คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดสำนักงานอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เพื่อการให้บริการที่ดียิ่งขึ้นแก่ลูกค้าชาวไทย และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในตลาดยางรถยนต์
คอนติเนนทอล ไทร์ส เปิดตัวสำนักงานอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในวันที่ 15 กันยายน 2552 การเปิดสำนักงานของบริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด นี้แสดงถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมที่จะรุกตลาดยางรถยนต์ในไทยอย่างเต็มรูปแบบด้วยความมั่นใจในศักยภาพที่จะขยายธุรกิจและกระตุ้นการเติบโตของตลาด และยังนับเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของการสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจยางรถยนต์ของบริษัทในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค
“ในฐานะผู้ผลิตยางยานยนต์ขนาดใหญ่อันดับที่ 4 ของโลก และผู้นำของการสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมรรถนะสูงที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรม พร้อมคุณภาพและความปลอดภัยสูง ถึงเวลาแล้วที่ คอนติเนนทอล ไทร์ส จะขยายเข้าสู่ประเทศไทยและใช้ไทยเป็นฐานที่แข็งแกร่งอีกแห่งหนึ่ง ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าไทยคือศูนย์กลางและฐานผลิตอุตสาหกรรมรถยนต์ที่สำคัญในภูมิภาค” มร. เบนวา เอช เฮนรี รองประธานฝ่ายขายและการตลาด หน่วยธุรกิจยางทดแทน ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าว
“สำนักงานในประเทศไทยจะช่วยให้เราเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น และสามารถตอบสนองความต้องการที่เฉพาะเจาะจงของลูกค้าได้ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว คอนติเนนทอลจะดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดทุกด้านที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง การใช้ผลจากการศึกษาวิเคราะห์เชิงลึกความต้องการของลูกค้า รวมถึงการทดสอบการขับขี่ยาง คอนติเนนทอลบนท้องถนน ทำให้ให้มั่นใจว่ายางรถยนต์ของคอนติเนนทอลตอบสนองและเหมาะสมต่อทุกสภาวะการขับขี่และทุกสภาพถนนในประเทศไทย ในขณะเดียวกันเราจะใช้กิจกรรมการตลาดแบบบูรณาการเพื่อเสริมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกให้กับแบรนด์สัญชาติเยอรมันนี้ และในปีหน้า คอนติเนนทอลยังเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2553 ที่จะขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้” นาย วิโรจน์ วชิรเดชกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายเพิ่มเติม
แบรนด์คอนติเนนทอล เป็นที่รู้จักในตลาดยางรถยนต์ในประเทศไทยมานานหลายปี ครอบคลุมตลาดธุรกิจยางทดแทนสำหรับตลาดทั่วไปและรถยนต์ส่วนบุคคลสัญชาติยุโรป รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อและรถกระบะ บริษัท คอนติเนนทอล ดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดผ่านผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์รุ่นต่างๆ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าและสามารถแข่งขันได้ในตลาดเป็นอย่างดี ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลัก ในกลุ่มยางรถยนต์โดยสารส่วนบุคคล และรถสปอร์ต 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ยางรุ่น ComfortContact1, SportContact1, ContiPremiumContact2, ContiSportContact2 และ ContiSportContact3 ยางรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ยางรุ่น ContiCrossContact UHP, ContiCrossContact AT, ContiCrossContact LX, ContitracSUV และ Conti4x4SportContact ยางสำหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ 2ผลิตภัณฑ์ Vanco 8 และ Vanco 2 รวมถึงยางรถบรรทุกรุ่น HSR2,HDR2, HTR, HSC1 และ HSU1 ทั้งนี้ กล่าวได้ว่า คอนติเนนทอลเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตยางทดแทนระดับภูมิภาคเอเชียที่มุ่งมั่นในการสร้างความเติบโตให้ตลาด
“การเปิดสำนักงานของบริษัท คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญของคอนติเนนทอลและความผูกมัดของบริษัทในตลาดยางรถยนต์ ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับระบบการจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้า การจัดกิจกรรมและแคมเปญทางการตลาดที่เข้มข้นขึ้น ตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจากเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายที่มั่นคง ทั้งหมดนี้เป็นการตอกย้ำชื่อเสียงของยางรถยนต์คอนติเนนทอลเป็นอย่างดี ที่ทุกอย่างที่บริษัทมอบให้กับผู้บริโภค คือ การขับขี่ที่ปลอดภัย สะดวกสบาย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคโนโลยีสูง เป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพเยี่ยมสำหรับประเทศไทยและภูมิภาค” มร.ปีเตอร์ ฮอฟแมน ผู้อำนวยการการตลาด หน่วยธุรกิจยางทดแทนประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวสรุป
กลุ่มคอนติเนนทอล คอร์ปอเรชั่น เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งมอบชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำลำดับต้นๆ ของโลก มียอดขายในปี 2551 มากกว่า 24 พันล้านยูโร หรือประมาณ 1.08 ล้านล้านบาท (1,080 พันล้านบาท) ในฐานะที่กลุ่มคอนติเนนทอล เป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญ ได้แก่ ระบบเบรก ระบบและชิ้นส่วนสำหรับระบบส่งกำลังและแชสซี หน้าปัดรถยนต์ อุปกรณ์เพิ่มความบันเทิงในรถยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ ยางรถยนต์และยางสังเคราะห์ เป็นต้น กลุ่มคอนติเนนทอล มุ่งมั่นพัฒนาระบบและส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่สูงสุด อีกทั้งร่วมกันปกป้องสภาพแวดล้อมของโลกด้วย นอกจากนี้ คอนติเนนทอล ยังเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้มแข็งในการพัฒนาเครือข่ายการสื่อสารที่ใช้ในยานยนต์ ปัจจุบัน กลุ่มคอนติเนนทอล คอร์ปอเรชั่น มีพนักงานประมาณ 130,000 คน ในสำนักงานกว่า 190 แห่งใน 35 ประเทศทั่วโลก