happy on November 25, 2013, 02:41:50 PM
THE WORLD’S END
SIMON PEGG Q+A
ไซมอน เพ็กก์เป็นเพื่อนผู้ร่วมงานกับเอ็ดการ์ ไรท์และนิค ฟรอสท์มานาน ทั้งสามคนเคยร่วมงานกันมาก่อนในซีรีส์ Spaced รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง Shaun of the Dead และ Hot Fuzz ซึ่งเขาก็ได้ร่วมเขียนบทกับไรท์ทั้งสองเรื่อง นอกจากนี้ เขายังได้รับบท มอนท์โกเมอร์รี “สก็อตตี้” สก็อต ในภาพยนตร์เรื่อง Star Trek และได้ร่วมแสดงใน Mission: Impossible III และซีเควล Mission: Impossible – Ghost Protocol นอกจากนี้ เขายังได้ทำงานใน The Adventures of Tin Tin, Run Fatboy Run และ Paul ซึ่งเรื่องสุดท้าย เขาได้ร่วมเขียนบทกับฟรอสท์ เขาได้กลับมาร่วมงานกับไรท์และฟรอสท์อีกครั้งใน The World’s End ซึ่งเขาเขียนบทร่วมกับไรท์ และที่เขารับบท แกรี คิง ผู้หลงออกนอกลู่นอกทาง...Q: สมัยเรียน คุณเหมือนแกรีรึเปล่า
A: ผมคิดว่าผมเหมือนสตีเวน [รับบทโดยแพ็ดดี้ คอนซิไดน์] ครับ ผมจำได้ว่าหัวหน้ากลุ่มผมเป็นคนที่เจ๋งมากๆ เขาเป็นหนุ่มก็อธครับ ผมทำตัวแบบก็อธเพราะเขาและผมก็เป็นเหมือนลูกศิษย์ของเขา ผมเทิดทูนเขาเพราะเขาอายุมากกว่าผมหน่อย ผมก็เลยไม่ใช่แกรี แผมคิดว่าเราทุกคนต่างก็รู้จักแกรี และถ้าคุณไม่รู้จักแกรี คุณก็คือแกรีครับ!
Q: คุณรู้สึกรึเปล่าว่าคอเมดีในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความจริงจัง จริงๆ แล้ว แกรีเป็นตัวละครที่น่าเศร้ามากๆ....
A: ครับ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับเรา ทั้งเอ็ดการ์ ผมและนิค เราพยายามจะใช้ความจริงจังเป็นพื้นฐานของคอเมดี เพื่อที่มันจะได้มีสิ่งยึดเหนี่ยว เพราะในตอนที่มุขแป้ก คอเมดีเรื่องนั้นก็จะพังครืน ถ้าไม่มีอย่างอื่นนอกจากมุข นอกจากนั้น คอเมดีที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นจากเรื่องราวดีๆ ตัวละครดีๆ และหัวใจและความหมายที่แท้จริงเสมอ แก่นแท้ของแกรี คิง ที่เป็นศูนย์กลางความวุ่นวายสุดป่วนคนนี้ คือโศกนาฏกรรมครับ เขาเป็นคนที่จมอยู่ในความหดหู่และการติดเหล้า และเขาก็เป็นคนที่ถูกจับตามองว่าเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายที่หนีจากโรงพยาบาลโรคจิตครับ
Q: คุณเคยมีช่วงเวลาไหนที่คุณจะเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า ‘ฉันน่าจะโตได้แล้ว’ รึเปล่า หรือคุณรู้สึกไม่อยากโตซักที
A: ผมคิดว่าหลายคนอนุมานว่าผมมีความเป็นผู้ใหญ่น้อยกว่าที่ผมเป็นอยู่ ผมเป็นคนค่อนข้างจะเรียบร้อยทีเดียวนะครับ ผมไม่ดื่ม และผมก็รู้ซึ้งถึงคุณค่าชีวิตครอบครัวเป็นอย่างดี ผมชอบการกลับบ้านเร็ว บ้านผมไม่ได้เต็มไปด้วยของเล่น และผมชอบเฟอร์นิเจอร์แอนธีคด้วยซ้ำไป ตัวละครใน Spaced เป็นเหมือนผมในสมัยอดีต แต่ผมโตขึ้นแล้ว สิ่งที่แปลกก็คือเรามีช่วงเวลาพิเศษในฐานะผู้ใหญ่ครับ สำหรับพ่อแม่ผม วัยเด็กของพวกเขาจบลงตอนอายุ 19 ปี หรืออาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ แล้วพวกเขาก็แต่งงาน มีลูก มีงานทำ ต้องสวมสูท ตอนนี้ แรงกดดันที่จะต้องทำตามความคิดของการเป็นผู้ใหญ่ผ่อนคลายลงนิดหน่อย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะบางสิ่งทำให้สังคมเราเด็กลง อย่างวิดีโอเกม และหนัง ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่มีความเป็นเด็กทั้งหลาย อย่างซูเปอร์ฮีโรและยานอวกาศ ผมอายุ 43 ปี แต่ผมก็ยังเล่นวิดีโอเกมอยู่เลย ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในรุ่นพ่อแม่ผม จริงๆ แล้ว ผมก็ไม่ได้เล่นมันซักเท่าไหร่แล้ว ผมมัวแต่ยุ่งอยู่กับการเลือกเฟอร์นิเจอร์แอนธีคครับ!
Q: คุณจะตะลุยผับได้กี่แห่งระหว่างการตะลุยผับล่ะ
A: น่าจะซักเจ็ดแห่งล่ะมั้งครับ ผมชอบการนั่งแช่ในผับ สำหรับผม คุณจะออกไปเดินทำไมถ้าคุณอยากเมาล่ะครับ? ผมคิดว่าการตะลุยผับเกิดขึ้นเพราะมันเป็นวิธีที่จะดื่มเหล้า 12 ไพน์โดยไม่ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าคุณเป็นคนติดเหล้าน่ะครับ! มันเหมือนกับว่า ‘ถ้าเราย้ายจากผับหนึ่งไปอีกผับหนึ่ง มันก็เป็นเหมือนภารกิจ’ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว สิ่งที่คุณทำก็แค่ดื่มกระจายเท่านั้นเอง คนที่ไปตะลุยผับอาจจะมีปัญหาเพราะพวกเขาอยากจะเมามาย ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นนักแสดงตลกและเขาก็มีคำพูดดีๆ เกี่ยวกับการที่คนพูดว่าพวกเขาดื่มกันยกใหญ่เพราะกระหายน้ำ ผมชอบดื่มชานะครับ แต่ผมก็คงจะไม่ดื่มชา 12 ไพน์หรอกครับ
Q: การสร้างตัวละครแกรีมีความยากที่ตรงไหน
A: ผมชอบแกรีครับ ผมพยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้เขาน่ารำคาญที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และผมก็อยากให้เขาเป็นผู้ร้ายของเรื่อง เป็นคนเลวยิ่งกว่าพวกเอเลียน ภัยเอเลียนนั้นเป็นของจริง พวกเขามีความตั้งใจดีและอยากจะทำให้โลกใบนี้เป็นสถานที่ที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่พวกเขาทำต้องแลกกับอิสรภาพของเรา ซึ่งพวกเขาทำได้ด้วยการควบคุมเรา แต่พวกเขาอยากทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ดีกว่าเดิม เพื่อที่เราทุกคนจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยสตาร์บัคส์ นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่แกรีไม่ต้องการแบบนั้นและคุณก็ต้องคิดว่า ท้ายที่สุดแล้ว เขาควรจะปล่อยให้พวกเขาทำในสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่รึเปล่า มันจะดีกว่าสำหรับมนุษยชาติรึเปล่าถ้าเราไม่ตอบโต้กลับ เราจะยอมให้ตัวเราถูกครอบงำโดยเผ่าพันธุ์เอเลียนรึเปล่า ผมชื่นชอบไอเดียที่ว่าแกรีทำให้เกิดจุดจบของโลกใบนี้และมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ผมชื่นชอบการที่ตอนจบหนังของเรามีความคลุมเครือ เหมือนอย่าง Shaun of the Dead ใช่ครับ เอ็ดตายแล้วก็จริง แต่เขาก็มีความสุขกว่าเดิมเพราะเขาไม่จำเป็นต้องไปหางานทำ เขาไม่จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบและเขาก็สามารถนั่งเล่นวิดีโอเกมได้เรื่อยๆ ในตอนจบของ Hot Fuzz สิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้นกลายเป็นเหมือนรัฐฟาสซิสต์ครับ ฟาสซิสต์แบบที่นิโคลัส แองเจิลถูกกล่าวหา และเป็นในท้ายที่สุด เขาสวมถุงมือสีดำและมันก็กลายเป็นรัฐตำรวจ ซึ่งกลายเป็นบทสรุปที่คลุมเครือ สำหรับหนังเรื่องนี้ จริงอยู่ว่าอารยธรรมที่เรารู้จักกันได้สิ้นสุดลงแล้ว มันไม่มีไฟฟ้า แต่อย่างน้อยที่สุด แกรีก็ไม่ดื่มอีกต่อไปแล้วและเขาก็ได้คลุกคลีกับเพื่อนเก่าด้วยครับ!
Q: การคิดตอนจบของหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องยากรึเปล่า มันมีตอนจบที่เป็นไปได้หลายอย่างรึเปล่า
A: ไม่เลยครับ สำหรับหนังอีกสองเรื่อง เรามีตอนจบก่อนที่เราจะมีตอนกลางเรื่องเสียอีก ในหนังเรื่องนี้ เราเห็นจุดหมายปลายทางที่เราอยากไปให้ถึง เราอยากให้แกรีได้อยู่กับเพื่อนเขาเวอร์ชันหนุ่มกว่า ตอนแรก เราคิดว่าเราจะต้องใช้การเดินทางย้อนเวลา แต่มันเต็มไปด้วยปัญหา เรื่องราวการเดินทางข้ามเวลามักเต็มไปด้วยช่องโหว่เสมอ เราก็เลยคิดวิธีอื่น ซึ่งเราก็เลยคิดวิธีการบุกของเอเลียนอย่างในหนังเรื่องนี้ เราพบว่าถ้าใช้วิธีนี้ อย่างน้อยที่สุด เขาก็จะได้อยู่กับเพื่อนเก่าของเขาในตอนจบ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราต้องการไปให้ถึงครับ
Q: คุณตัดสินใจเลือกดนตรีสำหรับซาวน์แทร็คหนังเรื่องนี้ได้อย่างไร
A: ผมกับเอ็ดการ์เป็นคนเลือกครับ ในฐานะมือเขียนบท นั่นเป็นงานของเรา เราเป็นคนยืนกรานว่าจะใช้เพลงไหน เราตัดสินใจเลือกใช้ดนตรีในช่วงห้าปีระหว่าง 1987-1992 และทุกเพลงที่ไม่ได้เป็นดนตรีประกอบ เว้นแต่เพลง Alabama Song โดยเดอะ ดอร์ส มาจากยุคนั้น เราชื่นชอบซุป ดรากอนส์, แฮปปี้ มันเดย์ส, เดอะ สโตน โรสเซส แล้วเราก็ใช้ไคลีย์ มิน็อค แล้วเราก็เลือกใช้ป๊อป ดิสโก้จากงานของแซงต์เอเตียง, เดอะ บิวตี้ฟูล เซาธ์, เดอะ ซันเดย์ส ซึ่งเป็นเพลงที่ผมชอบจริงๆ และเพลง 20 Seconds to Comply โดยซิลเวอร์ บุลเล็ต ซึ่งเป็นดนตรีประกอบการต่อสู้ที่บีไฮฟ์ ซึ่งเป็นการต่อสู้สุดบ้าคลั่งที่นิคหยิบม้านั่งออกมา มันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเราจริงๆ ในความเป็นจริงแล้ว เทปเพลงที่แกรีน่าจะอัดไว้ก็กลายเป็นดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้ มันเป็นเทปที่อยู่ในรถของเขาตั้งแต่ปี 1990 แล้วครับ!
Q: สำหรับตัวละครพวกนี้ คุณได้เขียนบทขึ้นมาเพื่อนักแสดงคนใดคนหนึ่งรึเปล่า แล้วคุณได้นำเอาเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตคุณมาใช้มากน้อยแค่ไหน
A: มีตอนหนึ่งที่เรากำลังเขียนบทหนังเรื่องนี้ ที่เราใช้ชื่อของพวกเขาเป็นชื่อตัวละคร เราสลับชื่อปีเตอร์สำหรับ ‘เอ็ดดี้ มาร์สัน’ และเราก็ใช้ ‘มาร์ติน ฟรีแมน’ แทนโอลิเวอร์ ‘แพ็ดดี้ คอนซิไดน์’ แทนสตีเวน แล้วก็ผมกับนิค เราอยากให้เอ็ดดี้รับบทปีเตอร์เพราะเอ็ดดี้เล่นเป็นคนไม่ดีมาโดยตลอด แต่ปีเตอร์เป็นคนที่น่ารักมากๆ แล้วเราก็เคยร่วมงานกับแพ็ดดี้และมาร์ตินมาก่อน ซึ่งเราอยากให้มาร์ตินมีบทบาทที่สำคัญกว่าในหนังเรื่องนี้เพราะเขาอยู่ใน Shaun of the Dead แค่สองวินาที และใน Hot Fuzz สามนาที แต่ในเรื่องนี้ เขาอยู่ตลอดทั้งเรื่องเลยครับ
Q: ทีมนักแสดงทุกคนทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนกันและล้อกันเล่นแบบเพื่อนทำกันรึเปล่า
A: ตลอดเวลาเลยครับ! ในกองถ่าย เราเรียกมาร์ติน ฟรีแมนว่า ‘มาร์ตินน้อย’ [ด้วยสำเนียงนิวซีแลนด์] เพราะผู้ออกแบบท่าเต้นของเราเคยพูดไว้ว่า ‘มาร์ตินน้อยทำนี่หน่อยได้มั้ย...’ ดังนั้น หลังจากนั้น เราก็ตัดสินใจเรียกเขาว่ามาร์ตินน้อยด้วยสำเนียงนิวซีแลนด์ ดังนั้น เขาก็คือมาร์ตินน้อยสำหรับเรา ผมคิดว่าเอ็ดการ์หงุดหงิดกับเรื่องนี้หลายครั้งตอนที่พวกเราห้าคนอยู่ด้วยกัน เราเป็นเหมือนเด็กๆ เลย มันเลวร้ายมาก บางครั้ง ผมก็เสียใจที่ทำให้เรื่องวุ่นวายเหลือเกิน แพ็ดดี้ คอนซิไดน์น่ะร้ายที่สุด เขาจะพูดจ้อไม่หยุดจนกระทั่งก่อนแสดง เขาจะพูดสิ่งที่น่าฉุนมากๆ ก่อนหน้าการสั่งแอ็กชัน ดังนั้น ในตอนเริ่มต้นฉาก เราก็ได้แต่พยายามไม่นึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปน่ะครับ เราเป็นเด็กกันมากๆ เลย
Q: เมื่อไหร่ที่คุณนึกถึงหนังพวกนี้ [Shaun, Hot Fuzz, The World’s End) ว่าเป็นไตรภาค คุณเริ่มต้นจากการคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้รึเปล่า
A: ไม่เชิงหรอกครับเพราะเราไม่ได้ทะนงตนถึงขนาดที่เราคิดว่าเราจะได้สร้างหนังอีกเรื่อง! เรารู้สึกโชคดีมากๆ ที่ได้สร้าง Shaun of the Dead และเราก็คิดว่าพอคนรู้เรื่องนี้แล้ว เราจะไม่ได้สร้างหนังอีก! แต่มันก็ไปได้สวย และ Hot Fuzz ก็ถูกสร้างขึ้น เราได้ใส่สิ่งที่อ้างถึง Shaun of the Dead เข้าไปใน Hot Fuzz เล็กน้อยเพราะเราชื่นชอบการสร้างซีเควลทางธีมขึ้นมาเพื่อที่หนังแต่ละเรื่องจะให้ความรู้สึกเชื่อมโยงกัน แต่มันไม่ได้เป็นซีเควลโดยตรง แล้วพอเราสร้าง Hot Fuzz เราก็ตระหนักว่าเราสามารถสร้างหนังอีกเรื่องได้และหนังทั้งสามเรื่องก็สามารถมีประเด็นที่เชื่อมโยงกันได้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของธีม เป็นมุขเกี่ยวกับรั้วหรือการปรากฏตัวของรถไอศกรีมบางคัน...
Q: คุณมีความสัมพันธ์อะไรกับบ้านเกิดคุณบ้าง
A: ตอนนี้ ผมอยากกลับไปบ้านเกิดครับ มีบางครั้งตอนที่ผมยังหนุ่มที่ผมคิดว่าผมจะทิ้งมันไว้เบื้องหลังเพราะมันเล็กเกินไป แต่ตอนนี้ ผมอยากจะกลับไปที่นั่นเพราะมันทำให้เขานึกถึงการเป็นเด็กเล็กๆ ซึ่งเป็นเรื่องดีครับ ผมกลับไปเยี่ยมแม่และครอบครัวผมในกลอสเตอร์ ซึ่งผมชอบมันมาก แต่ผมก็แทบไม่ได้กลับไปที่นั่นซักเท่าไหร่ ผมพบว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่จะรีดเวลาเพื่อขับรถไปที่นั่นสองชั่วโมง แม่ของผมมาหาผมที่บ้านผมตลอด ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่ผมคงสัมพันธ์กับเมืองกลอสเตอร์เอาไว้ครับ
« Last Edit: December 03, 2013, 06:48:49 PM by admin »
Logged