KTAMตั้งเป้าAUMโต6.46แสนล้านครองแชมป์กองทุนอสังหาริมทรัพย์
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทสามารถบริหารผลการดำเนินงานได้สูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2556 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 550,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ประมาณ 431,000 ล้านบาท หรือประมาณ 27% จากเดิมกำหนดเป้าหมายในปี 2556 ไว้ที่ประมาณ 516,000 ล้านบาท เนื่องจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในกองทุนประเภทต่างๆเพิ่มขึ้น เช่นกองทุนรวม เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ประมาณ 47,672 ล้านบาท กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 60,000 ล้านบาท จากการเพิ่มทุนของกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ และสิทธิการเช่า เทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท(TLGF) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ไทยคอมเมอร์เชียล อินเวสเม้นต์ (TCIF ) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยรีเทล อินเวสเม้นต์ (TRIF) และการเปิดจำหน่ายกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซี.พี ทาวเวอร์ โกรท (CPTGF) และกองทุนส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นประมาณ 8,500 ล้านบาท
ส่วนแผนธุรกิจในปี 2557 บริษัทตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการไว้ที่ ประมาณ 650,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี2556 ประมาณ 18% การเพิ่มขึ้นของทรัพย์สินสุทธิ ประมาณ 100,00 ล้านบาท จะมาจาก ธุรกิจกงอทุนรวม 31,000 ล้านบาท กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ , REITS และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ประมาณ 55,000 ล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล 6,000 ล้านบาท และกองทุนรวมวายุภักษ์ 20,000 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์การบริหารงาน ในปี 2557 บริษัทตั้งเป้าเป็นบริษัทจัดการที่มีผลิตภัณฑ์ และบริการด้านการลงทุนอย่างครบถ้วน เพื่อให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ สามารถให้บริการทางการลงทุนอย่างครบถ้วน และนำไปสู้วิสัยทัศน์ของธนาคาร ในเรื่อง Convenience Bank นอกจากนี้ จะเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนที่มีการบริการที่ทันสมัย เป็นทางเลือกแรกของผู้ลงทุน มีผลประกอบการและขนาดทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการเป็นอันดับ1 ใน3 พร้อมทั้งบริษัทจะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการของบริษัทที่หลากหลาย เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยทีมงานมืออาชีพ ที่สร้างความพึงพอใจแก่ผู้ลงทุน และผู้ที่เกี่ยวข้องโดยยึดหลักการบริหารจัดการที่ดี
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2557 ฝ่ายวิจัยของบริษัท มองว่า ปัจจัยบวกมาจากปัจจัยภายนอกได้แก่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากการขยายตัวในทางบวกของประเทศอุตสาหกรรมหลักซึ่งมีแนวโน้มที่ดีขึ้น และภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก ส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีแนวโน้มที่ดี แม้ตลาดหุ้นบ้านเราจะได้รับความสนใจที่ลดลงจากนักลงทุนต่างประเทศที่หันไปสนใจตลาดหุ้นที่มีการพัฒนาแล้วมากกว่า แต่เชื่อว่าเมื่อระดับราคาเชิงเปรียบเทียบอยู่ในระดับที่จูงใจก็จะทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลกลับเข้ามาได้ โดยมองว่าภาวะการลงทุนในครึ่งปีแรกจะยังไม่สดใสมากนัก จากที่มีการลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงจะมีการลดการใช้นโยบายแบบผ่อนคลายพิเศษของธนาคารกลางสหรัฐฯ และประเทศไทยต้องก้าวผ่านปัญหาทางการเมืองไปให้ได้ก่อน ซึ่งการลงทุนระยะสั้นก็ขึ้นกับความคลี่คลายในปัญหาการเมืองด้วย แต่ครึ่งปีหลังการลงทุนน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นได้จากการที่มองว่าปัญหาการเมืองน่าจะคลี่คลายไปได้ ซึ่ง ระดับ P/E ต่ำกว่า 11 เท่าลงมาถือเป็นระดับที่น่าสนใจลงทุนระยะยาว โดย บลจ. กรุงไทยมองเป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปีไว้ที่ประมาณ 1,590 จุด
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2557 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 4.6% ในปี 2557 นี้ อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ทางการเมืองยืดเยื้อออกไปก็อาจทำให้ตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยถ้าหากสถานการณ์ทางการเมืองยืดเยื้อออกไปจนทำให้การเบิกจ่ายงบลงทุนในปีงบประมาณ2557 ต้องล่าช้าออกไปมาก ก็อาจทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เพียง 4.1% ซึ่งสถานการณ์นี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(กนง.) อาจตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% ตลอดปี2557 แต่ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อจนกระทั่งไม่สามารถจัดทำงบประมาณใหม่ สำหรับปีงบประมาณ 2558 ได้ และจำเป็นต้องมีการใช้งบประมาณปี 2557 ไปก่อน ก็อาจทำให้เศรษฐกิจในปี 2557 เติบโตได้เพียง 3.6% เท่านั้น และกระทบต่อการเติบโตในปีถัดไปด้วย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่ กนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2557 นี้