กลุ่มสามารถปลื้มผลงานไตรมาส 3 โตตามคาด ทั้งรายได้และกำไร มั่นใจปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 45%
กลุ่มสามารถประกาศไตรมาส 3 ปี 56 รายได้รวม 5,937 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนเกือบ 50% กำไรสุทธิ 393 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% รวม 9 เดือน มีรายได้ทั้งสิ้น 16,778 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% กำไรสุทธิ 1,104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% ปัจจัยหลักมาจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งของทุกสายธุรกิจในการสร้างรายได้ประจำและกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้เซ็นสัญญาโครงการจัดหาระบบและอุปกรณ์บริหารการจราจรทางอากาศกับบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย มูลค่าทั้งสิ้น 1,720 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังประกาศเปิดตัวเสาอากาศและกล่องรับสัญญานทีวีดิจิตอล พร้อมรุกตลาดในไตรมาส 4 ตั้งเป้าเริ่มต้น 200,000 ชุด ในสิ้นปีนี้ มั่นใจดันรายได้รวมทั้งกลุ่มโตไม่ต่ำกว่า 45%
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานของกลุ่มสามารถในไตรมาส 3 ปี 2556 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 5,937 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ มีกำไรสุทธิ 393 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยสายธุรกิจ ICT Solutions มีรายได้ในไตรมาส 3 ทั้งสิ้น 2,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36 เปอร์เซนต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน มีกำไรสุทธิ 224 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยในไตรมาส 3 ได้เซ็นสัญญาโครงการใหม่ มูลค่ารวม 1,557 ล้านบาท รวม 9 เดือนที่ผ่านมา เซ็นสัญญาเพิ่มเติม มูลค่าราว 4,500 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันมีโครงการในมือ มูลค่าทั้งสิ้น 7,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ มีงานที่รอการประมูลอีกกว่า 40 โครงการ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,500 ล้านบาท
สายธุรกิจ Mobile Multimedia มีรายได้รวมไตรมาส 3 ปี 56 ถึง 2,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 66 เปอร์เซนต์ กำไรสุทธิ 221 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มียอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือรวมแล้วประมาณ 2.8 ล้านเครื่อง คิดเป็น Smart Phone 1.2 ล้านเครื่อง ทำให้ราคาเครื่องโดยเฉลี่ยขยับตัวสูงขึ้นถึง 80 เปอร์เซนต์เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในไตรมาส 4 จะมีการเปิดตัว Smart Phone อีก 9 รุ่น ในระดับ premium ราคาประมาณ 10,000 บาท มั่นใจว่าในปีนี้จะมียอดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือโดยรวมไม่ต่ำกว่า 3.6 ล้านเครื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ไอ-โมบาย ซึ่งมีร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายอยู่ทั่วประเทศกว่า 10,000 แห่ง ยังจะเป็นช่องทางในการจำหน่ายเสาอากาศและกล่องรับสัญญานดิจิตอลทีวี ให้แก่บจก.สามารถวิศวกรรม ถือเป็นการรวมพลังของสองบริษัทในเครือสามารถในการขยายผลทางธุรกิจร่วมกันและรองรับความต้องการของตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ
สายธุรกิจ Utilities & Transportations นอกจากผลประกอบการที่ดีอย่างสม่ำเสมอไตรมาสละไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาทจากบจก.แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส และบจก.กัมปอด เพาเวอร์แพลนท์ ซึ่งประกอบธุรกิจอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ยังมีการรับรู้รายได้ประจำจากบริษัทเทด้า ซึ่งดำเนินธุรกิจระบบสายส่งไฟฟ้า โดยในไตรมาส 3 เทด้ายังประมูลงานใหม่ได้เพิ่ม มูลค่า 647 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือกว่า 1,700 ล้านบาท ยิ่งไปกว่านั้น ล่าสุด บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น ยังได้ลงนามในสัญญาจัดหาระบบและอุปกรณ์บริหารการจราจรทางอากาศ กับ บจก.วิทยุการบินแห่งประเทศไทย มูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,720 ล้านบาท ถือเป็นสายธุรกิจที่เป็นแกนหลักในการสร้างรายได้ประจำให้แก่กลุ่มสามารถอย่างต่อเนื่อง
สุดท้าย สายธุรกิจเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งรวม บมจ.วันทูวัน คอนแทคส์, บจก.วิชั่นแอนด์ซิเคียวริตี้ และบจก.สามารถวิศวกรรม ล่าสุดได้ประกาศรุกตลาดเสาอากาศและกล่องรับสัญญานดิจิตอลทีวีอย่างเต็มรูปแบบ คาดว่าจะสามารถจำหน่ายกล่องรับสัญญานได้ถึง 200,000 กล่องในสิ้นปีนี้ ด้วยชื่อเสียงของ'สามารถ'ในการผลิตเสาอากาศและอุปกรณ์รับ-ส่งสัญญานทีวีมานานกว่า 50 ปี บวกกับสินค้าที่มีคุณภาพและช่องทางการกระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายของไอ-โมบายกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถรองรับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง โดยกล่องรับสัญญานรุ่น Strong เน้นจุดเด่น 'ดี ชัด จัดเต็ม''ดี'คือ ช่วยประหยัดพลังงาน ติดตั้งง่าย ทนทาน มีอายุการใช้งานถึง 5,000 ชั่วโมง รับประกัน 1.5 ปี'ชัด'ภาพมีความละเอียดสูงระดับ Full HD แสดงภาพต่อเนื่องแม้สัญญาณต่ำ'จัดเต็ม'ด้วยระบบเสียงลิขสิทธิ์ Dolby Digital ทั้งนี้ได้กำหนดราคาขายไว้ที่ 1,155 บาท
นายวัฒน์ชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นระบบ 3G และดิจิตอลทีวี ตลอดจนความตื่นตัวในการนำไอซีทีมาใช้พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน ยังคงสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่กลุ่มบริษัทสามารถอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน นอกเหนือจากการยกระดับรายได้โดยการขยายผลจากธุรกิจในปัจจุบันแล้ว เรายังคงมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะการสร้างฐานรายได้ประจำ คาดรายได้รวมปีนี้ เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 45%
ในส่วนของ SAMART คาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโต 40-50% มาอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1 พันล้านบาท ส่วนรายได้ยอมรับว่ารายได้รวมในปีนี้ อาจทำได้เพียง 2.4 หมื่นล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากโครงการประมูลวางระบบเครือข่าย 3G เฟส 2 ของทีโอที มีความล่าช้า จึงไม่สามารถประมูลงานได้ทันในปีนี้ ส่งผลให้รายได้จากส่วนนี้หายไปประมาณ 6 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯคาดว่าโครงการประมูลดังกล่าวน่าจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 1 ปีหน้า ทั้งนี้ 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทฯมีกำไรสุทธิแล้วกว่า 1.1 พันล้านบาท