradale, where four lightweight seats replace the two seats from the discontinued 2010 two-seat version.
          Front seats utilize carbon fibre back to achieve their low weight and also cater for Maserati’s traditional luxury with a combination of leather and Alcantara trims. All four seats also have integrated head restraints for safety and support.
          The standard trims are soft black. The seats can be delivered with grippy Alcantara with “drilled” perforations to achieve a stylish, practical finish, coupled with red stitching to match the accents on the grille’s Trident.
          The Maserati GranTurismo MC Stradale has three steering wheel options, all of which have multi-function buttons and a flat-bottomed section on the circumference.
          They can be delivered in full leather, a combination of leather and Alcantara or a combination of leather and carbon-fibre.
          To continue its more aggressive interior theme, the Maserati GranTurismo MC’s gearshift paddles are longer than those in other GranTurismos to facilitate easier gear shifting in more demanding driving situations, and come in concert with drilled alloy pedals.

          Maserati Centenary
          Maserati celebrated its centenary in September of 2014. One hundred years have passed since Alfieri, Ettore and Ernesto Maserati opened their first workshop in Bologna on December 1, 1914.
Maserati celebrated 100th anniversary in grand style all over the world. Celebrations started on December 2, 2013, the day the company entered its 100th year and will last for twelve whole months until December 2014.
          The epicentre of these truly global celebrations was held in Modena, the town to which Maserati moved in 1939 and where the company’s global HQ is still located.
          From June through December the Museo Casa Enzo Ferrari hosted a special exhibition dedicated to the Maserati centenary. In September, the official international Maserati gathered bringing to Modena at least 300 vintage Maseratis from all over the world.

MSN on December 01, 2014, 04:03:38 PM
นิสสัน เอ็กซ์เทรล ใหม่ พร้อมให้ยลโฉม ที่งานไทยแลนด์อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2014








 
          - นิสสันเปิดตัว รถรุ่นใหม่ นิสสัน เอ็กซ์เทรล และ อัลเมร่า สปอร์ตเทค
          - ดีไซน์ใหม่ทั้งรถและการจัดแสดงบูธ ที่ตอกย้ำความเป็นนวัตกรรมที่ตื่นเต้น เร้าใจ

          นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จัดแสดงกระบวนรถยนต์ระดับโลกที่เน้นย้ำคำมั่นสัญญาของบริษัทในการสร้างนวัตกรรมที่ตื่นเต้นเร้าใจ นอกเหนือจากการจัดแสดงรถที่ดึงดูดใจแล้ว นิสสันยังมีข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับรถทุกรุ่นเพื่อเป็นของขวัญปลายปีให้กับลูกค้าในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปครั้งนี้
          ในงานนี้ นิสสันได้นำรถทุกรุ่นมาจัดแสดง ซึ่งรวมถึง นิสสัน เอ็กซ์เทรล รุ่นใหม่ล่าสุด รถผู้นำเทรนด์ อัลเมร่า สปอร์ตเทค และรถกระบะแข็งแกร่งอย่างมีสไตล์ เอ็นพี 300 นาวารา
          นิสสัน เอ็กซ์เทรล ใหม่ ที่นิสสัน เชื่อมั่นว่า จะเป็นรถอเนกประสงค์ ที่จะได้รับความนิยมในประเทศไทยเนื่องจากเป็นรถที่มีนวัตกรรมใหม่ ที่ใช้เป็นครั้งแรกในโลกและในระดับกลุ่มรถอเนกประสงค์ในระดับเดียวกัน ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับผู้ผลิตรายอื่น และด้วยประสบการณ์กว่า 80 ปีของความรู้และความเชี่ยวชาญไปทั่วโลกพร้อมกับความน่าเชื่อถือระดับตำนาน ทำให้เอ็กซ์เทรล รุ่นใหม่นี้ ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการรถคุณภาพที่พรั่งพร้อมด้วยสมรรถนะการทำงานที่ยอดเยี่ยมอีกทั้งยังประหยัดและปลอดภัย
          นิสสัน เอ็กซ์เทรล ใหม่ มาพร้อมระบบเครื่องยนต์สมรรถนะสูงสองรุ่นที่ได้รับการพัฒนาให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น รูปโฉมภายนอกถูกปรับเปลี่ยนรวมถึงฐานล้อที่ยาวขึ้น และการออกแบบรูปทรงใหม่ ที่ทำให้หลุดจากรูปลักษณ์ความเป็นกล่อง การตกแต่งภายในหรูหรากว่ารถในกลุ่มเดียวกัน รวมถึงความพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้การขับขี่รถเอ็กซ์เทรลนั้นเต็มไปด้วยประสบการณ์การขับขี่ที่รื่นรมย์
          รถอีกรุ่นที่เปิดตัวพร้อมเอ็กซ์เทรล ใหม่ คือ นิสสัน อัลเมร่า รุ่น สปอร์ตเทค ใหม่ อัลเมร่าเป็นรถอีโค คาร์ ซีดาน ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย ดังนั้นอัลเมร่ารุ่นใหม่นี้ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้นิยมความเป็นรถสปอร์ต ท่านจะได้พบกับกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมช่องกันชนล่างลายรังผึ้งแบบสปอร์ต กระจังหน้า
          แบบโครเมียม รมดำ สเกิร์ตด้านข้างและด้านหลัง ไฟหน้าฮาโลเจนพร้อมด้วยภายในสีโครเมียม รมดำ ไฟส่องสว่าง เวลากลางวัน พร้อมกับล้ออัลลอยด์ใหม่ขนาด 15 นิ้ว สีรมดำพิเศษ และโลโก้รุ่นด้านท้าย Sportech
          และพวงมาลัยหุ้มหนัง ทั้งหมดนี้เป็นการออกแบบเพื่อให้อัลเมร่า สปอร์ตเทค เป็นรถที่ดูทันสมัยแต่เต็มไปด้วยพละกำลัง รถที่ร่วมแสดงด้วยอีกคันได้แก่เอ็นพี 300 นาวารา ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ทำการเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทยเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
          เอ็นพี 300 นาวารา เป็นรถกระบะของนิสสันรุ่นที่ 12 กระบะของนิสสันนั้นมีชื่อเสียงยาวนานในเรื่องความแข็งแกร่งและทนทาน และเป็นที่นิยมอย่างสูงในรถกลุ่มเดียวกัน รุ่นล่าสุดนี้นำเสนอความสะดวกสบายแบบใหม่ รวมถึงเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำจากประสบการณ์ที่มีมาทั่วโลก นิสสัน เอ็นพี 300 นาวาราจึงเป็นรถที่ตอบสนองต่อความต้องการส่วนบุคคลหรือผู้เป็นเจ้าของธุรกิจ เพิ่มความเป็นพิเศษมากขึ้นในวันนี้ด้วย เอ็นพี 300 นาวาร่า รุ่น King Cab Calibre S ลิมิเต็ด เวอร์ชั่น ซึ่งมีจำนวนจำกัด โดยได้มีการเพิ่มอุปกรณ์ชุดแต่งให้กับลูกค้าฟรีด้วยคิ้วกระจังหน้า ขอบไฟหน้า และกันชนหน้าโครเมียม พร้อมพื้นปูกระบะท้ายหรือเพิ่มเบดไลน์เนอร์
          “ในปีนี้นิสสันต้องการตอกย้ำคำสัญญาที่มีให้แก่ประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากโรงงานผลิตรถยนต์แห่งที่สองที่ลงทุนด้วยเงิน 1.1 พันล้านบาทได้เปิดทำการแล้ว และบริษัทได้ทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่นสำคัญๆ หลายรุ่น ดังที่ท่านได้เห็นในงานครั้งนี้ รถยนต์ที่เรานำมาแสดงทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงดีเอ็นเอของแบรนด์นิสสันคือ “นวัตกรรมที่เร้าใจ” จะเห็นได้ว่าลูกค้าได้ให้การตอบรับอย่างดีต่อรถรูปลักษณ์ใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันก้าวล้ำของเอ็กซ์เทรลและรถกระบะเอ็นพี 300 นาวารา โดยเราคาดว่ายอดขายน่าจะเป็นดังที่ตั้งไว้แม้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย” นาย ฮิโรยูกิ โยชิโมโตะ ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าว
          บูธของนิสสันในงาน Thailand International Motor Expo ครั้งที่ 31 นี้ถูกออกแบบโดยทีมผู้เชี่ยวชาญการสร้างสรรค์เทคโนโลยีพร้อมกับอุปกรณ์สื่อสารรูปแบบต่างๆ ภายใต้พื้นที่ 1,452 ตารางเมตร ภายใต้วงแหวนแห่งประสบการณ์ โดยจะเน้นการถ่ายทอดสัมผัสแห่งความปิติยินดีที่นำเสนอจากความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจในอดีตของนิสสันในฐานะที่เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตยานยนต์ที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก
          นอกจากนี้ นิสสันได้นำเสนอสิ่งน่าสนใจรูปแบบใหม่ได้แก่การใช้พลังของกลิ่นหอม ซึ่งนับได้ว่าเป็นครั้งแรกในการจัดงานแสดงมอเตอร์โชว์ในประเทศไทย โดยนิสสันได้เริ่มใช้นวัตกรรมของการสร้างกลิ่นหอมในบูธให้กับผู้เยี่ยมชมพื้นที่ของนิสสันในงานปารีสมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผู้ชมพื้นที่ในบูธนิสสันต่างชื่นชมในกลิ่นหอมของอโรมาที่ฟุ้งกระจายซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกสงบและผ่อนคลายภายใต้บรรยากาศความ
          พลุกพล่านและวุ่นวายของงานเอ็กซ์โป ระบบกลิ่นอโรมาแบบเดียวกันนี้จะช่วยสร้างบรรยากาศความสงบสุขและเยือกเย็นที่บูธนิสสันในกรุงเทพ
          นอกเหนือจากขบวนรถยนต์หลากหลายรุ่น และข้อมูลนวัตกรรมอื่น ๆ ที่นิสสันได้นำมาจัดแสดงแล้ว นิสสันยังมีข้อเสนอที่น่าสนใจส่งท้ายปีให้กับลูกค้าผู้สนใจมากมาย ครบทุกรุ่น ไม่ว่าจะเป็นดาวน์ต่ำ หรืออัตราดอกเบี้ย 0% หรือโปรแกรมการผ่อนชำระแบบพิเศษกับนิสสัน อีซี่เปย์ รวมทั้งข้อเสนอพิเศษอื่นๆ โดยท่านสามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นิสสันเวปไซต์ หรือเพียงแต่เข้ามาเยี่ยมชมบูธนิสสันในงานตั้งแต่วันที่  29 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2014 ที่เมืองทองธานี

MSN on December 01, 2014, 04:05:01 PM
วอลโว่ S60 Polestar STCC โชว์สมรรถนะระดับแชมป์โลก บุกมอเตอร์เอ็กซ์โปด้วยทัพวอลโว่เครื่องยนต์แรง ประหยัดเชื้อเพลิง พร้อมโปรโมชั่นโดนใจ








 
          วอลโว่ยกต้นฉบับความแรงจากสนามแข่งระดับโลกบุกมอเตอร์เอ็กซ์โป 2014 ส่ง “S60 Polestar STCC” ตัวจริงที่คว้าแชมป์ Swedish Touring Car Competition (STCC) 2 ปีซ้อนตรงจากสวีเดนมาโชว์ตัวให้คนไทยได้ยลโฉมกันแบบเต็มๆ พร้อมนำขบวนรถยนต์วอลโว่ที่มาพร้อมเครื่องยนต์สมรรถนะสูงแต่ประหยัดเชื้อเพลิง ครบเครื่องด้วยนวัตกรรมความปลอดภัยเหนือระดับ ให้ลูกค้าขับสนุก มั่นใจ ปลอดภัยทุกเส้นทาง รวมทั้งโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะในงาน
          นางฉันทนา วัฒนารมย์ ประธาน บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “งานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2014 เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่คนไทยจะได้สัมผัสกับความเหนือชั้นด้านสมรรถนะของวอลโว่ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์รถแข่งระดับโลกตัวจริงของวอลโว่ S60 Polestar STCC ที่เพิ่งคว้าชัยชนะใน STCC มาหมาดๆ เป็นปีที่ 2 ซึ่งเรานำมาโชว์เป็นไฮไลต์ในงานปีนี้ สุดยอดสมรรถนะของเครื่องยนต์ทรงพลังแห่งอนาคต Drive-E Powertrains ในรถยนต์รุ่นใหม่ของวอลโว่ที่นำมาโชว์ในงาน ซึ่งเป็นเครื่อง 4 สูบ พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ให้พลังเท่ากับรถ 6 สูบในปัจจุบันแต่ประหยัดและปล่อยไอเสียต่ำกว่า รวมทั้งเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยระดับโลกที่ช่วยให้คุณใช้สมรรถนะของรถยนต์วอลโว่เต็มที่ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณจะได้สัมผัสด้วยตนเองที่บูธวอลโว่”

          สุดยอดสมรรถนะระดับโลก - วอลโว่ S60 Polestar STCC
          วอลโว่ S60 Polestar STCC สีฟ้าสดใสที่เป็นสัญลักษณ์ของทีมวอลโว่ โพลสตาร์ เรซซิ่ง พัฒนาขึ้นจากความร่วมมือระหว่างวอลโว่และ Polestar ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยียานยนต์ เพื่อให้ได้รถยนต์สมรรถนะสูงสุดสำหรับการประลองความเร็วและแม่นยำในสนามแข่ง Swedish Touring Car Competition หนึ่งในรายการแข่งรถยนต์ที่ทั่วโลกจับตามอง วอลโว่ S60 Polestar STCC ติดตั้งเครื่องยนต์ 6 สูบ ความจุ 3500 ซีซีให้พลังสูงสุด 420 แรงม้า เกียร์ 6 สปีดแบบซีเควนเชียล แรง ตอบสนองทันใจ และเป็นพาหนะสำคัญที่ทำให้เท็ด บียอร์ค นักแข่งมือฉกาจที่หาตัวจับยากของทีมวอลโว่ โพลสตาร์ คว้าแชมป์รายการนี้มาได้ถึง 2 ปีซ้อน โดยในปี 2557 นี้ วอลโว่ ครองแชมป์ทั้งประเภทนักขับ และประเภททีม ทำให้ทีมวอลโว่พร้อมจะลงสู่สนามแข่งในปีหน้าด้วยแต้มต่อที่เหนือกว่าคู่แข่ง
          จากสนามแข่งสู่รถบ้าน – Drive-E Powertrains และ Polestar Performance Optimisation
          จากประสบการณ์กว่า 10 ปีในสนามแข่ง โพลสตาร์และวอลโว่ร่วมกันนำความรู้ ความชำนาญและประสบการณ์จากสนามแข่งมาร่วมกันพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่ในรถยนต์วอลโว่ ทั้งในรูปของเครื่องยนต์ใหม่ Drive-E Powertrains พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด และชุดเพิ่มสมรรถนะ Polestar Performance Optimisation เพื่อเพิ่มสมรรถนะแรงม้าและแรงบิดให้แก่รถยนต์วอลโว่ ซึ่งนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 จนถึงปัจจุบันมีการจำหน่ายและติดตั้งชุดเพิ่มสมรรถนะดังกล่าวให้แก่ลูกค้าแล้วมากกว่า 60,000 คันในกว่า 60 ประเทศ
          DRIVE-E Powertrains เครื่องยนต์แห่งอนาคตของวอลโว่
          Drive-E Powertrains เป็นนวัตกรรมเครื่องยนต์แห่งอนาคตผลงานความร่วมมือระหว่างวอลโว่และ Polestar ที่จะติดตั้งในรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ของวอลโว่
          “เพราะวอลโว่มีจุดยืนในการพัฒนารถยนต์โดยใช้คนเป็นศูนย์กลาง หรือ Designed Around You เราพัฒนาและนำเสนอรถยนต์และเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับชีวิตและความต้องการของคนอย่างแท้จริง เราทราบดีว่านอกจากความปลอดภัยที่ทุกคนเชื่อมั่นในวอลโว่ สมรรถนะเหนือระดับคือสิ่งที่ลูกค้าทุกคนต้องการเช่นกัน วอลโว่จึงได้ร่วมกับโพลสตาร์นำประสบการณ์จากสนามแข่งมาพัฒนาเป็น Drive-E Powertrains เครื่องยนต์สำหรับวอลโว่ใหม่ทุกรุ่น โดยเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาลงกว่าเดิม ประหยัดน้ำมันมากกว่าเดิม และเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ขนาดเดียวกัน เทคโนโลยีใหม่นี้ให้พลังสูงกว่าแต่ปล่อยไอเสียต่ำกว่า ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อลูกค้าและโลกของเรา” นางฉันทนากล่าว
          เครื่องยนต์ Drive-E Powertrains มีทั้งเครื่องเบนซินและดีเซล โดยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ T5 แบบ 4 สูบมาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แต่ให้พลังมากถึง 220 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตัน-เมตรในช่วง 1,500-4,000 รอบต่อนาที และยังประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิมประมาณ 10-30% ส่วนเครื่องยนต์ Drive-E Powertrains แบบดีเซล มาพร้อมเทคโนโลยี i-ART ที่ติดตั้งคอมพิวเตอร์ไว้ในหัวฉีดของแต่ละลูกสูบ ทำให้ฉีดจ่ายน้ำมันได้อย่างแม่นยำเหมาะสมในทุกจังหวะการเผาไหม้ เครื่องยนต์ D4 ดีเซลคอมมอนเรลทวินเทอร์โบ ให้พลังสูงถึง 181 แรงม้า ที่ 4,250 รอบต่อนาที แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร (Nm) ในช่วง 1,740-2,500 รอบต่อนาที นอกจากนี้ เกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดยังเปลี่ยนเกียร์ได้นุ่มนวลราบรื่น ตอบสนองดีในทุกย่านความเร็ว จึงให้การขับขี่ที่ประทับใจเต็มที่
          เทคโนโลยีระดับโลก
          นอกจากนี้ยังพบกับสุดยอดเทคโนโลยีระดับโลกด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ได้ในรถยนต์ชั้นนำที่วอลโว่นำมาโชว์ในงาน โดยวอลโว่ได้พัฒนาระบบความปลอดภัยต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ เทคโนโลยีที่ช่วยให้รถไม่ชนรถขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ (City Safety) รถไม่ชนคน (Pedestrian Detection with Full Auto Brake) และรถไม่ชนจักรยาน (Cyclist Detection with Full Auto Brake) นอกจากนี้ยังมี ระบบที่คอยเป็นตาหลังให้ขณะถอยรถออกจากช่องจอดได้อย่างปลอดภัย โดยระบบ Cross Traffic Alert จะส่งสัญญาณเตือนหากมีรถคันอื่นวิ่งมาจากด้านข้าง และระบบช่วยในการจอดรถขนานขอบทาง (Park Assist Pilot) และอื่นๆ อีกมากมาย
          ไฮไลต์รถยนต์พร้อมแพ็คเกจพิเศษ
          นอกจาก Volvo S60 Polestar STCC แล้ว ยังมีรถยนต์หรู 3 รุ่นที่วอลโว่เพิ่มชุดแต่งเพิ่มความเท่ เพื่อลูกค้าที่สนใจสั่งจองในงานได้แก่
          S60 T4F R-Design Styling Kit ราคา 2,325,000 บาท
          ซีดานหรูขนาดกะทัดรัดสไตล์สปอร์ตแรงด้วยเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ ไดเร็คอินเจ็คชั่น จุ 1.6 ลิตร ให้พลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 5,700 รอบต่อนาที และทอร์ค 240 นิวตันเมตรในช่วง 1,600-5,000 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 9 วินาที อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยใน-นอกเมือง 14.7 ก.ม. ต่อลิตร (สำหรับน้ำมันเบนซิน) และ 10.6 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับน้ำมัน E85
          ชุดแต่ง R-Design Styling Kit
          กันชนหน้า R-Design
          แผงกันชนหลัง R-Design
          ท่อไอเสียคู่ R-Design
          ครอบกระจกมองข้าง silk metal
          ล้ออะลูมิเนียมขนาด 8 x 19” ลาย Ixion II
          V60 T4F R-Design Styling Kit ราคา 2,425,000 บาท
          สปอร์ตแวกอนพร้อมชุดแต่ง R-Design เครื่องยนต์ GTDi ความจุ 1.6 ลิตร ทำจากอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ให้พลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 5,700 รอบต่อนาที และทอร์ค 240 นิวตันเมตรในช่วง 1,600-5,000 รอบต่อนาที จึงตอบสนองได้ทันใจในทุกรอบเครื่อง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 9.2 วินาทีและทำความเร็วสูงสุดได้ 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมทั้งประหยัดน้ำมันได้อย่างน่าทึ่ง โดยสามารถวิ่งเฉลี่ยใน-นอกเมือง 12.9 กิโลเมตรต่อน้ำมันเชื้อเพลิง 1 ลิตร หรือ 10.2 กิโลเมตรต่อลิตรเมื่อเติมด้วย E85
          ชุดแต่ง R-Design Styling Kit
          กันชนหน้า R-Design
          แผงกันชนหลัง R-Design
          ท่อไอเสียคู่ R-Design
          ครอบกระจกมองข้าง silk metal
          ล้ออะลูมิเนียมขนาด 8 x 19” ลาย Ixion II
          S80 T4 Sport Package ราคา 3,099,000 บาท
          ซีดานหรูรุ่นใหญ่ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ (GTDi) T4 ความจุ 2 ลิตร ให้พลังงานสูงสุด 203 แรงม้าที่ 6,000 rpm และแรงบิดสูงสุด 300 Nm ที่ 1,750-4,000 rpm พร้อมเกียร์เพาเวอร์ชิฟท์ 6 สปีด ปรับตามสไตล์การขับขี่ และเกียร์ทรอนิก อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเพียง 11.9 กิโลเมตรต่อ 1 ลิตร ในดีไซน์เรียบหรู ทันสมัย สะท้อนสมรรถนะสูง ด้วยชุด Sport Package
          ชุด Sport Package
          ซอฟแวร์ Polestar Performance Optimisation เพิ่มแรงม้าและแรงบิด
          ชุดท่อไอเสียพร้อมปลายท่อแบบคู่
          ชุดโครเมียมบริเวณฝากระโปรงท้าย
          สปอยเลอร์หลัง
          ชุดชายกันชนล่างด้านหลัง
          ล้ออะลูมิเนียม ขนาด 8x19 ลาย Bor สี Tech Black Grossy

          แคมเปญพิเศษในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 ได้แก่
          Volvo XC90 D5 ข้อเสนอพิเศษสุดแห่งปี 5 ปี 4 รายการ ดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปี ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 5 ปี ฟรีบริการบำรุงรักษานาน 5 ปี และฟรีประกันคุณภาพสูงสุด 5 ปี
          Volvo V40 T5 ผ่อนเริ่มต้นที่ 18,880 บาท
          Volvo S80 T4 ดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปี ฟรีบริการบำรุงรักษานาน 5 ปี ฟรีประกันคุณภาพสูงสุด 5 ปี และฟรีประกันภัยชั้น 1 1 ปี
          Volvo S60 T4F และ V60 T4F ดอกเบี้ย 0.6 % นาน 5 ปี

          เพิ่มสมรรถนะวันนี้ในราคาพิเศษ
          เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะที่วอลโว่ได้คว้าแชมป์ การแข่งขัน Swedish Touring Car Competition (STCC) ในปีนี้ วอลโว่มอบข้อเสนอพิเศษให้ลูกค้าเพิ่มสมรรถนะรถยนต์ ได้ในราคาเพียง 39,900 บาท จากราคาปกติ 53,000-57,400 บาท (ราคาอาจแตกต่างในแต่ละรุ่นรถ) สำหรับลูกค้าทุกท่านที่ใช้รถยนต์วอลโว่รุ่นที่สามารถเพิ่มสมรรถนะด้วย Polestar Performance Optimisation ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคมนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โชว์รูมวอลโว่ทั่วประเทศ หรือ Volvo Care Center โทร. 02 305 4499

MSN on December 01, 2014, 04:06:24 PM
Volvo S60 Polestar STCC showcases world champion performance Powerful, fuel efficient cars and hot promotions offered at Motor Expo









   Bringing the world champion racing car from Sweden to Thailand, Volvo showcased the “S60 Polestar STCC”, the actual racing car that recently won Swedish Touring Car Competition for the second consecutive year, at Motor Expo 2014. Joining the world’s champion racing car are a full line-up of Volvo luxury cars with high performance and low fuel consumption engines with a full package of world’s leading safety innovation and impressive drivability. Not-to-be-missed promotions offered are designed to satisfy customers.
          Mrs. Chantana Vatanaromya, President of Volvo Car (Thailand) Ltd., said, “Thai consumers will have another once-in-a-lifetime moment as they will witness closely the racing car that has just claimed its championship at the Swedish Touring Car Competition for the 2nd year. The Volvo S60 Pole Star STCC car is just one proof of Volvo’s outstanding performance. At the Motor Expo 2014, visitors will have a great opportunity to explore other Volvo’s proofs of performance, including the Drive-E Powertrains, the 4-cylinder engine that is as powerful as 6-cylinder engine but consumes less fuel and emits less carbon dioxide, and many world’s first technologies that allow Volvo drivers to enjoy the superior performance of their vehicles.”
          Volvo S60 Polestar STCC – the world’s powerful champion
          Volvo S60 Polestar STCC in Volvo Polestar Racing Team’s signature bright blue color is the fruit of cooperation between Volvo and Polestar, the automotive technology specialist. Both companies have been working closely together to make a car that is fast and accurate in the STCC race track. Volvo Polestar STCC is powered by 6-cylinder 3,500 cc engine that produces 420 HP. The 6-speed sequential with paddles on the steering wheel also allows the vehicle to be controlled effectively. The vehicle is one of the main factors enabling Ted Bjork, Volvo Polestar Racing team to wind up the recent STCC with the championship title. This year, Volvo Polestar Racing Team won both team and racer championship title, leaving Volvo in a stronger position to begin the next year racing season.         
          From the race track to road cars
          From over 10 years of experience in the race track, Volvo and Polestar have been working together in bringing experience on the race track to road cars through the Volvo Drive-E Powertrains and Polestar Performance Optimisation. Polestar has also been playing a vital role in the development of the new Volvo Drive-E Powertrains that produces high power but low fuel consumption and emission. The Polestar Performance Optimisation, meanwhile, has enabled Volvo cars to enjoy additional power and torque. Since launched in 2009, more than 60,000 cars in over 60 countries worldwide have been optimized.
          Drive-E Powertrains: Engine the Future
          Drive-E Powertrains are the latest engine innovations in which Polestar’s experience and racing expertise have been integrated into Volvo’s engine and will be installed in future Volvo cars.
“Based on “Designed Around You” concept in which people are the center of everything we do, Volvo has been offering the cars and technologies that are relevant to people’s need. We know that in addition to safety that people expect from Volvo, performance is another area people believe in us. We therefore work with Polestar in integrating racing experience and expertise into Volvo’s Drive-E Powertrains, which is a smaller, lighter and consumes less fuel compared to other engines of the same size but delivers higher power and emits less carbon dioxide. This is the real engine for the future that brings greater benefits to our customers and to the world,” said Chantana.
          Drive-E Powertrains include both benzene and diesel. The benzene turbo T5 engine comes with 8-speed automatic transmission and delivers as much as 220 horse power and high torque of 350 Nm in the 1,500-4,000 rpm range. It consumes 10-30% less engine. The diesel D4 commonrail engine with twin turbocharger is equipped with the world’s first i-ART technology which integrates a sensor on each injector, allowing for precise fuel injection for greater responsiveness and fuel efficiency. The diesel commonrail D4 engine produces as high as 181 hp at 4,250 rpm, 400Nm torque in the 1,740-2,500 rpm range. The 8-speed automatic transmission also allows for smooth operations and gear change and great responsiveness for impressive drivability.
          World’s best technologies found in Volvo
          Also featured at the Motor Expo 2014 are many world’s first and impressive safety technologies and driver’s comfort that are integrated in Volvo cars. Among those technologies are City Safety, Pedestrian Detection with Full Auto Brake, Cyclist Detection with Full Auto Brake, Cross Traffic Alert that warns driver when another car approaching at the back, Park Assist Pilot and many more.
?
          Highlights
          In addition to Volvo S60 Polestar STCC, other highlights at Volvo booth are three models with sporty styling kits as follows:
          S60 T4F R-Design Styling Kit available only at Bt2,325,000
          The sporty compact luxury sedan comes with 1.6Lt benzene turbo charger direct injection, delivering 180 Hp at 5,700 rpm range and torque of 240 Nm within 1,600-5,000 rpm range. Acceleration from 0-100 kmh takes only 9 seconds. Average fuel consumption is 14.7 km/lt (benzene engine) and 10.6 km/lt for E85 fuel.

          The vehicle comes now with R-Design Styling Kit:
          R-Design front bumper
          R-Design rear diffuser
          R-Design sport exhaust pipes
          Silk metal door mirror covers
          8x19” Ixion II aluminum wheels

          V60 T4F R-Design Styling Kit available at Bt2,425,000
The sports wagon designed for people who would like some extra space and flexibility without the slightest compromise on sporty design and exciting driving properties. The 1.6 Lt engine is made from light-weight aluminium, producing 180Hp at 5,700rpm and delivers maximum torque of 240Nm from just 1,600 and all the way up to 5,000 revs a minute. It can accelerate from 0-100 km in only 9.2 seconds and maximum speed of 220 km/h. The average fuel consumption (city and highway driving combined) is 12.9 km per one litre of fuel or 10.2 k.m. per one litre of E85 fuel.

          R-Design Styling Kit:
          R-Design front bumper
          R-Design rear diffuser
          R-Design sport exhaust pipes
          Silk metal door mirror covers
          8x19” Ixion II aluminum wheels.

          S80 T4 Sport Package, Bt 3,099,000
          The luxury sedan is powered by 2.0Lt T4 benzene engine delivering 203 Hp at 6,000 rpm and the highest torque of 300 Nm at 1,750,-4,000 rpm. The 6-speed Powershift transmission system with Geartronic provides smooth operations and responsive gearshift, enhancing driving enjoyment. The average fuel consumption is 11.9km per one litre. Its stylish design is enhanced by the Sport Package, including:
          Polestar Performance Optimisation
          Dual exhaust with end pipes
          Chrome strip on trunk lid
          Trunk spoiler
          Lower bumper spoiler
          Bor “Alloy wheel 8x19”, Tech Black Glossy color.

          Not-to-be-missed promotion
          Volvo XC90 D5: comes with the best offer for the year – 0% interest for 5 years, Free first-class insurance for 5 years, Free maintenance for 5 years and Free warranty for 5 years
          Volvo V40 T5 – low installment payment starting from Bt18,880
          Volvo S80 T4 -- 0% interest for 5 years, Free maintenance for 5 years and Free warranty for 5 years, Free first-class insurance for 1 years,
          Volvo S60 T4F and V60 T4F – 0.6% interest rate for 5 years

          Optimised at special price
          To celebrate Volvo’s championship at the Swedish Touring Car competition (STCC), Volvo allows its customers to optimize their vehicles with Polestar Performance Optimisation at only Bt39,900 from normal Bt53,000 – Bt57,400 price (depending on model). For more information, contact nationwide Volvo showrooms or call Volvo Care Center at 0 2305 4499.

MSN on December 01, 2014, 04:07:29 PM
เชลล์ จัดงาน “The Ultimate Excitement” มอบข้อเสนอสุดพิเศษในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2014




 
          เชลล์ จัดงาน “The Ultimate Excitement”  มอบข้อเสนอสุดพิเศษในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2014  ตื่นเต้นไปกับรถแข่งฟอร์มูล่า วัน เฟอร์รารี่ และพบข้อเสนอสุดพิเศษมากมายในงาน
          บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด จัดงาน ‘The Ultimate Excitement’ มอบข้อเสนอสุดพิเศษส่งท้ายปี เชิญผู้ใช้รถทุกท่านร่วมรับของรางวัลพิเศษในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2014 เพียงซื้อบัตรเติมน้ำมันเชลล์ครบตามที่กำหนด รับทันที! สินค้าลิขสิทธิ์เฟอร์รารี่ที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับลูกค้าเชลล์โดยเฉพาะหลากหลายรายการ
          มร. แกรนท์ แมคเกรเกอร์ กรรมการบริหารธุรกิจค้าปลีก บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำเทคโนโลยีน้ำมันเชื้อเพลิงระดับโลก เชลล์ มุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรมน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงให้ผู้บริโภคมาโดยตลอด โดยในปีนี้ เราได้จับมือกับบริษัท สื่อสากล จำกัด เพื่อร่วมงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2014 พร้อมตกแต่งบูธภายใต้คอนเซ็ปต์ Ultimate Excitement เพื่อสะท้อนภาพขุมพลังและความล้ำหน้าในการพัฒนานวัตกรรมน้ำมันคุณภาพสูงระดับโลกอย่าง เชลล์ วี-เพาเวอร์ ไนโตร+ ที่ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความเร้าใจในการขับขี่เมื่อเติมน้ำมันเชลล์ นอกจากนี้ เรายังได้นำรถแข่งฟอร์มูล่า วัน เฟอร์รารี่ มาจัดแสดง โดย เชลล์ เป็นพันธมิตรทางเทคนิคกับเฟอร์รารี่ในการพัฒนาสูตรน้ำมันร่วมกันมากว่า 60 ปี”
          ทั้งนี้ ภายในงาน เชลล์ได้นำเสนอความตื่นเต้นเร้าใจในแบบ เชลล์ วี-เพาเวอร์ ไนโตร+ ผ่านโชวป๊อปปิ้งแดนซ์สุดตระการตาและการเล่นเกมส์จำลองการขับขี่ที่ชื่อว่า Shell V-Power Nitro+ Racing และจัดแสดงข้อมูลนวัตกรรมเชื้อเพลิงคุณภาพอื่นๆ อาทิ เชลล์ E20 แก๊สโซฮอล์ และ เชลล์ ฟิวเซฟ ภายในงาน รวมถึงนำเสนอ Shell?Motorist App สำหรับมือถือและแท็บเล็ตเพื่อหาสถานีบริการน้ำมันเชลล์ที่ใกล้ที่สุดได้อย่างสะดวกและสบายยิ่งขึ้น
          โดยนอกเหนือจากการจัดแสดงนวัตกรรมต่างๆ เชลล์ ยังมอบข้อเสนอสุดพิเศษมากมายให้แก่ผู้เข้าชมงานเพื่อส่งท้ายปี เพียงลูกค้าซื้อบัตรเติมน้ำมัน เชลล์ ครบตามที่กำหนด รับทันที! สินค้าลิขสิทธิ์เฟอร์รารี่ที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษสำหรับลูกค้าเชลล์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถซื้อน้ำมันเครื่อง ‘เชลล์ เฮลิกส์ HX8’ และ ‘เชลล์ เฮลิกส์ อัลตร้า’ ในราคาพิเศษ พร้อมรับสินค้าไอที อาทิ เครื่องเล่น MP3 และกล้องติดรถยนต์ระบบอินฟาเรด ไปเป็นที่ระลึก และพิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่สมัครบัตร ‘เชลล์คลับสมาร์ท’ ในงาน รับฟรี! 50 คะแนนในบัตร ส่วนลูกค้าที่เป็นสมาชิก ‘เชลล์คลับสมาร์ท’ อยู่แล้ว เพียงโชว์บัตรดังกล่าวให้กับพนักงานในงาน ก็สามารถรับฟรีเพิ่มอีก 50 คะแนน เช่นกัน
          อย่าพลาด! พบกับข้อเสนอพิเศษส่งท้ายปีจาก เชลล์ ได้ที่งานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2014 ณ บูธหมายเลข D2 อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2557 นี้เท่านั้น

MSN on December 02, 2014, 12:35:40 PM
“MOTOR EXPO 2014” ยิ่งใหญ่ รถใหม่เพียบ พร้อมแคมเปญเร้าใจ ฟื้นตลาดโค้งสุดท้ายต้อนรับ AEC





          “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31” เริ่มแล้ว ค่ายรถพร้อมใจเปิดตัวรถใหม่ กระหน่ำแคมเปญร้อนแรงแห่งปี คาดตลาดยานยนต์คึกคัก ยอดจองแตะ 50,000 คัน ผู้ชมงานทะลุ 1.5 ล้านคน วันนี้ - 10 ธันวาคม 2557 ชาลเลนเจอร์ 1-3 อิมแพคท์ เมืองทองธานี

          ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31” หรือ “The 31st THAILAND INTERNATIONAL MOTOR EXPO 2014” เปิดเผยว่า “ในปี 2558 จะเกิดเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ นั่นคือ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อันจะนำมาซึ่งความร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมของ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งด้านธุรกิจและอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจให้แก่ภูมิภาค ดังนั้น เราจึงตั้งใจจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31” ให้เป็นเวทีแสดงออกถึงความสามัคคี และอนาคตที่สดใสของอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคนี้ ภายใต้แนวคิด “ก้าวเคียงกัน ยานยนต์อาเซียน” (Moving Forward Together…ASEAN Autos)”

          ประธานจัดงาน กล่าวต่อไป ผู้จัดยังคงพัฒนามาตรฐานของงานอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากได้เป็นสมาชิกสมาคมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าโลก UFI: Union des Foires Internationales ตั้งแต่ปี 2555 ส่วนปีนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ในการเชิญสื่อมวลชนจากต่างประเทศเข้าร่วมงาน

          ด้านสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในเมืองไทย ขวัญชัย ชี้แจงว่า “อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ผ่านจุดตกต่ำที่สุดไปแล้ว ขณะนี้ปัจจุบันอยู่ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นอีกครั้ง ช่วงปลายปีนี้จึงเป็นโอกาสดีของผู้บริโภคที่จะได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดแห่งปี จากบริษัทรถยนต์ที่ต่างแข่งขันนำเสนอโปรโมชันดึงดูดใจลูกค้าเพื่อสร้างยอดขาย โดยคาดการณ์ยอดจองรถในงานไว้ 50,000 คัน ผู้ชมงานราว 1.5 ล้านคน และเม็ดเงินสะพัดในงานประมาณ 5.4 หมื่นล้านบาท”

          บนพื้นที่จัดแสดงงานทั้งภายในและภายนอกอาคารทั้งสิ้น 85,000 ตารางเมตร ผู้ชมงานจะพบ รถยนต์ถึง 41 ยี่ห้อ ได้แก่ AUDI, AUTO-SLEEPERS, BENTLEY, BMW, CARLSSON, CHEVROLET, CITROEN, DEVA, DFSK, FORD, FOTON, HONDA, HYUNDAI, ISUZU, JAGUAR, JEEP, LAND ROVER, LEXUS, MASERATI, MAXUS, MAZDA, MERCEDES-BENZ, MG, MINI, MITSUBISHI, MOKE, MTM, NISSAN, PEUGEOT, PORSCHE, PROTON, RELY, SAMMITR GREEN POWER, SKODA, SUBARU, SUZUKI, SWIFT, TATA, TOYOTA, VOLKSWAGEN และ VOLVO

          ยิ่งกว่านั้น ยังมีการแสดงรถแนวคิดและรถต้นแบบ 2 คัน ได้แก่ “HYUNDAI HND-9” รถแนวคิดแบบสปอร์ทคูเป ขับเคลื่อนล้อหลัง ประตูปีกผีเสื้อ ออกแบบตามแนวคิด FLUIDIC SCULPTURE DESIGN เครื่องยนต์เบนซิน 3.3 ลิตร หัวฉีดตรง (GDI) พร้อมเทอร์โบ กำลังสูงสุด 370 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ล้ออัลลอยผสมคาร์บอนขนาด 22 นิ้ว และ SUBARU VIZIV CONCEPT รถยนต์ต้นแบบสไตล์ ครอสส์โอเวอร์เอสยูวี หลังคากระจก ประตูปีกนก ขุมพลังดีเซล พลัก-อิน ไฮบริด ประกอบด้วยเครื่องยนต์บอกเซอร์ 4 สูบ 2.0 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า 1 ตัว และด้านหลัง 2 ตัว แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน เกียร์อัตโนมัติแปรผัน (CVT) ขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD

          ขณะที่โซนรถจักรยานยนต์ ปีนี้เป็นปีที่ 4 ที่ ผู้จัดร่วมกับ บริษัท นิตยสารโมโตครอส จำกัด เปิดพื้นที่ให้สาวกบิกไบค์ได้สัมผัสรถเด่นอย่างใกล้ชิดถึง 12 ยี่ห้อ ได้แก่ BMW, DUCATI, GPX, HONDA, KAWASAKI, KTM, MV AGUSTA, SUZUKI, TRIUMPH, UDA, YAMAHA และ ZERO

          ส่วนนิทรรศการและกิจกรรมอื่นๆ มีมากมาย อาทิ นิทรรศการสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย, ลานศิลปวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ไทย, นิทรรศการ ศิลปินน้อย MOTOR EXPO, โครงการ "ขับเป็น...ขับปลอดภัย กับ สื่อสากล", โครงการประกวดภาพถ่าย MOTOR EXPO, โครงการประกวดนวัตกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 5, CAR STEREO ACTIVITIES ชมการแสดงรถพลังเสียงขั้นเทพ ณ บริเวณลานอเนกประสงค์ แอคทีฟสแควร์ และกิจกรรมโรงเรียนพัฒนาทักษะการขับขี่รถขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นต้น

          สำหรับกิจกรรมคืนกำไรแก่ผู้เข้าชมงาน ซึ่งมีรางวัลรวมมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท ได้แก่ ซื้อรถ ชิงรถ, ซื้อบัตร ชิงรถ, SMS ชิงรถ, ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ ชิงบิกไบค์, ซื้อสินค้า ชิงรางวัล ฯลฯ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
          1. “ซื้อรถ ชิงรถ” เมื่อจองหรือซื้อรถยนต์ใหม่ภายในงาน มีสิทธิ์ชิงรางวัลรถยนต์ MG รุ่น MG6 FASTBACK 1.8X TURBO SUNROOF มูลค่า 1,128,000 บาท จำนวน 1 รางวัล
          2. “ซื้อบัตร ชิงรถ” ผู้ที่ซื้อบัตรชมงาน มีสิทธิ์ชิงโชครถยนต์ FORD ALL-NEW ECOSPORT รุ่น TREND มูลค่า 759,000 บาท จำนวน 1 รางวัล พร้อมรางวัลพิเศษอีกมากมาย
          3. “SMS ชิงรถ” หรือ กิจกรรม “ร่วมลุ้นแบบคนรุ่นใหม่” สำหรับผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์มือถือในระบบเครือข่าย TRUEMOVE และ TRUEMOVE H 3G+ สามารถร่วมลุ้น ชิงรถยนต์ SUZUKI CELERIO รุ่น GL มูลค่า 439,000 บาท จำนวน 1 รางวัล พร้อมรางวัลพิเศษอีกมากมาย
          4. “ซื้อมอเตอร์ไซค์ ชิงบิกไบค์” เมื่อจองหรือซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ในงานมีสิทธิ์ชิงรางวัลรถจักรยานยนต์ HONDA รุ่น CBR 650F มูลค่า 300,000 บาท จำนวน 1 รางวัล
          5. “ซื้อสินค้า ชิงรางวัล” เมื่อซื้อสินค้าภายในงานจากร้านเดียวกันทุกๆ 1,000 บาท จะได้รับคูปอง ชิงโชค 1 ใบ เพื่อลุ้นรางวัล รวมมูลค่า 549,600 บาท
          6. MOTOR EXPO SMART PRETTY VOTE 2014 โหวท PRETTY ในงาน ชิงสร้อยคอทองคำ และของรางวัลมูลค่ารวมกว่าแสนบาท

          สำหรับการเดินทางไปชมงานมีรถ Express Shuttle Bus บริการรับ-ส่งฟรี วันธรรมดา เวลา 12.00-22.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 11.00-22.00 น. ใน 4 เส้นทางหลัก ประกอบด้วย
          1. หมอชิต-อิมแพค-หมอชิต MRT สถานีจตุจักร EXIT 4
          2. อ่อนนุช-อิมแพค-อ่อนนุช สถานีอ่อนนุช EXIT 2
          3. สีลม-อิมแพค-สีลม MRT สถานีสีลม EXIT 1
          4. รังสิต-อิมแพค-รังสิต ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ลานจอดรถตู้ หน้าห้างบิกซี

          ห้ามพลาด.. “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31” ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพคท์ เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน -10 ธันวาคม 2557 พร้อมรับชมการถ่ายทอดสดงานได้ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในวันเสาร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2557 ตั้งแต่เวลา 14.00–16.00 น. ชมรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานได้ที่ www.motorexpo.co.th

MSN on December 02, 2014, 12:36:32 PM
ภาพข่าว: “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31” เปิดยิ่งใหญ่ ชูแนวคิด “ก้าวเคียงกัน ยานยนต์อาเซียน”



          อุฤทธิ์ ศรีหนองโคตร รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (ที่ 3 จากซ้าย) เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31" โดยมี ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน (ที่ 4 จากซ้าย) ให้การต้อนรับ ณ ห้องรอยัล จูบีลี อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2557

MSN on December 03, 2014, 02:01:36 PM
ภาพข่าว: ยามาฮ่ายกทัพบิ๊กไบค์ร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 พร้อมเผยโฉมโมเดล 2015



           มร.เท็ตสึยะ อินะมูระ ประธานกรรมการบริหาร (ที่ 4 จากขวา) พร้อมผู้บริหารระดับสูง บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดบูธยามาฮ่าในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 31 (The 31st Thailand International Motor Expo 2014) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Yamaha - Inspired Rider Ever” “เร้าทุกจังหวะหัวใจของนักบิดตัวจริง” โดยไฮไลต์พิเศษภายในงานฯ ยามาฮ่าได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ ปี 2015 รุ่นใหม่ล่าสุดครั้งแรกในเมืองไทย นำโดย “ซูเปอร์ เทเนเร่” ปี 2015 ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน พร้อมให้การต้อนรับคุณชลัทชัย ปถัสร์พงษ์ รองประธานจัดงานฯ (ที่ 3 จากขวา) และคุณวราทิพย์ เชยศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มอเตอร์ไซต์เคิลเอ็กซ์โป จำกัด (ที่ 2 จากซ้าย) ที่เข้าเยี่ยมชมบูธยามาฮ่า ณ อาคารชาเลนเจอร์ 3 อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้

MSN on December 03, 2014, 02:04:47 PM
“MV AGUSTA” บิ๊กไบค์ดีไซน์สวยที่สุดในโลก ประติมากรรม 2 ล้อสัญชาติอิตาเลียน อวดโฉม ในงาน “Motor Expo 2014”



          บริษัท โมโต วิชั่น จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ลักชัวรี่ แบรนด์ “MV AGUSTA” (เอ็มวี ออกุสต้า) บิ๊กไบค์สัญชาติอิตาเลียน อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ร่วมนำสุดยอดประติมากรรมสองล้อแสดงในงาน “Motor Expo 2014” พร้อมข้อเสนอและโปรโมชั่นสุดพิเศษ ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 สิงหาคม 2557ณ บูธ MV AGUSTA (G 01) ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพคเมืองทองธานี

          “MV AGUSTA” ถือเป็นประติมากรรม 2 ล้อ ที่เก่าแก่ของอิตาลี มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ปี 1945 ทั้งยังได้โลดแล่นและคว้าชัยในการแข่งขันมาแล้วไม่ต่ำกว่า 75 สนามทั่วโลก และที่สำคัญ MV AGUSTA เป็น แบรนด์ที่เหล่าคนรักมอเตอร์ไซค์ทั่วโลกต่างยอมรับว่า MV AGUSTA คือ “ประติมากรรมที่เคลื่อนไหวได้” ด้วยความพิถีพิถันในการออกแบบตลอดจนความใส่ใจในทุกๆรายละเอียดทุกๆชิ้นส่วน และยังใช้วิธีการประกอบในแบบเดียวกันกับแบรนด์รถยนต์สปอร์ตสุดหรูชั้นนำ นั่นคือ “ประกอบด้วยมือ” อีกทั้งด้านเพอร์ฟอร์มานซ์ที่มีการพัฒนาศักยภาพในเรื่องเครื่องยนต์และระบบควบคุมในการขับขี่อย่างต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์ MV AGUSTA นี้เป็นที่หลงใหลของเหล่าคนรักมอเตอร์ไซค์อย่างแท้จริง

          โดยคุณปอนด์ จงเสรี Chief Operating Officer เปิดเผยว่า... “มอเตอร์ไซค์ของ MV AGUSTA นั้นเป็นมากกว่าแค่มอเตอร์ไซค์ มันคืองานศิลปะที่ผสานเข้ากันกับเครื่องยนต์สมรรถสูง ทุกขั้นตอนในการผลิตนั้นจะเกิดขึ้นในโรงงานที่อิตาลีทั้งหมด ทำให้มั่นใจได้ว่าผลงานที่ออกมานั้นเป็นแบรนด์สัญชาติอิตาเลียน 100% MV AGUSTA มีสายการผลิตมอเตอร์ไซค์ในหลากหลายรุ่น ซึ่งสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างหลายหลากสไตล์ ทั้งในรุ่นBrutale (บูทาเล่) ที่เป็นสไตล์ Naked Bike ให้การขับขี่สบาย หรือ Rivale (ริวาเล่) ที่เป็นสไตล์ Super Moto และยังได้ถูกโหวตให้เป็นมอเตอร์ไซค์ที่มีการออกแบบสวยที่สุดจากงาน EICMA นอกจากนี้สำหรับไลน์สปอร์ตก็ยังมี รุ่น F3และ F4 ที่มาตอบโจทย์สาวกสายเรซซิ่งอย่างแท้จริง ซึ่งสำหรับการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงาน Motor Expo 2014 ครั้งนี้ทางบริษัท โมโต วิชั่น จำกัด ได้จัดเตรียมมาแสดงให้ได้ชมและได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดครับ”

          สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร 02-3180100, 09-2259-0849 หรือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่www.facebook.com/MVAGUSTATHAILAND