MSN on November 29, 2013, 02:11:17 PM
ซิตี้ ออโต้โมบิล เผยโฉม The All New Range Rover Sport ครั้งแรกในประเทศไทย สุดยอดรถสปอร์ต SUV ที่เร็วและแรงที่สุดเพื่อการขับขี่สุดเร้าใจจากแลนด์โรเวอร์


 
          ยานยนต์สปอร์ตหรูสมรรถนะแรงเหนือระดับพาคุณพุ่งทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ในชั่วพริบตาเพียง 5 วินาที! พบกันในงาน ‘มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30’
 
          ซิตี้ ออโต้โมบิล ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการเพียงรายเดียวในประเทศไทย เผยโฉม “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต (The All-New Range Rover Sport)” สุดยอดรถสปอร์ตเอนกประสงค์สุดหรูเร็วที่สุดและแรงที่สุดจากแลนด์โรเวอร์ ด้วยเครื่องยนต์สมรรถนะเป็นเลิศทั้งในด้านความเร็วและอัตราเร่งแรงเต็มพิกัด พร้อมความปลอดภัยกับเสถียรภาพในการควบคุมที่เหนือล้ำ และระบบฟังก์ชั่นอัจฉริยะสำหรับการขับขี่ในทุกสภาพถนนและภูมิอากาศ เตรียมเปิดตัวในเมืองไทย 2 รุ่น ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล SDV6 3.0 และ LR-V8 5.0 ซูเปอร์ชาร์จ ราคาตั้งแต่ 7,750,000 – 10,050,000 บาท ในงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30”

          “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” คือ ยานยนต์เรนจ์โรเวอร์สปอร์ตรุ่นที่ 2 และเป็นรถสปอร์ตรุ่นแรกในคลาสที่ใช้สถาปัตยกรรมโครงสร้างฐานและตัวถังรถเป็นอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาทั้งหมด เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่เฉียบทันสมัย โดยยังคงประสิทธิภาพการขับขี่ที่เหนือชั้นในสไตล์ SUV ระดับโลก เพื่อเอาใจผู้ชื่นชอบรถสปอร์ตระดับพรีเมี่ยมสมรรถนะสูงที่ทรงพลัง ขับสนุกสุดเร้าใจ พร้อมตอบสนองฉับไวในทุกสภาวะการขับขี่ นำเสนอรูปลักษณ์ใหม่ที่สวยเฉียบ พร้อมสมรรถนะที่แรงอย่างเหนือระดับ ทั้งด้านความเร็ว ความคล่องตัวในการขับขี่ ผสานสมรรถนะของสุดยอดความสมบุกสมบันในโหมดออฟโร้ดเข้ากับประสิทธิภาพการขับขี่บนทางเรียบและอัตราเร่งที่เหนือกว่า ตัวรถทั้งหมดยังสร้างจากโครงอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา เพื่อให้ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” เติมเต็มประสบการณ์การขับเคลื่อนสี่ล้อที่สนุกเร้าใจ เต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งการควบคุมที่จะปลุกเร้าทุกประสาทสัมผัส พร้อมรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวและพิถีพิถันในทุกรายละเอียด เพื่อการพุ่งทะยานไปอย่างองอาจด้วยมาดแห่งผู้นำในทุกสุภาพถนน

          นายสรรพงษ์ ชื่นโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด เปิดเผยว่า “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต คือรถสปอร์ตอเนกประสงค์จากแลนด์โรเวอร์ที่ถือเป็นสุดยอดแห่งขุมพลังและการตอบสนองต่อการควบคุมที่เป็นเลิศ โดยตั้งแต่เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต รุ่นแรกสามารถจำหน่ายได้กว่า 415,000 คันทั่วโลกตั้งแต่ปี 2005-2013 ขณะนี้แลนด์โรเวอร์ ได้นำเสนอ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” รุ่นที่สอง และถือได้ว่าเป็น ‘เรนจ์โรเวอร์สปอร์ตพันธุ์แท้’ ซึ่งเราคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้อย่างประสบความสำเร็จทั้งในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปและหลังจากนี้ ด้วยการออกแบบที่เน้นทุกรายละเอียดตั้งแต่แผงหน้าปัดที่ให้ความเร้าใจในยามขับขี่มากยิ่งขึ้น ผสานการออกแบบที่นั่งคนขับระบบ Command Driving Position ที่มอบความรู้สึกภูมิฐานสง่างาม พร้อมประสิทธิภาพการควบคุมได้ดั่งใจ ทำให้ ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต เป็นรถสปอร์ตอเนกประสงค์ระดับหรูที่เร็ว แรง และคล่องตัวสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรุ่นเครื่องยนต์ V8 ที่สามารถเร่งความเร็ว 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงโดยใช้ในเวลาเพียง 5 วินาที ถือเป็นความเร็วระดับสุดยอดสำหรับยานยนต์สปอร์ต โดยในประเทศไทย ซิตี้ ออโตโมบิล เตรียมทำตลาดในรุ่นดีเซล SDV6 3.0 และ LR-V8 5.0 ซูเปอร์ชาร์จ ในราคาตั้งแต่ 7,750,000 บาท”

          สุดยอดนวัตกรรมยานยนต์
          เทคโนโลยีวิศวกรรมยานยนต์ระดับโลกของ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” นำเสนอความสมบูรณ์แบบในการขับขี่ด้วยนวัตกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมสี่ด้านรุ่นใหม่,ระบบควบคุมการเอียงแบบฉับพลันด้วยฟังกชั่น Dynamic Response, ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชันและระบบช่วยการออกตัวรถบนทางชัน, ระบบควบคุมการทรงตัว, ระบบป้องกันรถพลิกคว่ำ, ระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมอัตราทดเกียร์ป้องกันการลื่นไถล, ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นวัตกรรมอัจฉริยะใหม่ Terrain Response 2 Auto® สั่งการและควบคุมการขับขี่สั่งการอัตโนมัติ สามารถตรวจจับสภาพพื้นถนนและเลือกโปรแกรมการขับขี่ที่เหมาะสมได้โดยอัตโนมัติ ตลอดจนเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเต็มขั้น โดยได้ติดตั้ง ทอร์ก เวคเตอริ่ง (torque vectoring) เพื่อช่วยในการการกระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อเพื่อลดอาการดื้อโค้งเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนนและเข้าโค้ง รวมทั้งเรดาร์ตรวจจับด้านหลังเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ถอยหลัง ระบบควบคุมการจอดอัตโนมัติ ทั้งจอดแบบตั้งฉาก (Perpendicular) จอดแบบขนาน (Parallel Park) และ การออกจากรถ (Park Exit) รวมทั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติตามระยะห่างระหว่างยานยนต์ (Adaptive Cruise Control), ระบบแจ้งเตือนระยะห่างของยานยนต์คันหน้า (Queue Assist), ระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Emergency Braking), ระบบตรวจจับจุดบอดและยานยนต์ระยะประชิด ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัยที่สุดในบรรดารถสปอร์ตคลาสเดียวกัน

          สุดยอดแห่งความหรูหราและสะดวกสบาย
          “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” ยังมอบความสะดวกสบายสูงสุด ด้วยการออกแบบเบาะด้านหลังให้มีความโอ่อ่าและกว้างขวางเป็นพิเศษเพื่อการโดยสารแสนสบายตลอดเส้นทาง โดยขยายความยาวฐานล้ออีก 178 มม. เพื่อเพิ่มพื้นที่ผ่อนคลายของผู้โดยสารด้านหลัง ทั้งยังสามารถลดระดับความสูงเบาะหลังได้มากขึ้นและมีช่องประตูที่ใหญ่กว่าเดิม นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกโทนสีรถให้สะท้อนรสนิยมและบุคลิกของผู้ขับได้ตามต้องการ ซึ่งมีทั้งโทนสีเดี่ยว แบบทูโทน และแบบสามเฉดสี ที่แตกต่างกันรวมกว่า 11 แบบ นอกจากนี้ ที่นั่งด้านหน้าปรับได้ถึง 18 จังหวะ รวมทั้งมีฟังก์ชั่นระบบนวด พร้อมที่นั่งแถวสามารถแบบปรับอัตโนมัติแบบ 5+2

          การออกแบบแผงหน้าปัดมีให้เลือกสองออพชั่น คือแบบมาตรฐานและแบบสามมิติ โดดเด่นด้วยจอมอนิเตอร์กลางคอนโซลขนาด 8 นิ้ว เพื่อง่ายต่อการจัดสรรรายการความบันเทิงระหว่างการเดินทาง อีกทั้งยังติดตั้งแผนที่ประเทศไทยในระบบเนวิเกเตอร์ผ่านดาวเทียม เบาะหลังติดตั้งจอภาพยนตร์มีให้เลือกทั้งขนาด 8 นิ้วและ 10.2 นิ้ว พร้อมหูฟังไร้สายและช่องเชื่อมต่อ USB เพิ่มพิเศษ ระบบปรับอากาศยังสามารถแบ่งควบคุมได้ทั้งแบบ 2, 3 หรือ 4 โซน เพื่อมอบสบายที่ตรงตามความต้องการทั้งสำหรับผู้ขับและผู้โดยสารทุกคน ด้วยระบบล็อกประตูอัตโนมัติ ระบบปรับอุณหภูมิเครื่องยนต์ด้วยรีโมทและการตั้งอุณหภูมิห้องโดยสารล่วงหน้า ตลอดจนรูปแบบความบันเทิงและการเชื่อมต่อที่ไร้ข้อจำกัด ทำให้ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” คือยานยนต์สปอร์ตระดับหรูที่นำคุณสู่ทุกจุดหมายปลายทางด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยยิ่งกว่า

          สุดยอดยานยนต์สปอร์ต SUV
          “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” คือสุดยอดยานยนต์สปอร์ตขับเคลื่อนสี่ล้อที่สามารถพาคุณโลดแล่นไปบนทุกเส้นทางตั้งแต่ถนนทางเรียบในเมืองใหญ่ไปจนถึงการผจญภัยแบบออฟโร้ดในสภาพพื้นที่อันท้าทาย โดยยังคงมอบความแม่นยำในการขับขี่ สมรรถนะการควบคุมที่ดีเยี่ยม แรงขับเคลื่อนอันทรงพลังและประสิทธิภาพที่เชื่อมั่นได้ตลอดการเดินทาง โดยเฉพาะการขับขี่ในเมืองไทยที่มีทั้งพื้นที่ดินโคลน ถนนขรุขระ ดินทราย ตลอดจนสภาพพื้นถนนที่ยากลำบากแบบอื่นๆ “ดิ ออล-นิว เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต” จึงเป็นคำตอบสำหรับผู้ชื่นชอบรถสปอร์ตระดับพรีเมี่ยมสมรรถนะสูงที่ทรงพลัง ขับสนุกสุดเร้าใจ พร้อมตอบสนองฉับไวในทุกสภาวะการขับขี่ด้วยสัญชาติแห่ง ‘สปอร์ตพันธุ์แท้’

          มอบคุณภาพและบริการหลังการขายเหนือระดับ
          ซิตี้ ออโต้โมบิล ในฐานะผู้แทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์เพียงรายเดียวในประเทศไทย พร้อมให้บริการด้วยมาตรฐานระดับโลกแก่ลูกค้าทุกราย ปัจจุบัน บริษัทได้สร้างเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายขึ้นใหม่และมุ่งเน้นที่การให้บริการชั้นเลิศแก่ลูกค้าเป็นสำคัญ

          “บริษัทยังมอบการรับประกันมาตรฐาน 3 ปี แก่ลูกค้า พร้อมบริการฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ บริษัทยังลงทุนเพื่อการอัพเกรดศูนย์บริการ ใช้วัสดุอุปกรณ์และเทคโนโลยีเพื่อการซ่อมบำรุงขั้นสูง และมอบบริการโดยช่างซ่อมบำรุงและเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายที่ผ่านการฝึกอบรมอย่างครบถ้วน เพื่อให้ลูกค้าจากัวร์และแลนด์โรเวอร์ในประเทศไทยได้รับบริการตามมาตรฐานสากลทุกประการ โดยเฉพาะศูนย์บริการที่ถนนวิทยุและสาขาพระราม 3 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ให้มีมาตรฐานระดับสากลและเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแล้วในปัจจุบัน โดยบริษัทได้ทุ่มทุนกว่า 150 ล้านบาท เพื่อการเตรียมเปิดศูนย์บริการแห่งใหม่ถนนพระราม 4 ในช่วงไตรมาส 3 ในปี 2557 ที่จะถึงนี้ นอกจากนี้ ซิตี้ ออโตโมบิล ยังมีแผนที่จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่ทุกปี ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะสร้างการเติบโตของแบรนด์จากัวร์ และแลนด์โรเวอร์ ในประเทศไทยอย่างจริงจังในระยะยาว” นายสรรพงษ์กล่าว

          หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัท ซิตี้ ออโต้โมบิล จำกัด ศูนย์บริการสาขาถนนวิทยุ โทรศัพท์ 02 651 4545 ต่อ 131 และ สาขาพระราม 3 แขวงช่องนนทรี หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.landroverthailand.com

MSN on November 29, 2013, 02:12:05 PM
Mitsubishi Motors Thailand appoints “Hello Kitty” as the Company Brand Ambassador








 
          Mitsubishi Motors (Thailand) Company Limited has cooperated with Sanrio Company Limited to appoint “Hello Kitty” as Mitsubishi Brand Ambassador to present the company intention to make stakeholder happy.

          Mr. Nobuyuki Murahashi, President of Mitsubishi Motors (Thailand) Company Limited (MMTh) said that “I target Mitsubishi to be the good company that brings the happiness to stakeholder especially for our customers by introducing high quality product to respond all customers need and also serve customers a good service in all aspect. In order to make this image clearer and be tangible, this year we will find the symbol that have the outstanding character, interesting story and well known among Thai customers to convey our message to customers. We, therefore, decided to appoint “Hello Kitty” who has distinguished appearance and style as our first brand ambassador which I strongly believe that our customers can perceive her cheerful and always happy character.”

          “Hello Kitty” will bring the Happiness to Thai customers via various communication channel as well as the company activities namely Advertisements, Road show event and Sales activities from this November.

          Customers who are interested in Mitsubishi activities with brand ambassador “Hello Kitty” can follow more information from various medium and corporate website at www.mitsubishi-motors.co.th

“Hello Kitty” Biography
“Hello Kitty” is a produced by the Sanrio Co., Ltd. in Japan. She is a happy girl with a red bow which first designed by Yuko Shimizu in November 1, 1974
Real Name Kitty White
Birthday November 1st, 1974
Birthplace In the suburbs of London, England
Height Around 5 apples
Weight Around 3 apples
Blood Type A

MSN on November 29, 2013, 02:14:13 PM
ซีตรองเปิด C5 ใหม่ดึงลูกค้าไฮเอนด์ ขนทัพตระกูล DS 3-4-5 ลุย Motor Expo






 
          ซีตรอง เจาะตลาดรถหรูเปิดตัว C5 รถธงโฉมใหม่ล่าสุด ดีไซน์ล้ำสมัย อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำหน้าของซีตรอง มั่นใจผู้บริโภคให้การตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมยกขบวนรถยนต์ในตระกูล ดีเอส (DS) มาครบไลน์ไม่ว่าจะเป็น ดีเอส5 (DS5) รถเอนกประสงค์ขนาดกลางที่ให้ความสะดวกสบายครบครับ ดีเอส4 (DS4) รถยนต์เอนกประสงค์อารมณ์สปอร์ตที่ให้ทั้งความคล่องตัวและสมรรถนะอันเหนือระดับ ดีเอส3 (DS3) รถแฟชั่นคาร์ที่มาพร้อมกับความโฉบเฉี่ยวทุกมุมมอง พร้อมด้วยรถเอนกประสงค์รุ่นใหญ่ ซีตรอง จัมเปอร์ (Jumper) ตอบสนองทุกการเดินทางไม่ว่าครอบครัวของจะมีขนาดใหญ่ถึง 10 คนก็ตาม

          นายเต็ม ทรงเจริญ ผู้จัดการทั่วไป รถยนต์ซีตรอง ผู้นำเข้า จัดจำหน่ายและให้บริการหลังการขายรถยนต์ซีตรองแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับการเข้าร่วมแสดงรถยนต์ในงานมหกรรมยานยนต์ หรือMotor Expo ครั้งที่ 30 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2556 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี บริษัทฯ ได้นำรถยนต์ซีตรองรุ่น ซี5(C5), ดีเอส5(DS5), ดีเอส4(DS4) , ดีเอส3(DS3) และ จัมเปอร์(Jumper) เข้าร่วมแสดงเต็มพื้นที่

          “ซีตรอง ซี5 เป็นรถยนต์นั่งแบบซีดานขนาดกลางที่ให้ทั้งความหรูหรา และเทคโนโลยีอันล้ำสมัย และดีไซน์อันโฉบเฉี่ยวตามสไตล์รถยนต์ฝรั่งเศส ซึ่งเราเชื่อว่าจะตอบโจทก์ได้ตรงใจผู้บริโภคชาวไทยระดับผู้บริหารที่ชื่นชอบความหรูหรา ที่ผสานกับล้ำหน้าทางเทคโนโลยีและดีไซน์อันโดดเด่นไม่เหมือนใครของฝรั่งเศส” นายเต็มกล่าว
          ในด้านของรถตระกูล ดีเอส นั้น ซีตรอง นำมาจัดแสดงในงานนีอย่างครบครับ เริ่มด้วย ซีตรอง ดีเอส 5 รถยนต์เอนกประสงค์ขนาดกลางที่มากับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบที่ ให้พละกำลังสูงสุดถึง 200 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พาคุณโลดแล่นอย่างโดดเด่นเหนือใครบนท้องถนน พร้อมอัดแน่นไปด้วยความปลอดภัยระดับ 5 ดาวตามมาตรฐานรถยุโรป

          ส่วน ดีเอส4 รถยนต์เอนกประสงค์อารมณ์สปอร์ต กับรูปโฉมสไตล์รถครอสโอเวอร์แบบ 2+2 ที่นั่ง แม้จะเป็นรถยนต์ 4 ประตู แต่จะดูเหมือนรถแบบคูเป้ เนื่องจากประตูหลังถูกซ่อนเอาไว้อย่างลงตัว โดยมากับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.6 ที่ให้พละกำลังสูดสุง 155 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด DSG ตอบสนองการขับขี่ที่เร้าใจในทุกย่านความเร็ว

          ขณะที่ ดีเอส3 จะมากับทางเลือกใน รุ่น 1.6วีทีไอ เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร VTi 4 สูบ 16 วาล์ว ที่เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง PSA(เปอร์โยและซีตรอง) และ BMW ซึ่งให้พละกำลังสูงสุดถึง 120 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดพร้อมระบบ Tiptonic ให้ความสนุกในการขับขี่ได้เฉกเช่นเกียร์ธรรมดา ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และท่อไอเสียทรงสปอร์ต เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกคัน

          ส่วน ซีตรอง จัมเปอร์ (JUMPER) รถยนต์แบบอเนกประสงค์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเซกเมนต์ ซึ่งการมี ระยะห่างระหว่างล้อหน้าและหลัง ความยาว และความสูงแตกต่างหลายรูปแบบ ทำให้เป็นเรื่องที่ง่ายที่จะค้นหาซีตรอง จัมเปอร์ ให้ตรงกับความต้องการของคุณ ทั้งนี้ จัมเปอร์ มากับ 3 ทางเลือกย่อยได้แก่ จัมเปอร์ L2H2, จัมเปอร์ L2H1 และ จัมเปอร์ L1H1

          ซีตรอง จัมเปอร์ L2H2 มีขนาดตัวถังที่กว้างใหญ่และสูงที่สุดด้วยมิติความยาว 5,413 มม. กว้าง 2,050 และสูงถึง 2,524 มม. พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกระดับ VVIP ครบครัน ทั้งเบาะนั่งหนังแท้แบบเฟิร์สคลาสพร้อมระบบนวดไฟฟ้าให้ความรู้สึกสบายตลอดการเดินทาง ระบบเครื่องเสียง โฮม เธียเตอร์ สมบูรณ์แบบพร้อมจอ LCD กระจกกันระหว่างห้องผู้โดยสารกับคนขับ

          สำหรับเครื่องยนต์ของรุ่นจัมเปอร์ L2H2 จะมีขนาดใหญ่ที่สุดเช่นกันโดยเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบ 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 157 แรงม้าที่ 3600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่รอบกว้าง 1700-2550 รอบต่อนาที

          ซีตรอง จัมเปอร์ L2H1 มากับขนาดตัวถังที่ยาว 5,413 มม. แต่สูงเพียง 2,254 มม. กว้าง2,050 มม. โดยบรรจุเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบ 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้าที่ 3500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตรที่ 2000 รอบต่อนาที

          ส่วนซีตรอง จัมเปอร์ L1H1 มากับขนาดตัวถังสั้นกว่ารุ่นอื่น โดยมีความยาว 4,963 มม. กว้าง2,050 มม. สูง 2,254 มม. เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบ 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้าที่ 3500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตรที่ 2000 รอบต่อนาที ภายในตกแต่งด้วยเบาะนั่งหนังแท้ 11 ที่นั่ง จอ LCDพร้อมระบบเครื่องเสียงสมบูรณ์แบบ บันไดเลื่อนข้างประตูอัตโนมัติ

          พบกับซีตรองทุกรุ่นได้แล้ววันนี้ ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 30 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม ศกนี้เท่านั้น

MSN on November 29, 2013, 02:15:53 PM
Mitsubishi Motors Lineup at the 30th Motor Expo








 
           Mitsubishi Motors Thailand is going to show “Mirage Meets Hello Kitty” version as the highlight at Mitsubishi showcase and also introduce “Attrage Ralliart Edition” including the new model year Triton 14 MY. The company also provides special offer for Mitsubishi customers with selection of 0% interests rate or added value trade in up to 60,000 baht and “Drive now pay next year.” Every model gets free first class insurance “Diamond Protection”. “Hello Kitty” will be introduced as the company Brand Ambassador in Thailand while Mitsubishi vehicle’s presenter “Nichkhun, Mario and Kimberly” will also join the event at the 30th Thailand International Motor Expo, from November 28 to December 10 at Challenger Hall, Muang Thong Thani.

          Mr. Nobuyuki Murahashi, President, Mitsubishi Motors (Thailand) Co., Ltd. (MMTh) discloses about Mitsubishi lineup at the 30th Thailand International Motors Expo during November 28 - December 10, 2013 that the Mitsubishi “Mirage Meets Hello Kitty” will be displayed as the highlight and is going to introduce Mitsubishi Attrage special model “Ralliart Edition”, coming with more sporty to be the choice for customers who are looking for Compact Sedan with “Affordability,” and “Fuel Efficiency” features with sporty design, and Mitsubishi Triton 14 MY which is equipped with more attractive features namely new audio function with Navigation systems and USB, iPod/iPhone connector, Driver’s airbag with pretensioner seat belt and “Titanium” as new standard color. Alongside these will be Mitsubishi Mirage and Mitsubishi Attrage, the eco car vehicles that get warm welcome from Thai customers, Mitsubishi Triton and Mitsubishi Pajero Sport with 2.5 VG turbo engine that provide the maximum output at 178 hp. and Mitsubishi Lancer EX which provides customers a sense of both stylish and intelligence of driving

          Moreover, MMTh plans to introduce “Hello Kitty” as the company first Brand Ambassador for Thai market and invite Nichkhun, Mario and Kimberly, the Mitsubishi vehicle’s presenters to do activities at Mitsubishi showcase during the event as well.

          Mr. Murahashi adds that MMTh will offer very special campaign “Hello Motor Expo”. Customers who make a booking of Mitsubishi vehicle all models during the period will get 0% interest rate for 48 months or added value trade in up to 60,000 bath while Mitsubishi Pajero Sport benzene model will get more special offer 0% interest rate for 60 months, added value trade in up to 60,000 bath and accessories parts value 60,000 baht. Mirage, Attrage and Triton get more special promotion “Drive now pay next year” with free driving 90 days. All models will get free first class insurance, Diamond Protection with 24 hours roadside assistance.

          Mitsubishi Motors in the 30th Thailand International Motor Expo
          (1) Displayed Car : Mitsubishi Mirage Meets Hello Kitty”
          Based on GLS Ltd. Bloom Edition, Mirage Meets Hello Kitty model features an exterior highlighted by Hello Kitty Stickers and unique wheel cover. Inside, Hello Kitty decoration on front power window panel, hood meter garnish, center panel Gear shift panel and steering wheel. Moreover, customers can joins Hello Kitty seat upholstery, open tray mat, cover steering wheel, pillow and floor mat.
          (2) New Car : Mitsubishi Attrage Ralliart Edition
          Mitsubishi Attrage special model “Ralliart Edition”, coming with more sporty to be the choice for customers who are looking for Compact Sedan with “Affordability” and “Fuel Efficiency” features with sporty design namely ; LED Daytime running light, Front Rear and Side airdam, Rear lip spoiler with LED High-mount stop lamp, Side sticker, and “RALLIART” Emblem at rear trunk lid. Mitsubishi Attrage “Ralliart Edition” is available in only GLS CVT and GLS Ltd model with White Pearl and Pyreness Black color.
          (3) New Car: Mitsubishi Triton 14 MY
          Mitsubishi Triton 14 MY is equipped with more attractive features namely color key front bumper, steering wheel with silver decoration. More safety with driver’s airbag with pre-tentioner seat belt and new audio function DVD, CD, MP3 with USB, iPod/iPhone connector and Navigation systems. “Titanium” color will be introduced as new standard color.

           Special Offer… Fuel Coupon value 4,000 Baht for customer who make a booking in Motor Expo event and Mitsubishi showroom nationwide from November 28 – December 10, 2013 and receive the car by January 31, 2013.

          Special Offer… for test drive and booking customer in motor expo event and at Mitsubishi Showroom nationwide will get;
          - Hello Kitty Travelling Bag for customers who make a booking and receive the car by December 31, 2013
          - Hello Kitty Shopping Bag for customers who test drive and make a booking by December 31, 2013.

          For more information please contact
          · Mitsubishi Call Center : 1800 900 009 or 02-529-9500 during 8.30-17.00 from Monday- Saturday
          · Mitsubishi Website : www.mitsubishi-motors.co.th

MSN on November 29, 2013, 02:16:59 PM
เดวา ปล่อย “เฮอร์คิวลิส พลัส” อัดแคมเปญเด็ดฟรีแล้วฟรีอีก




 
          เดวา รถยนต์แบรนด์ของไทยพันธุ์แท้ ผู้บุกเบิกตลาดรถเพื่อการพาณิชย์แนวใหม่ ส่ง “เฮอร์คิวลิส พลัส” ขยาดตลาดสู่ภูมิภาค อัดแคมเปญเด็ด จ่ายเพียง 17,500 บาทออกรถได้ทันที พร้อมฟรีระบบแก๊ส ขณะที่รุ่นใหญ่ “เมอร์คิวรี่” ไม่น้อยหน้า ฟรีกระบะท้ายมูลค่า 60,000 บาท

          นายธวัชชัย ธวัชธนไพศาล ผู้จัดการทั่วไป รถยนต์เดวา กล่าวว่า หลังจากที่ เดวา แนะนำรถบรรทุกเล็ก เฮอร์คิวลิส (DEVA HERCULES) และ เดวา เมอร์คิวรี่ (DEVA MERCURY) เข้าสู่ตลาดของประเทศไทยเป็นระยะเวลากว่า 2 ปีแล้ว แบรนด์เดวาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้ประกอบการในเชิงพาณิชย์ของ ไทย

          “เดวา เป็นแบรนด์รถบรรทุกเล็กของคนไทยแท้ๆ โดยเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของคุณวิเชียร ลีนุตพงษ์ ประธาน ดีเอดี ยนตรกิจกรุ๊ป ที่ต้องการให้คนไทยได้ใช้รถยนต์ ในราคาสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับลักษณะของการใช้งานอย่างแท้จริง ซึ่งรถยนต์เดวา ตอบสนองความต้องการของลูกค้าดังกล่าวได้เป็นอย่างดี” นายธวัชชัยกล่าว

          สำหรับในปีนี้ เดวา ขอแนะนำรถบรรทุกเล็กใหม่ เดวา เฮอร์คิวลิส พลัส (DEVA HERCULES PLUS) ที่ได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมกับการใช้งานของผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น โดยเฮอร์คิวลิส พลัส ยังคงออกแบบเพื่อเจาะกลุ่มรถเพื่อการพาณิชย์โดยเฉพาะเหมือนเดิม ซึ่งในปีหน้าจะมุ่งเน้นทำตลาดส่วนภูมิภาคมากขึ้น

          เดวา เฮอร์คิวลิส พลัส มากับเครื่องยนต์ขนาด 2.2 ลิตร ที่ให้พละกำลังสูงสุด 112 แรงม้าที่ 4200-4600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 193 ที่ 2000-2600 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ความเร็วสูงสุดทำได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีกระบะท้ายใหญ่และกว้างที่สุดในตลาดรถปิคอัพเพื่อการพาณิชย์ขนาด 4 ล้อ

          “พิเศษเฉพาะงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 30 นี้ ลูกค้าที่สนใจ เดวา เฮอร์คิวลิส พลัส ใช้เงินเพียง 17,500 บาทก็สามารถเป็นเจ้าของและออกรถได้ทันที พร้อมกับฟรีการติดตั้งระบบแก๊สแบบแอลพีจีอีกด้วย” นายธวัชชัยกล่าว

          ส่วน เดวา เมอร์คิวรี่ (DEVA MERCURY) รถยนต์บรรทุกแบบ 6 ล้อ พิกัดบรรทุกขนาด 3.5 ตัน ยังคงมากับเครื่องยนต์แบบ เบนซินขนาด 2.7 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้าที่ 4800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตันเมตร ที่ 4000 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุด 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรมจากญี่ปุ่น จึงไม่ต้องกังวลเรื่องของการหาอะไหล่ทดแทน

          ทั้งนี้ เดวา เมอร์คิวรี่ ตั้งราคาที่ 768,000 บาท พิเศษสำหรับงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 30 ลูกค้าที่จองซื้อภายในงานจะได้รับ ฟรี กระบะท้ายมูลค่า 60,000 บาท ทันที

          พบกับ เดวา เฮอคิวลิส พลัส และเมอร์คิวรี่ ได้ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 30 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม ศกนี้ หรือ พบข้อมูลต่างๆ ได้ทาง www.deva-auto.com

MSN on November 29, 2013, 02:18:06 PM
MTM รุกตลาดไฮบริด ส่ง A8L Hybrid ประเดิมMotor Expo




 
          เอ็มทีเอ็ม (MTM) เปิดตัวรถธงรุ่นใหม่ล่าสุด เอ็มทีเอ็ม ออดี้ เอ8แอล ไฮบริด (MTM Audi A8L Hybrid) เจาะตลาดผู้บริหารระดับสูง พร้อมชูเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ผสานกับความแรงสไตล์เอ็มทีเอ็มอย่างลงตัว พร้อมแนะนำรถใหม่อีก 3 รุ่น เอ็มทีเอ็ม ออดี้ คิว5 ( MTM Audi Q5 2.0TDI Quattro) รถยนต์เอนกประสงค์สมรรถนะสูง, เอ็มทีเอ็ม ออดี้ เอ5 (MTM Audi A5 2.0TFSI Quattro) รถสปอร์ตคูเป้ ที่ให้ความสนุกเร้าใจในทุกเส้นทาง และ เอ็มทีเอ็ม ออดี้ เอ1 (MTM Audi A1 1.4TFSI) น้องเล็กที่พกพาความแรงในแบบรุ่นใหญ่

          นายกิตติภัฏ เฉลยทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทเอ็มทีเอ็ม มอเตอเรน เทคนิค ไมเยอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่ายและให้บริการรถยนต์ เอ็มทีเอ็ม(MTM) อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กล่าวว่า ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 30 นี้ บริษัท ฯ ได้แนะนำรถยนต์รุ่นใหม่พร้อมกันถึง 3 รุ่น ได้แก่ เอ็มทีเอ็ม ออดี้ เอ8แอล ไฮบริด (MTM Audi A8L Hybrid), เอ็มทีเอ็ม ออดี้ คิว5 (MTM Audi Q5) เอ็มทีเอ็ม ออดี้ เอ5 (MTM Audi A5 2.0TFSI Quattro) และ เอ็มทีเอ็ม ออดี้ เอ1 (MTM Audi A1 1.4TFSI)
“เรามีความภาคภูมิใจในการนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดทั้ง 4 โมเดลจากเอ็มทีเอ็ม เรามีความเชื่อมั่นว่า จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคชาวไทย ที่ชื่นชอบรถยนต์สมรรถนะสูง เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเปิดตัวเราได้รับการสอบถามถึงรถรุ่นดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าของเรา” นายกิตติภัฏ กล่าว

          สำหรับ เอ็มทีเอ็ม ออดี้ เอ8แอล ไฮบริด เป็นรถยนต์ไฮบริดรุ่นแรกของเอ็มทีเอ็มที่นำมาเปิดตัวทำตลาดในเมืองไทย ด้วยสมรรถนะและเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำนำหน้ากว่าใครในตลาดรถยนต์นั่งระดับหรู ที่ตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริหารระดับสูง ด้วยขนาดตัวถังที่กว้างและยาวเป็นพิเศษกว่ารุ่นปกติ ให้ความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง

          เอ็มทีเอ็ม ออดี้ เอ8แอล ไฮบริด มากับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า เมื่อผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 54 แรงม้าจะได้พละกำลังสูงสุดรวมกันถึง 245 แรงม้า แต่คงความประหยัดในแบบรถยนต์ไฮบริดด้วยอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 16 กิโลเมตรต่อลิตร

          ส่วน เอ็มทีเอ็ม ออดี้ คิว5 จะมากับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ที่ได้รับการปรับแต่งเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร TDI ให้มีพละกำลังสูงสุดถึง 205 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผสานการทำงานด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Quattro อันเลื่องชื่อ พร้อมส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด S-tronic ให้ความสนุกทุกสภาพการขับขี่

          ขณะที่ เอ็มทีเอ็ม ออดี้ เอ5 รถยนต์ สปอร์ตคูเป้ ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร สนุกสนานเร้าใจไปในทุกเส้นทางด้วยเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร TFSI ที่ได้รับการปรับแต่งจากเอ็มทีเอ็ม ให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นจากเดิม 211 แรงม้ากลายเป็น 270 แรงม้า พร้อมกับออพชั่นครบครันเหนือกว่าคู่แข่งในทุกๆ ด้าน

          สำหรับ เอ็มทีเอ็ม ออดี้ เอ1 รถยนต์ขนาดเล็กที่ได้รับการปรับแต่งเครื่องยนต์อย่างเหมาะสมจากเอ็มทีเอ็ม จนมีพละกำลังสูงสุดถึง 150 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ S-tronic ตอบสนองทุกการขับขี่ได้อย่างลงตัว ทั้งยังมาพร้อมกับออพชั่นและชุดแต่งพิเศษสำหรับลูกค้าชาวไทยโดยเฉพาะ

          นอกจากนั้น เอ็มทีเอ็มยังได้นำรถยนต์รุ่นอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมและสนใจจากผู้บริโภค มาร่วมจัดแสดงภายในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 30 นี้อีกหลากหลายรุ่น โดยจะมีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนนำเข้ามาจัดแสดงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาของการจัดงาน

MSN on November 29, 2013, 02:20:21 PM
สโกด้า ยกทัพ 5 รุ่นสนั่นมอเตอร์เอ๊กซ์โป










 
          สโกด้า เปิดตัวรถยนต์ 5 รุ่นใหม่ กระหึ่มมอเตอร์ เอ็กซ์โป นำทัพด้วย สโกด้า ซุปเพิร์บ รถซีดานระดับหรูมาตรฐานยุโรป เคียงคู่ผู้บริหารรุ่นใหม่ ตามด้วยสโกด้า ฟาเบีย อาร์เอส ที่พกพาความแรงเหนือระดับมากับความคล่องตัวและความปลอดภัยแบบยุโรป พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านรถเอนกประสงค์ของยุโรปด้วย สโกด้า ออคตาเวีย คอมบิ, สโกด้า ซุปเพิร์บ คอมบิ และ สโกด้า เยติ

          นายกิตติภัฏ เฉลยทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไป รถยนต์สโกด้า ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ สโกด้า จากประเทศสาธารณรัฐเชค แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับการเข้าร่วมงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2556 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ เมืองทองธานี นี้ บริษัทฯ ได้นำรถยนต์เข้ามาร่วมจัดแสดงถึง 5 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ ” สโกด้า ออคตาเวีย คอมบิ” (SKODA OCTAVIA COMBI) “สโกด้า ซุปเพิร์บ”(SKODA SUPURB ) “สโกด้า ฟาเบีย อาร์เอส” (SKODA FABIA RS) “สโกด้า ซุปเพิร์บ คอมบิ” (SKODA SUPURB COMBI) และ“สโกด้า เยติ” (SKODA YETI)
          “เพื่อเป็นการตอกย้ำว่า สโกด้า เป็นแบรนด์รถยนต์ที่เป็นผู้นำในด้านของรถยนต์เอนกประสงค์จากยุโรป เราจึงขอแนะนำรถยนต์ สโกด้า ออคตาเวีย คอมบิ โฉมใหม่ล่าสุดสู่ตลาดเมืองไทย เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าชาวไทยที่ชอบรถเอนกประสงค์สไตล์ยุโรป พร้อมกับ สโกด้า ซุปเพิร์บ คอมบิ และสโกด้า เยติ ที่ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง” นายกิตติภัฏกล่าว

          สำหรับ สโกด้า ออคตาเวีย คอมบิ มากับเครื่องยนต์ดีเซลล้ำสมัย 2.0 TDi ที่ให้ทั้งพละกำลังและความประหยัด โดยมีกำลังสูงสุด 143 แรงม้าผสานการทำงานกับเกียร์อัจฉริยะ DSG คลัทช์คู่ อัตโนมัติ 6 สปีด ทำให้สโกด้า ออคตาเวีย มีอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยเพียง 19.6 กิโลเมตรต่อลิตรเท่านั้น อีกทั้งยังได้เพิ่มออพชั่นให้มากขึ้นกว่ารุ่นเดิมอีกหลายรายการ

          ในส่วนของ สโกด้า ซุปเพิร์บและซุปเพิร์บ คอมบิ อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยอย่างมากมาย เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร ที่ให้พละกำลังสูงสุดถึง 160 แรงม้าพร้อมเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ DSG คลัทช์คู่ แบบ 7 สปีด อันเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของรถยนต์ในเครือของโฟล์คสวาเกนเท่านั้น และพิเศษเฉพาะเมืองไทย สโกด้าได้เพิ่มออพชั่นพิเศษที่เหนือกว่ารุ่นที่จำหน่ายในยุโรปให้อีกด้วย

          ขณะที่ สโกด้า เยติ รถยนต์เอนกประสงค์ในแบบ City SUV ที่สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างหลากหลายรูปแบบ ด้วยขนาดที่เล็กกระทัดรัด คล่องตัว เหมาะกับการใช้งานในเมือง ช่วงล่างนุ่มนวลและเกาะถนนในแบบรถยุโรป ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ กำลังสูงสุด 105 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติแบบ DSG คลัทช์คู่ 7 สปีด พร้อมระบบ Tiptronic

          ส่วนสโกด้า ฟาเบีย อาร์เอส มากับเครื่องยนต์ขนาด 1.4TSI Twin Charge ซึ่งประกอบไปด้วย Turbo และ Super charge ทำงานควบคู่กัน ส่งผลให้มีแรงม้าถึง 180 แรงม้า ผสานกับเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ DSG คลัทช์คู่ 7 สปีด ทำให้มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ในเวลาแค่ 7 วินาที แต่กลับมีอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยเพียง 16.1 กิโลเมตรต่อลิตเท่านั้น

          “รถยนต์สโกด้า ทุกรุ่น ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยนั้น ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับ ยูโร 5 ดังนั้นผู้บริโภคทุกท่านจึงมั่นใจได้ในด้านการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ทางสโกด้าให้ความสำคัญมาโดยตลอด” นายกิตติภัฏ กล่าวปิดท้าย

MSN on November 29, 2013, 02:21:08 PM
ตงฟง มอเตอร์ส เขย่าวงการรถกระบะเล็ก เปิดตัวรถรุ่นใหม่ “ตงฟง V21 แชมเปี้ยน” เคาะราคาโดนใจเพียง 338,000 ดึงตั๊ก-บริบูรณ์เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรก พร้อมแคมเปญสุดยิ่งใหญ่




 
          ค่ายรถแดนมังกร ตงฟง มอเตอร์ส เปิดตัว “ตงฟง V21 แชมเปี้ยน” รถกระบะขนาดเล็กอเนกประสงค์รุ่นใหม่ จากตงฟง ชูจุดเด่น แกร่ง ยาว ใหญ่ กว่ารุ่นเดิม ดึงดูดใจด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 338,000 บาท พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนแรกของตงฟง มอเตอร์ส ตั๊ก-บริบูรณ์ จันทร์เรือง พร้อมข้อเสนอพิเศษสุด ในงาน Motor Expo 2013

          บริษัท ตงฟง มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดเล็กภายใต้แบรนด์ตงฟง โดยนายพิทยา ธนาดํารงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ ได้เปิดเผยว่า “ทางบริษัทได้จัดงานเปิดตัวรถกระบะขนาดเล็กอเนกประสงค์รุ่นใหม่ “ตงฟง V21 แชมเปี้ยน” หนึ่งในรถตระกูล V ที่เปิดตัวตามหลังรุ่น V27 ซึ่งได้เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ในปีที่ผ่านมา โดยได้จัดงานเปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30 (Thailand International Motor Expo 2013) ซึ่งภายในงานได้มีการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนแรกของตงฟงอีกด้วย คือ คุณตั๊ก – บริบูรณ์ จันทร์เรือง ดารา พิธีกร มากความสามารถด้วยบุคลิกลักษณะที่สนุกสนานเฮฮา ติดดิน ลุยทุกสถานการณ์ เข้าถึงง่ายและที่สำคัญใครๆก็รู้จักตั๊ก-บริบูรณ์ ซึ่งตรงกับคอนเซ็ปต์ของ “ตงฟง V21 แชมเปี้ยน” ภายใต้สโลแกน “แชมป์ทุกการขนส่ง ตรงใจทุก SME” เนื่องจาก “ตงฟง V21 แชมเปี้ยน” สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกด้านด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ใหญ่กว่าเดิม กระบะท้ายที่ยาวถึง 2.7 เมตร แถมออฟชั่นที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ เช่น พวงมาลัยพาวเวอร์ และเครื่องยนต์ยังคงความประหยัดด้วยซีซีขนาดต่ำเหมือนรุ่นก่อนแต่มีกำลังแรงม้ามากกว่ารุ่นเดิม อีกทั้งยังสามารถใช้พลังงานสองระบบ (เบนซินและแก๊สแอลพีจี) เหมาะกับทุกธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถดัดแปลงใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ที่สำคัญราคาเปิดตัวเพียง 338,000 บาททำให้กลุ่มเอสเอ็มอีคืนทุนเร็ว ทำกำไรได้มากกว่าเดิม สมกับเป็นแชมเปี้ยนของวงการรถกระบะขนาดเล็กตอกย้ำคอนเซ็ปต์ใหม่ของตงฟงที่ว่า “ตงฟง ตรงใจ ใครๆก็ใช้”

          นอกจากนี้ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 30 (Thailand International Motor Expo 2013) ตงฟง มอเตอร์ส ยังได้จัดแคมเปญพิเศษเมื่อลูกค้าจองหรือซื้อรถยนต์ “ตงฟง V21 แชมเปี้ยน” รับฟรีของแถม สุดพิเศษและสำหรับลูกค้าที่จองหรือซื้อรถตระกูล “K” หรือ K- ซีรี่ย์ ได้แก่ ตงฟง Mini Truck 1.3 ตงฟง Mini Van 1.1 และตงฟง Mini Van 1.3 รับฟรีดอกเบี้ย 0% นาน 48 เดือนและของแถมต่างๆอีกมากมาย นอกจากนี้ทุกรุ่นรับฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี พร้อมพรบ.และยังสามารถดาวน์เริ่มต้นเพียง 15% ดอกเบี้ยต่ำเพียง 2.65% และผ่อนได้นานสูงถึง 60 เดือน รับข้อเสนอพิเศษนี้พร้อมกันทั่วประเทศ และ ขอเชิญผู้ที่สนใจเข้าชมบูธตงฟง (บี14) ได้ที่งานตั้งแต่วันที่ 29 พ.ย. – 10 ธ.ค. ศกนี้ ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 เมืองทองธานี

          รถกระบะขนาดเล็กอเนกประสงค์“ตงฟง V21 แชมเปี้ยน” คันนี้ มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1,300 ซีซี ให้กำลังเครื่องยนต์สูงถึง 82 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 102 นิวตันเมตร ที่ 3,000 – 3,500 รอบต่อนาที ระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด พิเศษขึ้นกว่ารุ่นเดิมด้วยพวงมาลัยพาวเวอร์ มาตรวัดเรืองแสง ดิจิตอล ภายในห้องโดยสารกว้างขวางโปร่งสบายมากขึ้น เครื่องเล่นวิทยุระบบยูเอสบี กระจังหน้าดีไซน์สวยงามทันสมัย แข็งแกร่ง บึกบึน กว่าเดิมด้วยล้อขนาดใหญ่ขึ้นขนาด 14R/175 ไฟหน้าดวงใหญ่เพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่กลางคืนได้มากขึ้น โดดเด่นด้วยกระบะท้ายอเนกประสงค์ขนาดยาวใหญ่มากกว่ารุ่นเดิม ด้วยความยาว 2.7 เมตร กว้าง 1.54 เมตร สามารถเปิดท้ายได้ 3 ด้าน ไม่ติดซุ้มล้อ เพิ่มอิสระในการใช้งานได้มากขึ้น รับน้ำหนักได้มากกว่าเดิม วงเลี้ยวแคบเพียง 4.9 เมตร เพื่อความคล่องตัวในการขับรถในเมือง แชสซีหนากว่าเดิมพร้อมทั้งฝังถังแก๊สในแชสซีเพื่อป้องกันการกระแทก อีกทั้งยังใช้พลังงานสองระบบทั้งแก๊สโซฮอล์และก๊าซแอลพีจี มาตรฐานจากโรงงานยี่ห้อ LOVATO จากประเทศอิตาลีช่วยประหยัดต้นทุนค่าขนส่ง พร้อมรับประกันตัวรถยนต์พร้อมระบบแก๊สนานถึง 3 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร

MSN on November 29, 2013, 02:22:45 PM
ฮอนด้าบิ๊กวิงโหมบุกตลาดบิ๊กไบค์ส่งท้ายปี เปิดตัวพร้อมรับจองโมเดลใหม่ CTX700N – CBR650F-CB650F งานมอเตอร์เอ็กซ์โป






 
          ฮอนด้าบิ๊กวิง ศูนย์จำหน่ายและบริการรถฮอนด้าบิ๊กไบค์ในประเทศไทย เดินเกมรุกสู่ตลาดรถบิ๊กไบค์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ประกาศเปิดตัวรถใหม่ 3 รุ่นพร้อมกันในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2013 ได้แก่ Honda CTX700N รถครุยเซอร์นำเข้าจากญี่ปุ่น ดีไซน์หรูหรา สะดวกสบายด้วยเทคโนโลยี DCT ราคาแนะนำเริ่มต้นที่ 349,000 บาท, Honda CBR650F รถสปอร์ตเครื่องยนต์ 650ซีซี 4 สูบเรียงแบบฟูลแฟริ่ง ราคาแนะนำ 300,000 บาท, และ Honda CB650F สปอร์ตแบบเนคเกด ราคาแนะนำเริ่มต้นที่ 285,000 บาท พร้อมรับข้อเสนอพิเศษสำหรับผู้สนใจรถฮอนด้าบิ๊กไบค์ทุกรุ่นภายในงาน ไม่ว่าจะเป็นรถนำเข้าราคาพิเศษ อัตราดอกเบี้ยต่ำ รับฟรีทะเบียนและพรบ.

          มร.จิอากิ คาโต ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย เปิดเผยว่า “ตลอดปี 2013 แม้เศรษฐกิจในประเทศไทยจะอยู่ในสภาวะชะลอตัว แต่ตลาดรถบิ๊กไบค์กลับมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่ายอดจำหน่ายรวมในไทยเมื่อถึงสิ้นปีนี้น่าจะสูงกว่า 13,000 คัน หรือเติบโตขึ้นมากกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยฮอนด้าบิ๊กวิงน่าจะมียอดจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 3,000 คัน”

          “แม้ว่าฮอนด้าจะเข้ามาทำตลาดรถบิ๊กไบค์ในเมืองไทยได้เพียงปีเศษ แต่เราก็ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ความสำเร็จดังกล่าวมาจากการที่ฮอนด้านำเสนอผลิตภัณฑ์แบบฟูลไลน์อัพ พร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆที่ก้าวล้ำ อาทิระบบ DCT หรือ Dual Clutch Transmission ระบบแทรคชั่นคอนโทรลเพื่อการควบคุมรถที่แม่นยำ เช่นเดียวกับการให้บริการตามมาตรฐาน 6S อันประกอบไปด้วย Sales, Service, Spare Parts, Safety Riding, Second Hand และ Society จึงสามารถสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าของเราได้อย่างเต็มที่ ล่าสุดถึงขณะนี้ฮอนด้าบิ๊กวิงได้ขยายเครือข่ายของศูนย์จำหน่ายและบริการไปทั่วประเทศรวมแล้วถึง 7 แห่ง ได้แก่ที่กรุงเทพฯ, พัทยา, เชียงใหม่, ภูเก็ต, อุดรธานี, โคราช และสุราษฏร์ธานี”

          “ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2013 นี้ ฮอนด้าพร้อมที่จะต่อยอดความเร้าใจให้กับลูกค้าด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่พร้อมกันถึง 3 รุ่น ประกอบด้วยรถนำเข้าจากญี่ปุ่น Honda CTX700N ซึ่งเป็นรถครุยเซอร์ดีไซน่ทันสมัย หรูหรา ขับขี่สบายด้วยเทคโนโลยี DCT และอีก 2 รุ่นในตระกูล 650 Series ซึ่งผลิตในประเทศไทยได้แก่ CBR650F รถสปอร์ตแบบฟูลแฟริ่งและ CB650F รถสปอร์ตแบบเนคเกด ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 650ซีซี 4 สูบเรียง และรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวเร้าใจ โดยฮอนด้าได้เปิดรับจองรถทั้ง 3 รุ่นสำหรับผู้ที่สนใจด้วยราคาพิเศษในงานนี้”

          สำหรับ Honda CTX700N เป็นรถครุยเซอร์จากประเทศญี่ปุ่นที่ฮอนด้าบิ๊กวิงเลือกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ตัวรถได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด Comfort Technology Experience ดีไซน์หรูหราแต่แฝงไว้ด้วยความดุดัน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 700 ซีซี 2 สูบมาพร้อมกับเทคโนโลยี DCT (Dual Clutch Transmission) เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนุ่มนวลไม่สะดุด ขับขี่สบายด้วยท่านั่งแบบตัวตรง เบาะต่ำเพียง 72 เซนติเมตร จึงสามารถเหยียดขาหรือเหยียบพื้นได้อย่างง่ายดาย พร้อมระบบกันสะเทือนหลังแบบ Pro-Link เพื่อความมั่นใจในการเดินทางไกล

          ในส่วนของบิ๊กไบค์ตระกูล 650 Series ฮอนด้าได้เปิดตัว Honda CBR650F รถสปอร์ตแบบฟูลแฟริ่งดีไซน์บึกบึนโฉบเฉี่ยว และ Honda CB650F รถสปอร์ตแบบเนคเกดรูปทรงดุดัน ทะมัดทะแมง โดดเด่นแต่ไกลในทุกองศา ทั้งสองรุ่นใช้ขุมพลังจากเครื่องยนต์ขนาด 650ซีซี 4 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบเบรกแบบ ABS ทำงานร่วมกับดิสก์เบรกหน้าจานคู่เพื่อความปลอดภัยในทุกอัตราความเร็ว เสริมความคล่องตัวด้วยสวิงอาร์มอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่งทนทาน

          ฮอนด้าบิ๊กวิงพร้อมเปิดรับจองบิ๊กไบค์รุ่นใหม่ทั้ง 3 รุ่นด้วยราคาดังต่อไปนี้ Honda CTX700N มีให้เลือก 2 สีได้แก่ สีดำด้าน และสีขาว แบบเกียร์ธรรมดาราคาช่วงแนะนำ 349,000 บาท, แบบเกียร์อัตโนมัติ DCT ราคาช่วงแนะนำ 406,000 บาท, Honda CBR650F มีให้เลือก 2 สี ได้แก่สีแดงและสีดำราคาช่วงแนะนำ 300,000 บาท, และ Honda CB650F มีให้เลือก 3 สีได้แก่สีขาวกราฟิกไตรคัลเลอร์ล้อทองราคาช่วงแนะนำ 288,000 บาท, สีดำและสีเหลืองราคาช่วงแนะนำ 285,000 บาท

          นอกจากรถรุ่นใหม่ทั้งสามรุ่นแล้ว ฮอนด้าบิ๊กวิงยังได้นำฮอนด้าบิ๊กไบค์รุ่นอื่นๆมาจัดแสดงอย่างครบครันรวมทั้งสิ้น 20 คัน ไม่ว่าจะเป็นรถนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นได้แก่ Goldwing, NC700X, Integra, CBR1000RR, VFR1200F และรถที่ผลิตในประเทศไทยในกลุ่ม 500 Series รวมไปถึงรถแต่ง 650 Series จากค่ายแต่งรถชื่อดังอย่าง Mugen, Moriwaki, และ H2C

          พบกับข้อเสนอโดนใจสำหรับรถฮอนด้าบิ๊กไบค์ทุกรุ่นไม่ว่าจะเป็นรถนำเข้าราคาพิเศษ อัตราดอกเบี้ยต่ำ รับฟรีทะเบียนและพรบ. พร้อมเลือกชมอุปกรณ์ตกแต่งรถ รวมไปถึงเครื่องแต่งกายคอลเลคชั่นใหม่ที่บูธฮอนด้าบิ๊กไบค์ หมายเลข G04 ภายในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2013 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม 2556 ติดตามรายละเอียดของฮอนด้าบิ๊กไบค์เพิ่มเติมได้ที่ www.hondabigwing.com

MSN on November 29, 2013, 02:23:22 PM
Honda Big Wing to Do Proactive Market for Big Bike Before Year-end Introducing New Models – CTX700N, CBR650F, and CB650F- at Motor Expo




 
          Honda Big Wing, dealer and services centre for Honda Big Bike in Thailand, is planning for a proactive marketing for its Big Bike sector, with 3 new models to be released at the Motor Expo 2013. Honda CTX700N is the luxury cruiser and equipped with DCT technology imported from Japan, with price starting from Bt349,000. Honda CBR650F is the sports type with 650cc, 4-stroke, full fairing, with price starting Bt300,000. Honda CB650F is the naked sport type, with price starting from Bt285,000. More special offers will be featured for all Big Bikes bought at the expo; which are special price, low payment instalment interest rate, and free licence plate fee and third-party insurance.

          "Despite the sluggish economy in Thailand throughout 2013, Big Bike sector continued to grow. Sales expects to pass 13,000 units at the end of this year, which is more than double that from last year. Last year saw 3,000 units," said Chiaki Kato, president of AP Honda Co Ltd, the distributor of Honda motorcycle in Thailand.

          "Only a little over a year, Honda Big Bike has received a very positive response from our customers. The success resulted from our effort to deliver only the full-line products and latest technology including DCT or Dual Clutch Transmission, and traction control for a precise control. Our 6S (Sales, Service, Spare Parts, Safety Riding, Second Hand, and Society) has earned is trust from our customers. Honda Big Wing has reached out to the regional market, with 7 branches nationwide which are Bangkok, Pattaya, Chiang Mai, Phuket, Udon Thani, Nakhon Ratchasima, and Surat Thani.

          "At the Motor Expo 2013, Honda is ready to deliver a new excitement to our customers with 3 new models. Honda CTX700N is the luxury cruiser and equipped with DCT technology imported from Japan. Two more from 650 series produced in Thailand are Honda CBR650F, the sports with full fairing and Honda CB650F, the naked sport type. Both comes with a 650cc, 4-stroke engine, and slick look. Honda is presenting special price for those who buy these 3 models at the expo."

          Honda CTX700N is the cruiser imported from Japan chosen especially for Thailand market. The model has been developed under the concept to deliver 'Comfort Technology Experience'; luxury but bold design; and 700cc, 2-stroke engine with DCT (Dual Clutch Transmission) which allows smooth automatic gear shift; 72cm-high seat that allows you to sit up right and easily reach the floor; and Pro-Link. In the 650 series, there are Honda CBR650F, the sports with full fairing and Honda CB650F, the naked sport. Both come with 650cc, 4-stroke engine, liquid-cooled, ABS, and aluminium swing arm.

          Honda Big Wing opens for the booking of these 3 models. Honda CTX700N comes in 2 colour options; matte black and white, with price starting from Bt349,000 for manual gear and Bt406,000 for DCT option during introductory period. Honda CBR650F is available in 2 colour options; red and black, with an introductory price at Bt300,000. Honda CB650F is available in 3 colour options; white with tri-colour graphics and gold cast wheels at introductory price at Bt288,000; and black and yellow with introductory price at Bt285,000. Apart from the 3 new models, Honda Big Wing is also exhibiting 20 big bikes including such imported models as Goldwing, NC700X, Integra, CBR1000RR, VFR1200F; and locally produced models from 500 series and 650 series as well as famous accessories from Mugen, Moriwaki, and H2C. Enjoy the special offers for all Big Bike models which are special price, low instalment payment interest rate, free licence plate fee, and free third-party insurance. Enjoy the accessories and latest collection for gears at Honda Big Bike booth, G04, at The Motor Expo 2013 at Challenger Hall, Muangthong Thani between November 29 and December 10, 2013. For more information about Honda Big Bike, visit www.hondabigwing.com.

MSN on November 29, 2013, 03:24:09 PM
Motor Expo 2013 พบกับเครื่องเสียงรถยนต์ โอเวอร์ฮอร์น ซาวด พร้อมของแถมและข้อเสนอพิเศษสุด








 
          Motor Expo 2013 งานแสดงจัดแสดงรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี “พลังงานสร้างสรรค์ ยานยนต์เปลี่ยนโลก” ภายในงานจะจัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกี่ยวกับเครื่องยนต์, รถยนต์และการตกแต่งรถยนต์ และ เครื่องเสียงรถยนต์

          ท่านสามารถ เข้าเยี่ยมชม เครื่องเสียงรถยนต์ มากมาย ได้ที่ บู๊ท โอเวอร์ฮอร์น ซาวด์ ได้ ในงาน พร้อมรับข้อเสนอและส่วนลด และเงื่อนไข พิเศษสุดๆ พร้อมของแถม ในงาน สำหรับงานนี้ พลาดไม่ได้
          พบกับ โอเวอร์ฮอร์น ซาวด์ ได้ที่ อาคาร Chanllenger 3
          http://www.overhornsound-ratchaphruek.com/about.php
          email : info@overhornsound-ratchaphruek.com
          โทรศัพท์ 02-1919522-5

MSN on November 29, 2013, 03:28:30 PM
Volvo S60 DRIVe ใหม่ รุ่นปี 2013


 
          Volvo S60 DRIVe ใหม่รุ่นปี 2013 รถยนต์ซีดานอารมณ์คูเป้เต็มร้อย หนึ่งในโครงการ DRIVe เพื่อการสร้างสรรค์รถยนต์แห่งอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในดีไซน์เฉี่ยว สะท้อนบุคลิกความคล่องตัว ทันสมัย เปี่ยมพลังและความกระตือรือร้น สื่อถึงประสบการณ์ในการขับขี่ที่ดีเยี่ยม ตอบสนองได้ทันใจเมื่อขับขี่ มาพร้อมกับ 3 เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่พัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงความสะดวกและความปลอดภัยสูงสุดของผู้ขับขี่ และเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปครั้งที่ 29 ได้แก่ ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ (Active High Beam) ระบบเปิด/ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติเมื่อขับขี่เข้า/ออกจากที่มืด (Tunnel Detection) และ ระบบแจ้งเตือนป้ายจราจร (Road sign Information)

          เครื่องยนต์ Flexifuel E85 ความจุ 1.6 ลิตรที่มีสมรรถนะสูง ประหยัดพลังงาน ตอบสนองทันใจ ของ Volvo S60 DRIVE ใหม่รุ่นปี 2013 ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างดี พร้อมสุดยอดเทคโนโลยีความปลอดภัยครั้งแรกของโลกมากมายไม่ว่าจะเป็น นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยที่ช่วยให้หยุดรถได้โดยอัตโนมัติเมื่อมีคนเดินถนนกำลังเดินเข้ามาในทิศทางเดียวกันกับรถ รวมทั้งระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (City Safety) ที่ติดตั้งเป็นมาตรฐาน

          วอลโว่ S60 DRIVe มีให้เลือก 2 รุ่นคือ DRIVe (B) และ DRIVe (S) และมีโทนสีภายนอกที่สะดุดทุกสายตา และเน้นความโดดเด่นของดีไซน์เฉี่ยว โดยเฉพาะเฉดสีทันสมัย Flamenco Red Metallic ที่เปรี้ยว เฉี่ยว ทันสมัยเน้นความสปอร์ต นอกจากนี้ ยังมีสี Ember Black Metallic, Electric Silver Metallic, Ice White และ Seashell Metallic ให้เลือก

          ผลงานจากโครงการ DRIVe เพื่อสิ่งแวดล้อม
          Volvo S60 DRIVe E85 เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งในโครงการ DRIVe ซึ่งเป็นความพยายามของวอลโว่ที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกด้าน ตั้งแต่กระบวนการออกแบบ วิจัย ผลิต การขับขี่และการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ใหม่ อันเป็นก้าวสำคัญสู่การผลิตรถยนต์ปลอดไอเสีย และนำมาซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เครื่องยนต์เชื้อเพลิงทางเลือก การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ลดแรงต้านและประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำให้บรรยากาศในห้องโดยสารสะอาด ปลอดภัยมากที่สุด

          รถยนต์วอลโว่เครื่องยนต์ E85 ที่พัฒนาขึ้นตามโครงการ DRIVe และมีจำหน่ายในประเทศไทยได้ผ่านการทดสอบมาตรฐานที่กำหนดโดยสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (TISI) ของไทย โดยพบว่ามีปริมาณการปล่อยไอเสียต่ำมากและอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานถึง 70%

          รูปลักษณ์ภายนอก
          ซีดานอารมณ์คูเป้
          Volvo S60 DRIVe ใหม่รุ่นปี 2013 ถูกรังสรรค์ขึ้นเพื่อปลุกเร้าทุกอณูในตัวคุณ ทั้งในเชิงกายภาพกับการขับขี่ที่เร้าใจ และในเชิงอารมณ์กับความโดดเด่นด้วยดีไซน์แบบสปอร์ตที่ดูเฉี่ยว คล่องตัว พร้อมพุ่งทะยานไปข้างหน้า เพิ่มความสปอร์ตและมีบุคลิกที่เปี่ยมพลัง กระตือรือร้นและยังคงเอกลักษณ์ของดีไซน์สไตล์สแกนดิเนเวียนได้อย่างเต็มที่

          รูปลักษณ์ของ Volvo S60 DRIVE ใหม่รุ่นปี 2013 สะท้อนความเป็นรถคูเป้ในร่างของรถซีดานระดับพรีเมี่ยม อย่างชัดเจน แนวเส้นโค้งหลังคาจากเสา C ที่ยาวต่อเนื่องไปจนจดไฟท้ายดูเพรียวลมสไตล์รถคูเป้เสริมความโดดเด่นของความโค้งบนไหล่ทั้งสองด้าน ทำให้ตัวถังโค้งเป็นสองลอนตั้งแต่ไฟหน้าไปจนถึงไฟท้ายคือดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของวอลโว่ สะท้อนถึงความนุ่มนวลแต่ทรงพลังตลอดทั้งคัน

          ทีมดีไซน์ของวอลโว่ได้รับแรงบันดาลใจจากสนามแข่งรถหรือ “Race Track” เน้นดีไซน์ที่ลื่นไหลเช่นเดียวกับ แทรครถแข่ง ตัวรถที่ต่ำลงให้อารมณ์สปอร์ตมากขึ้น สะท้อนถึงการเกาะถนนดี และดูเพรียวลมมากขึ้น กระโปรงท้ายที่ออกแบบอย่างประณีตและความยาวตัวรถจากหน้าจรดท้ายที่สั้นกว่าช่วยเพิ่มความสปอร์ตให้กับ Volvo S60 DRIVe ใหม่รุ่นปี 2013 เต็มที่

          ไฟ LED เพิ่มความสวยสง่ายามค่ำ
          ไฟข้างกระจังหน้าถือได้ว่าเป็นดีเอ็นเอของวอลโว่ที่ ใช้เทคโนโลยีไฟ LED ที่ให้แสงเรืองแปลกตากว่ารถใดๆ บนถนน การวางตำแหน่งดวงไฟด้านหน้ารถในแนวตั้ง ที่คิ้ว ไฟเลี้ยวทรงยาวบนกระจกมองข้าง และไฟท้ายที่ขอบกระโปรงด้านบนทำให้ Volvo S60 DRIVe ใหม่รุ่นปี 2013 มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นยามได้เห็นท่ามกลางถนนที่มืดมิด นอกจากนี้ ไฟหน้าแบบหักเหตามพวงมาลัยและปรับระดับขึ้น/ลงโดยอัตโนมัติ (Active Bending Light) ยังให้แสงสว่างและสามารถฉายไฟหักเหได้ตามการหมุนพวงมาลัยเลี้ยวตามความโค้งของถนน ซึ่งจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่บนถนนที่คดเคี้ยวในยามค่ำ

          รูปลักษณ์ภายในหรูกลิ่นอายสปอร์ต
          ดีไซน์ลื่นไหล หรู เร้าใจ
          การออกแบบภายในห้องโดยสารของ Volvo S60 DRIVe ใหม่รุ่นปี 2013 ยังคงมีกลิ่นอายของคอนเซ็ปต์การดีไซน์แบบ “Race track” เช่นเดียวกับภายนอกทำให้มีบรรยากาศที่ดูสดใส กระตือรือร้น โดยเฉพาะที่คอนโซลหน้าและบานประตู ซึ่งมีเส้นสายการออกแบบที่ลื่นไหลต่อเนื่อง สื่อให้เห็นถึงพลังแห่งการเคลื่อนไหว นักออกแบบของวอลโว่ได้เติมสีสัน ความสนุกสนาน และความแตกต่างที่ลงตัว ให้กับสไตล์เรียบหรูใช้งานได้จริงแบบสแกนดิเนเวียนแท้ๆ รวมทั้งยังสะดวกต่อการบังคับควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          เพื่อความสบายของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร วอลโว่ได้ออกแบบเบาะนั่งแบบสปอร์ตที่มีช่วงนูนขึ้นมารับสีข้าง นั่งสบายติดตั้งเป็นมาตรฐาน และให้ทัศนวิสัยที่ดีสำหรับผู้ขับขี่ ส่วนเบาะหลังมีพื้นที่กว้างขวาง นั่งได้สบายๆ 3 คน ภายในใช้โทนสีเบจ (รุ่น B) และ Beachwood off-black (รุ่น S) สร้างบรรยากาศอบอุ่นสบาย ตามแบบ

          สแกนดิเนเวียนดีไซน์ที่เน้นแนวคิด warm inside, cool outside ในรุ่น S หรูด้วยพวงมาลัยหุ้มหนังตกแต่งด้วยโลหะ และระบบ Speed Sensitive Steering ปรับความหนืดตามความเร็วของรถได้โดยอัตโนมัติ ส่วนในรุ่น B ก็เป็นพวงมาลัยหุ้มหนังจับกระชับมือ

          ใหม่ในรุ่นปี 2013 วอลโว่ติดตั้งหัวเกียร์ใหม่ที่แสดงตำแหน่งเกียร์ไว้บน หัวเกียร์ด้วยแสงสีเขียวเพื่อให้มองเห็นได้ง่าย รวมทั้งรูปทรงใหม่ที่จับกระชับมือ ใช้วัสดุพิเศษที่จะเรืองแสงสีขาวในความมืดเพื่อความสะดวกในการใช้งาน
          Volvo Sensus เพื่อการควบคุมได้เต็มที่ พร้อมความปลอดภัยและความบันเทิงเต็มพิกัด
          Volvo Sensus เป็นนวัตกรรมที่ให้ความสะดวกและข้อมูลสำคัญแก่คนขับอย่างเต็มที่ โดยออกแบบให้แผงคอนโซลกลางและหน้าปัดทำมุมเอียงหันไปด้านคนขับ เพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็นข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญได้สะดวกจากหน้าจอสี 5 นิ้ว (รุ่น B) หรือ 7 นิ้ว (รุ่น S) วอลโว่ได้ติดตั้งจอในตำแหน่งค่อนข้างสูงบนแผงคอนโซลหน้าเพื่อให้ผู้ขับมองเห็นข้อมูลและถนนได้อย่างชัดเจนพร้อมๆ กัน

          นอกจากนี้ การออกแบบตำแหน่งการวางอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ในระยะที่ผู้ขับขี่สามารถเอื้อมถึงปุ่มบังคับต่างๆ ได้สะดวก จอดังกล่าวจะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับเพลง โทรศัพท์เคลื่อนที่ ภาพด้านหลังขณะถอยจอดจากกล้องช่วยจอด-หลัง (เฉพาะรุ่น S) หรือกล้องแพโนรามา (อุปกรณ์เสริม) เพื่อทัศนวิสัยที่ชัดเจนและมองเห็นมุมกว้างได้มากกว่า รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ

          Volvo Sensus ยังสามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยเทคโนโลยีบลูทูธ เพื่อให้สามารถสื่อสารได้สะดวกปลอดภัย รวมทั้งฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาได้อย่างรื่นรมย์ และสามารถฟังเพลงผ่านการเชื่อมต่อแบบบลูทูธได้ในรถยนต์ด้วย

MSN on November 29, 2013, 03:28:50 PM
          สุดยอดระบบความบันเทิง
          ระบบเสียงแบบ High Performance Multimedia 4x40 วัตต์ ในรุ่น S และแบบ High Performance ในรุ่น B มาพร้อมลำโพง 8 ตัว ให้เสียงคมชัดด้วยระบบดอลบี ดิจิตอล ที่ให้คุณภาพระดับเดียวกับที่ใช้ในระบบโฮมเธียเตอร์และโปรเฟสชั่นแนลเธียเตอร์ คุณภาพเสียงคมชัด น่ารื่นรมย์สำหรับทุกคนในรถ นอกจากนี้ยังมีพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น iPod รวมทั้งเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธ และดึงเพลงจากในโทรศัพท์มือถือมาเล่นในระบบเครื่องเสียงในรถยนต์ได้ในระบบ audio streaming เพื่อความสุนทรีย์กับเครื่องเสียงคุณภาพสูง

          สะดวกปลอดภัยกว่ากับเทคโนโลยีใหม่
          เพื่อช่วยเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยและช่วยให้ขับขี่รถยนต์วอลโว่ได้อย่างปลอดภัย วอลโว่ได้พัฒนาและติดตั้งเทคโนโลยีใหม่เพื่อผู้ขับขี่ได้แก่

          1. ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติ (Active High Beam) - เฉพาะรุ่น S
          เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ผู้ขับขี่ใช้ไฟหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเปลี่ยนจากไฟสูงเป็นไฟต่ำโดยอัตโนมัติในสถานการณ์ที่เหมาะสม เทคโนโลยีนี้ใช้กล้องที่ติดตั้งอยู่ตรงกลางด้านบนของกระจกหน้า เพื่อตรวจจับแสงไฟหน้าจากรถที่สวนมา ส่วนซอฟต์แวร์ของรถจะวิเคราะห์ข้อมูลเรื่องทิศทางและตำแหน่งของรถที่สวนมา ก่อนจะส่งข้อมูลไปยังระบบ ถ้ารถที่สวนมาเข้ามาอยู่ในระยะที่กำหนด ระบบจะปรับไฟหน้ารถลงมาเป็นไฟต่ำโดยอัตโนมัติ เมื่อพ้นไปแล้วก็จะปรับมาเป็นไฟสูงเหมือนเดิมเพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็นทางข้างหน้าได้อย่างชัดเจนในยามค่ำคืน
          ระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัตโนมัติยังสามารถทำงานร่วมกับระบบไฟหน้าแบบหักเหตามพวงมาลัย (Active Bending Lights) รวมทั้งเซ็นเซอร์วัดน้ำฝนเพื่อปรับการทำงานของไฟและที่ปัดน้ำฝนซึ่งจะให้ ทัศนวิสัยที่ดีที่สุดแก่ผู้ขับขี่ในสถานการณ์ต่างๆ

          2. ระบบแจ้งเตือนป้ายจราจร (Road Sign Information) - เฉพาะรุ่น S
          เพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามกฎจราจรและลดความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุไม่คาดฝัน ระบบแจ้งเตือนป้ายจราจรในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ผู้ขับไม่สามารถอ่านป้ายต่างๆ ได้ทันตลอดเวลา ระบบนี้จึงช่วยเป็นหูเป็นตา อ่านและแสดงสัญญลักษณ์ที่เป็นสากลบนแผงหน้าปัด เช่น ป้ายจำกัดความเร็ว ป้ายห้ามแซง กล้องที่ติดตั้งที่หน้ารถจะสามารถตรวจจับป้ายจราจรที่ได้มาตรฐานของยุโรป

          3. ระบบเปิด/ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติเมื่อขับขี่เข้า/ออกจากที่มืด (Tunnel Detection)
          ระบบนี้จะเปิดไฟหน้าโดยอัตโนมัติเมื่อรถเข้าสู่ที่มืดหรืออุโมงค์ และเมื่อออกจากอุโมงค์ก็จะปิดไฟหน้ารถหรือกลับมาสู่ตำแหน่งที่ตั้งไว้เดิมโดยอัตโนมัติเช่นกัน ระบบเปิด/ปิดไฟหน้าแบบอัตโนมัติเมื่อขับขี่เข้า/ออกจากที่มืดทำงานโดยอาศัยเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบนกระจกหน้าช่วยวัดแสงและคาดสถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อสั่งการให้ระบบนี้ทำงาน นอกจากระบบดังกล่าวจะช่วยเพิ่มทัศนวิสัยให้แก่ผู้ขับขี่แล้ว ยังจะช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ เพราะตามนุษย์ต้องอาศัยเวลาในการปรับการมองเห็นเมื่อระดับของแสงเปลี่ยนไป

          ระบบเตือนผู้ขับขี่ (Driver Alert Control: DAC) - เฉพาะรุ่น S
          ให้เป็นนวัตกรรมแรกของโลกที่เลือกจับตาดูความเคลื่อนไหวและทิศทางของรถท่ามกลางการจราจรบนท้องถนน จากนั้นจึงประเมินความเป็นไปได้ที่ผู้ขับขี่อาจสูญเสียการควบคุมรถหรือมีสมาธิในการขับขี่น้อยเกินไปจนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ แล้วส่งสัญญาณเสียง หรือข้อความทางหน้าจอเพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่หยุดพัก

          ระบบเตือนเมื่อขับข้ามเลน (Lane Departure Warning: LDW) - เฉพาะรุ่น S
          ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการขับออกนอกช่องทางเดินรถ โดยอาจจะเกิดจากการสูญเสียสมาธิของผู้ขับขี่ ระบบเตือนเมื่อขับข้ามเลนสามารถควบคุมได้ผ่านปุ่มบนคอนโซลหน้ารถ เพื่อทำหน้าที่เตือนผู้ขับขี่ด้วยสัญญาณเสียงหากรถเคลื่อนที่ข้ามเส้นแบ่งเลนอย่างไม่เหมาะสม เช่นในขณะที่ผู้ขับขี่ไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว หรือการหักเลี้ยวกะทันหัน โดยใช้กล้องในการตรวจจับตำแหน่งของรถและเส้นแบ่งเลน ระบบจะเริ่มทำงานที่ความเร็ว 65 กม./ชม. และแอคทีฟต่อเนื่องในช่วงความเร็วที่มากกว่า 60 กม./ชม. ทั้งนี้ สำหรับถนนไฮเวย์ในสหรัฐฯ อุบัติเหตุที่เกิดจากการขับรถข้ามเลนมีตัวเลขประมาณ 1 ใน 4 ของอุบัติเหตุทั้งหมดบนถนนเลยทีเดียว นักวิจัยของ วอลโว่ คาร์ประมาณการไว้ว่า ระบบเตือนเมื่อขับข้ามเลน น่าจะช่วยป้องกันอุบัติเหตุประเภทนี้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30-40 ที่ระดับความเร็วระหว่าง 70-100 กิโลเมตร

          ขับขี่ปลอดภัย ควบคุมได้เต็มร้อย
          ด้วยแชสซีแบบทัวริ่ง ทำให้วอลโว่ Volvo S60 DRIVE ใหม่รุ่นปี 2013 ขับขี่ได้นุ่มนวลนั่งสบายแม้บนสภาพถนนที่ไม่เรียบมาก นอกจากนี้ ยังได้มีการพัฒนารายละเอียดในระบบแชสซี ทำให้ควบคุม บังคับรถยนต์ได้แม่นยำขึ้น

          ระบบเบรกที่เพิ่มความมั่นใจ
          ระบบเบรกที่ให้ความมั่นใจเต็มเปี่ยม ช่วยเพิ่มความสนุกสนานในการขับขี่เต็มพิกัด โดยระบบเบรกในวอลโว่ วอลโว่ S60 DRIVe สปอร์ตแวก้อนประกอบด้วยเทคโนโลยีหลากหลายได้แก่
· Ready Alert Brakes ที่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไรจะต้องเบรกกระทันหัน โดยคาลิปเปอร์เบรกจะกดเบาๆ บนจานเบรกก่อนที่ผู้ขับจะเหยียบเบรก เพื่อช่วยให้หยุดรถได้อย่างมั่นใจ
· ระบบ Hydraulic Brake Assist ช่วยลดระยะเบรกให้เหลือสั้นที่สุดได้อย่างปลอดภัย
· Optimized Hydraulic Brake ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของเบรก
· Fading Brake Support ที่ใข้ระบบไฮโดรลิกในการเพิ่มแรงเบรกเมื่อเหยียบเบรกอย่างแรง ซึ่งช่วยลดปัญหาเบรกจม ทำให้มั่นใจมากขึ้น
· ระบบเบรกอิเล็กทรอนิกส์เมื่อจอดรถ (ติดตั้งเป็นมาตรฐาน)

          ทรงตัวเยี่ยม
          ระบบ Advanced Stability Control
          Volvo S60 DRIVE ใหม่รุ่นปี 2013 ติดตั้งระบบ Advanced Stability Control เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ระบบควบคุมการทรงตัวที่ล้ำสมัยนี้มีอุปกรณ์ตรวจสอบอัตราการโคลงตัวของรถและเซ็นเซอร์ตรวจสอบอัตราเร่ง เพื่อตรวจจับการลื่นไถลตั้งแต่เริ่มต้น และชดเชยด้วยอัตราที่ถูกต้อง เพื่อปรับเสถียรภาพของรถ

          ระบบควบคุมการทรงตัวและยึดเกาะถนนแบบไดนามิก (Dynamic Stability and Traction Control - DSTC) ที่มาพร้อม Sport Mode ยังช่วยควบคุมการทรงตัวป้องกันรถจากอาการท้ายปัด หมุน หรือพลิกคว่ำ และเมื่ออยากขับแบบสปอร์ต ก็สามารถเลือก Sport Mode หากผู้ขับต้องการอารมณ์การขับขี่แบบสนุกและเร้าใจยิ่งขึ้น โดยที่ระบบจะยอมให้ล้อหลังมีการหมุนฟรีเล็กน้อย

          เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร แรงได้ใจ
          วอลโว่ Volvo S60 DRIVe ใหม่รุ่นปี 2013 ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ ความจุ 1.6 ลิตร ทำจากอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ให้พลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 5,700 รอบต่อนาที และทอร์ค 240 นิวตันเมตรในช่วง 1,600-5,000 รอบต่อนาที จึงตอบสนองได้ทันใจในทุกรอบเครื่อง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 9 วินาที ขณะเดียวกันก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ พร้อมทั้งประหยัดน้ำมันได้อย่างน่าทึ่ง โดยสามารถวิ่งเฉลี่ยใน-นอกเมือง 13.8 กิโลเมตรต่อน้ำมันเชื้อเพลิง 1 ลิตร

          เกียร์เพาเวอร์ชิฟท์ ผสานเทอร์โบชาร์จ เพิ่มพลัง-ประหยัด
          นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดเพาเวอร์ชิฟท์ ที่ช่วยให้เร่งได้ต่อเนื่อง เปลี่ยนเกียร์ราบรื่น และประหยัดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          เทอร์โบชาร์จของวอลโว่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด เพราะให้กำลังเครื่องยนต์ออกมาสูงทั้งๆ ที่มีขนาดเล็ก ส่วน ท่อไอเสียใหม่และเทอร์โบทำจากแผ่นเหล็กเกรดพิเศษอัดขึ้นรูปแทนที่จะเป็นโลหะหล่อขึ้นรูปที่หนักกว่าและให้ประสิทธิภาพในการดึงพลังงานออกจากไอเสียมาใช้งานน้อยกว่า แม้ว่าท่อไอเสียที่ทำจากแผ่นเหล็กจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก่อนหน้านี้ก็มีการใช้เฉพาะร่วมกับเทอร์โบชนิดโลหะหล่อขึ้นรูปเท่านั้น ระบบเทอร์โบใหม่ที่ใช้แผ่นเหล็กจึงนับว่าเป็นอีกนวัตกรรมหนึ่งที่จดสิทธิบัตรโดยวอลโว่

          ระบบขับเคลื่อนแบบเพาเวอร์ชิฟท์ (Powershift) ซึ่งเป็นผลงานการพัฒนาที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง วอลโว่คาร์และ Getrag หลักการทำงานของเกียร์เพาเวอร์ชิฟท์ คือ การมีชุดเกียร์ 2 ชุดพร้อมคลัทช์คู่แบบเปียกที่ทำงานแยกกันโดยอิสระ ชุดที่ 1 จะควบคุมการทำงานของเกียร์ 1, 3, 5 และเกียร์ถอยหลัง ส่วนอีกชุดหนึ่งจะควบคุมการทำงานของเกียร์ 2, 4, 6 โดยแต่ละชุดจะสลับกันทำงาน กล่าวคือ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานผลิตกำลังเต็มที่แล้วในเกียร์ 1 คลัทช์ชุดที่สองจะเข้ารอที่เกียร์ 2 ทันที เมื่อเปลี่ยนมาเป็นเกียร์ 2 แล้ว คลัทช์ชุดแรกจะไปรออยู่ที่เกียร์ 3 สลับกันไปเรื่อยๆ การที่มีคลัทช์ 2 ชุดทำงานสลับกันเช่นนี้ทำให้เครื่องยนต์สามารถส่งกำลังต่อเนื่องไม่มีขาดตอน ไม่ต้องมีทอร์กคอนเวอร์เตอร์และไม่เกิดการเสียแรงบิด จึงเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างรวดเร็ว ราบรื่น และรักษาอัตราเร่งได้อย่างต่อเนื่องขณะที่มีการเปลี่ยนเกียร์

          นอกจากการเปลี่ยนเกียร์ที่ราบรื่นต่อเนื่องแล้ว ระบบส่งกำลังแบบเพาเวอร์ชิฟท์ยังช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 8% เมื่อเทียบกับเกียร์ออโตเมติกทั่วไป ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะลดปริมาณไอเสียหรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้เป็นอย่างดี

          จัดเต็มระบบความปลอดภัย
          Volvo S60 DRIVe ใหม่รุ่นปี 2013 ถูกออกแบบมาเพื่อคนยุคไฮเทคอย่างแท้จริง ด้วยนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยกว่าที่ใครๆ จะคาดถึงและช่วยให้คนขับบังคับรถได้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น

          ระบบเตือนเพื่อป้องกันการชนพร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกและเซ็นเซอร์ตรวจจับคนเดินถนน (Collision Warning with Full Auto Brake and Pedestrian Detection) – รุ่น S

          ระบบเตือนเพื่อป้องกันการชน ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้ขณะขับขี่บนถนนไฮเวย์โดยเฉพาะ ระบบนี้สามารถรับรู้และเตือนผู้ขับขี่ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ภายในระยะ 150 เมตร เรดาร์เซ็นเซอร์ที่อยู่บนกระจังหน้าและกล้องดิจิตอลที่อยู่บนกระจกบังลมหน้าจะตรวจจับระยะห่างระหว่างรถยนต์วอลโว่ที่มีคุณสมบัตินี้กับรถคันข้างหน้า หากรถคันหน้าหยุดกะทันหัน และระบบ Collision Warning ประเมินว่าอาจเกิดการชน ระบบจะส่งเสียงสัญญาณและไฟกระพริบเพื่อเตือน ผู้ขับขี่ และยิ่งไปกว่านั้นระบบนี้ยังมีฟังก์ชั่นช่วยลดความเร็วรถโดยสั่งให้ระบบเบรกทำงานในระดับหนึ่ง เพื่อช่วยผ่อนแรงผู้ขับขี่ในการเหยียบเบรกให้รถหยุดทันท่วงที หากผู้ขับไม่เหยียบเบรก ฟังก์ชั่น Auto Brake จะหยุดรถโดยทันทีและเปิดสัญญาณไฟกระพริบฉุกเฉินเพื่อเตือนรถคันที่ตามหลังมาให้ระวังตัว

          นอกจากนี้ยังสามารถตรวจจับได้ว่ามีคนเดินถนนกำลังเดินเข้ามาในทิศทางเดียวกันกับรถ และจะหยุดรถอัตโนมัติถ้าคนขับไม่เบรกอย่างทันท่วงที

          ระบบตรวจจับคนเดินถนนนี้ประกอบด้วย เรดาร์ที่ติดตั้งอยู่บนกระจังหน้าของรถ กล้องที่ติดอยู่ด้านหลังของกระจกมองหลัง และกล่องควบคุมระบบ เรดาร์มีหน้าที่ตรวจจับภาพมุมกว้าง 60 องศาทางด้านหน้ารถว่ามีวัตถุอยู่ในรัศมีหรือไม่ และวัดระยะห่างจากวัตถุนั้น ส่วนกล้องก็จะยืนยันว่าวัตถุนั้นเป็นโครงสร้างของมนุษย์ คือ มีศีรษะ ลำตัว แขน ขา หรือไม่ โดยที่เรดาร์สามารถตรวจจับได้กระทั่งคนที่เพิ่งจะก้าวลงมาบนถนน กล้องนี้มีความละเอียดสูงมาก ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวของคนเดินถนนนั้นได้ด้วย ระบบนี้ติดตั้งเป็นมาตรฐานและทำงานเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 35 กม./ชม.

          ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ผู้ขับขี่จะได้ยินเสียงสัญญาณเตือนพร้อมกับเห็นไฟกระพริบบนกระจกบังลมหน้า สัญญาณเตือนเหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายไฟเบรกเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่มีปฏิกิริยาตอบสนองได้ทันท่วงที ขณะเดียวกันระบบเบรกก็จะชาร์จเตรียมไว้ หากผู้ขับขี่ไม่เหยีบเบรกเมื่อได้ยินและเห็นสัญญาณเตือน แต่หากระบบคำนวณว่าจะเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ ระบบหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกจะทำงานทันที

          ระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชั่นหยุด/ออกตัวรถอัตโนมัติ และระบบแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า – Adaptive Cruise Control with Queue Assist and Distance Alert (ACC) - รุ่น S
          ระบบช่วยให้ผู้ขับขี่ทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจากรถคันหน้าในทุกระดับความเร็วจนถึง 200 ก.ม./ช.ม. ในการจราจรที่เคลื่อนตัวช้าที่ระดับความเร็วต่ำกว่า 30 ก.ม./ ช.ม. ฟังก์ชั่นหยุดรถและออกตัวรถอัตโนมัติจะปรับระดับความเร็วของรถให้พอดีกับคันหน้า จากรถที่หยุดอยู่กับที่ เพียงกดปุ่มหรือเหยียบคันเร่ง ก็สามารถขับตามคันหน้าได้อย่างนิ่มนวล และถ้าใช้ความเร็วสูงกว่า 30 ก.ม./ช.ม. ก็สามารถตั้งความเร็วรถที่ต้องการและช่วงระยะวลาน้อยที่สุดที่รถจะวิ่งไปถึงคันหน้า ระบบจะปรับความเร็วให้สอดคล้องกับคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ หรือแสดงไฟเตือนถ้าเข้าใกล้คันหน้ามากเกินไป

          ระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (City Safety) เพื่อความปลอดภัยในเมือง

          ซิตี้เซฟตี้เป็นเทคโนโลยีที่วอลโว่คิดค้นขึ้นเป็นรายแรกและติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เมื่อรถคุณวิ่งไม่เกิน 50 กม./ชม. ระบบจะใช้เลเซอร์ที่ฝังอยู่ส่วนบนของกระจกบังลมหน้า สแกนพื้นที่ด้านหน้ารถในระยะห่างออกไป 10 เมตร เพื่อตรวจจับยานพาหนะด้านหน้ารถว่าหยุดอยู่กับที่หรือกำลังเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ถ้าระบบประเมินว่าการชนกำลังจะเกิดขึ้น เบรกจะถูกชาร์จเตรียมไว้เพื่อให้คุณเหยียบเบรกได้ทันท่วงที หรือหากคุณไม่เหยียบเบรก ระบบจะทำการเบรกโดยอัตโนมัติ และถ้าความเร็วของรถคุณกับรถคันหน้าต่างกันไม่เกิน 16 กม./ชม. การเบรกเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่หากความเร็วต่างกัน มากกว่า 16 กม./ชม. การเบรกจะช่วยลดความรุนแรงลงได้

          ระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ (Blind Spot Information system - BLIS) -มาตรฐาน
          ระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถติดตั้งเป็นมาตรฐานในรถรุ่นนี้ โดยมีกล้องดิจิตอลไว้ใต้กระจกมองข้างหันไปทางด้านหลังรถ เพื่อเฝ้าระวังทั้งสองข้างของรถ หากมียานพาหนะเข้ามาในโซนจุดบอด ระบบนี้จะเตือน โดยหลอดไฟที่ติดอยู่กับประตูหน้าด้านซ้ายหรือขวาจะสว่างขึ้น ระบบนี้จะทำงานเมื่อความเร็วรถมากกว่า 10 ก.ม./ช.ม.
          ถอยจอดได้ปลอดภัย
          นอกจากนี้ Volvo S60 DRIVe ใหม่รุ่นปี 2013 ยังมีระบบช่วยจอดได้อย่างปลอดภัยด้วยกล้องช่วยจอด (Park Assist camera) ทางด้านหลัง และเซ็นเซอร์ช่วยจอดทั้งด้านหน้าสำหรับรุ่น S นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่ติดตั้งเป็นมาตรฐานในทั้งสองรุ่น ได้แก่ เซ็นเซอร์ช่วยจอดด้านหลัง เพื่อความปลอดภัยในการถอยจอด

          มุมเลี้ยวแคบด้วย Corner Traction Control
          ฟังก์ชั่นควบคุมการเข้าโค้งโดยการถ่ายเทแรงบิด (Corner Traction Control by Torque Vectoring) ช่วยให้รถเข้าโค้งได้นุ่มนวลมากขึ้น เทคโนโลยีใหม่นี้ เป็นการพัฒนาระบบ DSTC ให้ดีขึ้น เมื่อเข้าโค้ง ล้อที่อยู่ด้านในของโค้งจะเบรกพร้อมกับถ่ายทอดกำลังไปยังล้อที่อยู่ด้านนอกมากขึ้น ทำให้ผู้ขับสามารถเข้าโค้งใน วงแคบได้มากขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการดื้อโค้งด้วย

          ปกป้องเต็มที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ
          โครงสร้างนิรภัย เพิ่มความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน
          ในกรณีที่เกิดการชนจากด้านหน้า องค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ โครงสร้างเหล็กหลากชนิดของตัวรถจะช่วยกระจายแรงชนออกไปทั่วๆ และช่วยดูดซับแรงกระแทกไม่ให้เข้ามาถึงภายในห้องโดยสาร โครงสร้างทางตอนหน้าของวอลโว่ S60 DRIVe ใหม่ ถูกแบ่งออกเป็น 4 โซน แต่ละโซนมีหน้าที่แตกต่างกันในยามเกิดอุบัติเหตุ เครื่องยนต์ที่วางแนวขวางช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างเพื่อรองรับการยุบตัวของตัวถัง และช่วยลดความเสี่ยงที่ตัวถังจะยุบเข้ามาถึงห้องโดยสารเมื่อเกิดการชนด้านหน้า

          วอลโว่ S60 DRIVE ใหม่มีเข็มขัดนิรภัยแบบปรับความตึงได้สำหรับทุกที่นั่ง มีระบบ Pre-prepared Restraints (PRS) ที่ช่วยปรับการทำงานของถุงลมนิรภัย ขณะที่ระบบ load limiter จะช่วยคำนวณและปรับแรงดึงกลับของเข็มขัดนิรภัยให้เหมาะสม เพื่อให้การปกป้องสูงสุดสำหรับการเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้ง

          ซีดานสไตล์สปอร์ตรุ่นใหม่นี้มีระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ ระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง (Side Impact Protection System - SIPS) ถุงลมนิรภัยด้านข้างที่นั่ง ม่านนิรภัยด้านข้าง (Inflatable Curtain) และระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลังที่เกิดจากการสะบัดของศีรษะ (Whiplash Protection System - WHIPS) ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพที่สุดในตลาดรถยนต์ปัจจุบันที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บที่คอเมื่อรถถูกชนหลังในสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจริง เช่น การชนจากด้านข้างทั้งสองด้านของตัวรถ วอลโว่ได้รวมข้อมูลจากเครื่องวัดความเร็วในรถและเครื่องวัดการโคลงตัวของรถ เพื่อควบคุมการทำงานของม่านลมนิรภัย ระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง ถุงลมนิรภัย และเข็มขัดนิรภัยในการชนแต่ละครั้ง

MSN on November 29, 2013, 03:30:00 PM
The Volvo S60 DRIVe Model Year 2013


 
          Coupe with four doors, the Volvo S60 DRIVe Model Year 2013 is a product of DRIVe programme, a Volvo initiative with an ambitious aim to produce emission-free cars that are truly green. Sculpted to move you - both physically and emotionally, the Volvo S60 DRIVe Model Year 2013 is outstanding with its aerodynamic, stylish and energetic design that reflects the superior driving experience. The Volvo S60 DRIVe Model Year 2013 arrived in Thailand at the 29th Motor Expo with three new safety technologies namely Active High Beam, Road Sign Information and Tunnel Detection.

          The Volvo S60 DRIVe is powered by the FlexiFuel 1.6 Lt engine that delivers high performance, fuel efficient and responsive while achieving its goal to reduce impact on the environment. The sedan comes with full package of innovative safety technologies, including the one that stops the car automatically before it hits a pedestrian and the standard technology that prevents the car from crashing into the one in the front.

          The Volvo S60 DRIVe Model Year 2013 is available in DRIVe (B) and DRIVe (S) models which both come in attractive 5 colours including Flamenco Red Metallic, Ember Black Metallic, Electric Silver Metallic, Ice White and Seashell Metallic.

          DRIVe – Volvo’s attempt to cut CO2 emission
          S60 DRIVe E85 is a work under DRIVe program. The program looks into the entire process, from design to research, development, performance and ability to recycle parts at the end of vehicle life. This attempt leads to the development of no-emission vehicles and interesting technologies, including FlexiFuel and alternative fuel, aerodynamic design that effectively reduces friction for improved fuel efficiency, and new technologies for clean air in the passenger cabin.
          In Thailand, Volvo cars which are powered by the innovative E85 engine under DRIVe programme have passed the test by Thailand Industrial Standard Institute (TISI) with extremely low emission, which is approximately 70% better than TISI standard.
         
          EXTERIOR
          Coupe with four doors
          The sporty design delivers a visual promise of enthusiastic driving characteristics and the S60 DRIVe truly lives up to that promise. The S60 DRIVe has been sculpted to move you. Every single line in its design is there to transport you both physically and emotionally. Its profile radiates so much coupe feeling that the rear doors come as something of a pleasant surprise when you examine the car close-up.

          The front of the Volvo S60 DRIVe has a bold look given its outstanding front grille, bold Volvo mark and the position lamp. Virtually all the lines were penned to carve out the dynamic profile. The C-pillar of the S60 DRIVe stretches sensually all the way to the tail lamps - and the slim coupe-like roof line is accompanied by a new contour on the shoulders on either side of the lower body, creating a gentle yet powerful double wave from the headlamps at the front to the tail lamps at the rear.

          Inspired by the dynamism of “Racing Track”, Volvo design team ensured dynamic lines in the new sporty sedan. The dip in the middle of the double wave visually pushes the car down. This enhances the stance and makes the car look sleeker and lower. The sculpted bonnet and the short overhangs front and rear also emphasize the sports car feel.

          LED technology carves a distinctive S60 DRIVe profile in the dark
          Volvo’s designers have also used LED (Light Emitting Diode) technology to create distinctive yet fluid light streams front and rear. The vertical position lights at the front, the eyebrow like side market lights, the turn indicators in the door mirrors, the position lights in the tail lamps all help give the new S60 DRIVes unmistakable profile even after night fall. The Active Bending Light also provides better vision as the light bends according to the steering position.

          INTERIOR
          Uncompromising sportiness with racing inspiration
          Volvo's designers obtained their inspiration from the racing track as they pursued their hunt for uncompromising sportiness in the S60 DRIVe. The racing track's dramatic yet harmoniously flowing lines can be traced in almost every interior detail. The graphic character of the racing track is clearly apparent in the instrument panel and in the doors. The lines do not end abruptly but instead create an uninterrupted, continuous flow. In addition, Volvo Cars' designers have added in excitement, contrast and playfulness to the rational simplicity of Scandinavian design tradition.
          For enhanced comfort, Volvo developed new sporty seats with even closer side support than before. The seat also offers greater vision for the driver. The rear seat is spacious and can accommodate three passengers. The beige colour scheme in the B version and Beachwood offblack colour scheme in the S version dominate the interior to create warm and relaxing atmosphere in the famous Scandinvian design which is “warm inside, cool outside”. In the

          S version, the leather-clad steering wheel, Charcoal with silk metal inlay gives a more luxury look while the Speed Sensitive Steering offers greater comfort for the drivers. The B version also enjoys the leather-clad steering wheels, Charcoal
          The S60 DRIVe Model Year 2013 comes with a new gear shift knob with better grip. The white decoration light enables it to illuminate in the dark. Drive modes are indicated directly on the top of the knob for driver to see easily.
          Volvo Sensus - refined infotainment
          Volvo Sensus is an excellent example of how Volvo Cars refines the driver environment. All information is presented on a five-inch screen (in B version) or seven-inch colour screen (in S version) in the upper part of the centre stack. The screen is positioned high up to make it easy for the driver to keep his or hers eyes on the road.

          All the functions can be controlled via buttons built into the steering wheel or via touch buttons located just below the colour screen. The Volvo Sensus comes upgraded with the larger seven-inch screen that also displays information and images, phone, reversing camera (in S version), panorama camera (accessory) DVD player and so on.

          The Bluetooth connection has been upgraded to allow not only hands-free phone conversations but also music streaming from a preferred Bluetooth enabled portable music player.

MSN on November 29, 2013, 03:30:24 PM
          Best of infotainment system
          For maximum enjoyment riding the Volvo S60 DRIVe, the premium sport sedan offers High Performance Multimedia (S version) and High Performance (in B version) audio systems. The 4x40 watt with 8 speakers audio system and Dolby Digital quality create an audio experience of absolute world class. In addition, the system provides several ports for external equipment connection, such as iPod. Mobile phones can be connected to the car audio system through Bluetooth technology and music from mobile phones can be downloaded through audio streaming and played with the car audio system for premium quality music experience.

          Safer with 3new technologies
          1. Active High Beam – in S version
          Active High Beam helps the driver utilize high beam more efficiently. It offers automatic switching between high and low beam at the right moment. Active High Beam is using forward looking camera located in the top middle of front windscreen to detect the headlights from vehicles in the front. Advanced image processing software analyses this data and provides information about the position and direction of other vehicles. The calculation serves as the basis for automatic switching between low and high beam. This gives the driver the best possible visibility at night.
          The technology can be equipped with Active Bending Lights – swiveling headlamps that follow the sweeps and bends of the road. Visibility in poor conditions is also enhanced with the option of an electrically heated windscreen and a rain sensor, which automatically starts and regulates the wipers when it rains.

          2. Tunnel Detection
          Tunnel Detection will automatically turn on the headlights when the car enters into dark area or tunnel. The headlights will turn back to the setting it had before when the car passed the tunnel. Tunnel Detection uses special sensor located on the front windscreen. This does not only increase the visibility to the driver and other road neighbors during pass through the tunnel but also reduce risk that might occur due to rapidly change from bright to dark environment. Human eyes needs time to be adapted from bright to dark.

          3. Road Sign Information – in S version
          The Road Sign Information gives an extra “eye” on the traffic environment. It reminds the driver to respect traffic rules for safety and helps reduce risk of accident. The information flow in the traffic is high and it is sometimes difficult for driver to catch all information, especially in the distracting traffic situations.
         
          Road Sign Information will assemble the most important road signs, prioritize the information and display in the combined meter. This will give the driver extra time to catch up on important sign on the road. The recognized signs detected by this technology must follow to the EU Standard.

          Driver Alert Control – in S Version
          This world-first innovation in passenger cars that monitors the car’s movements relative to the road and traffic, not only the driver’s personal driving behavior which, of course, varies from one driver to another, and thereby assesses whether the vehicle is being driven in a controlled or uncontrolled way. If the risk is assessed as high, the driver is alerted via an audible signal. In addition, a text message appears in the car’s information display, alerting him or her with a coffee cup symbol to take a break. The system steps in at 65 km/h and stays active as long as the speed exceeds 60 km/h and proves invaluable in combating driver fatigue on long distance or motorway journeys where concentration can easily reduce.

          Lane Departure Warning (LDW) – in S Version
          LDW has been developed to help prevent single-vehicle road departure accidents as well as head-on collisions due to temporary distraction. LDW is activated via a button in the centre stack and it alerts the driver with a gentle warning sound if the car crosses one of the road markings without an obvious reason such as use of the turn indicator, or the positive turn of the steering wheel. The system also uses a camera to monitor the car’s position between the road markings. LDW steps in at 65 km/h and stays active as long as the speed exceeds 60 km/h. On US highways, single-vehicle road departures account for approximately one fourth of all accidents. Volvo Cars’ researchers estimate that the LDW system can help prevent 30 to 40 percent of these types of accidents at speeds between 70 and 100 km/h.

          Chassis
          The Volvo S60 DRIVe Model Year 2013 comes with touring chassis as standard. Softer setting of the touring chassis give a smoother ride on poorer road surfaces.

          Advanced, integrated braking functions
          A highly advanced braking system is an important part of the dynamic driving properties of the new V60. Volvo's new sports wagon is equipped with a number of features that interact to provide the shortest possible stopping distance in all scenarios.
          Ready Alert Brakes can predict when swift braking is needed. The brake callipers are applied lightly to the brake discs even before the driver presses the brake pedal.
          Hydraulic Brake Assist helps the driver brake in the shortest possible distance. In an emergency situation where the driver does not press the brake pedal fast or hard enough, Hydraulic Brake Assist can help utilise the ABS system optimally and thus shorten the overall braking distance.
          Optimized Hydraulic Brakes is a system that amplifies braking ability during firm braking by using hydraulics to compensate for low vacuum pressure in the brake servo.
          Fading Brake Support uses the hydraulic system to gradually build up brake pressure during long, hard braking. This helps reduce the risk of brake fade and maintains pedal feel.
          An electronic parking brake is fitted as standard.

          Impressive road holding
          Advanced Stability Control
          The S60 DRIVe is the first sedan model on the market with Advanced Stability Control. With a new roll angle sensor, it is possible to identify any skidding tendency at a very early stage. Advanced Stability Control is a great asset in dynamic driving involving considerable lateral forces, thus improving handling and rapid avoidance manoeuvres.

          Dynamic Stability and Traction Control (DSTC) with Sport mode can step in earlier and with greater precision. Advanced Stability Control is a great asset in dynamic driving involving considerable lateral forces, thus improving handling and rapid avoidance manoeuvres. The Sport Mode, a new feature in the new DSTC, allows some free wheel spin for sporty and intuitive driving experience.

          Driveline: 1.6Lt engine
          The 1.6 Lt engine is made from light weight aluminium, producing 180Hp at 5,700rpm and delivers maximum torque of 240Nm from just 1,600 and all the way up to 5,000 revs a minute. It can accelerate from 0-100 km in only 9 seconds. While the engine delivers massive power, it produces impressively low emission while achieving high fuel efficiency. The average fuel consumption (city and highway driving combined) is 13.8 km per one litre of fuel.

          Powershift transmission and turbocharger
          The Volvo S60 DRIVe is unique with the six-speed automatic Powershift gearbox that delivers high responsiveness and at the same time achieves impressive fuel efficiency.

          The Volvo’s turbocharger is the market's smallest in relation to the engine's maximum power output. Another new feature is that the exhaust manifold and turbocharger are made of sheet steel rather than a heavier casting. A manifold made of sheet steel is admittedly nothing particularly new but thus far it has only been used in combination with a cast turbo housing. The new fully integrated turbo system of sheet steel is a world innovation and has been patented by Volvo.

          The Powershift transmission has been developed by Volvo Cars in cooperation with its transmission partner Getrag. Powershift operates in principle as two parallel manual gearboxes. It has twin wet clutches that work independently of one another. One clutch controls the odd gears (1, 3, 5 and reverse) while the other handles the even ratios (2, 4 and 6). The two clutches operate alternately, with one engaging while the other disengages. This means that at the same time as the engine gets full power and maximum thrust in first gear, second gear is placed in readiness to be engaged. And when second gear has been engaged, third gear is readied, and so on. This promotes a continuous flood of power without any disruption in power delivery or any torque loss, resulting in extremely fast and silky-smooth gearchanges while maintaining acceleration throughout the gearchanging process.

          Powershift reduces fuel consumption by 8%, in comparison with other automatic gearboxes, and it provides improved drivability as well. This not only helps reduce fuel costs but also lower impact on the environment, especially carbon dioxide emission.

          Safety and Support
          The Volvo S60 DRIVe is designed for modern consumers with a full range of innovations and advanced technologies that help make driving and controlling a car an easy and safer task.

          Collision Warning with Full Auto Brake and
          Pedestrian Detection – in S version only

          Designed for highway driving, Collision Warning with Full Auto Brake can sense and alerts the driver if the distance to a vehicle ahead suddenly decreases below 150 metres. The radar sensor on the front grille and digital sensor on the windshield will measure the distance to a vehicle ahead. If the car in front stops abruptly and the Collision Warning views that the accident is possible, it will beep and blink to alert the driver. The Auto Brake system's braking function prepares for heavy braking and brakes the car automatically (with up to 50% of the maximum braking power) if the driver has not reacted to the warning signal. The system will also automatically switch on hazard light to warn the car behind.
Pedestrian Detection is a groundbreaking technological solution. It can detect pedestrians who walk into the road in front of the car, warn the driver - and automatically apply full braking power if the driver does not respond in time.

          The system consists of a newly developed radar unit integrated into the car's grille, a camera fitted in front of the interior rear-view mirror, and a central control unit. The radar has wider field of vision (60 degree) and its task is to detect any object in front of the car and to determine the distance to it. The camera determines what type of object it is or whether it is human being (with head, shoulders, arms, body and legs). This system is standard and is activated when the car travels at below 35 km/h speed.

          In an emergency situation the driver first receives an audible warning combined with a flashing light in the windscreen's head-up display. At the same time, the car's brakes are pre-charged. If the driver does not react to the warning and an accident is imminent, full braking power is automatically applied.
City SafetyCity Safety – A collision avoidance technology which is standard equipped in Volvo cars.

          At speeds up to 30 km/h, a collision can be avoided completely. The laser sensor embedded in the windshield will scan the area within 10 metre range in front of the car, sensing if vehicles ahead are moving slower or standing still. In a situation where the calculated braking force needed reaches a certain level, and the driver has not reacted, the City Safety function senses that a collision is imminent. Brake will be pre-charged to enable the driver to stop the car more effectively. If the driver does not react, the system will automatically brake. If the difference in speed between the vehicles is below 16 km/h, an accident can be avoided. However, if the difference in speed is higher, the consequences of the impending collision can be mitigated considerably because the system will intervene to reduce speed when the collision occurs.

          Adaptive Cruise Control with Queue Assist - in S version
          The Adaptive Cruise Control with Queue Assist and Distance Alert system helps adjust the car speed to match with the current traffic and distance from the lead vehicle at below 30km/h speed as well as automatically stops and moves the car to the traffic move. Distance Alert is activated at all speed level up to 200 km/h will light up the signal on the Head-Up display when the distance to the lead vehicle is shorter than the chosen. When travelling at higher than 30 km/h speed, the driver can set the desired speed and the shortest time to reach the lead vehicle and the system will automatically reduce the car speed when it approaches the vehicle in front too fast.

          Blind Spot Information System (BLIS) is standard in the Volvo S60 DRIVe. Digital cameras are located under side mirrors facing the rear to monitor both sides of the car. When a vehicle moves into the blind spot, light on the left or right door will be on. This system is activated at higher than 10 km/h speed.

          Park Assist Camera- Rear makes safe parking easier in the S version. Park Assist Sensor- Front and Rear in S version and Rear only in B version, enable driver to park safely.


          Corner Traction Control for tighter cornering
          Corner Traction Control is a new feature that uses torque vectoring so the car takes curves even more smoothly. This technology is a further refinement of the DSTC system. When cornering, the car's inner driven wheel is braked at the same time as more power is transmitted to the outer driven wheel. This allows the driver to take the curve more tightly while reducing any tendency to understeer.

          Full protection during accident
          Collision safety including an improved structure
          In a frontal collision situation, the well-balanced combination of high-strength steel of various grades dissipates the impact energy and helps prevent intrusion into the passenger compartment. The front body structure of the Volvo S60 DRIVe is divided into four zones, each of which has a different task in such event. The transverse engine installation creates more space for deformation and helps reduce the risk of intrusion into the passenger compartment in frontal collision situations.

          The Volvo S60 DRIVe has safety belt pre-tensioners in all seats. The Pre-Prepared Restraints (PRS) regulate the airbags and the safety belt load limiters to optimise protection depending on the force of the impact.

          Among its various other safety systems, the all-new sedan model also has an advanced Side Impact Protection System (SIPS), seat-mounted side airbags, Inflatable Curtains and Whiplash Protection System (WHIPS) - one of the market's most effective systems to help reduce the risk of neck injuries in rear impacts. The Side Impact Protection System has been further improved in the Volvo S60 DRIVe to address a wider span of real life situations, such as side impacts on either side of the passenger compartment. This has been made possible by combining information from accelerometers in the vehicle and a world unique use of a gyro measuring yaw rate for controlling the activation of the IC, SIPS airbag and seatbelt pretensioners in such situations.