เชลล์ ประเทศไทย เดินหน้าสู่ศักราชใหม่ รุกการเติบโตธุรกิจการตลาดค้าปลีกในไทย
เชลล์ ประเทศไทย เดินหน้าสู่ศักราชใหม่ของการเติบโตในธุรกิจการตลาดค้าปลีกด้วยความเชื่อมั่นในประเทศไทย ตั้งเป้าปรับปรุงสถานีบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 ของสถานีบริการที่มีอยู่ในประเทศไทย และจะขยายจำนวนสถานีบริการเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกร้อยละ 15 พร้อมเปลี่ยนโฉมศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องในชื่อใหม่ว่า Shell Helix Oil Change+ เป็น 300 แห่งภายในปี 2560
เชลล์มีสถานีบริการน้ำมันเชลล์ทั่วประเทศราว 500 แห่ง ให้บริการโดยพนักงานหน้าลานรวมกว่า10,000 คนทั่วประเทศ มียอดซื้อขายมากกว่า 2 ล้านรายการต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงค้าปลีกในประเทศไทยของเชลล์ มีส่วนแบ่งการตลาดร้อยละ 12.5 จากข้อมูลกรมธุรกิจพลังงาน
มร. อิสวาน คาปิทานี รองประธานกรรมการบริหาร ธุรกิจการตลาดค้าปลีก กลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ (Executive Vice President of Retail) ได้เปิดเผยถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ธุรกิจการตลาดค้าปลีกระดับโลกของเชลล์ ว่ามุ่งเน้นความสำคัญที่ 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูง สถานีบริการมาตรฐานระดับโลกที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ครบถ้วน และการสนับสนุนการเติบโตของพนักงาน ตลอดจนคู่ค้าของบริษัทฯ ที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
“เราเชื่อว่าเชลล์ และประเทศไทยจะเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน จากความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งในระดับภูมิภาคและทั่วโลก ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเราคาดว่าการเติบโตจะยังคง เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องไปอีกหลายปี ประกอบกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 จะส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจการตลาดค้าปลีกในภูมิภาคนี้” มร. อิสวาน คาปิทานี รองประธานกรรมการบริหาร ธุรกิจการตลาดค้าปลีก กลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ กล่าว
“เรามั่นใจว่า เชลล์ มีความแข็งแกร่งและพร้อมผลักดันให้เกิดการเติบโตในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทย เพื่อมอบประสบการณ์ที่ประทับใจในระดับโลกให้แก่ลูกค้า ตลอดจนนำเสนอสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิงในเกรดพรีเมี่ยมคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ทั่วประเทศ”
นายอัษฎา หะรินสุต ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด และกรรมการบริหาร ธุรกิจการตลาดค้าปลีก ภูมิภาคตะวันออก กลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ ตอกย้ำถึงความโดดเด่นของธุรกิจการตลาดค้าปลีกในประเทศไทย เนื่องในโอกาสที่เชลล์ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยครบ 123 ปี พร้อมกับ 3 รางวัลเกียรติยศระดับโลกของกลุ่มบริษัท รอยัล ดัทช์ เชลล์ ที่เชลล์ประเทศไทยได้รับ ซึ่งได้แก่ รางวัลผู้บริหารสถานีบริการยอดเยี่ยมระดับโลก ประจำปี 2555 (Shell’s Global Retailer of the Year 2012) รางวัลผู้บริหารสถานีบริการตัวอย่างที่มีการบริการยอดเยี่ยมระดับโลก ปี 2557 (Shell’s Global Best Practice Sharing of the Year 2014) และรางวัลผู้จัดการเขตยอดเยี่ยมระดับโลก ปี 2556 (Global Territory Manger of the Year 2013)
“ทีมงานของเราในประเทศไทยได้ทุ่มเทความสามารถเพื่อขยายและปรับปรุงสถานีบริการเชลล์ 500 แห่งที่เปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อมอบประสบการณ์สถานีบริการน้ำมันที่ได้รางวัลมาตรฐานยอดเยี่ยมระดับโลกแก่ลูกค้า การที่เชลล์จะเพิ่มกำลังการเติบโตในธุรกิจการตลาดค้าปลีกของเรานั้น เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จในการนำกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจการตลาดค้าปลีกระดับโลกของเชลล์มาปรับใช้ในประเทศไทย ได้อย่างเหมาะสม” นายอัษฎา กล่าว
“สำหรับคนทั่วโลก เชลล์ เป็นแบรนด์ที่บ่งบอกถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูงเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า สำหรับในประเทศไทยนั้น เรายังเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคด้วยประวัติการดำเนินธุรกิจในประเทศมาอย่างยาวนาน”
“เป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ของเชลล์ได้ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างสรรค์เทคโนโลยีน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพสูง โดยผลลัพธ์จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเชลล์ ได้แก่ เชลล์ วี-เพาเวอร์ และน้ำมันเชื้อเพลิงสูตรล่าสุด เชลล์ วี-เพาเวอร์ ไนโตร+ ที่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนเมษายน 2555 และมีจำหน่ายใน 14 ประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีการเปิดตัวไปแล้วในเดือนกรกฎาคม 2555” นายอัษฎา กล่าวเพิ่มเติม
มร. อิสวาน ยังให้ข้อมูลอีกว่า เชลล์มีการลงทุนในด้านการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์มากกว่า แบรนด์อื่นๆ โดยมีการลงทุนกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 32,000 ล้านบาท) ต่อปี มาตั้งแต่ปี 2550
เชลล์ เชื่อว่ากุญแจสู่ความสำเร็จของธุรกิจค้าปลีก คือการร่วมมือกันระหว่างพนักงานและคู่ค้าทางธุรกิจ “พนักงานที่สถานีบริการถือเป็นตัวแทนของเชลล์ พวกเขาต่างมีความมุ่งมั่นที่จะมอบบริการ ที่เป็นเลิศแก่ลูกค้าทุกคน โดยเราให้การฝึกอบรมกับพนักงานในทุกระดับเพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมอบประสบการณ์การบริการที่ดีกว่าให้แก่ลูกค้า ผู้บริหารของเราทุกคนมีประสบการณ์ในการทำงานที่สถานีบริการมาก่อน ดังนั้น พวกเขาจึงมีความเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี” มร. อิสวาน กล่าวสรุป