KTAMชูแผนขยายฐานลูกค้ากองทุนรวม ครึ่งปีหลังระดมเงินเข้ากองทุนKTPLUS
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากผลการดำเนินงานนับตั้งแต่มกราคม – มิถุนายน 2557 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ประมาณ 575 ,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2556 ประมาณ 30,800 ล้านบาท จากกองทุนรวม เพิ่มขึ้น 39,565 ล้านบาท กองทุนอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มขึ้น 15,224 ล้านบาท ส่วน กองทุนส่วนบุคคล ลดลง 3,393 ล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลดลง 20,595 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าหมาย สิ้นปี 2557 กำหนดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ไว้ที่ 650,000 ล้านบาท คาดว่าน่าจะถึงเป้าหมายได้ตามที่กำหนดไว้ เนื่องจาก บริษัทมีแผนจะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และ Infrastructure Fund มูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4,000 ล้านบาท และบริษัทจะขยายตลาดไปยังกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง กองทุนที่จะเปิดจำหน่ายในช่วงครึ่งปีหลัง ทั้งกองทุนต่างประเทศ , กองทุน Term Fund , Roll Over และกองทุน ตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งล้วนแต่ได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ ( KTPLUS ) ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 1.18 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2556 ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 625 ล้านบาท
นางชวินดา กล่าวต่อไปว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีการทำงานร่วมกับธนาคารกรุงไทย อย่างใกล้ชิด ให้ความรู้ผู้ขาย และนักลงทุน รู้จักผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันกองทุนต่างๆที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัท มีครบทุกโปรดักส์ ลูกค้าสามารถเลือกลงทุนได้ตามความเหมาะสม กับความเสี่ยงที่รับได้ นอกจาก การทำงานร่วมกับธนาคารกรุงไทย แล้วบริษัทยังมีตัวแทนสนับสนุนการขายอื่นๆ อีกกว่า 40 รายทั่วประเทศ เพื่อต้องการให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บลจ. กรุงไทย ยังมีความโชคดี ที่บุคลากรรักองค์กร พร้อมทุ่มเทในการทำงาน และทิศทางขององค์กรคือ การพัฒนาบุคคลากรเพื่อเพิ่มศักยภาพตลอดเวลา ไปพร้อมกับการทำงานที่มีความสุข พร้อมเป็นองค์กรที่ Dynamic และพยายามต่อยอดจากคุณสมชัย บุญนำศิริ อดีตกรรมการผู้จัดการ ที่ทำความเจริญให้กับองค์กรอย่างเด่นชัด และบริษัทให้ความสำคัญที่สุดคือ การสร้างความไว้วางใจให้เต็มร้อยกับลูกค้าของเรา และจะเป็นหนึ่งในการช่วยสร้างความเข้าใจ ในการลงทุนอย่างมั่นใจให้กับลูกค้าพร้อมกับการสนับสนุน กิจกรรมสำคัญของทุกภาคส่วนที่เป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรม
ที่ผ่านมา ด้านผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมใหม่ๆ นับว่าบริษัทมีกองทุนรวมอีทีเอฟ ที่มีความหลากหลาย และยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนประเภทดังกล่าว อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำนวัตกรรมของกองทุนรวมอีทีเอฟ ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี และบริษัทยังได้รับรางวัล SET Excellence Awards 2014 - ETF House จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน กล่าวว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนเริ่มกลับมาหลังการทะยอยประกาศนโยบายเร่งด่วน ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความคาดหวังต่อเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวขึ้น จากโครงการ 1 ) จ่ายเงินค่าข้าวที่ค้างอยู่ให้กับชาวนา 2 ) เร่งจัดทำงบประมาณ ปี 2558 3 ) สานต่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่เอาเฉพาะที่เป็นไปได้ ทั้งทางคมนาคม และโครงการน้ำ 4 ) แผนปฎิรูปภาษี ซึ่งเบื้องต้นคือ การต่ออายุโครงการเดิมที่ครบกำหนด 5 แผนปฎิรูปพลังงาน 6 ) ให้เงินกู้ซื้อบ้านดอกเบี้นต่ำ และ7) ตั้งคณะกรรมการ BOI เพื่อเร่งอนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนที่ค้างอยู่
ทั้งนี้ จึงคาดว่าแนวโน้มดัชนี ในอีก 12 เดือนข้างหน้า จะอยู่ในกรอบ PER 12.5 ถึง 14.5 เท่า เนื่องจากยังมีปัจจัยสนับสนุน โดยบริษัทจดทะเบียนมีกำไรเพิ่มมากขึ้น จากความมั่นใจของนักลงทุน และผู้บริโภค คาดว่าในกรณีปกติ ( Base Case ) ดัชนีจะอยู่ที่ประมาณ 1,580 จุด แต่ทั้งนี้ หากปีหน้า GDPสามารถกลับมาเติบโตในระดับ Trend ของประเทศที่ระดับ5% สอดคล้องกับประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทย คาดว่า ดัชนีจะสามารถไปถึง 1,680 จุด ที่ระดับ PER 15 เท่า โดยมี Total Return 16 % จากดัชนี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 ซึ่งอยู่ที่ 1,485 จุด
ส่วนกลยุทธ์ การลงทุน ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย ( Overweight ) โดยเชื่อว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จะเร็วและมีเสถียรภาพ จึงให้ความสำคัญกับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน และการบริโภคในประเทศ ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง และจะให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด ในหุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี เพราะมองว่า การเติบโตของกำไรจะน้อยกว่าตลาด
นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในรูป W โดยเศรษฐกิจจะได้แรงกระตุ้นในช่วงแรกจากการเร่งใช้จ่าย จากนั้นจะชะลอลงหลังจากที่ประเทศเริ่มเข้าสู่กระบวนการระดมสมองเพื่อการปฎิรูป ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นอีกครั้ง เมื่อใกล้เข้าสู่การมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเราคาดว่า GDP Growth 1.1% ในปีนี้ และ5.2% ในปีหน้า โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจจะได้ประโยชน์จาก Pending consumtion , pending investment , การเสริม Inventories และการใช้จ่ายภาครัฐที่น่าจะดีขึ้น อาจจะกระทบด้วยการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้น แต่การส่งออกน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้โดยปรับลดเหลือ 3.5% จากเดิมที่6% ขณะที่ในปีหน้า คาดว่า ตัวเลขการเติบโตจะค่อนข้างสูงเป็นผลจากฐานต่ำเป็นหลัก แต่การบริโภคและการส่งออกดีขึ้น ก็น่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นได้ด้วย ขณะที่รัฐบาลจะมุ่งเน้นไปที่การปฎิรูปมากกว่า ทำให้แรงกระตุ้นภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะไม่สูงนัก และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะคงดอกเบี้ยที่ 2.00% ไปจนถึง ไตรมาส 2 ปี 2015