บลจ.แอสเซท พลัส ก้าวสู่ปีที่ 10 “รัชต์ โสดสถิตย์” กรรมการผู้จัดการ คนใหม่ นำทีมผู้บริหาร ตั้งเป้าเป็น One-stop wealth management solution
“รัชต์ โสดสถิตย์” นำทีมผู้บริหาร บลจ.แอสเซท พลัส ก้าวสู่ปีที่ 10 ตั้งเป้าเป็น “One-stop wealth management solution” ด้วยผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ครบวงจร ตอกย้ำเป็นผู้นำใช้กลยุทธ์การเลือกลงทุนตรงในหุ้นทั่วโลกเป็นแห่งแรกโดดเด่นด้วยผลการดำเนินงานกลุ่มกองทุน ASP-STARS พร้อมริเริ่มเป็นผู้นำลงทุนใน Private equity ผ่านกองทุนส่วนบุคคล
นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2557 นี้ บริษัทฯ พร้อมเข้าสู่ปีที่ 10 อย่างมั่นคง ด้วยทีมผู้บริหาร และทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญ โดยตั้งเป้าเป็น “One-stop wealth management solution” ตอบโจทย์การลงทุนลูกค้าแบบครบวงจรครอบคลุมทุกสินทรัพย์ในอุตสาหกรรม ทั้งตราสารหนี้ และหุ้นทั่วโลก รวมทั้งสินค้าโภคภัณฑ์ ผ่านการลงทุนในกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล โดยปีนี้บริษัทฯ จะทำหน้าที่เป็น Wealth planner ให้กับลูกค้าทุกระดับเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน
“ด้วยขนาดบริษัทฯ ไม่ใหญ่มาก ทำให้ระบบงานมีความคล่องตัว และดูแลลูกค้าได้ทั่วถึง เพราะสามารถปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับทุกภาวะการลงทุน จากทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญด้านการคัดเลือกหุ้นรายตัว เห็นได้จากผลงานกลุ่มกองทุน STARS ที่ประสบความสำเร็จมาก โดยในปีนี้เราจึงตั้งเป้าเป็น One-stop wealth management solution ให้กับลูกค้าทุกระดับ ด้วยแหล่งข้อมูลข่าวสารที่ครอบคลุมทุกตลาด ดังนั้น หากท่านกำลังหาทางเลือกการลงทุน บลจ.แอสเซท พลัส พร้อมให้คำปรึกษาเพื่อให้ท่านได้รับประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน” นายรัชต์ กล่าว
นายรัชต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนการขายผ่านตัวแทนขาย (Selling agents) ให้มากขึ้นเป็น 40% จากเดิม 30% ด้วยการเพิ่ม Selling agents เป็น 34 ราย จากเดิม 28 ราย ส่วนอีก 60% มาจากการขายของ Marketing ของบริษัทฯ ตลอดทั้งพัฒนาระบบ Internet trading เพื่อขยายช่องทางการขาย โดยคาดว่าจะพัฒนาเสร็จสิ้นประมาณไตรมาส 3 ปีนี้ ส่วนการขยายกลุ่มลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล จะเน้นกลุ่มลูกค้าบุคคลธรรมดารายใหญ่เป็นหลัก
“ในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) เพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 25% จากสิ้นปี 2556 จากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมประมาณ 70% และกองทุนส่วนบุคคลอีก 30% โดยจะเน้นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก ที่ครอบคลุมภูมิภาคและประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ทั้งเอเชีย ยุโรป และสหรัฐฯ โดยในส่วน AUM ของกองทุนรวมจะเติบโตมาจากกองทุนที่เสนอขายใหม่ในปีนี้ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% และจากกองทุนรวมเดิมที่มีอยู่ของบริษัทฯ 40%“ นายรัชต์กล่าว
นายรัชต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้บริษัทฯ มีแผนเสนอขายกองทุนรวม ไม่ต่ำกว่า 10 กองทุน โดยเป็นกองทุนแบบ Active ประเภท Target fund ที่เน้นกลยุทธ์ Stock selection เป็นหลัก เสริมด้วยกองทุนเปิดที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย และกองทุนต่างประเทศประเภท Feeder fund ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น และมีความเชี่ยวชาญในสินทรัพย์ และภูมิภาค หรือประเทศที่ลงทุน โดยกลางเดือน มกราคม บริษัทฯ เตรียมเสนอขาย กองทุนหุ้นที่เน้นลงทุนในหุ้นยุโรป
ด้านกองทุนส่วนบุคคล บริษัทฯ จะเน้นขยายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยในปีนี้จะเพิ่มทางเลือกในการลงทุนใน Private equity ซึ่งเป็นหุ้นนอกตลาด โดยจะเลือกลงทุนในบริษัทที่ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศในแถบเอเชีย และเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างมั่งคั่งให้กับพอร์ตการลงทุนของลูกค้าได้มากที่สุด
นายรัชต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมการลงทุนในปีนี้ตลาดหุ้นไทยยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงครึ่งปีหลัง หากปัจจัยการเมืองคลี่คลาย โดยปัจจุบัน Valuation ของ SET Index ในระดับปัจจุบันที่ P/E 11.5 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีตและมี Valuation ที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม TIP (ไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์) ซึ่งถือว่าต่ำกว่าระดับปกติ โดยหลังจากเศรษฐกิจโลกเริ่มดี และราคาหุ้นได้ถูกปรับจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินของสหรัฐฯ (QE tapering) จะส่งผลให้ P/E ของ SET Index กลับมาสู่สภาวะปกติที่ประมาณ 12-14 เท่า ขณะที่คาดว่าการเติบโตของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีนี้อยู่ที่ 10% โดยปรับลดจากคาดการณ์การเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในปี 56 ที่ระดับ 15% ซึ่งจะส่งให้ SET Index มีโอกาสแตะระดับ 1,500 จุด ในปีนี้ ดังนั้น ในปีนี้ บริษัทฯ จึงเน้นที่จะเสนอขายกองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เนื่องจาก คาดว่าจะเติบโตได้ดี โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มยุโรปที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวหลังจากที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายนโยบายรัดเข็มขัด และภาคเอกชนมีการเพิ่มการลงทุนมากขึ้นหลังจากชะลอการลงทุนไปในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ญี่ปุ่น จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และการอ่อนค่าของเงินเยน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคส่งออก รวมถึงสหรัฐฯ ที่ยังมีการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และจีน ที่นโยบายการปฏิรูปส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจระยะยาว จาก Valuation ที่น่าสนใจ และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน