madmaxmovie.com
https://www.facebook.com/MadMaxMovieThailandhttp://vehicleshowcase.madmaxmovie.com/intl/th/เกี่ยวกับงานผลิต
“อ้า...เยี่ยมไปเลย! วันนี้สุดยอดไปเลย!” – นักซ์
ใน “Mad Max: Fury Road” ผู้กำกับ/นักเขียน/ผู้อำนวยการสร้าง จอร์จ มิลเลอร์ ได้ปลดปล่อยโลกอันบ้าคลั่งด้วยแรงสั่นสะเทือนของสงครามอ็อคเทนสูงบนท้องถนนซึ่งมีแต่เขาเท่านั้นที่จะถ่ายทอดออกมาได้ มันสมองที่อยู่เบื้องหลังไตรภาค “Mad Max” อันทรงอิทธิพล ได้ผลักดันขอบเขตของภาพยนตร์ร่วมสมัยในการจินตนาการถึงความงามและความสับสนวุ่งวายของโลกยุคหลังวันสิ้นโลกซึ่งเขาได้สร้างขึ้นและนักรบบนท้องถนนในตำนานที่ร่อนเร่ไปในโลกใบนั้น
มิลเลอร์มักนึกภาพหนังที่ถ่ายทอดการไล่ล่าจนลืมหายใจตั้งแต่ต้นจนจบ “ผมมองว่าหนังแอ็คชันก็เหมือนดนตรีที่ออกมาเป็นภาพ และ ‘Fury Road’ ก็อยู่ระหว่างคอนเสิร์ตร็อคสุดมันกับโอเปรา” มิลเลอร์ให้ความเห็น “ผมอยากนำผู้ชมออกจากที่นั่งไปสู่การเดินทางที่เข้มข้นสุดเหวี่ยง และระหว่างทางคุณก็จะได้รู้จักตัวละครและเหตุการณ์ที่นำไปสู่เรื่องราวนี้ด้วย”
ผู้อำนวยการสร้าง ดั๊ก มิตเชลล์ ซึ่งสร้างหนังร่วมกับมิลเลอร์มาตลอด 35 ปี กล่าวว่า ความพยายามนานนับทศวรรษที่จะนำ “Mad Max: Fury Road” มาสู่จอภาพยนตร์ก็เป็นการเดินทางที่ชวนระทึกอยู่ในตัวมันเอง “จอร์จมีหัวคิดสร้างสรรค์ที่ฉลาดปราดเปรื่อง แต่ความสร้างสรรค์นั้นก็มาพร้อมกับการปฏิบัติจริงด้วย โครงการใหญ่ขนาดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองสิ่งนี้มาผสมผสานกัน ซึ่งจอร์จก็มีสองสิ่งนี้อยู่โดยสัญชาตญาณ เราผ่านพ้นจุดคับขันและเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อมาระหว่างทาง แต่สำหรับผมแล้วถือเป็นโชคดีที่ได้ร่วมงานกับเขาในการเดินทางอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ครับ”
สำหรับมิลเลอร์ หนทางย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ช่วงปลายทศวรรษ 1970 เขาเพิ่งจบจากโรงเรียนการแพทย์ และด้วยความรักที่มีต่อหนังแอ็คชั่นไล่ล่ายุคแรกๆ เขาจึงตั้งใจที่จะค้นหาภาษาภาพที่แท้จริงของหนังประเภทนี้ด้วยตนเอง ด้วยอาศัยประสบการณ์จากการเป็นหมอในห้องฉุกเฉิน เขาจึงจินตนาการเรื่องราวของตัวละครผู้โดดเดี่ยวในโลกที่โล่งร้างหลังจากสังคมล่มสลายและถูกคุกคามด้วยแก็งค์ซิ่งโรคจิตตามท้องถนน
มิลเลอร์ระบุว่า “ผมสนใจมาตลอดว่าสังคมต่างๆ มีวิวัฒนาการกันมาอย่างไร ซึ่งบางครั้งก็สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ และบางครั้งก็ชวนให้หดหู่ เมื่อคุณเปลื้องความซับซ้อนของโลกสมัยใหม่ออกไป คุณก็จะได้เข้าไปสู่โลกที่ไร้การปรุงแต่ง แล้วบอกเล่าเรื่องราวเปรียบเปรยขั้นพื้นฐานออกมา”
ด้วยงบประมาณอันน้อยนิด มิลเลอร์ได้รวบรวมขบวนรถมอเตอร์ไซค์และรถมัสเซิลคาร์ คัดเลือกนักแสดงที่ไม่มีใครรู้จักอย่าง เมล กิ๊บสัน ซึ่งเพิ่งจบจากโรงเรียนการละคร และออกตระเวนไปตามถนนหลวงอันเวิ้งว้างชานเมืองเมลเบิร์นของออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทอดพลังอันดิบเถื่อนของจากฉากสตันท์แห่งความพินาศโดยให้คนขับยานพาหนะจริงที่ความเร็วจริง
“ที่ออสเตรเลียเรามีวัฒนธรรมเรื่องรถที่มองว่ารถก็เหมือนกับอาวุธ” มือเขียนบท นิโค ลาธูริส กล่าว เขาเป็นเพื่อนของมิลเลอร์ตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนและเล่นเป็นกรีสแร็ตในหนังภาคแรก “จอร์จเคยรักษาเด็กหนุ่มๆ จากอุบัติเหตุรถชนที่รุนแรง และแทนที่จะถือเป็นเรื่องจริงจัง คนเหล่านี้กลับมีแนวโน้มที่จะคุยโม้เรื่องประสบการณ์ที่มีคนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต ในฐานะหมอ เขารู้สึกว่าเขากำลังแปะพลาสเตอร์ลงบนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นมาก และเรื่องนี้ก็เป็นวิธีการของเขาที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของปัญหานี้”
ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ “Mad Max” ซึ่งระเบิดความมันบนจอภาพยนตร์ในปี 1979 และสร้างแรงสั่นสะเทือนทางวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นไปทั่ว เมื่อตำนาน “Mad Max” เติบโตขึ้น มิลเลอร์ก็ได้ยกระดับเอกลักษณ์อันไม่เหมือนใครในแง่แอ็คชั่นที่มีแรงขับเคลื่อนและการสร้างโลกอันน่าหลงใหลด้วยหนังอีกสองภาคที่ตามมา ซึ่งก็คือผลงานอันทรงอิทธิพลอย่าง “Mad Max 2: The Road Warrior” และผลงานสุดอลังการอย่าง “Mad Max: Beyond Thunderdome”
“แนวคิดหนึ่งที่ขับเคลื่อน ‘Mad Max’ ภาคแรก รวมถึง ‘Fury Road’ ก็คือแนวคิดของอัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ว่าด้วยการทำหนังที่สามารถดูที่ไหนก็ได้ในโลกโดยไม่ต้องมีซับไทเทิล” มิลเลอร์อธิบาย “คุณพยายามบรรลุเป้าหมายเช่นเดียวกับผลงานดนตรีชั้นเยี่ยม นั่นคือไม่ว่าคุณจะอยู่ในอารมณ์ไหน มันจะช่วยนำคุณออกจากตัวเองไปยังอีกที่หนึ่ง และคุณจะได้ไปโผล่ที่อีกฟากพร้อมประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมา นั่นคือสิ่งที่เราพยายามทำในหนังเหล่านี้”
ภูมิทัศน์อันแห้งแล้งผุกร่อน แอ็คชั่นดิบเถื่อน บทพูดน้อยคำ และตัวละครที่มีสีสันหลากหลายซึ่งมิลเลอร์สร้างขึ้นในไตรภาค “Mad Max” ได้ให้กำเนิดหนังแนวใหม่ขึ้นมา และเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินหลายรุ่นในสื่อทุกแขนง ทอม ฮาร์ดี ผู้รับบทเป็นแม็กซ์ ร็อคคาแทนสกี ใน “Mad Max: Fury Road” กล่าวว่า “จอร์จสร้างบรรยากาศยุคหลังวันสิ้นโลกอย่างที่ปัจจุบันเราเห็นอยู่ตามวิดีโอเกมและหนังมากมาย นั่นเป็นผืนผ้าใบของเขา และเขาก็ยังคงวาดรูปอยู่บนนั้นด้วยทรัพยากรทั้งหมดที่เขามีพร้อมใช้งาน การได้เล่นหนังเรื่องนี้ก็คือการนั่งอยู่กับจอร์จที่กล่องของเล่นของเขา และจินตนาการของเขาก็บรรเจิดมากจนกระทั่งคุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้อยู่ในหนัง แต่อยู่ในหัวของจอร์จเลย”
ชาร์ลิซ เธอรอน ซึ่งได้สร้างตัวละครใหม่ของแฟรนไชส์นี้ขึ้นมาในบท อิมเพอเรเตอร์ ฟูริโอซา ยืนยันว่าในหนังเรื่องนี้ มิลเลอร์ได้หล่อหลอมวิสัยทัศน์ใหม่ซึ่งตั้งตระหง่านแม้อยู่ท่ามกลางผลงานมากมายซึ่งเป็นมรดกของภาพยนตร์เรื่องนี้ “จอร์จได้จินตนาการโลกที่เขารักขึ้นมาใหม่อีกครั้งในหนังเรื่องนี้ ทุกคนสามารถเข้าไปในโลกใบนี้และสัมผัสสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ มีส่วนดีๆ ให้คนที่รักหนังเรื่องนี้ได้ค้นหา ขณะเดียวกันฉันคิดว่าเขาก็ได้สร้างสิ่งที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เติบโตมากับ ‘Mad Max’ ด้วย นั่นล่ะค่ะคือความงดงามของ ‘Fury Road’”
นิโคลาส โฮลต์ ผู้รับบทเป็นนักซ์ หนึ่งในกลุ่มวอร์บอย และนับตัวเองว่าอยู่ในคนรุ่นนั้นด้วย กล่าวว่า “สิ่งที่น่าทึ่งในตัวจอร์จคือเขาสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ก็ยังมีความใกล้ชิดคุ้นเคยอยู่ด้วย” เขากล่าว “มีความคิดมากมายที่ใส่ลงไปในชิ้นส่วนเล็กๆ แต่ละชิ้นของตำนานทั้งหมดนี้ จนถึงขั้นที่ว่ารายละเอียดที่เล็กที่สุดก็ยังบ่งบอกทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับตัวละครและสภาพแวดล้อมรอบตัวละคร”
มันเป็นจักรวาลที่ดำรงอยู่ในจินตนาการของมิลเลอร์ และมิตเชลได้กล่าวไว้ว่า “ไม่มีข้อจำกัดในแง่ขอบเขตความลึกและความกว้างของโลกใบนี้ ที่จริงแล้ว ‘Fury Road’ เป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง ยังมีอีกมากรออยู่ข้างใต้ จอร์จใช้เวลาหลายปีจินตนาการถึงโลกใบนี้แล้วมันก็ค่อยๆ เผยตัวออกมาให้เขาได้เห็น”
ภารกิจในการนำผู้ชมยุคปัจจุบันเข้าสู่โลกอนาคตอันบ้าคลั่งใน “Mad Max: Fury Road” ต้องอาศัยการเดินทางข้ามทวีปและใช้เวลานานกว่าทศวรรษ ภารกิจนี้ได้ผลักดันให้ศิลปินผู้มีความสามารถนับร้อยๆ รายออกแบบและสร้างสรรค์โลกในยุคหลังวันสิ้นโลกอันสมจริงขึ้นผ่านการวาดสตอรีบอร์ด 3,500 แผ่นไปจนถึงของประกอบฉากและเครื่องแต่งกายนับพันๆ ชิ้น ในการจัดการเชิงลอจิสติกส์ขนาดใหญ่อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทีมผลิตภาพยนตร์จะต้องนำนักแสดง ทีมงาน และยานพาหนะที่สร้างด้วยมือและใช้ขับได้จริง 150 คัน ตระเวนไปทั่วทะเลทรายในนามิเบียเพื่อถ่ายทอดสงครามบนท้องถนนของจริงผ่านกองถ่ายหลายกองตลอดเวลา 120 วัน
“สิ่งที่น่าตื่นตะลึงในตัวจอร์จคือเขามีแรงผลักดันและจดจ่ออยู่กับหนังเรื่องนี้อย่างเต็มร้อย” ผู้อำนวยการสร้างและผู้ช่วยผู้กำกับคนที่หนึ่ง พี เจ โวเท็น กล่าว เขาเป็นทีมงานเก่าของ “Mad Max” มาตั้งแต่ “Mad Max: Beyond Thunderdome” “เขาเป็นคนที่อึดมากและใส่ใจในรายละเอียด แถมยังตั้งมาตรฐานไว้สูงมากจนกระทั่งทุกคนรอบตัวเขาก็ต้องเขยิบตัวตามไปด้วย”
“เราแทบไม่ได้หายใจหายคอกันเลยตลอดหกเดือนที่ทำหนังเรื่องนี้” เธอรอนยืนยัน “แต่การทำสิ่งที่ท้าทายขนาดนี้และยิ่งใหญ่ขนาดนี้คือสิ่งที่จอร์จถนัดเลยล่ะค่ะ เขาเล็งเห็นความเป็นไปได้อย่างที่คนอื่นไม่มีทางเห็น”
ความเป็นไปได้ของสิ่งที่เป็นจริงช่วยขับเคลื่อนตำนาน “Mad Max” และมิลเลอร์รวมทั้งทีมผู้ร่วมงานก็ได้ผลักดันการสร้างหนังไปจนสุดขีดจำกัดเพื่อยกมาตรฐานขึ้นไปอีก “โลกของ ‘Mad Max’ ยกระดับขึ้น แต่มันไม่ใช่โลกแฟนตาซี” มิลเลอร์อธิบาย “‘Fury Road’ เป็นโอกาสที่จะได้สร้างโลกนี้ให้กว้างใหญ่และมีพลังเต็มที่มากขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เราสามารถนำกล้องไปไว้ในที่ที่แต่ก่อนนี้ไม่สามารถทำได้ และให้กล้องตามติดไปกับกองรบได้ด้วยระบบ Edge Arm ถ้ามีการต่อสู้บนยานพาหนะ เราก็สามารถให้นักแสดงห้อยลวดสลิงได้จากนั้นค่อยไปลบออกในขั้นตอนซีจี เวลาคุณเห็นแม็กซ์แขวนตัวกลับหัวอยู่ระหว่างรถสองคัน นั่นเป็นทอม ฮาร์ดีเล่นจริงๆ เวลาที่ฟูริโอซาเกาะทอมไว้ ก็เป็นชาร์ลิซ เธอรอน ที่เกาะทอมอยู่ และเมื่อคุณเห็นนักซ์ปีนออกมายังด้านหน้ารถ ก็เป็นนิโคลาส โฮลต์จริงๆ”
สำหรับโฮลต์แล้ว มันเป็นงานที่สนุกตื่นเต้น “ไม่มีอะไรเหมือนการได้สัมผัสเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ V8 ตัวใหญ่อยู่ข้างใต้คุณ และได้ยินเสียงรถบรรทุกแล่นฉิวผ่านไป พร้อมการระเบิดและผู้คนที่โหนตัวอยู่ตามเสา”
“ถ้าคุณคิดว่าฉากแอ็คชั่นมันสุดขอบเกินไป หรือการระเบิดมันอลังการเกินจริง ผมสัญญากับคุณได้เลยว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ... ผมได้เห็นเอง” ฮาร์ดียืนยัน “มันเป็นงานแอ็คชั่นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ มันบ้าคลั่งและยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ และเป็นสิ่งที่จอร์จสร้างสรรค์ขึ้นมาทั้งหมดเลยครับ”
สำหรับชายผู้เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งเหล่านี้ มีบางอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยน “การนำรถมาชนกันในทะเลทรายให้ความตื่นเต้นเร้าใจอย่างน่าประหลาดครับ คุณจะลืมตัวเองไปและทำงานตามสัญชาตญาณและความรู้สึกภายในซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่บ้าคลั่งนะ” มิลเลอร์ยิ้ม “แต่เรานำคำเก่ามาพูดใหม่ได้ว่า ‘คุณไม่ต้องเป็นคนบ้าหรอกถึงจะทำ ‘Mad Max’ ได้ แต่มันก็มีส่วนช่วยเหมือนกัน’”