บทสัมภาษณ์ “นิว-ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต” กับบทบาทที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ “ไอ้ขวัญ” หนุ่มเจ้าทุ่งแห่งคลองแสนแสบผู้มั่นในรักเดียว ในภาพยนตร์รักอมตะเรื่อง “แผลเก่า”
บทบาท-คาแร็คเตอร์
คาแร็คเตอร์ของ “ไอ้ขวัญ” ในเวอร์ชั่นนี้ก็จะเหมือนเป็นผู้ชายนักเลงๆ แล้วก็เป็นลูกผู้ชายจริงๆ ลูกผู้ชายตัวจริงไม่ได้รังแกคนทั่วไปที่ไม่มีทางสู้ แต่ว่าจะคอยช่วยเหลือคนที่โดนรังแก อย่างที่คุยกับหม่อม หม่อมอยากจะได้คนที่อารมณ์ค่อนข้างเหวี่ยงไปมาตลอดเวลา เปลี่ยนค่อนข้างเยอะ ถ้าดีใจก็ดีใจสุด ถ้าเสียใจก็เสียใจสุด โกรธก็โกรธสุด แต่ละอย่างมันจะเปลี่ยนเร็วมาก อารมณ์จะเปลี่ยนเร็วมาก แต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหมือนในซีนๆ หนึ่งก็ไม่ได้เหมือนว่ามีแค่อารมณ์เดียว บางทีหัวซีนอาจจะเป็นดีใจ ท้ายซีนอาจจะเป็นเสียใจ กลางซีนอาจจะโกรธ คือจะเปลี่ยนไปตลอดเวลา แล้วก็จะเป็นคนที่ไม่ยอมใครเลย แต่จะยอมอยู่สองคนคือพ่อ (ผู้ใหญ่เขียน) กับเรียม
จริงๆ แล้วก็เหมือนเป็นผู้ชายปกติทั่วไป ผู้ชายสมัยก่อนที่แมนๆ เป็นนักเลงหน่อย แต่พอเป็นเรื่องของความรักก็จะแพ้เรียม แต่ว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เจ้าชู้ เหมือนรักเรียมมาตั้งแต่เด็กแล้ว เห็นมาตั้งแต่เด็ก คือรักมาตั้งแต่ตอนนั้น อาจจะเขิน ไม่กล้าบอก เปิดเรื่องมาก็เหมือนเราจีบเค้าไปเรื่อยๆ จนเหมือนได้คุยกันครับ
เรื่องราวของ “แผลเก่า”
ก็จะเป็นเรื่องราวความรักของขวัญกับเรียม คือขวัญจะเห็นเรียมมาตั้งแต่เด็ก หลงรักผู้หญิงคนนี้มานาน แล้วก็รักผู้หญิงคนนี้อยู่คนเดียว ไม่เคยมีแฟนมาก่อน รักคนนี้คนเดียวก็พยายามตามจีบตามคุยแต่เค้าก็ไม่คุยด้วย ด้วยเหตุที่ว่าเหมือนบ้านเรากับบ้านเค้าไม่ถูกกันเรื่องที่นา ก็จะมีคลองมากั้นตรงกลางฝั่งนึงก็ของเรา ฝั่งนึงก็ของเค้า คนสองฝั่ง ไม่ค่อยได้เจอกัน แต่เราก็คอยแอบมอง คอยดูเค้าตลอดเวลา พอมาถึงวันหนึ่งอายุเข้า 18-19 เป็นวัยหนุ่มคึกคะนอง มันก็เกิดความท้าทายความกล้าขึ้นมาที่จะแบบเราอยากคุย อยากเจอ แล้วก็จีบกันไปจีบกันมาจนรักกัน แต่ก็โดนผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัวห้ามให้รักกัน ห้ามยุ่งเกี่ยวกัน แต่ลูกชายกับลูกสาวดันมารักกันจนเกิดเรื่องบานปลายกลายเป็นโศกนาฏกรรมขึ้นมา
เวอร์ชั่นนี้แตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อนๆ ยังไงบ้าง
แตกต่างกันทุกอย่างนะครับ ผมว่ามันเป็นภาพยนตร์เรื่องใหม่มากกว่า คือมันมาจากนวนิยายเรื่องเดียวกันก็จริง แต่มันก็เป็นการตีความใหม่ของผู้กำกับทั้งเรื่องราวและมีการเสริมเติมแต่งหลายๆ ตัวละครเข้ามาเป็นสีสัน รวมถึงให้ร่วมสมัยมากขึ้น หนังของคุณเชิดจะเน้นเรื่องความดราม่าหนักมาก เวอร์ชั่นนี้ก็จะมีดราม่าหนักเหมือนกัน แต่ก็จะมีคอเมดี้เข้ามาเสริมมาแทรกให้ความแรงของเรื่องมันมีทั้งเศร้าทั้งตลกหลากหลายอารมณ์
แต่ถ้าถามว่าจุดเด่นของหนังเรื่องนี้ ผมว่าก็น่าจะเป็นการเอานิยายอมตะเรื่องหนึ่งของไทยสมัยก่อนที่เขียนเมื่อ 70-80 ปีที่แล้วมาทำในยุคสมัยนี้ แล้วก็ตีความใหม่โดยใส่ความเป็นปัจจุบันเข้าไปได้อย่างผมว่าผสมผสานกันอย่างลงตัวพอสมควร เป็นหนังพีเรียดที่มีการนำลูกเล่นสมัยใหม่เข้าไปใส่เพื่อให้มันตรงกับยุคสมัยนี้ รวมถึงการถ่ายทำเทคนิคต่างๆ ก็เปลี่ยนไป มันก็ทำให้หนังยิ่งน่าสนใจ รวมถึงหนังหม่อมทุกคนก็ทราบอยู่แล้วว่าต้องภาพสวยงาม แล้วก็กินใจได้ในระดับหนึ่งแน่นอน อย่างเนื้อเรื่องที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องโศกนาฏกรรมความรักของชายหญิงคู่หนึ่งที่รักกันมาก คุณก็จะได้เห็นในหนังเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ผมว่าได้ทุกๆ รสในเรื่องของความรัก ไม่ใช่แค่รักของขวัญเรียม แต่ยังมีรักของขวัญกับพ่อ รักของขวัญกับเรียว ขวัญกับเพื่อน หรือแม้กระทั่งเรียมกับครอบครัวเค้า แม้กระทั่งตัวละครอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกัน ก็จะได้เรื่องของความรัก และก็มีเรื่องของความเศร้าสูญเสียที่ตามมา เรื่องของคอเมดี้อย่างที่ผมบอก เรื่องของแอ็คชั่นนิดๆ หน่อยๆ ให้ชมเหมือนกัน คือมันเป็นหนังที่รวมทุกอย่างยู่ด้วยกัน ผมว่าผสมผสานได้ตามสไตล์หม่อมน้อย แต่แฝงด้วยความเป็นโมเดิร์นเข้าไป ผมว่าอาจจะมากที่สุดเรื่องหนึ่งของหม่อมเลยก็ว่าได้
ถือเป็นเป็นการแสดงที่หนักที่สุดในชีวิต
ก็น่าจะหนักที่สุดในชีวิตที่เคยแสดงมาแล้วครับ จากที่เป็น “เคน” (ใน “จันดารา”) ที่หนักที่สุดในชีวิต พอมาเป็น “ขวัญ” นี่จะยากกว่าเยอะครับ คือโดยลุคภายนอกคล้ายๆ กันคือเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นโบราณเหมือนกัน แต่เคนอาจจะทำงานสบายกว่านะ อยู่ในบ้านรวยหลังใหญ่ที่เลี้ยงดูค่อนข้างดี แต่ขวัญจะอยู่ในทุ่งบางกะปิที่ไม่มีใครเลย อยู่กับพ่อสองคน ดูเหมือนมันน่าจะเหงานะแต่ด้วยความที่สนิทสนมกันมาก พ่อเลี้ยงดูเราดีมากเหมือนไม่ได้ขาดอะไรไปเลย เช้าเย็นก็ทำนา แล้วก็มีอีกตัวหนึ่งคือเป็นเพื่อนสนิทของเราเลยคือ “ไอ้เรียว” คือควายคู่ใจเรา จะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เราจะเหมือนพี่น้องกัน แล้วเราก็จะมีเพื่อนสนิทมีสมุนอีก 4 คนก็คือ “แฉ่ง. เยื้อน, สมิง, เปีย” ที่คอยช่วยเหลือเรา ก็เป็นความรักของเพื่อนกับพ่อ มันก็ทำให้เติมเต็มตัวละครให้เหมือนไม่ขาดอะไรไปเลย ส่วนในเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ นี่จะต่างกันเยอะด้วยอะไรหลายๆ อย่างและขวัญจะเป็นคนที่อารมณ์ค่อนข้างจะสุดโต่งอะไรอย่างนี้ครับ เพราะเรื่องนี้มันจะมีความซีเรียสเข้ามาด้วยในเรื่องของผู้หญิง เรื่องของความรัก มีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น มีการทำร้ายร่างกายกัน มีการฆ่าแกงกัน มันก็เป็นเรื่องราวของวัยรุ่นผู้ชายที่โตขึ้นมาอีกระดับหนึ่งมีเรื่องราววุ่นๆ เกิดขึ้นมากมาย เนื่องมาจากความบาดหมางระหว่างคนในหมู่บ้านเดียวกัน คนสองฝั่งคลอง โดยรวมก็เป็นการแสดงที่หนักที่สุดกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยเล่นมาครับ
ต้องมีการปรับลุคภายนอกด้วย
ใช่ครับ ก็อาจจะตัวใหญ่ขึ้นหน่อย เพราะหม่อมอยากให้ตัวใหญ่กว่าเดิม มีการฟิตเนสเพิ่มมากขึ้น ตอนเคน กระทิงทองน้ำหนักประมาณ 69 กิโล ตอนเล่นเป็นขวัญนี่แตะ 75 กิโล ตัวจะใหญ่กว่าเคน สีผิวก็จะดำขึ้น สีผิวของขวัญก็เป็นชายไทยสมัยก่อน ก็จะทำนาอยู่กับแดด ตากแดดเลี้ยงควาย สีผิวก็เป็นไปตามนั้น ก็คือจะดำขึ้นตามสภาพของแดด
ก่อนการถ่ายทำต้องไปซ้อมอะไรหลายอย่างที่สุพรรณบุรีด้วย
เราต้องไปเรียนทำนา การหว่าน การดำ การไถ่นาด้วยควาย การปลูกต้นกล้า ย้ายต้นกล้า รวมไปถึงการขี่ควายที่เราจะต้องอยู่กับมันตลอด ไปซ้อมกับไอ้เรียวตัวจริงเลย การขี่มัน บังคับมัน พามันไปอาบน้ำ พาไปดื่มน้ำ พามันไปกินอาหารทานหญ้า รู้วิถีชีวิตของชาวนาเลย
ส่วนตัวผมชอบขี่ควายมาก สนุกมาก ชอบจริงๆ เราไปฝึกอยู่กับมันประมาณ 3-4 เดือนก่อนเปิดกล้อง ก่อนซ้อมอย่างอื่นก็ไปขี่ควายเลย ไปอยู่ที่บ้านควาย บางทีก็อาทิตย์ละสองวัน ก็ไปอยู่กับควายตัวนี้ที่ชื่อไอ้เสาร์ ทุกครั้งที่ไปก็ตัวนี้ตัวเดียว ฝึกให้คุ้นชินเลย ทุกครั้งที่ไปตอนแรกๆ ก็จะไปคุยกับมันก่อน ลูบหัวมัน พามันออกไปเดินเล่น ทำความคุ้นเคยเรากับมันก่อน ไปขี่ อาบน้ำ หลังๆ มาก็เริ่มพามันไปไถ่นา ไปดำนา ไปด้วยทุกอย่างเลย คือพามันไปด้วยหมดเลย เหมือนเราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันให้มันคุ้นชิน แล้วเราก็ถามพี่เค้าว่ามันชอบกินอะไร ก็จะเอาไปฝากมัน มันชอบกินกล้วยน้ำว้า ก็จะพยายามเอากล้วยไปเป็นของที่ทำให้สนิทกัน ของกำนัลให้มันหน่อย
เข้าฉากครั้งแรกกับมันเป็นยังไงบ้าง
สนุกครับ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลย ไม่มีอะไรที่ผิดพลาด เพราะว่าอย่างที่บอกคือเราไปอยู่กับมันมานานหลายเดือนแล้ว ทำให้ความคุ้นชินของเรากับมันก็เยอะ รวมถึงมันเป็นควายที่ถูกฝึกมาอย่างดี แล้วก็เคยผ่านผลงานทางภาพยนตร์, โฆษณามาแล้วด้วยเหมือนกัน ไอ้เสาร์เคยผ่านมาหมดแล้ว เผลอๆ อาจจะประสบการณ์มากกว่าผมอีก เพราะมันเล่นมาหลายเรื่องแล้ว
มีซ้อมคิวแอ็คชั่นด้วย
ก็สนุกครับ ก็มีเรียนคิวกระบองเพิ่มขึ้น ก็ฝึกซ้อมอยู่นานพอสมควร คิวกระบองนี่จะเป็นคิวอันหลังๆ ที่หม่อมเพิ่มเข้ามา หม่อมอยากได้แบบนี้ก็คิดกับพี่พันนาแล้วก็มีผู้ช่วยพี่พันนาคอยดูให้ ไปซ้อมที่บ้านพี่พันนาอาทิตย์ละหนึ่งวัน ประมาณซัก 4-5 เดือนก่อนถ่าย เพื่อให้มันคล่อง เพราะว่ากระบองค่อนข้างยาก มันเป็นไม้จริงๆ ไม่ใช่กระบองหรอก เพราะว่าเราเป็นแบบชาวบ้าน ถ้าดูในหนังจริงๆ ก็จะเป็นไม้ไผ่ เป็นต้นไผ่แล้วก็ก้านไผ่ยาวๆ แล้วก็เอามาใช้ต่อสู่เป็นแบบศิลปะแม่ไม้ของไทย
กดดันหรือหนักใจมากน้อยแค่ไหนกับการแสดงบทนำเต็มตัวครั้งแรก
ครับ เยอะมาก เพราะจริงๆ แล้วพอพูดถึง “แผลเก่า” มันก็หนีไม่พ้นเรื่องของดราม่าโศกนาฏกรรม เรื่องของความรัก บางทีมันก็เป็นของคู่กันกับแผลเก่า ก็ต้องซ้อมต้องฝึกต้องเรียนรู้พอสมควร เคยพูดว่าตอนที่เล่น “จันดารา” เป็น “เคนกระทิงทอง” เป็นเรื่องที่หนักที่สุดในชีวิตตั้งแต่เคยเล่นมา แต่ตอนนี้ก็คงต้องพูดอีกครั้งหนึ่งว่า เรื่อง “แผลเก่า” นี้เป็นเรื่องที่หนักที่สุดจริงๆ หนักทุกๆ ด้านเลย ตั้งแต่อย่างที่บอกเลยก็มีทั้งขี่ควายทำนาด้วย เพราะว่าเราก็เกิดในเมืองกรุง แล้วต้องไปเรียนรู้ของชาวบ้านจริงๆ และยิ่งไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา เป็นชาวบ้านสมัยก่อนด้วยมันก็ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมมากขึ้น รวมถึงขี่ควายด้วย แล้วก็ร้องเพลงเต้นกำรำเคียว แล้วก็มีฉากบู๊ด้วย รวมถึงฉากดราม่าก็มี หลายๆ อย่างผสมกันมันก็หนักมาก พออ่านบทมา คนดูก็จะคาดหวังในความเป็นดราม่า แต่ว่าพอเราเล่นเราก็พยายามไม่สนใจมันให้ได้มากที่สุด ไม่ได้คิดถึงมันว่ามันจะเป็นยังไง ถามว่าเครียดมั้ย ก็เครียด เครียดมากพอสมควร แต่หม่อมก็จะบอกเสมอว่าปล่อยมันไปในเรื่องของผลลัพธ์ที่ออกมาว่าคนดูจะได้ความรู้สึกยังไง ไม่ใช่เรากำหนดว่าเราต้องเล่นให้เศร้าหรืออะไรก็แล้วแต่ เราก็พยายามปล่อยไป แล้วเล่นออกมาตามที่เราเข้าใจ แล้วก็ทำเต็มที่ที่สุดครับ
ร่วมงานกับ “ใหม่ ดาวิกา” เป็นครั้งแรก
ก็ดีครับ ตั้งแต่ตอนซ้อม ตอนเวิร์คช็อปก็มีการเจอกันก่อน มีการพูดคุย มีการซ้อมกันที่บ้านหม่อมก่อน มันก็ทำให้เราเหมือนสนิทกันมากขึ้น มาเข้าฉากมันก็ง่ายกันมากขึ้น จากตอนแรกที่ไม่รู้จักกันเลย เรียกได้ว่าไม่เคยเจอเลยดีกว่า ผมไม่เคยเจอตัวจริง พอรู้ว่าจะได้เล่นด้วยกันก็รู้สึกเครียด กดดันเหมือนกัน เพราะเค้าก็นางเอกพันล้าน เราก็เล่นหนังมาไม่กี่เรื่องเอง เราก็เหมือนเครียดๆ กลัวๆ กล้าๆ แต่พอเจอที่บ้านหม่อม ได้ซ้อมได้อะไรกัน มันก็ดี สนุกขึ้น พอเข้าฉากมันก็ช่วยได้มากขึ้น ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น เวลาเรามาเข้าฉากกุ๊กกิ๊ก เข้าฉากจีบกันก็ทำให้ดีขึ้น และเพิ่งมารู้ตอนซ้อมที่บ้าน หม่อมว่าเป็นลูกครึ่งไทย-เบลเยี่ยมเหมือนกัน แล้วชื่อก็คล้ายกัน ความหมายเดียวกันอีก “นิว กับ ใหม่” มันก็ตลกดี แปลกดี
เข้าฉากด้วยกันครั้งแรกสุดเลยเป็นยังไง
ครั้งแรกสุดเลย ฉากอะไรจำไม่ได้แล้ว ก็มีเขินๆ บ้าง อาจไม่เชิงตะกุกตะกัก แต่ว่าเขินๆ อะไรอย่างนี้ครับ แต่ว่าเรื่องการซ้อมมันช่วยได้เยอะมาก ถ้าตอนแรกไม่เคยซ้อมเลย ไม่รู้จักกันเลย ไม่เคยเจอแล้วมาเข้าด้วยกัน มันคงแบบตะกุกตะกักจริงๆ แต่นี่มันเป็นการเขินอายกันในตอนแรกๆ มากกว่า แต่พอหลังๆ มันก็คุ้นขินกันมากขึ้น มันก็ปล่อยไหล สบายมากขึ้น การซ้อมมีส่วนช่วยมากๆ เลยครับ อย่างน้อยเนี่ยที่เห็นชัดๆ เลย จากคนไม่รู้จักกันก็มารู้จักกันก่อนที่จะได้เล่น นี่คืออย่างแรกที่เห็นชัดที่สุด ถ้าหลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้ว ที่ได้รู้จักกันแล้ว ก็ได้มาซ้อมบทเข้าฉากกัน ทำให้เราแม่นกับตัวละครมากยิ่งขึ้น เค้าก็ได้แม่นกับตัวละครมากยิ่งขึ้น แล้วได้เข้าฉากด้วยกันก็เหมือนกับว่า รับรู้จังหวะแต่ละคนมากยิ่งขึ้นว่าจะเป็นยังไง แล้วเวลามาเข้าฉากจริงๆ ร่างกายมันก็จะไปของมันเองครับ
กับพี่ “อ๊อฟ พงษ์พัฒน์” มาเล่นเป็นพ่อเรา เป็นยังไงบ้าง
ดีมากครับ รู้สึกดีใจมาก สนุกมาก วันแรกที่ได้เข้าฉากกับพี่อ๊อฟเลยก็มีความสุขมาก ทุกฉากที่ได้เล่นกับพี่อ๊อฟ เหมือนเราอยากเล่นกับพี่อ๊อฟมานานแล้ว อย่างในเรื่อง “จันดารา” ก็เหมือนจะได้เล่นด้วยกันเพราะว่าอยู่ในหนังเรื่องเดียวกัน แต่จริงๆ แล้วไม่ได้เล่นด้วยกันเลย เหมือนแค่ร่วมซีนกันผ่านๆ แต่ว่าในเรื่องนี้เราได้มาเป็นลูกของเค้า ได้เข้าฉากกันมากขึ้นเยอะ แล้วยิ่งเป็นฉากพ่อลูกแบบไม่มีแม่ เป็นพ่อลูกที่สนิทกันมาก มันก็เล่นแล้วสนุก มีความสุขมาก ทุกๆ ฉาก ในทุกๆ ครั้งที่เล่นกับพี่อ๊อฟ รวมถึงตอนซ้อมที่บ้านหม่อมแล้ว ทุกครั้งพี่อ๊อฟจะมีอะไรใหม่ๆ มาเสนอ มาพูดคุย เหมือนมาสอนเราตลอดเวลา นอกจากหม่อมที่เป็นอาจารย์สอนเรื่องการแสดงแล้วด้วยเนี่ย พี่อ๊อฟก็เป็นลูกศิษย์ของหม่อมเหมือนกัน แล้วก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากๆ ในตรงนี้ แล้วเค้าก็มีส่วนที่เอาความรู้ของเค้ามาสอนเราเหมือนกัน เช่นเดียวกัน เวลาว่างพักกินข้าว เราก็ได้พูดคุยกัน มันก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ยิ่งเล่นยิ่งสนุกเพราะเป็นไอดอลคนหนึ่งที่เราอยากจะเจริญรอยตามครับ